ประวัติ หลวงปู่จ้อย พุทธสโร วัดหนองน้ำเขียว พระอภิญญารักษาโรคด้วยมีดหมอ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย pipat_san, 30 มิถุนายน 2010.

  1. pipat_san

    pipat_san เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    8,276
    ค่าพลัง:
    +37,173
    หลวงปู่จ้อย พุทธสโร แห่งวัดหนองน้ำเขียว สิริอายุ 82 ปี 62 พรรษา ท่านเป็นศิษย์หลวงพ่อเชิด วัดลาดบัวขาว พระเกจิยุคเก่า ที่แม้หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ยังกล่าวยกย่องเมื่อมีชาวบ้านจากแปดริ้ว มาขอให้ท่านรักษาโรคที่มีอาการบวมตามเนื้อ ตามตัวว่า '' แกข้ามของดีมาเสียแล้ว พระอาจารย์เชิด วัดลาดบัวขาวนั่นนะ เขาเก่งกว่าข้าเสียอีกให้กลับไปหาเขาเถิด '' เมื่อชาวบ้านพากันกลับไปหาหลวงพ่อเชิด ขอให้ท่านรักษาโรคร้ายให้ท่านกลับเอามีดอีโต้ ซึ่งเป็นมีดหมอของท่านมาถากที่หน้าแข้งท่านเล่นเป็นครู่ใหญ่ ไม่สนใจแตะต้องตัวรักษาคนใข้เลย เมื่อถากหน้าแข้งจนพอใจแล้ว ท่านก็ไล่คนใข้ว่า '' ข้ารักษาให้เสร็จแล้วเอ็งถูกหมอแขกเขาทำเอา ถ้ามาช้ากว่านี้ตายแน่ แต่ตอนนี้ปลอดภัยแล้วกลับไปบ้านได้ '' คนป่วยก็ไม่พอใจ ไหนบอกว่ารักษาแล้วทำไมเอามีดถากหน้าแข้งเล่นอยู่ได้ เนื้อตัวคนป่วยก็ไม่ได้แตกต้องเลย แต่ก็จำใจต้องเดินคอตกกลับบ้าน คิดว่าจะไปหาหมดฝรั่ง หรือจะไปตายที่บ้านดี แต่เมื่อกลับถึงบ้านอาการบวมตามเนื้อตามตัวหายไปสิ้น ร่างกายกลับแข็งแรง และมีพละกำลังเหมือนเก่า จึงรู้แจ้งว่า หลวงพ่อเชิดท่านรักษาโรคให้ด้วยเวทย์วิทยาคมโดยแท้

    หลวงปู่จ้อย อยู่เรียนวิชาอาคมกับหลวงพ่อเชิด ถึง 8 ปี เรียกว่าหลวงพ่อเชิด สอนให้ทุกอย่างไม่ปิดอำพราง ยังเคยเห็นหลวงพ่อเชิดทำตะกรุดใต้น้ำ ถึง 2 ครั้งท่านดำน้ำนานหลายอึดใจ ถ้าเป็นคนธรรดาศพขึ้นอึดแน่นอน แต่หลวงพ่อเชิดไม่เป็นไรเลย สักพัก ท่านก็ปีนเสาขึ้นจากท่าน้ำ ตัวเปียก แต่จีวรไม่เปียก

    นอกจากนี้หลวงปู่จ้อย ยังฝากตัวเรียนวิชากับพระเกจิยุคเก่าแห่งเมืองชลบุรีอีกหลายท่าน เช่น เรียนทำผง สร้างพระปิดตากับหลวงปู่เฮี้ยง วัดป่า เรียนทำธงกับหลวงพ่อทองอยู่ วัดบางเสร่ และยังดั้นด้นไปเรียนวิชากับหลวงพ่อทิม วัดระหารไร่ และหลวงพ่อนิด วักทับมาด้วย

    ด้วยเหตุนี้ หลวงปู่จ้อย จึงกลายมาเป็นพระเกจิอาจารย์เข้มขลัง ศักสิทธิ์ แห่งแดนน้ำเค็ม ชลบุรี ในยุคปัจจุบัน เวทวิยาคมเข้มขลังคมในฝัก ท่านมีลูกศิษย์ลูกหา ที่เป็นรั้วของชาติมากมาย เพราะพระของท่าน ได้ไปแมลงวันไม่ได้กินเลือดเป็นที่กล่าวขวัญจากทุกสมรภูมิรบ เล่าลือกันว่าขนาดลงน้ำปลิงไม่เกาะเป็นที่เชื่อถือมาช้านานแล้ว

    ใครเจ็บป่วยมา หลวงพ่อจ้อยใช้มีดหมอรักษาโรคได้ชงัดนัก

    พระเครื่องส่วนใหญ่ ลูกศิษย์ลูกหาจัดสร้างถวายให้วัด ท่านจะเป็นผู้ที่ให้ความเห็นชอบให้สร้างตามที่ท่านเห็นสมควร ได้แก่ เหรียญรุ่นแรก เหรียญรุ่นสอง รูปหล่อ พระกริ่งชินบัญชร พระบูชา พระผงต่างๆ ตะกรุด ฯลฯ ของทุกอย่างล้วนมีประสบการณ์สูงมาก ลูกศิษย์ลูกหา ต่างก็หวงแหน ทำให้พระเครื่องของท่าน ไม่ค่อยมีให้พบเห็นมากนัก การสร้างก็ไม่มาก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 111.jpg
      111.jpg
      ขนาดไฟล์:
      30.9 KB
      เปิดดู:
      2,353
  2. pipat_san

    pipat_san เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    8,276
    ค่าพลัง:
    +37,173
    พระอริยเจ้าที่กราบได้สนิทใจครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 11.jpg
      11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      32.3 KB
      เปิดดู:
      1,019
  3. pipat_san

    pipat_san เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    8,276
    ค่าพลัง:
    +37,173
    ปัจจุบันนี้ ท่านอายุ 84 แล้วครับ สมัยที่ท่านสร้างพระกริ่งนั้น อายุ 82 ปีครับ เพิ่มเติมข้อมูลครับ
     
  4. dome_f

    dome_f เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +2,107
    กราบกราบกราบหลวงปู่จ้อย พุทธสโร
     
  5. 15 ค่ำ

    15 ค่ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,108
    ค่าพลัง:
    +10,575
    พระดีๆที่ยังมีชีวิตอยู่แบบนี้ คงต้องหาโอกาสไปกราบท่านซักครั้งครับ,,,^_^
     
  6. วัดท่าสมอ

    วัดท่าสมอ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    367
    ค่าพลัง:
    +1,343
    เดี๋ยวต้องไปกราบเพื่อขอความเป็นสิริมงคลเหมือนกันครับ แต่มีเรื่องเล่าให้ฟังกันครับ ผมบูชา พระกริ่งชินบัญชร หลวงพ่อจ้อยไปบูชาครับ พอดีอยู่ไกล้วัด หลวงพ่อเกาะ วัดท่าสมอ ซึ่งเป็นอาจารย์ ของผมเอง ได้เอาพระกริ่งชินบัญชรหลวงพ่อจ้อยไปให้ท่านเสกซ้ำ หลวงพ่อเกาะ จับกริ่งแล้ว ยกขึ้นหัว ก่อนบอกว่า นี่แหละพระกริ่งจักรพรรดิ์ ของจริง ผมดีใจมากครับ ที่ได้บูชาพระกริ่งดีๆ ของหลวงพ่อจ้อยมาครับ
     
  7. ศรนารายณ์ธนูทอง

    ศรนารายณ์ธนูทอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +1,865
    ท่านมีเมตตามากครับ ผมเคยไปกราบเเละถวายพระบรมสารีริกธาตุ
     
  8. omoshiroi

    omoshiroi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    280
    ค่าพลัง:
    +1,539
    -ถ้าไปกราบหลวงปู่ช่วงนี้ก็จะได้ร่วมทำบุญใหญ่กับท่านครับ เพราะทางวัดกำลังบูรณะโบสถ์ ด้วยการทาสีและทำหลังคาใหม่ และเท่าที่สอบถาม ท่านกำลังอธิษฐานจิต วัตถุมงคลเพื่อออกหาทุนบูรณะโบสถ์อยู่ด้วย(กล่องขาวๆที่เห็นด้านหลังท่าน)

    -ภาพหลวงปู่จ้อย ถ่ายเมื่อ07-06-53



    อนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับผม

    "เมตตาเป็นมหาอำนาจ"
    หลวงปู่จ้อย พุทธสโร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P6070258.JPG
      P6070258.JPG
      ขนาดไฟล์:
      145.9 KB
      เปิดดู:
      588
  9. คุณตัวเล็ก

    คุณตัวเล็ก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2009
    โพสต์:
    4,881
    ค่าพลัง:
    +8,536
    [​IMG]

    ไปกันหมดหรอค่ะ ฮิฮิ
     
  10. คุณตัวเล็ก

    คุณตัวเล็ก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2009
    โพสต์:
    4,881
    ค่าพลัง:
    +8,536
  11. tatty

    tatty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    8,976
    ค่าพลัง:
    +8,226
    ไปกราบมาตอนต้นปี ท่านบอกกลับไปจะมีโชคก้อนใหญ่ รอ รอ มานานๆ มาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว มีคนโทรมาขอซื้อที่ดิน ทั้งที่ไม่ได้ประกาศขาย สงสัยถ้าได้โชคลาภก้อนนี้จริงๆต้องกลับไปกราบท่านอีกรอบแล้วล่ะ
     
  12. ออกมาดูโลก

    ออกมาดูโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2008
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +925
    หลวงพ่อจ้อย ท่านเป็นพระอภิญญาเมตตาสูงครับ แถมวาจาสิทธิ์ด้วย ได้ลาภใหญ่ อย่าลืมไปทำบุญกับท่านด้วยนะครับ ผมขออนุโมทนาล่วงหน้าเลยครับ
     
  13. 15 ค่ำ

    15 ค่ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,108
    ค่าพลัง:
    +10,575
    วันอาทิตย์นี้นัดกับเพื่อนๆที่บริษัทใว้แล้ว4-5คน ว่าจะไปกราบหลวงปู่กันครับ,,,,,^_^
     
  14. ออกมาดูโลก

    ออกมาดูโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2008
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +925
    ข้อมูลจาก นวรัตน์ดอดคอม ขอโมทนาด้วยครับ

    <TABLE class=tablebg cellSpacing=1 width="100%"><TBODY><TR class=row1><TD vAlign=top><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=5 width="100%"><TBODY><TR><TD>ดีครับที่ทวง เพราะเรียนตรง ๆ เลยว่าลืมไปแล้วนะนี่

    คืออย่างนี้ครับ...

    <!--แนบไฟล์:
    -->

    <!-- .jpg [ 29.18 KiB | เปิดดู 649 ครั้ง ] -->


    เมื่อวันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2552 น้องชายผมเขาเดินทางลงมาจากกรุงเทพด้วยวัตถุประสงค์ที่ว่าอยากไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อจ้อย พุทธสโร ที่วัดเป็นอย่างมาก เพราะมีความไม่สบายใจหลายเรื่อง เขาก็ลงมากันสองคนรวมผมด้วยก็เป็นสาม

    เราแวะเลือกซื้อของสังฆทานด้วยตนเองในห้างโลตัส เพราะชนิดสำเร็จรูปแบบ "บุญกระป๋อง" นั้นไม่คู่ควร เมื่อเลือกซื้อของได้ครบก็เดินทางตรงไปวัดหนองน้ำเขียวทันที ถึงวัดเป็นเวลาประมาณ 16 นาฬิกา เมื่อผมก้าวขึ้นกุฏิท่านแล้วชะโงกหน้ามองผ่านประตูเหล็กอัลลอยด์ ก็เห็นว่าไฟระเบียงหน้าห้องพักท่านปิด และประตูเลื่อนตรงจุดรับแขกก็ปิดสนิท ลักษณะนี้เป็นอันรู้กันว่า

    ถ้าไม่อยู่ก็ต้องจำวัด

    ผมจึงเรียกน้องช่วยกันถือของเข้าไปนั่งพักก่อน แล้วผมก็เปิดประตูเลื่อนเข้าไปดูประตูห้องพักท่าน

    ไม่ได้ใส่กุญแจสายยู

    ลักษณะนี้ก็เป็นที่รู้กันอีกว่า หลวงพ่อจ้อยจำวัดอยู่ในห้อง นั่งสมาธิอยู่ในห้อง อ่านหนังสืออยู่ในห้อง ปลุกเสกของอยู่ในห้อง และอีกสารพัดกิจกรรมที่แน่นอนว่าต้องทำอยู่ในห้อง เพราะหากเมื่อใดที่ท่านออกไปไหน ท่านก็จะล็อกประตูแน่นหนาโดยเฉพาะกุญแจสายยูที่คล้องไว้เป็นเหมือนแผ่นพลาสติกเลื่อนหน้าห้องอธิการบดีที่คอยแจ้งผู้มาเยือนว่าจะ อยู่ หรือ ไม่อยู่

    ครั้นแน่แก่ใจว่าท่านอยู่แต่อาจนอนพักเราก็ไม่อยากเรียกท่านในทันที จึงนั่งรอเอนรอแล้วฆ่าเวลาคุยกันด้วยเสียงที่ค่อนข้าง "ดัง" เพื่อเป็นสื่อผ่านประตูบานน้อยและผนังไม้บาง ๆ ให้ท่านรับรู้ว่ามีคนมาคอยพบ

    เรานั่งคุยกันอยู่นานจนรู้สึกว่าที่แห้งผากนั้นไม่ใช่ลำคอแต่เป็นหัวข้อที่จะหยิบมาคุย ก็คือคุยกันจนหมดเรื่องที่จะคุย เลยยกประเด็นเฉพาะหน้ามาคุยเสียเลยว่าทำไมไม่ตื่นเสียที หรือนั่งเสกของอยู่ หรือ ฯลฯ ครั้นจะเคาะประตูเรียกผมก็กลัวบาปสาหัสถ้าท่านกำลังภาวนา แต่ถ้าไม่เคาะเรียกสักทีพวกผมนั่นแหละที่จะสาหัสเพราะเดินทางมาไกลแถมคอยอีกเป็นชั่วโมง ๆ แต่ไม่ได้พบ

    ผมเลยตัดสินใจลุกไปเคาะห้องท่านอย่างแรง(ในความรู้สึกผม)แต่น้องบอกว่าค่อยมาก ๆ ผมเคาะแล้ววิ่งมานั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เผื่อท่านออกมาจะได้ไม่รู้ว่าผมเคาะ รอ....รอ....รอ....ก็ไม่ออกมา

    เลยลุกไปเคาะอีก รอ...รอ...แล้วก็ลุกไปเคาะอีก แล้วก็...รอ...รอ...พอผมเคาะได้ตะติยัมปิคือสามครั้งก็บอกน้องว่า เออ ขนาดนี้ท่านยังไม่ออกมาแสดงว่าเอ็งดวงซวยจริง ๆ จะมาทำบุญยังไม่ได้ทำ เอางี้ทิ้งของไว้ตรงนี้แหละ เขียนจดหมายกราบเรียนท่านไว้ว่าต่อพาน้องมาทำบุญ เดี๋ยวท่านก็ทราบเอง

    น้องชายผมทำหน้าเซ็งเป็ดทั้งที่จริง ๆ มันเซ็งผม แต่ก็ต้องยอมตามเพราะผมเป็นผู้นำ(เผด็จการ) เมื่อนำปัจจัยลงซองแล้วเราก็ทำท่าจะกราบลงที่หน้าประตูห้องท่านเพื่อลา ฉับพลันทันทีทุกคนก็ได้ยินเสียงท่านไอค่อนข้างดัง ผมนึกตกใจว่าท่านไม่สบายขนาดนี้จะต้อนรับเราได้หรือ เพราะผมเองก็ทราบข่าวมาก่อนแล้วว่าท่านเพิ่งออกจากโรงพยาบาล

    เมื่อท่านไอโขลกอยู่สองสามที ก็หยุดไปหน่อยหนึ่งแล้วกระแอมฮึ่ม ๆ ฮั่ม ๆ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่คนคุ้นเคยรู้ดีว่าท่านไม่ได้หลับ แต่คงทำธุระส่วนองค์อยู่ การรอคอยของผมซึ่งมืดมิดเหมือนหลอดไฟหน้ากุฏิก็เจิดจ้ามีหวังขึ้นทันที

    เราสามคนรีบลงนั่งพับเพียบปั้นจิ้มปั้นเจ๋อทำหน้าไร้เดียงสาให้มากที่สุด เพื่อเวลาขอพระเครื่องจากท่าน ท่านจะได้มองว่าเรายังเด็ก ยังเล็กนัก น่าให้ของไปคุ้มตัว สามคนมองหน้ากันอย่างดีใจ

    แล้วก็ รอ.....รอ......รอ........

    อ้าว สงสัยตื่นมาไอ ไอแล้วคงนอนต่อ รูปการณ์แบบนี้ไม่ไหวแล้ว เคาะอีกคราวนี้นรกกินหัวแน่ กลับดีกว่า ผมสรุปแบบรวบรัด(อย่างเผด็จการ)อีกครั้ง แล้วก็วางซองปัจจัยลุกขึ้นเดินกลับ

    ฉับพลันทันทีก็มีรถกระบะแวนรุ่นเก่าพอ ๆ กับโรงครัววัดคันหนึ่งคลานต้วมเตี้ยมเข้ามาจอดที่หน้ากุฏิ ใกล้บันไดเสียจนผมคิดว่าทำไมไม่ขับขึ้นมาบนนี้เสียเลยล่ะ สงสัยคนมาด้วยคงแก่มากจนเดินไม่ไหว แล้วคนแก่คนนั้นก็เปิดประตูหน้าก้าวลงมา.....


    หลวงพ่อจ้อย พุทธสโร


    ครับ มองยังไงก็หลวงพ่อจ้อย พุทธสโร ที่ผมออกนามฉายาท่านด้วย เพราะกลัวตัวเองและคนอื่นจะคิดว่าเป็นหลวงพ่อจ้อย วัดศรีอุทุมพร !!

    ผมนั้นแทบไม่เชื่อสายตา น้องชายผมเมื่อมองเห็นถนัดว่าเป็นท่าน ก็ร้องออกมาเสียงดังอย่างลืมตัวว่า "เฮ้ย.." หันควั่บมามองหน้าผมทำตาโตเท่าที่ลูกคนจีนตาตี่จะทำได้ แล้วร้องอีกครั้งเหมือนงิ้วออกโรง "เฮ้ย...!! อะไรวะ"

    ดี มันไม่บอก "ว๊าก..เพ่ย..."

    ผมอยากร้องเหมือนกัน แต่มันร้องไม่ออก จึงรีบกุลีกุจอถลาลงบันไดไปต้อนรับท่าน รีบรับย่ามจากมือท่านคล้ายคนมีน้ำใจ ซึ่งแท้แล้วเป็นอุบายของผมที่พยายามแต๊ะอั๋งท่านด้วยการเบียดเข้าไปกระทบตัวท่าน กระทบแขนท่าน จับมือท่าน จับแขนท่าน ลูบ ๆ คลำ ๆ จนท่านมองหน้าแล้วบ่นว่า "อ้าว ! มาอีกแล้ว" เพราะเมื่อวานก็เพิ่งรับส่งกัน

    ผมจับเนื้อจับตัวท่านจนแน่ใจว่านี่คือหลวงพ่อจ้อย "องค์เป็น ๆ"

    คุณน้าคนที่มาส่งบอกว่า "ผมเป็นคนมารับหลวงพ่อเอง ตามคำสั่งของหลวงพ่อเกลี้ยง วัดเนินสุทธาวาส คือหลวงพ่อเกลี้ยงท่านจะเททองพระ ให้นิมนต์หลวงพ่อจ้อยไปให้ได้"

    ผมถามว่า "แล้วเททองกี่โมงครับ"

    แกว่า "ประมาณสี่โมง เนี่ย พอเทเสร็จก็มาส่งหลวงพ่อจ้อยทันทีเลยเนี่ย"

    ผมมองนาฬิกา ขณะนั้นเป็นเวลาห้าโมงเย็นเศษ ๆ สรุปคือหลวงพ่อไม่อยู่วัดหลายชั่วโมงแล้ว ตั้งแต่ก่อนหน้าที่เราจะมาถึง ผมรีบวิ่งตามท่านขึ้นกุฏิแล้วจ้องดูท่านไขลูกบิดประตู ผมยิงคำถามว่าใครอยู่ในห้องหลวงพ่อหรือเปล่า ? ท่านบอกว่า "ไม่มี" ผมถามย้ำท่านก็ตอบเหมือนเดิม
    <!--แนบไฟล์:
    -->

    <!-- .jpg [ 24.49 KiB | เปิดดู 653 ครั้ง ] -->


    เมื่อแน่ชัดว่า "ไม่ใช่คน" ผมก็ถามใหม่ว่า หลวงพ่อเลี้ยงกุมารทองหรือเปล่า ? คราวนี้ท่านหัวเราะก๊ากแล้วปฏิเสธทั้งขำ ผมถามย้ำว่าไม่มีจริง ๆ เหรอ แล้วใครมาไอให้ได้ยินล่ะนั่น เล่าถวายท่านฟังท่านก็ทำเฉย ๆ ผมเลยชวนน้องถวายสังฆทานแล้วคุยกันอีกพักใหญ่จึงกราบลา

    ลา...ทั้งที่ปริศนายังคาใจ !?

    ถึงวันนี้ผมก็ยังไม่ทราบ น้องก็ยังไม่ทราบ ว่าเสียงไอปริศนานั่นเป็นของใคร ? แต่ด้วยความคุ้นเคยที่ผมมีต่อท่านมานานนับสิบปี ผมมั่นใจและทุกคนก็มั่นใจว่า "ไอ" นั้น... "กระแอม" นั้น... เป็นเสียงและลีลาของท่านแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์


    สำหรับคนที่กำลังทุกข์ใจสาหัสอย่างน้องผม ถ้าได้กราบท่าน.... ได้ทำบุญกับท่าน.... ได้ฟังธรรมจากท่าน.... เขาย่อมสบายใจหายทุกข์ขึ้นอักโข

    "ใคร" คนนั้น คงเห็นใจและรู้ซึ้งถึงทุกข์นี้ดี เมื่อพวกเราคิดลาจากแม้ว่าจะยังไม่ได้พบหลวงพ่อจ้อยดังที่หวัง "ใคร" คนนั้นจึงกรุณาเลียนเสียงกระแอมไอของหลวงพ่อได้อย่างเหมือนไม่มีต่าง จนพวกเราถูกลวงสนิทว่าท่านอยู่ในห้องแล้วนั่งคอยต่อไปอีกเพียงสิบกว่านาที "ตัวจริง" ก็มา...

    ถ้าเขาไม่ดึงเราไว้... วันนั้นเราก็จะคลาดกับหลวงพ่อในเวลาไม่ถึง 15 นาที

    ถ้าเขาไม่ดึงเราไว้... วันนั้นเราก็จะไม่ได้ถวายสังฆทานอันเป็นทานที่เลิศจนพระพุทธองค์ทรงยกย่อง

    ถ้าเขาไม่ดึงเราไว้... วันนั้นเราคงไม่ได้ฟังธรรม และได้ยิน "อนุสาสนีปาฏิหาริย์" จากปากท่านที่สอนน้องผมจนหายทุกข์ไปกว่าครึ่ง

    ถ้าเขาไม่ดึงเราไว้... วันนั้นเราคงไม่ได้ทำบุญหลายประการ


    หากบุญใดที่พึงมีพึงได้จากการบำเพ็ญของพวกผมในวันนั้น...

    ขอ "ท่านผู้นั้น" จงมีส่วนแห่งบุญทั้งหมดของพวกผมด้วย เทอญ ฯ

    _________________
    ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน

    <TABLE cellSpacing=0 width="100%"><TBODY><TR vAlign=center><TD class=gensmall align=right></TD></TR></TBODY></TABLE>



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR class=row1><TD class=profile></TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=tablebg cellSpacing=1 width="100%"><TBODY><TR class=row1><TD vAlign=top><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=5 width="100%"><TBODY><TR><TD>ดีครับที่ทวง เพราะเรียนตรง ๆ เลยว่าลืมไปแล้วนะนี่

    คืออย่างนี้ครับ...

    <!--แนบไฟล์:
    -->

    <!-- .jpg [ 29.18 KiB | เปิดดู 649 ครั้ง ] -->


    เมื่อวันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2552 น้องชายผมเขาเดินทางลงมาจากกรุงเทพด้วยวัตถุประสงค์ที่ว่าอยากไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อจ้อย พุทธสโร ที่วัดเป็นอย่างมาก เพราะมีความไม่สบายใจหลายเรื่อง เขาก็ลงมากันสองคนรวมผมด้วยก็เป็นสาม

    เราแวะเลือกซื้อของสังฆทานด้วยตนเองในห้างโลตัส เพราะชนิดสำเร็จรูปแบบ "บุญกระป๋อง" นั้นไม่คู่ควร เมื่อเลือกซื้อของได้ครบก็เดินทางตรงไปวัดหนองน้ำเขียวทันที ถึงวัดเป็นเวลาประมาณ 16 นาฬิกา เมื่อผมก้าวขึ้นกุฏิท่านแล้วชะโงกหน้ามองผ่านประตูเหล็กอัลลอยด์ ก็เห็นว่าไฟระเบียงหน้าห้องพักท่านปิด และประตูเลื่อนตรงจุดรับแขกก็ปิดสนิท ลักษณะนี้เป็นอันรู้กันว่า

    ถ้าไม่อยู่ก็ต้องจำวัด

    ผมจึงเรียกน้องช่วยกันถือของเข้าไปนั่งพักก่อน แล้วผมก็เปิดประตูเลื่อนเข้าไปดูประตูห้องพักท่าน

    ไม่ได้ใส่กุญแจสายยู

    ลักษณะนี้ก็เป็นที่รู้กันอีกว่า หลวงพ่อจ้อยจำวัดอยู่ในห้อง นั่งสมาธิอยู่ในห้อง อ่านหนังสืออยู่ในห้อง ปลุกเสกของอยู่ในห้อง และอีกสารพัดกิจกรรมที่แน่นอนว่าต้องทำอยู่ในห้อง เพราะหากเมื่อใดที่ท่านออกไปไหน ท่านก็จะล็อกประตูแน่นหนาโดยเฉพาะกุญแจสายยูที่คล้องไว้เป็นเหมือนแผ่นพลาสติกเลื่อนหน้าห้องอธิการบดีที่คอยแจ้งผู้มาเยือนว่าจะ อยู่ หรือ ไม่อยู่

    ครั้นแน่แก่ใจว่าท่านอยู่แต่อาจนอนพักเราก็ไม่อยากเรียกท่านในทันที จึงนั่งรอเอนรอแล้วฆ่าเวลาคุยกันด้วยเสียงที่ค่อนข้าง "ดัง" เพื่อเป็นสื่อผ่านประตูบานน้อยและผนังไม้บาง ๆ ให้ท่านรับรู้ว่ามีคนมาคอยพบ

    เรานั่งคุยกันอยู่นานจนรู้สึกว่าที่แห้งผากนั้นไม่ใช่ลำคอแต่เป็นหัวข้อที่จะหยิบมาคุย ก็คือคุยกันจนหมดเรื่องที่จะคุย เลยยกประเด็นเฉพาะหน้ามาคุยเสียเลยว่าทำไมไม่ตื่นเสียที หรือนั่งเสกของอยู่ หรือ ฯลฯ ครั้นจะเคาะประตูเรียกผมก็กลัวบาปสาหัสถ้าท่านกำลังภาวนา แต่ถ้าไม่เคาะเรียกสักทีพวกผมนั่นแหละที่จะสาหัสเพราะเดินทางมาไกลแถมคอยอีกเป็นชั่วโมง ๆ แต่ไม่ได้พบ

    ผมเลยตัดสินใจลุกไปเคาะห้องท่านอย่างแรง(ในความรู้สึกผม)แต่น้องบอกว่าค่อยมาก ๆ ผมเคาะแล้ววิ่งมานั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เผื่อท่านออกมาจะได้ไม่รู้ว่าผมเคาะ รอ....รอ....รอ....ก็ไม่ออกมา

    เลยลุกไปเคาะอีก รอ...รอ...แล้วก็ลุกไปเคาะอีก แล้วก็...รอ...รอ...พอผมเคาะได้ตะติยัมปิคือสามครั้งก็บอกน้องว่า เออ ขนาดนี้ท่านยังไม่ออกมาแสดงว่าเอ็งดวงซวยจริง ๆ จะมาทำบุญยังไม่ได้ทำ เอางี้ทิ้งของไว้ตรงนี้แหละ เขียนจดหมายกราบเรียนท่านไว้ว่าต่อพาน้องมาทำบุญ เดี๋ยวท่านก็ทราบเอง

    น้องชายผมทำหน้าเซ็งเป็ดทั้งที่จริง ๆ มันเซ็งผม แต่ก็ต้องยอมตามเพราะผมเป็นผู้นำ(เผด็จการ) เมื่อนำปัจจัยลงซองแล้วเราก็ทำท่าจะกราบลงที่หน้าประตูห้องท่านเพื่อลา ฉับพลันทันทีทุกคนก็ได้ยินเสียงท่านไอค่อนข้างดัง ผมนึกตกใจว่าท่านไม่สบายขนาดนี้จะต้อนรับเราได้หรือ เพราะผมเองก็ทราบข่าวมาก่อนแล้วว่าท่านเพิ่งออกจากโรงพยาบาล

    เมื่อท่านไอโขลกอยู่สองสามที ก็หยุดไปหน่อยหนึ่งแล้วกระแอมฮึ่ม ๆ ฮั่ม ๆ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่คนคุ้นเคยรู้ดีว่าท่านไม่ได้หลับ แต่คงทำธุระส่วนองค์อยู่ การรอคอยของผมซึ่งมืดมิดเหมือนหลอดไฟหน้ากุฏิก็เจิดจ้ามีหวังขึ้นทันที

    เราสามคนรีบลงนั่งพับเพียบปั้นจิ้มปั้นเจ๋อทำหน้าไร้เดียงสาให้มากที่สุด เพื่อเวลาขอพระเครื่องจากท่าน ท่านจะได้มองว่าเรายังเด็ก ยังเล็กนัก น่าให้ของไปคุ้มตัว สามคนมองหน้ากันอย่างดีใจ

    แล้วก็ รอ.....รอ......รอ........

    อ้าว สงสัยตื่นมาไอ ไอแล้วคงนอนต่อ รูปการณ์แบบนี้ไม่ไหวแล้ว เคาะอีกคราวนี้นรกกินหัวแน่ กลับดีกว่า ผมสรุปแบบรวบรัด(อย่างเผด็จการ)อีกครั้ง แล้วก็วางซองปัจจัยลุกขึ้นเดินกลับ

    ฉับพลันทันทีก็มีรถกระบะแวนรุ่นเก่าพอ ๆ กับโรงครัววัดคันหนึ่งคลานต้วมเตี้ยมเข้ามาจอดที่หน้ากุฏิ ใกล้บันไดเสียจนผมคิดว่าทำไมไม่ขับขึ้นมาบนนี้เสียเลยล่ะ สงสัยคนมาด้วยคงแก่มากจนเดินไม่ไหว แล้วคนแก่คนนั้นก็เปิดประตูหน้าก้าวลงมา.....


    หลวงพ่อจ้อย พุทธสโร


    ครับ มองยังไงก็หลวงพ่อจ้อย พุทธสโร ที่ผมออกนามฉายาท่านด้วย เพราะกลัวตัวเองและคนอื่นจะคิดว่าเป็นหลวงพ่อจ้อย วัดศรีอุทุมพร !!

    ผมนั้นแทบไม่เชื่อสายตา น้องชายผมเมื่อมองเห็นถนัดว่าเป็นท่าน ก็ร้องออกมาเสียงดังอย่างลืมตัวว่า "เฮ้ย.." หันควั่บมามองหน้าผมทำตาโตเท่าที่ลูกคนจีนตาตี่จะทำได้ แล้วร้องอีกครั้งเหมือนงิ้วออกโรง "เฮ้ย...!! อะไรวะ"

    ดี มันไม่บอก "ว๊าก..เพ่ย..."

    ผมอยากร้องเหมือนกัน แต่มันร้องไม่ออก จึงรีบกุลีกุจอถลาลงบันไดไปต้อนรับท่าน รีบรับย่ามจากมือท่านคล้ายคนมีน้ำใจ ซึ่งแท้แล้วเป็นอุบายของผมที่พยายามแต๊ะอั๋งท่านด้วยการเบียดเข้าไปกระทบตัวท่าน กระทบแขนท่าน จับมือท่าน จับแขนท่าน ลูบ ๆ คลำ ๆ จนท่านมองหน้าแล้วบ่นว่า "อ้าว ! มาอีกแล้ว" เพราะเมื่อวานก็เพิ่งรับส่งกัน

    ผมจับเนื้อจับตัวท่านจนแน่ใจว่านี่คือหลวงพ่อจ้อย "องค์เป็น ๆ"

    คุณน้าคนที่มาส่งบอกว่า "ผมเป็นคนมารับหลวงพ่อเอง ตามคำสั่งของหลวงพ่อเกลี้ยง วัดเนินสุทธาวาส คือหลวงพ่อเกลี้ยงท่านจะเททองพระ ให้นิมนต์หลวงพ่อจ้อยไปให้ได้"

    ผมถามว่า "แล้วเททองกี่โมงครับ"

    แกว่า "ประมาณสี่โมง เนี่ย พอเทเสร็จก็มาส่งหลวงพ่อจ้อยทันทีเลยเนี่ย"

    ผมมองนาฬิกา ขณะนั้นเป็นเวลาห้าโมงเย็นเศษ ๆ สรุปคือหลวงพ่อไม่อยู่วัดหลายชั่วโมงแล้ว ตั้งแต่ก่อนหน้าที่เราจะมาถึง ผมรีบวิ่งตามท่านขึ้นกุฏิแล้วจ้องดูท่านไขลูกบิดประตู ผมยิงคำถามว่าใครอยู่ในห้องหลวงพ่อหรือเปล่า ? ท่านบอกว่า "ไม่มี" ผมถามย้ำท่านก็ตอบเหมือนเดิม
    <!--แนบไฟล์:
    -->
    [​IMG]
    <!-- .jpg [ 24.49 KiB | เปิดดู 653 ครั้ง ] -->


    เมื่อแน่ชัดว่า "ไม่ใช่คน" ผมก็ถามใหม่ว่า หลวงพ่อเลี้ยงกุมารทองหรือเปล่า ? คราวนี้ท่านหัวเราะก๊ากแล้วปฏิเสธทั้งขำ ผมถามย้ำว่าไม่มีจริง ๆ เหรอ แล้วใครมาไอให้ได้ยินล่ะนั่น เล่าถวายท่านฟังท่านก็ทำเฉย ๆ ผมเลยชวนน้องถวายสังฆทานแล้วคุยกันอีกพักใหญ่จึงกราบลา

    ลา...ทั้งที่ปริศนายังคาใจ !?

    ถึงวันนี้ผมก็ยังไม่ทราบ น้องก็ยังไม่ทราบ ว่าเสียงไอปริศนานั่นเป็นของใคร ? แต่ด้วยความคุ้นเคยที่ผมมีต่อท่านมานานนับสิบปี ผมมั่นใจและทุกคนก็มั่นใจว่า "ไอ" นั้น... "กระแอม" นั้น... เป็นเสียงและลีลาของท่านแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์


    สำหรับคนที่กำลังทุกข์ใจสาหัสอย่างน้องผม ถ้าได้กราบท่าน.... ได้ทำบุญกับท่าน.... ได้ฟังธรรมจากท่าน.... เขาย่อมสบายใจหายทุกข์ขึ้นอักโข

    "ใคร" คนนั้น คงเห็นใจและรู้ซึ้งถึงทุกข์นี้ดี เมื่อพวกเราคิดลาจากแม้ว่าจะยังไม่ได้พบหลวงพ่อจ้อยดังที่หวัง "ใคร" คนนั้นจึงกรุณาเลียนเสียงกระแอมไอของหลวงพ่อได้อย่างเหมือนไม่มีต่าง จนพวกเราถูกลวงสนิทว่าท่านอยู่ในห้องแล้วนั่งคอยต่อไปอีกเพียงสิบกว่านาที "ตัวจริง" ก็มา...

    ถ้าเขาไม่ดึงเราไว้... วันนั้นเราก็จะคลาดกับหลวงพ่อในเวลาไม่ถึง 15 นาที

    ถ้าเขาไม่ดึงเราไว้... วันนั้นเราก็จะไม่ได้ถวายสังฆทานอันเป็นทานที่เลิศจนพระพุทธองค์ทรงยกย่อง

    ถ้าเขาไม่ดึงเราไว้... วันนั้นเราคงไม่ได้ฟังธรรม และได้ยิน "อนุสาสนีปาฏิหาริย์" จากปากท่านที่สอนน้องผมจนหายทุกข์ไปกว่าครึ่ง

    ถ้าเขาไม่ดึงเราไว้... วันนั้นเราคงไม่ได้ทำบุญหลายประการ


    หากบุญใดที่พึงมีพึงได้จากการบำเพ็ญของพวกผมในวันนั้น...

    ขอ "ท่านผู้นั้น" จงมีส่วนแห่งบุญทั้งหมดของพวกผมด้วย เทอญ ฯ

    _________________
    ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน

    <TABLE cellSpacing=0 width="100%"><TBODY><TR vAlign=center><TD class=gensmall align=right></TD></TR></TBODY></TABLE>



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR class=row1><TD class=profile>ข้างบน</TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=tablebg cellSpacing=1 width="100%"><TBODY><TR class=row1><TD vAlign=top><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=5 width="100%"><TBODY><TR><TD>ดีครับที่ทวง เพราะเรียนตรง ๆ เลยว่าลืมไปแล้วนะนี่

    คืออย่างนี้ครับ...

    <!--แนบไฟล์:
    -->
    [​IMG]
    <!-- .jpg [ 29.18 KiB | เปิดดู 649 ครั้ง ] -->


    เมื่อวันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2552 น้องชายผมเขาเดินทางลงมาจากกรุงเทพด้วยวัตถุประสงค์ที่ว่าอยากไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อจ้อย พุทธสโร ที่วัดเป็นอย่างมาก เพราะมีความไม่สบายใจหลายเรื่อง เขาก็ลงมากันสองคนรวมผมด้วยก็เป็นสาม

    เราแวะเลือกซื้อของสังฆทานด้วยตนเองในห้างโลตัส เพราะชนิดสำเร็จรูปแบบ "บุญกระป๋อง" นั้นไม่คู่ควร เมื่อเลือกซื้อของได้ครบก็เดินทางตรงไปวัดหนองน้ำเขียวทันที ถึงวัดเป็นเวลาประมาณ 16 นาฬิกา เมื่อผมก้าวขึ้นกุฏิท่านแล้วชะโงกหน้ามองผ่านประตูเหล็กอัลลอยด์ ก็เห็นว่าไฟระเบียงหน้าห้องพักท่านปิด และประตูเลื่อนตรงจุดรับแขกก็ปิดสนิท ลักษณะนี้เป็นอันรู้กันว่า

    ถ้าไม่อยู่ก็ต้องจำวัด

    ผมจึงเรียกน้องช่วยกันถือของเข้าไปนั่งพักก่อน แล้วผมก็เปิดประตูเลื่อนเข้าไปดูประตูห้องพักท่าน

    ไม่ได้ใส่กุญแจสายยู

    ลักษณะนี้ก็เป็นที่รู้กันอีกว่า หลวงพ่อจ้อยจำวัดอยู่ในห้อง นั่งสมาธิอยู่ในห้อง อ่านหนังสืออยู่ในห้อง ปลุกเสกของอยู่ในห้อง และอีกสารพัดกิจกรรมที่แน่นอนว่าต้องทำอยู่ในห้อง เพราะหากเมื่อใดที่ท่านออกไปไหน ท่านก็จะล็อกประตูแน่นหนาโดยเฉพาะกุญแจสายยูที่คล้องไว้เป็นเหมือนแผ่นพลาสติกเลื่อนหน้าห้องอธิการบดีที่คอยแจ้งผู้มาเยือนว่าจะ อยู่ หรือ ไม่อยู่

    ครั้นแน่แก่ใจว่าท่านอยู่แต่อาจนอนพักเราก็ไม่อยากเรียกท่านในทันที จึงนั่งรอเอนรอแล้วฆ่าเวลาคุยกันด้วยเสียงที่ค่อนข้าง "ดัง" เพื่อเป็นสื่อผ่านประตูบานน้อยและผนังไม้บาง ๆ ให้ท่านรับรู้ว่ามีคนมาคอยพบ

    เรานั่งคุยกันอยู่นานจนรู้สึกว่าที่แห้งผากนั้นไม่ใช่ลำคอแต่เป็นหัวข้อที่จะหยิบมาคุย ก็คือคุยกันจนหมดเรื่องที่จะคุย เลยยกประเด็นเฉพาะหน้ามาคุยเสียเลยว่าทำไมไม่ตื่นเสียที หรือนั่งเสกของอยู่ หรือ ฯลฯ ครั้นจะเคาะประตูเรียกผมก็กลัวบาปสาหัสถ้าท่านกำลังภาวนา แต่ถ้าไม่เคาะเรียกสักทีพวกผมนั่นแหละที่จะสาหัสเพราะเดินทางมาไกลแถมคอยอีกเป็นชั่วโมง ๆ แต่ไม่ได้พบ

    ผมเลยตัดสินใจลุกไปเคาะห้องท่านอย่างแรง(ในความรู้สึกผม)แต่น้องบอกว่าค่อยมาก ๆ ผมเคาะแล้ววิ่งมานั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เผื่อท่านออกมาจะได้ไม่รู้ว่าผมเคาะ รอ....รอ....รอ....ก็ไม่ออกมา

    เลยลุกไปเคาะอีก รอ...รอ...แล้วก็ลุกไปเคาะอีก แล้วก็...รอ...รอ...พอผมเคาะได้ตะติยัมปิคือสามครั้งก็บอกน้องว่า เออ ขนาดนี้ท่านยังไม่ออกมาแสดงว่าเอ็งดวงซวยจริง ๆ จะมาทำบุญยังไม่ได้ทำ เอางี้ทิ้งของไว้ตรงนี้แหละ เขียนจดหมายกราบเรียนท่านไว้ว่าต่อพาน้องมาทำบุญ เดี๋ยวท่านก็ทราบเอง

    น้องชายผมทำหน้าเซ็งเป็ดทั้งที่จริง ๆ มันเซ็งผม แต่ก็ต้องยอมตามเพราะผมเป็นผู้นำ(เผด็จการ) เมื่อนำปัจจัยลงซองแล้วเราก็ทำท่าจะกราบลงที่หน้าประตูห้องท่านเพื่อลา ฉับพลันทันทีทุกคนก็ได้ยินเสียงท่านไอค่อนข้างดัง ผมนึกตกใจว่าท่านไม่สบายขนาดนี้จะต้อนรับเราได้หรือ เพราะผมเองก็ทราบข่าวมาก่อนแล้วว่าท่านเพิ่งออกจากโรงพยาบาล

    เมื่อท่านไอโขลกอยู่สองสามที ก็หยุดไปหน่อยหนึ่งแล้วกระแอมฮึ่ม ๆ ฮั่ม ๆ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่คนคุ้นเคยรู้ดีว่าท่านไม่ได้หลับ แต่คงทำธุระส่วนองค์อยู่ การรอคอยของผมซึ่งมืดมิดเหมือนหลอดไฟหน้ากุฏิก็เจิดจ้ามีหวังขึ้นทันที

    เราสามคนรีบลงนั่งพับเพียบปั้นจิ้มปั้นเจ๋อทำหน้าไร้เดียงสาให้มากที่สุด เพื่อเวลาขอพระเครื่องจากท่าน ท่านจะได้มองว่าเรายังเด็ก ยังเล็กนัก น่าให้ของไปคุ้มตัว สามคนมองหน้ากันอย่างดีใจ

    แล้วก็ รอ.....รอ......รอ........

    อ้าว สงสัยตื่นมาไอ ไอแล้วคงนอนต่อ รูปการณ์แบบนี้ไม่ไหวแล้ว เคาะอีกคราวนี้นรกกินหัวแน่ กลับดีกว่า ผมสรุปแบบรวบรัด(อย่างเผด็จการ)อีกครั้ง แล้วก็วางซองปัจจัยลุกขึ้นเดินกลับ

    ฉับพลันทันทีก็มีรถกระบะแวนรุ่นเก่าพอ ๆ กับโรงครัววัดคันหนึ่งคลานต้วมเตี้ยมเข้ามาจอดที่หน้ากุฏิ ใกล้บันไดเสียจนผมคิดว่าทำไมไม่ขับขึ้นมาบนนี้เสียเลยล่ะ สงสัยคนมาด้วยคงแก่มากจนเดินไม่ไหว แล้วคนแก่คนนั้นก็เปิดประตูหน้าก้าวลงมา.....


    หลวงพ่อจ้อย พุทธสโร


    ครับ มองยังไงก็หลวงพ่อจ้อย พุทธสโร ที่ผมออกนามฉายาท่านด้วย เพราะกลัวตัวเองและคนอื่นจะคิดว่าเป็นหลวงพ่อจ้อย วัดศรีอุทุมพร !!

    ผมนั้นแทบไม่เชื่อสายตา น้องชายผมเมื่อมองเห็นถนัดว่าเป็นท่าน ก็ร้องออกมาเสียงดังอย่างลืมตัวว่า "เฮ้ย.." หันควั่บมามองหน้าผมทำตาโตเท่าที่ลูกคนจีนตาตี่จะทำได้ แล้วร้องอีกครั้งเหมือนงิ้วออกโรง "เฮ้ย...!! อะไรวะ"

    ดี มันไม่บอก "ว๊าก..เพ่ย..."

    ผมอยากร้องเหมือนกัน แต่มันร้องไม่ออก จึงรีบกุลีกุจอถลาลงบันไดไปต้อนรับท่าน รีบรับย่ามจากมือท่านคล้ายคนมีน้ำใจ ซึ่งแท้แล้วเป็นอุบายของผมที่พยายามแต๊ะอั๋งท่านด้วยการเบียดเข้าไปกระทบตัวท่าน กระทบแขนท่าน จับมือท่าน จับแขนท่าน ลูบ ๆ คลำ ๆ จนท่านมองหน้าแล้วบ่นว่า "อ้าว ! มาอีกแล้ว" เพราะเมื่อวานก็เพิ่งรับส่งกัน

    ผมจับเนื้อจับตัวท่านจนแน่ใจว่านี่คือหลวงพ่อจ้อย "องค์เป็น ๆ"

    คุณน้าคนที่มาส่งบอกว่า "ผมเป็นคนมารับหลวงพ่อเอง ตามคำสั่งของหลวงพ่อเกลี้ยง วัดเนินสุทธาวาส คือหลวงพ่อเกลี้ยงท่านจะเททองพระ ให้นิมนต์หลวงพ่อจ้อยไปให้ได้"

    ผมถามว่า "แล้วเททองกี่โมงครับ"

    แกว่า "ประมาณสี่โมง เนี่ย พอเทเสร็จก็มาส่งหลวงพ่อจ้อยทันทีเลยเนี่ย"

    ผมมองนาฬิกา ขณะนั้นเป็นเวลาห้าโมงเย็นเศษ ๆ สรุปคือหลวงพ่อไม่อยู่วัดหลายชั่วโมงแล้ว ตั้งแต่ก่อนหน้าที่เราจะมาถึง ผมรีบวิ่งตามท่านขึ้นกุฏิแล้วจ้องดูท่านไขลูกบิดประตู ผมยิงคำถามว่าใครอยู่ในห้องหลวงพ่อหรือเปล่า ? ท่านบอกว่า "ไม่มี" ผมถามย้ำท่านก็ตอบเหมือนเดิม
    <!--แนบไฟล์:
    -->
    [​IMG]
    <!-- .jpg [ 24.49 KiB | เปิดดู 653 ครั้ง ] -->


    เมื่อแน่ชัดว่า "ไม่ใช่คน" ผมก็ถามใหม่ว่า หลวงพ่อเลี้ยงกุมารทองหรือเปล่า ? คราวนี้ท่านหัวเราะก๊ากแล้วปฏิเสธทั้งขำ ผมถามย้ำว่าไม่มีจริง ๆ เหรอ แล้วใครมาไอให้ได้ยินล่ะนั่น เล่าถวายท่านฟังท่านก็ทำเฉย ๆ ผมเลยชวนน้องถวายสังฆทานแล้วคุยกันอีกพักใหญ่จึงกราบลา

    ลา...ทั้งที่ปริศนายังคาใจ !?

    ถึงวันนี้ผมก็ยังไม่ทราบ น้องก็ยังไม่ทราบ ว่าเสียงไอปริศนานั่นเป็นของใคร ? แต่ด้วยความคุ้นเคยที่ผมมีต่อท่านมานานนับสิบปี ผมมั่นใจและทุกคนก็มั่นใจว่า "ไอ" นั้น... "กระแอม" นั้น... เป็นเสียงและลีลาของท่านแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์


    สำหรับคนที่กำลังทุกข์ใจสาหัสอย่างน้องผม ถ้าได้กราบท่าน.... ได้ทำบุญกับท่าน.... ได้ฟังธรรมจากท่าน.... เขาย่อมสบายใจหายทุกข์ขึ้นอักโข

    "ใคร" คนนั้น คงเห็นใจและรู้ซึ้งถึงทุกข์นี้ดี เมื่อพวกเราคิดลาจากแม้ว่าจะยังไม่ได้พบหลวงพ่อจ้อยดังที่หวัง "ใคร" คนนั้นจึงกรุณาเลียนเสียงกระแอมไอของหลวงพ่อได้อย่างเหมือนไม่มีต่าง จนพวกเราถูกลวงสนิทว่าท่านอยู่ในห้องแล้วนั่งคอยต่อไปอีกเพียงสิบกว่านาที "ตัวจริง" ก็มา...

    ถ้าเขาไม่ดึงเราไว้... วันนั้นเราก็จะคลาดกับหลวงพ่อในเวลาไม่ถึง 15 นาที

    ถ้าเขาไม่ดึงเราไว้... วันนั้นเราก็จะไม่ได้ถวายสังฆทานอันเป็นทานที่เลิศจนพระพุทธองค์ทรงยกย่อง

    ถ้าเขาไม่ดึงเราไว้... วันนั้นเราคงไม่ได้ฟังธรรม และได้ยิน "อนุสาสนีปาฏิหาริย์" จากปากท่านที่สอนน้องผมจนหายทุกข์ไปกว่าครึ่ง

    ถ้าเขาไม่ดึงเราไว้... วันนั้นเราคงไม่ได้ทำบุญหลายประการ


    หากบุญใดที่พึงมีพึงได้จากการบำเพ็ญของพวกผมในวันนั้น...

    ขอ "ท่านผู้นั้น" จงมีส่วนแห่งบุญทั้งหมดของพวกผมด้วย เทอญ ฯ

    _________________
    ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน

    <TABLE cellSpacing=0 width="100%"><TBODY><TR vAlign=center><TD class=gensmall align=right>



    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR class=row1><TD class=profile></TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. คุณตัวเล็ก

    คุณตัวเล็ก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2009
    โพสต์:
    4,881
    ค่าพลัง:
    +8,536
    หลวงปู่จ้อย กราบท่านได้สนิทใจค่ะ
     
  16. คุณตัวเล็ก

    คุณตัวเล็ก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2009
    โพสต์:
    4,881
    ค่าพลัง:
    +8,536
    คุณตัวเล็กก็แอบเก็บตะกรุดทองคำไว้ 2 องค์ค่ะ ฮิฮิ ของท่านดีมากๆค่ะ สวยด้วยค่ะ
     
  17. pipat_san

    pipat_san เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    8,276
    ค่าพลัง:
    +37,173
    หลวงปู่จ้อย พระดีเมืองชล พระเมตตาสูงครับ มีคนจับพลังแล้วครับ พระเข้ามาบอกในนิมิตรเลยครับ
     
  18. 15 ค่ำ

    15 ค่ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,108
    ค่าพลัง:
    +10,575
    กราบ กราบ กราบ หลวงปู่จ้อย และสวัสดีทุกท่านครับ,,,^_^,,,
     
  19. คุณตัวเล็ก

    คุณตัวเล็ก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2009
    โพสต์:
    4,881
    ค่าพลัง:
    +8,536
    ตอนนี้พระกริ่งหลวงปู่จ้อย ราคาไปไกลแล้วค่ะ ขอบอกค่ะ
     
  20. กังสะดาน

    กังสะดาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    366
    ค่าพลัง:
    +1,056
    กราบกราบกราบหลวงปู่จ้อยค่ัะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...