ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. Lazaza

    Lazaza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +5,549
    ถ้าเราไม่ยึดติดที่เวลาว่าจะต้องเกิดเมื่อไหร่แน่
    และไม่ได้ยึดติดที่รูปแบบ ว่าจะต้องเกิดเพราะเหตุนั้นเหตุนี้
    ตัวเองเชื่อว่า ยังงัยภัยพิบัติก็ต้องเกิดนะคะ
    ภัยพิบัติ หรือหายนะใหญ่หลวง ไม่ใช่ว่าโลกจะแตกสลาย
    เราใช้คำว่าโลกแตก เพื่อให้เข้าใจง่ายเท่านั้น
    เพราะหายนะที่จะเกิด ใหญ่หลวงจริงๆ
    เืดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า ทั่วทั้งโลก

    แต่ถ้าเรามองตามหลักอิทัปปัจยตา คือทุกอย่าง
    ล้วนมีเหตุมีปัจจัย ถ้าเราไม่ปิดหูปิดตาเกินไปนัก
    เราก็จะเห็น ว่าโลกมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
    เกิดจากทั้งการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติเอง
    และเป็นผลกระทบ จากภาวะโลกร้อน

    ก็ในเมื่อ เรายังดำเนินชีวิต แบบเดิมๆ ที่ส่งผลเบียดเบียน
    โลกอยู่ ดังนั้น จุดจบก็ไม่ได้เป็นอะไรที่เกินคาดเลย
    จงอยู่ด้วยความไม่ประมาทกันเถอะนะคะ
     
  2. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    ขอบพระคุณทุกท่านที่กรุณา
    จัดหาข้อมูลมาให้ศึกษากันครับ
    ขออนุโมทนาครับ
     
  3. bluejet

    bluejet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +2,181
    มีข่าวออกมาว่า การศึกษาโดยนักวิจัยจาก NASA พิสูจน์ว่าอุณหภูมิของมหาสมุทรสูงขึ้น และความร้อนทำให้ปริมาตรของน้ำขยายตัวขึ้น ทำให้มีผลกับระดับน้ำทะเลสูงขึ้นด้วย
    NASA: Earth's oceans are becoming warmer - UPI.com
     
  4. ทองอ้วน

    ทองอ้วน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    98
    ค่าพลัง:
    +135
    ถ้าให้ผมทายนะ ผมว่าเป็น ร.5 ครับ
     
  5. gentenaar

    gentenaar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +2,320
    ศูนย์ข่าวภูเก็ต - นักวิชาการเผยระดับอุณหภูมิน้ำทะเลในภูเก็ตเริ่มลด ขณะที่แนวปะการังฟอกขาวตายเพิ่ม เห็นชัดเจนในหลายพื้นที่ ล่าสุด สำรวจแนวปะการังเกาะพีพี พบฟอกขาว 100 เปอร์เซ็นต์ บางจุดตาย 20-30เปอร์เซ็นต์ ห่วงหอยมือเสือในแนวปะการังได้รับความเสียหาย

    วันนี้ (26 พ.ค.) นายนิพนธ์ พงษ์สุวรรณ นักวิชาการประมงชำนาญการพิเศษ สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน ภูเก็ต กล่าวถึงผลการสำรวจแนวปะการังในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตครั้งล่าสุด ว่า เจ้าหน้าที่และนักวิชาการสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน ภูเก็ต ได้ลงพื้นที่ทำการสำรวจแนวปะการังบริเวณเกาะพีพี จ.กระบี่ ล่าสุด เมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา พบว่า แนวปะการังในพื้นที่เกาะพีพีนั้นมีการฟอกขาวเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ในบางจุดโดยเฉพาะฝั่งตะวันออกของเกาะ ขณะที่ฝั่งตะวันตกนั้นมีการฟอกขาวในระดับหนึ่ง

    อย่างไรก็ตาม สำหรับการฟอกขาวของปะการัง พบว่า มีปะการังที่ฟอกขาวตายแล้วประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น ส่วนจุดอื่นๆนั้นในสัปดาห์นี้ยังไม่ได้สำรวจ

    ในขณะที่แนวปะการังบริเวณเกาะแอว จังหวัดภูเก็ต ซึ่งมีการฟอกขาวจำนวนมากเช่นกัน และจากการสำรวจเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า มีการฟอกขาวจำนวนมากและตายไปแล้วประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ และในช่วงนี้คาดว่าในพื้นที่ดังกล่าวอาจจะมีปะการังตายเพิ่มขึ้นแล้วด้วย

    ส่วนที่เกาะสิมิลัน จ.พังงา ซึ่งผู้ประกอบการธุรกิจดำน้ำได้แจ้งข้อมูลเข้ามาพบว่า ในพื้นที่ดังกล่าวมีการฟอกขาวของปะการัง 100 เปอร์เซ็นต์เช่นกัน แต่เปอร์เซ็นต์การตายนั้นยังอยู่ระหว่างการรวบรวม

    อย่างไรก็ตาม สำหรับการเฝ้าติดตามการเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว เจ้าหน้าที่ยังดำเนินการต่อเนื่อง ซึ่งการฟอกขาวจะไม่เกิดมากกว่านี้แล้ว เนื่องจากตอนนี้มีการฟอกขาวเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ทุกแห่ง แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือการตายเพิ่ม จากการสำรวจอุณหภูมิน้ำพบว่า ขณะนี้อุณหภูมิน้ำในทะเลเริ่มที่จะลดลงแล้ว โดยขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 31 องศา จากเดิมอยู่ที่ประมาณ 32 องศา ถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดี เพราะถ้าอุณหภูมิน้ำลดต่ำลงการตายของปะการังก็จะน้อยลงไปด้วย

    ส่วนกรณีที่หอยมือเสือ ซึ่งเป็นสัตว์ทะเลหายากและอาศัยอยู่ในแนวปะการังมีการฟอกขาวด้วยนั้น นายนิพนธ์ กล่าวว่า จากการสำรวจพบว่าหอยมือเสือจำนวนมาก ที่มีการฟอกขาวเหมือนกับปะการัง ก็น่าเป็นห่วงว่าหอยเหล่านี้จะตายได้ แต่หอยมือเสือจะมีความทนมากกว่าปะการัง ต้องอาศัยเรื่องของธรรมชาติเข้ามาช่วย เชื่อว่า แนวโน้มอุณหภูมิน่าจะลดลงในเร็วๆ นี้ เนื่องจากตอนนี้เริ่มมีคลื่นลมเข้ามาแล้ว
    สตูล - เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวในหลายพื้นที่ท่องเที่ยวของจังหวัดสตูล และมีแนวโน้มอาจได้รับความเสียหายทั้งหมด เหตุเกิดจากอุณหภูมิน้ำสูงขึ้น ด้านอุทยานฯ เผย ต้องเร่งกำจัดนำมาฆ่าทำลายบนฝั่ง เพราะหากทำลายในทะเลก็จะมีการฟื้นตัวแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น

    นายนันทพล เบ็นเด็น ประธานกลุ่ม ทำหน้าที่ดูแลอนุรักษ์ปะการังในเขตพื้นที่จังหวัดสตูล กล่าวว่า จากผลการสำรวจที่ผ่านมาพบว่าปะการัง ในเขตของจังหวัดสตูลโดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวที่ทุกคนกำลังชมปะการังอยู่ เช่น หลีเป๊ะ อาดัง-ราวี หินซ้อน เกาะยาง หลังเกาะหินงาม ขณะนี้ได้เกิดปะการังฟอกขาว ซึ่งคิดว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมก็จริง แต่ในส่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะเข้ามาดูแล หรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับปะการัง ซึ่งเป็นวิกฤตอย่างหนึ่งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้ามารับผิดชอบด้วย

    สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นเด่นชัด คือ ปะการังเขากวางจะมีลักษณะฟอกขาวเหมือนโดนสารเคมี ประเภทไฮเตอร์ ลักษณะสำหรับผู้ที่ไม่รู้เรื่องอาจมองว่า เป็นสิ่งที่สวยงาม ความเป็นจริงนั้น คือปะการังนั้นได้ตายแล้ว ส่วนดอกไม้ทะเลนั้นจะมีลักษณะพลิ้วไปตามกระแสน้ำ ส่วนใหญ่จะเป็นที่อยู่ของปลานีโม่ ปลาการ์ตูน ซึ่งผลสำรวจที่ผ่านมาพบว่า สีของดอกไม้ทะเลจะซีดลง การเจริญเติบโตหยุดชะงัก ไม่มีชีวิตชีวาเกิดขึ้นในท้องทะเล จังหวัดสตูล

    ด้าน นายปณพล ชีวะเสรีชล ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานแห่งชาติตะรุเตา กล่าวว่า ทางอุทยานแห่งชาติตะรุเตา ร่วมกับศูนย์ศึกษาและวิจัยพัฒนาอุทยานแห่งชาติทางทะเล จ.ตรัง และคณะทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภาควิชาชีววิทยา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สำรวจจุดดำน้ำบริเวณ หลังเกาะหินหาม หาดทรายขาว และเกาะหลีเป๊ะ ตลอดแนว พบว่า เกิดปะการังฟอกขาว 90 เปอร์เซ็นต์ ส่วนปะการังหินอ่อนยังคงปกติ

    ทั้งนี้ สาเหตุเกิดจากสภาวะอากาศร้อน ระยะเวลายาวนาน ทำให้อุณหภูมิน้ำสูงขึ้น หากฝนทิ้งช่วงนานติดต่อกัน 1 สัปดาห์ปะการังฟอกขาวดังกล่าวก็จะตาย และจะมีดาวหนาม ซึ่งเป็นสัตว์กินปะการัง เข้ามาแพร่ระบาด อุทยานจึงต้องเร่งกำจัดนำมาฆ่าทำลายบนฝั่ง เพราะหากทำลายในทะเลก็จะมีการฟื้นตัวแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น พร้อมกันนี้ จะมีสาหร่ายเข้ามาปกคลุมแทนที่ปะการังที่ตาย

    สำหรับพื้นที่พบปะการังฟอกขาว คือ บริเวณหลังเกาะหินงามเป็นพื้นที่ประมาณ 100X100 ม. บริเวณหาดทรายขาวตลอดแนวดำน้ำเป็นพื้นที่ประมาณ 500 ม.ส่วนเกาะหลีเป๊ะบริเวณหาดชาวเล เกาะอุเส็น เกาะกระ เป็นพื้นที่ประมาณ 500 ม.ส่วนให้ที่กระทบจนเกิดเป็นปะการังฟอกขาวจะอยู่บริเวณใกล้ฝั่งประมาณ 1.50 ม.

    สำหรับการเกิดปะการังฟอกขาวนี้ ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูนานถึง 10 ปี และบริเวณที่พบปะการังตายดังกล่าว อุทยานฯจะมีการปิดห้ามนักท่องเที่ยวเข้าดำน้ำเพื่อทำการฟื้นฟูต่อไป

    จากข่าวทั้งสองด้านบนนี้ ดูเหมือนว่าปัญหานี้ได้กระจายบริเวรไปมากขึ้นในระยะเวลาแค่เดือนเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราควรให้ความสำคัญและติดตาม ช่วยกันคนละไม้ละมือในการให้ความร่วมมือกับส่วนทางราชการที่มีงบประมาณจำกัด นอกจากนี้จากข่าวที่เราได้รับตอนนี้คงเป็นการช่วยเตือนสติในการดำเนินชีวิตเราๆได้อย่างดี เร่งทำบุญสร้างบารมีคุ้มครองตัวกันนะค่ะ

    บุญรักษาค่ะ
     
  6. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    อุบัติเหตุเรือชนน้ำมันรั่วลงช่องแคบสิงคโปร์

    [​IMG]

    เจ้าหน้าที่เร่งเก็บกู้น้ำมันที่ทะลักสู่ช่องแคบสิงคโปร์ และอุดรอยรั่ว หลังเกิดเหตุเรือบรรทุกน้ำมันชนกับเรือสินค้า จนถังน้ำมันดิบแตกเสียหาย และรั่วไหลลงสู่ทะเลหลายหมื่นบาเรลส์...

    องค์การเดินเรือสมุทรและท่าเรือสิงคโปร์ (เอ็มพีเอ) แถลงเมื่อ 25 พ.ค.ว่า เกิดเหตุเรือบรรทุกน้ำมัน “บังกา เคลานา3” จดทะเบียนในมาเลเซีย และ เรือบรรทุกสินค้าเทกอง “เอ็มวี วอลลี” จดทะเบียนในเซนต์ วินเซนต์ และ เกรนาดีนส์ ชนกันในช่องแคบสิงคโปร์ ห่างชายฝั่งตะวันออกของสิงคโปร์ 13 กม. ทำให้ถังบรรทุกน้ำมันของเรือบังกาฯ แตกเสียหาย น้ำมันดิบรั่วไหลลงทะเลราว 2,000 เมตริกตันหรือราว 14,660 บาเรลส์

    สิงคโปร์ส่งหน่วยกู้ภัยฉุกเฉินพร้อมเรือ 4 ลำเข้าไปอุดรอยรั่ว ขณะท่ีเรือทั้ง 2 ลำถูกลากไปจอดทอดสมอนอกชายฝั่งสิงคโปร์ และไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ส่วนช่องแคบสิงคโปร์ หนึ่งในเส้นทางเดินเรือท่ีสำคัญท่ีสุดของโลก และท่าเรือสิงคโปร์ ซึ่งมีเรือเข้าออกพลุกพล่านท่ีสุดแห่งหนึ่งของโลกไม่ได้รับผลกระทบ

    ไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ.2553

    สธ.เร่งระดมสมองสกัดคนตายจากไข้หวัด 2009

    [​IMG]

    ระดมผู้เชี่ยวชาญสกัดคนตายจากไข้หวัด 2009 หลังพบสาเหตุพบหมอช้าได้ยาต้านไวรัสไม่ทัน...

    เมื่อวันที่ 26 พ.ค. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการสัมมนาวิชาการระดับชาติเรื่อง “การวินิจฉัยและการดูแลรักษาผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ประจำปีและไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ” ครั้งที่ 1 ว่า ได้ระดมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลต่างๆ ในทุกสังกัดทั่วประเทศ รวมทั้งนักวิชาการที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดใหญ่ 2009 มาประชุมร่วมกัน เพื่อนำความคิดเห็นจากที่ประชุมไปสู่การกำหนดนโยบาย เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยและลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ประจำปีและไข้หวัดใหญ่ 2009

    เนื่องจากสถานการณ์ของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ในปีนี้ เปรียบเทียบกับ ปี 2552 ดูเหมือนว่าจะลดลง แต่ยังไม่น่าไว้วางใจ ในปี 2552 ที่เริ่มมีการระบาด ช่วงเดือน พ.ค.-ธ.ค. มีผู้ป่วย 30,336 ราย เสียชีวิต 196 ราย แต่ในปี 2553 ตั้งแต่มกราคม-พฤษภาคม พบผู้ป่วย 6,625 ราย เสียชีวิต 33 ราย

    รมว.สาธารณสุข กล่าวต่อว่า เมื่อติดตามสาเหตุของการเสียชีวิต ของผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 2009 ในปี 2553 ซึ่งมีจำนวน 33 ราย พบว่าแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1. กลุ่มที่ได้รับยาต้านไวรัสแล้วแต่ก็เสียชีวิตมีจำนวน 29 ราย ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยที่ได้รับยาต้านไวรัสช้าไม่ทันเกณฑ์ที่กำหนดคือ 4 วันหลังมีอาการ เนื่องจากมาพบแพทย์ช้า 8 ราย และวินิจฉัยช้าอีก 5 ราย ส่วนที่เหลืออีก 16 ราย เป็นผู้ป่วยที่ได้รับยาภายใน 4 วันหลังติดเชื้อ แต่ก็เสียชีวิตเนื่องจากมีโรคแทรกซ้อนและอยู่ในกลุ่มเสี่ยง 2. กลุ่มที่ไม่ได้รับยา สาเหตุจากมาพบแพทย์ช้า อาการหนักแล้ว จำนวน 4 ราย

    "สรุปได้ว่าสาเหตุการเสียชีวิตเบื้องต้นที่พบมาจาก 2 ส่วน คือ 1. มาจากตัวผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ช้า 2. ประสิทธิภาพในการรักษา คือ วินิจฉัยช้าและให้ยาต้านไวรัสช้า เป็นต้น เพราะฉะนั้นจึงต้องระดมความคิด เพื่อหาแนวทางในการป้องกันแก้ไขสาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดจากอะไร ถ้าปัญหาในการมาพบแพทย์ช้าไม่มี การวินิจฉัยของแพทย์ตรงแม่นยำ และการให้ยาทันเวลา ถ้ามาตรการครบถ้วน จะลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตได้ถึงประมาณร้อยละ 50" นายจุรินทร์ กล่าว

    ไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ.2553

    ฝนตก ยุงลายชุกชุม ระวังไข้เลือดออกคุกคามเด็กๆ

    [​IMG]

    ช่วงนี้ฝนตกชุกทุกพื้นที่ ทำให้ยุงลายเพาะพันธุ์ได้ง่าย ทั้งที่บ้านและโรงเรียน ผู้ปกครองระวังโรคไข้เลือดออกระบาดสู่เด็กๆ...

    "ไข้เลือดออก" เป็นโรคติดเชื้อจากไวรัสเดงกี่ (Dengue virus) ที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค โดยทั่วไปยุงลายจะออกหากินกัดคนในเวลากลางวัน ยุงลายจะเพาะพันธุ์ในน้ำใสสะอาดและนิ่ง แหล่งเพาะพันธุ์ส่วนใหญ่คือภาชนะที่มีน้ำขัง เมื่อยุงลายตัวเมียดูดเลือดจากผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสเดงกี่เข้าไป เชื้อไวรัสเดงกี่ในยุงจะเพิ่มจำนวน และกระจายเชื้อเข้าไปสู่ต่อมน้ำลายของยุง เตรียมพร้อมที่จะปล่อยเชื้อให้กับคนที่ถูกกัดครั้งต่อไปได้ โดยเชื้อจะอยู่ตลอดอายุของยุง จะพบยุงลายชุกชุมมากในฤดูฝน การควบคุมยุงลายทำได้โดยทำลายแหล่งเพาะพันธุ์อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และกำจัดลูกน้ำยุงลายโดยใส่ทรายอะเบต (abate) ลงในภาชนะที่มีน้ำขัง

    การติดเชื้อไวรัสเดงกี่จากยุงลายจะมีอาการอย่างไร ?

    ผู้ป่วยส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 90 ที่ได้รับเชื้อไวรัสเดงกี่ จะไม่แสดงอาการ ส่วนผู้ป่วยที่แสดงอาการจะแบ่งอาการออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

    ไข้ไวรัส ผู้ป่วยจะมีเพียงไข้ 2-3 วัน และอาจมีผื่นตามตัว ซึ่งจะมีอาการคล้ายกับการติดเชื้อไวรัสอื่นๆ

    ไข้เดงกี่ ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว มักมีผื่นตามตัว และพบจุดเลือดออกจากการทดสอบ

    tourniquet test ถ้าเจาะเลือดมักจะมีเม็ดเลือดขาวต่ำ บางรายอาจมีเกล็ดเลือดต่ำร่วมด้วย

    ไข้เลือดออกเดงกี่ ผู้ป่วยมีไข้สูง 2-7 วัน มีอาการเลือดออก ส่วนใหญ่พบที่ผิวหนัง ตับโต และพบจุดเลือดออกจากการทดสอบ tourniquet test ลักษณะเฉพาะของโรคคือ มีการรั่วของพลาสมาหรือน้ำเหลืองออกจากเส้นเลือด ทำให้มีโอกาสเกิดภาวะช็อกได้ โดยส่วนใหญ่จะมีการรั่วของพลาสมาประมาณ 24-48 ชั่วโมง หลังจากระดับเกล็ดเลือดลดต่ำลง

    ไข้เลือดออกมีอาการอย่างไร ?


    การดำเนินโรค แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้

    ระยะไข้สูง ผู้ป่วยจะมีไข้สูง 39-41 องศาเซลเซียส ส่วนใหญ่ติดต่อกันเป็นเวลา 2-7 วัน มักมีอาการหน้าแดง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร อาเจียน ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา ตับโต กดเจ็บ บางรายอาจมีจุดเลือดออกเล็กๆ กระจายที่ผิวหนัง มักไม่มีอาการหวัดชัดเจน

    ระยะวิกฤติ เป็นระยะที่ไข้มักลดลงอย่างรวดเร็วและมีการรั่วของพลาสมา ถ้าหากมีการรั่วอย่างมาก จะเกิดภาวะช็อกได้ ผู้ป่วยจะมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเร็วและเบา มีความดันโลหิตต่ำ และอาจมีอาการเลือดออกที่อวัยวะอื่นๆ ในรายที่รุนแรงอาจอาเจียน และถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ซึ่งมักจะเป็นสีดำ

    ระยะฟื้นตัว เป็นระยะที่พลาสมากลับเข้าสู่กระแสโลหิต ผู้ป่วยจะมีอาการทั่วไปดีขึ้น มีความอยากอาหาร ปัสสาวะเพิ่มขึ้น มีผื่นเป็นวงกลมสีขาวกระจายอยู่บนปื้นสีแดง และอาจมีอาการคันร่วมด้วย

    ทราบได้อย่างไรว่าเป็นไข้เลือดออก ?

    วินิจฉัยจากลักษณะอาการทางคลินิก ร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการเบื้องต้น ดังนี้

    การตรวจนับเม็ดเลือด ในตอนต้นของระยะไข้สูง จำนวนเม็ดเลือดขาวอาจปกติหรือสูงเล็กน้อย ในตอนปลายของระยะไข้สูงจำนวนเม็ดเลือดขาวมักต่ำลง ต่อมาจะพบว่าจำนวนเกล็ดเลือดต่ำลง

    การตรวจภาพรังสีปอด อาจมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด

    การตรวจอื่นๆ เช่น การตรวจภาวะการแข็งตัวของเลือด การตรวจการทำงานของตับ การตรวจทางภูมิคุ้มกันจำเพาะต่อเชื้อ การเพาะเชื้อไวรัส เป็นต้น

    การรักษาโรคไข้เลือดออก

    ผู้ป่วยที่มีอาการของโรคไข้เลือดออก ควรได้รับการตรวจติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อตรวจปริมาณเกล็ดเลือด และระดับความเข้มข้นของเลือด

    ในช่วงระยะไข้สูง ควรเช็ดตัวเพื่อลดไข้ ระวังอาจมีการชักได้โดยเฉพาะในเด็กเล็ก หรือเด็กที่มีประวัติชักมาก่อน การรับประทานยาลดไข้ควรให้ด้วยความระมัดระวัง และให้เป็นครั้งคราวเวลาที่มีไข้สูงเท่านั้น กรณีจำเป็นต้องให้ยาลดไข้ควรใช้ยาพวกพาราเซตามอล ไม่ควรใช้ยาลดไข้จำพวกแอสไพริน เนื่องจากเสี่ยงต่อภาวะเลือดออก

    ในกรณีที่เริ่มเข้าสู่ระยะวิกฤติ หรือระยะที่มีการรั่วของพลาสมา แพทย์จะพิจารณารับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล

    ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการเบื่ออาหารมาก ไม่รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำเลย ถ่ายปัสสาวะน้อยลง อาเจียนมาก ปวดท้องอย่างรุนแรง ซึม มีอาการแย่ลงเมื่อมีไข้ กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น อาจเป็นอาการนำของภาวะช็อก ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที

    คำแนะนำ

    ถ้าผู้ป่วยมีไข้สูงติดต่อกันเกิน 3 วัน ควรพบแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้อง ระวังไม่ให้ยุงกัดในเวลากลางวัน และกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย

    โรงพยาบาลเวชธานี
    www.vejthani.com


    ที่มา http://www.thairath.co.th
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    “เกาหลีเหนือ” ซุ่มเงียบผลิตอาวุธชีวภาพ ด้วยไวรัสและเชื้อโรค

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    กระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ เปิดเผยว่าเกาหลีเหนือมีไวรัสและเชื้อโรค 13 ชนิด ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นอาวุธชีวภาพ นอกจากนี้ยังมีอาวุธเคมีอีกราว 2,500-5,000 ตัน กระทรวงกลาโหมเสนอรายงานต่อรัฐสภา

    ระบุว่าคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือเป็นประเทศหนึ่งที่มีคลังอาวุธเคมีและชีวภาพ ใหญ่ที่สุดในโลก รายชื่อของเชื้อโรคที่สามารถนำมาทำเป็นอาวุธชีวภาพ เช่น อหิวาต์ ไข้เหลือง ไข้ทรพิษ ไข้รากสาดใหญ่ ไข้ไทฟอยด์และท้องร่วง ทั้งนี้คำยืนยันว่าเกาหลีเหนือมีอาวุธเคมีและชีวภาพนอกเหนือจากอาวุธ นิวเคลียร์และอาวุธที่ใช้ทำสงครามตามรูปแบบไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่

    แต่รายงานที่เปิดเผยในวันนี้เป็นการให้รายละเอียดเพิ่มเติมของคลังอาวุธ ชีวภาพ ทางด้านกลุ่มศึกษาวิกฤติระหว่างประเทศในกรุงบรัสเซลส์ กล่าวไว้ในรายงานเดือน มิ.ย.ว่า ความสามารถทางด้านนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคามร้ายแรงที่สุด

    แต่เกาหลีเหนือก็มีคลังอาวุธเคมีขนาดใหญ่และสงสัยว่ามีโครงการผลิตอาวุธ ชีวภาพ ซึ่งอาวุธเคมีเหล่านี้สามารถนำสู่เป้าหมายในเกาหลีใต้ได้ด้วยกระสุนปืนใหญ่ หรือจรวด คลังอาวุธเคมีของเกาหลีเหนือ ประกอบด้วยแก๊สมัสตาร์ด ฟอสจีน ซาริน ทาบุน แก๊สทำลายเลือดและระบบประสาทถาวร รวมน้ำหนัก 2,500-5,000 ตัน สามารถยิงไปสู่เป้าหมายด้วยปืนใหญ่วิถีไกล จรวด เครื่องบินและเรือรบ.

    วันจันทร์ 5 ตุลาคม พ.ศ.2552
    ที่มา http://www.talkystory.com/site/article.php?id=8470
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    จากหนังสือพุทธธรรม หน้า ๑๗๕
    จ) การพึ่งตนเอง เช่น :-

    การเพียรพยายามเป็นหน้าที่ที่ท่านทั้งหลายต้องทำเอง ตถาคตเป็นแต่ผู้บอกทาง
    ตนนั่นแล เป็นที่พึ่งของตน จริงแท้แล้ว ใครอื่นจะเป็นที่พึ่งได้ ด้วยตนที่ฝึกไว้ดีแล้วนั่นแหละ
    บุคคลจะได้ที่พึ่งซึ่งหาได้ยากความบริสุทธิ์ ไม่บริสุทธิ์ เป็นของเฉพาะตน คนอื่นทำคนอื่นให้บริสุทธิ์ไม่ได้

    ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงมีตนเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย
    จงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย


    ฉ) ข้อเตือนใจเพื่ออนาคต


    หญิง ชาย คฤหัสถ์ บรรพชิต ควรพิจารณาเนืองๆว่า
    เรามีกรรมเป็นของตนเป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
    มีกรรมเป็นที่อาศัย เราทำกรรมใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจักเป็นทายาทของกรรมนั้น

    ถ้าท่านกลัวทุกข์ ก็อย่าทำกรรมชั่วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ถ้าท่านจักทำ หรือทำอยู่
    ซึ่งกรรมชั่ว ถึงแม้จะเหาะหนีไป ก็จะไม่พ้นจากความทุกข์ไปได้เลย

    ธัญชาติ ทรัพย์สิน เงินทอง หรือสิ่งของที่หวงแหนอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีอยู่
    ทาส กรรมกร คนงาน คนอาศัย ล้วนพาเอาไปไม่ได้ทั้งสิ้น จะต้องถูกละทิ้งไว้ทั้งหมด

    แต่บุคคลทำกรรมใด ด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจ กรรมนั้นแหละ
    เป็นของของเขา และเขาจะพาเอากรรมนั้นไป อนึ่ง กรรมนั้นย่อมติดตาม
    เขาไป เหมือนเงาติดตามตน ฉะนั้น

    ฉะนั้น บุคคลควรทำความดี สั่งสมสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ภายหน้า
    ความดีทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ในปรโลก
     
  9. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    เพราะอะไรทำไมเด็กรุ่นใหม่ถึงไม่รักในหลวง?

    [​IMG]

    ถ้าอยากรู้ว่าทำไมเด็กรุ่นใ
    <wbr>หม่ ไม่รักในหลวง โปรดอ่านให้จบ
    แล้วจะทำให้คุณเข้าใจ และรักในหลวงมากยิ่งขึ้น...



    ๑. ขอแสดงความไม่เห็นด้วยอย่าง
    <wbr>ยิ่ง กรณีคณะอักษรศาสตร์การปฏิเส<wbr>ธการ เข้าศึกษาต่อของ "นางสาวณัฐกานต์ สกุลดาราชาติ"

    ตอนแรกว่าจะเขียนแถลงการณ์ป
    <wbr>ระ ณามสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ลองคิดอีกทีคงต้องพูดด้ว<wbr>ยศัพท์วิชาการเยอะ ๆ ยืด ๆ คงไม่เข้าท่าเท่าไหร่ เอาเป็นว่าขอแสดงความไม่เห็<wbr>นด้วย อย่างยิ่งในกรณีที่เกิ<wbr>ดขึ้น

    สืบเนื่องจากที่นางสาวณัฐกา
    <wbr>นต์ สกุลดาราชาติ หรือใช้ชื่อในอินเตอร์เน็ตว<wbr>่า "ก้านธูป" ได้เขียนข้อความจาบจ้วงและแ<wbr>สดงพฤติกรรมหมิ่นสถาบันสูงส<wbr>ุดของชาติในเว็บ Facebook อย่างรุนแรงและต่อเนื่อง จนเป็นที่โจษจันกันในอินเตอ<wbr>ร์เน็ต เมื่อเธอสอบติดคณะอักษรศาสต<wbr>ร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร จึงมีผู้หวังดีแจ้งเรื่องนี<wbr>้ไป ให้ทางมหาวิทยาลัย ตลอดจนรวบรวมหลักฐานส่งไปปร<wbr>ะกอบการพิจารณา ปรากฏว่าเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ทางคณะอักษรได้มีการประกาศอ<wbr>อก มาว่า "ขณะนี้คณะกรรมการหลักสูตรเ<wbr>อเชีย ศึกษามีมติไม่รับ นางสาวณัฐกานต์ สกุลดาราชาติ เข้าศึกษาต่อ"

    ผมคิดว่านี่คือความโหดร้ายอ
    <wbr>ย่าง หนึ่ง ที่สถาบันการศึกษาของรัฐปฏิ<wbr>เส ธโอกาสทางการศึกษาของคน ๆ หนึ่ง เพียงเพราะเขามีความคิดต่าง<wbr>ทาง การเมือง นี่คือการใช้ "บทลงโทษทางสังคม" (Social Sanction) อันเป็นอำนาจนอกระบบมาใช้ทำ<wbr>ลาย อำนาจในระบบ ซึ่งแน่นอนว่าในระยะยาวจะส่<wbr>งผล กระทบต่อเสถียรภาพของอำนาจใ<wbr>น ระบบ และเสถียรภาพของสิ่งที่ถูกใ<wbr>ช้เป็น ข้ออ้างของบทลงโทษทางสังคม นี้ นั่นก็คือภาวะการดำรงอยู่ขอ<wbr>งสถาบัน พระมหากษัตริย์

    พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ ต่อไปจะเกิดการทำลายสิทธิขั
    <wbr>้นพื้นฐานของบุคคลที่คิดต่า<wbr>ง ด้วยข้อหา "ไม่รักในหลวง" และต่อไปสิทธิขั้นพื้นฐานเอ<wbr>งจะ ไม่สามารถดำรงตัวเองอยู่ได้<wbr> จนถึงกับล่มสลายเพราะเกิดคว<wbr>าม ไม่เสมอภาคขึ้น และภาวะการดำรงอยู่ของสถาบั<wbr>นจะถูกนำมาเป็น "แพะรับบาป" ในการล่มสลายของระบบสิทธิขั<wbr>้นพื้น ฐาน ผลก็คือ รอยร้าวระหว่างคนที่ "รักในหลวง" กับ "ไม่รักในหลวง" จะแยกออกห่างจากกันยิ่งขึ้น<wbr> และสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้การ<wbr>เคลื่อน ไหวเพื่อ "โค่นล้มสถาบัน" มีแนวร่วมมากขึ้น รุนแรงยิ่งขึ้น และที่สำคัญ มีความชอบธรรมมากยิ่งขึ้น

    มีคำถามตามมาว่า ถ้าเช่นนั้นเราควรรับน้องคน
    <wbr>นี้เข้าไปศึกษาต่อในมหาวิทย<wbr>าลัยของรัฐเพื่อให้เป็นภัยต<wbr>่อความมั่นคงของสถาบันในวัน<wbr>ข้างหน้าหรือ

    ขออนุญาตตอบว่า สิทธิขั้นพื้นฐานเป็นคนละเร
    <wbr>ื่องกับเรื่องความมั่นคง ในกรณีนี้ สิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กไม่<wbr>ควร ถูกปฏิเสธจากรัฐที่เธออาศัย<wbr> อยู่ เช่นว่า ถ้าเธอป่วย ในฐานะของพลเมืองรัฐ เธอมีสิทธิเท่าเทียมกับคนอื<wbr>่นที่จะเข้ารับการรักษาในโร<wbr>งพยาบาลของรัฐ โดยจะไม่ถูก Social Sanction จากโรงพยาบาลของรัฐ เช่นเดียวกับการได้รับสิทธิ<wbr>ขั้นพื้นฐานทางการศึกษา ในส่วนของพฤติกรรมที่บ่อนทำ<wbr>ลาย ความมั่นคงของรัฐก็ควรใช้อำ<wbr>นา จในระบบที่มีอยู่มาจัดการ นั่นคือกฎหมายหมิ่นพระบรมเด<wbr>ชานุ ภาพ ซึ่งเป็นกฎหมายที่เกิดขึ้นเ<wbr>พื่อ รักษาความมั่นคงของสถาบันสู<wbr>ง สุด

    ส่วน Social Sanction นั้นต้องแยกออกจากการใช้ในร
    <wbr>ะบบ โดยสามารถใช้ได้นอกระบบเท่า<wbr>นั้น จะเป็นการถูกแบนในคณะ หรือเพื่อนไม่คบ หรือประณามไปทั่วคณะให้รู้จ<wbr>ักกัน ทั่วไป จนแม่ค้าไม่ขายข้าวให้ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่ควรนำมายุ่งเกี่ยวกับ<wbr>อำนาจ ในระบบ

    ต้องอธิบายต่อว่าเรื่องนี้เ
    <wbr>ป็น คนละกรณีกับที่พนักงานเอกชน<wbr> ของบริษัท DHL ถูกไล่ออกเพราะ "ไม่รักในหลวง" เพราะนั่นเป็นกรณีพิพาทระหว<wbr>่างบุคคลต่อบุคคล คือนิติบุคคล (บริษัท) กับบุคคล คือพนักงานคนนั้น ที่มีความคิดเห็นแตกต่างทาง<wbr>การเมือง และนิติบุคคลไม่ประสงค์จ้าง<wbr>เธอต่อไป อาจจะด้วยกลัวเสียภาพพจน์บร<wbr>ิษัท หรือไม่พอใจอย่างไรก็แล้วแต<wbr>่ แต่ก็คือการใช้อำนาจในระบบข<wbr>องบุคคลต่อบุคคล

    แต่ในกรณีนี้เป็นข้อพิพาทระ
    <wbr>หว่าง รัฐกับบุคคล คือรัฐต้องให้สิทธิการศึกษา<wbr>แก่พลเมือง และมหาวิทยาลัยศิลปากรก็เป็<wbr>นมหาวิทยาลัยของรัฐ สิทธิขั้นพื้นฐานนี้จึงจะถู<wbr>กปฏิเสธ เพราะความคิดต่างทางการ เมืองไม่ได้ เพราะจะส่งผลต่อสภาวะของระบ<wbr>บทั้ง หมดดังที่กล่าวไว้ข้าง<wbr>ต้น

    ๒. ว่าด้วย "เด็กรุ่นใหม่ไม่รักในหลวง"


    จบเรื่องของการประณามการปฏิ
    <wbr>เส ธการเข้าศึกษาต่อไว้ข้างบน มาพูดถึงข้อสังเกตของผมอย่า<wbr>งหนึ่ง ในปัจจุบันคือ "เด็กรุ่นใหม่ไม่รักในหลวง"<wbr> ซึ่งดูเหมือนกำลังระบาดมากข<wbr>ึ้น เรื่อย ๆ

    โดยส่วนตัว ผมไม่รังเกียจคนที่จะบอกว่า
    <wbr> "ไม่รักในหลวง" หากคน ๆ นั้นมีเหตุผล มีข้อเท็จจริงที่ชี้แจงได้ม<wbr>ากพอ

    อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เล
    <wbr>ย ผมไม่อาย (แต่กลัวกฎหมายหมิ่นฯ 55) ที่จะสารภาพว่า ศีรษะผมก็เคยเอียงด๊อกแด๊กไ<wbr>ปทาง ซ้าย ๆ มาก่อน

    บ้าถึงขนาดไปสมัครเรียนรัฐศ
    <wbr>าสตร์ ที่รามฯ แล้วเลือกลงหลายวิชาที่ "ซ้าย" ไม่เชื่อก็ลองมาดูที่ทรานสค<wbr>ริปต์ได้ (ช่วงปีแรก ๆ อะนะ ปีหลังลงแบบว่าพอให้จบ เบื่อแระ) ตลอดจนอ่านหนังสือซ้าย ๆ ทางรัฐศาสตร์ ฟ้าเดียวกงเดียวกัน ฉบับต้องห้ามและไม่ต้องห้าม<wbr> เว็บประชาไท ไปจนหนังสือต้องห้ามอย่าง "กงจักรปีศาจ" "The King never smile" ฯลฯ

    แต่ผมก็คิดว่า จะดีหรือหากเราจะเกลียดใครค
    <wbr>นหนึ่ง โดยที่ไม่เคยรู้จักเขาจริง ๆ ผมก็เลยไปศึกษา "ตัวตน" ของพระองค์ผ่านพระราชกรณียก<wbr>ิจ พระราชดำรัสต่าง ๆ มาชั่ง ตวง วัด กับสิ่งที่ผมเคยรู้มา

    จนวันนี้ผมอายุ ๒๓ ปี (ต้องระบุเลขอายุเพราะว่า วันข้างหน้าเมื่อผมอายุ ๓๐ ๔๐ ๕๐ ความคิดอาจจะเปลี่ยนแปลงไปก
    <wbr>็เป็น ได้) การศึกษาทั้งหมดจนถึง ณ ขณะนี้ประมวลมาได้ว่า ผมภูมิใจที่เกิดมาในรัชสมัย<wbr>ของ พระองค์ ผู้ที่นับได้ว่าเป็น "มหาบุรุษ" คนหนึ่งของโลก

    ขนาดนั้นเลยเหรอ??


    เอ้า ผมลองยกตัวอย่างง่าย ๆ สักเรื่องก็ได้ มีบทความสัมภาษณ์ที่ไปถามชา
    <wbr>วบ้านสหกรณ์โคนมหนองโพ จังหวัดราชบุรี อันเป็นโครงการในพระบรมราชู<wbr>ปถัมภ์ มีคำตอบหนึ่งที่แสดงถึงพระป<wbr>รี ชาญาณของพระองค์เป็นอย่างยิ<wbr>่ง ตอนชาวบ้านกราบทูลว่า อยากจะสั่งซื้อเครื่องจักรเ<wbr>พิ่ม เพื่อมาทำงานแทนคน จะได้ผลิตนมได้เร็วขึ้น ได้กำไรมากขึ้น พระองค์ทรงตอบว่า อย่าเลย เธอเอาเครื่องจักรมาทำงานแท<wbr>นคน ได้ผลผลิตเร็วขึ้น ได้กำไรมากขึ้นก็จริง แต่คนจะไม่มีงานทำ

    นี่มันความคิดของมหาบุรุษชั
    <wbr>ด ๆ

    หลายคนอาจจะยังงงอยู่ว่าเป็
    <wbr>นม หาบุรุษอย่างไร ต้องมองลึก ๆ แล้วจะเห็นพระปรีชาญาณของพร<wbr>ะองค์ครับ คำว่า "คนจะไม่มีงานทำ" ของพระองค์ไม่ใช่แค่ คนตกงาน แต่หมายถึง คนจะไม่มีส่วนร่วมในสหกรณ์แ<wbr>ห่งนี้ครับ

    อย่าลืมว่า สหกรณ์ คือ สห+กรณ หมายถึงการประกอบกิจร่วมกัน
    <wbr> ดังนั้นการเอาเครื่องจักรมา<wbr>จึงเป็นการทำลายหลักการพื้น<wbr>ฐานของสหกรณ์ เพราะกิจที่ "คน" จะทำร่วมกันถูกเครื่องจักรแ<wbr>ย่ง ไปทำเสียแล้ว ถามต่อว่า งั้นก็เอาคนมาคุมเครื่องจัก<wbr>รสิ จะต้องคุมสักกี่คนกัน สุดท้ายก็จะมีคนคุมอยู่ไม่ก<wbr>ี่คน มีคนจัดการอยู่ไม่กี่คน จากนั้นการขยายตัวของสหกรณ์<wbr>จะไปไปในทางสั่งซื้อเครื่อง<wbr>จักรการผลิตเพิ่ม ไม่ใช่ขยายออกไปโดยการเพิ่ม<wbr>คน เข้ามา สุดท้ายสหกรณ์นี้ก็จะล่มสลา<wbr>ยล ง กลายสภาพไปเป็นบริษัทโคนมหน<wbr>องโพ

    หลายคนอาจจะบอก ก็ดีแล้วนี่ เป็นบริษัทกำไรเยอะดี ค่อยจ้างคนมาเยอะ ๆ แล้วคนก็จะมีงานทำเยอะ ๆ กันเอง ต้องมองว่าการล่มสลายของสหก
    <wbr>รณ์ไม่ใช่แค่เรื่องทางกายภา<wbr>พเท่านั้นนะครับ แต่ถือเป็นการล่มสลายทางสัง<wbr>คม ด้วย เพราะสหกรณ์เกิดขึ้นมาจากกา<wbr>รร่วม กันของคนหลาย ๆ คน มี "ข้อผูกพันทางใจ" เป็นสัญญาช่วยเหลือกัน ไม่ใช่ "สัญญาจ้าง" แบบบริษัท การมีข้อผูกพันทางใจทำให้คน<wbr>เต็ม ใจเข้ามาช่วยเหลือกันด้<wbr>วยความ โอบอ้อมอารี อันเป็นวิถีดั้งเดิมของสังค<wbr>มไทย แต่ถ้าเมื่อใดสหกรณ์ล่มสลาย<wbr>ลง กลายเป็นบริษัท เมื่อนั้นระบบสัญญาจ้างที่ใ<wbr>ห้ความสำคัญกับ "กฎระเบียบ" และ "เงินตรา" ก็จะเข้ามาแทนที่ ซึ่งสองอย่างนี้จะทำลายความ<wbr>โอบอ้อมอารี ความไว้เนื้อเชื่อใจลง และเมื่อมี "เงิน" เข้ามามาก ๆ จากการได้กำไรมาก คนจะเห็นแก่เงินและประโยชน์<wbr>ส่วน ตัวมากขึ้น นอกจากนั้นยังเกิดระบบสายบั<wbr>งคับบัญชาแบบ "เจ้านาย-ลูกน้อง" ไม่ใช่ "พี่-น้อง" เหมือนเดิม และทำลายระบบความสัมพันธ์ขอ<wbr>งสังคมเดิมลงจนหมด เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว<wbr>ใน สังคมเมือง สุดท้ายก็จะมีคนไม่กี่ตระกู<wbr>ลที่รวย คือบรรดาเจ้าของบริษัท ส่วนคนอื่นก็จะถูกลดชั้นมาเ<wbr>ป็นพ นักงาน และถูกกดขี่ เกิดความแตกแยกทางชนชั้นมาก<wbr>ขึ้น

    การดำรงอยู่ของสหกรณ์จึงเป็
    <wbr>นสิ่ง สำคัญ เพราะเป็นการดำรงอยู่ของระบ<wbr>บความ สัมพันธ์ของสังคมเดิม (ที่ควรจะดำรงอยู่ต่อไป) การขยายการผลิตของสหกรณ์จึง<wbr>ไม่ น่าจะใช้วิธีการเพิ่มเคร<wbr>ื่อง จักร เพราะจะเป็นตัวเร่งให้สหกรณ<wbr>์ล่ม สลายเร็วขึ้น แต่ควรเป็นไปด้วยการขยายจำน<wbr>วน คน แม้ว่าที่สุดแล้วอาจจะได้รา<wbr>ยได้ น้อยกว่าใช้เครื่องจักร แต่ลักษณะทางกายภาพและลักษณ<wbr>ะทาง สังคมของสหกรณ์จะยังดำรงอ ยู่ คือเป็น "พี่-น้อง" ที่มาช่วยกันด้วย "น้ำใจ" และเมื่อสหกรณ์ยิ่งเติบโตขึ<wbr>้น ขยายวงกว้างกันมากขึ้น คนที่มาร่วมกันก็จะยิ่งรักก<wbr>ันมาก ขึ้นทั้งจำนวนและความผ<wbr>ูกพัน ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง<wbr>กว่า กำไรที่เป็นเงินเสียอีก

    นี่แหละคือพระปรีชาญาณของพร
    <wbr>ะองค์ ที่ทรงมีสายพระเนตรที่กว้าง<wbr> ขวาง เอ้อ ใช้ราชาศัพท์มาก คนอ่านอาจจะเหนื่อย เอาเป็นว่าพระองค์"ฉลาด"และ<wbr>"มองการณ์ไกล"เอามากๆ แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเข<wbr>้าใจ สภาพพื้นฐานของสังคมไทยเป็น<wbr> อย่างดี ตลอดจนเห็นตัวอย่างของสังคม<wbr>เมือง ที่ถูก "ระบบบริษัท" และ "ทุนนิยม" มาทำลายลักษณะความโอบอ้อมอา<wbr>รี ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของค<wbr>นไทย ไปสิ้น จึงทำให้เห็นต่อเนื่องไปอีก<wbr>ว่า พระองค์ไม่ได้เสด็จต่างจังห<wbr>วัด แบบโก้ ๆ เก๋ ๆ หรือที่นักวิชาการซ้ายหลายค<wbr>นพ ยายามชี้ว่าพระองค์ "สร้างภาพ" แต่พระองค์ทรงเสด็จแบบจริง ๆ จัง ๆ และได้เรียนรู้ เก็บข้อมูลลักษณะสังคม ยิ่งกว่า NGO หลายคน จึงจะเห็นว่า "ระบบสหกรณ์" และ "เศรษฐกิจพอเพียง" ไม่ได้เกิดขึ้นมาเป็นนโยบาย<wbr>โก้ ๆ แต่คือความพยายามในการรักษา<wbr> "ลักษณะของสังคมไทยที่ดี" เอาไว้ให้ได้มากที่สุดของพร<wbr>ะองค์

    นี่แหละครับคำตอบว่า "อย่าเลย เธอเอาเครื่องจักรมาทำงานแท
    <wbr>นคน ได้ผลผลิตเร็วขึ้น ได้กำไรมากขึ้นก็จริง แต่คนจะไม่มีงานทำ" จึงเป็นคำตอบของมหาบุรุษ

    นี่แค่ตัวอย่างเดียว ต้องใช้พื้นที่อธิบายขนาดนี
    <wbr>้ อันที่จริงผมมีอีกหลายตัวอย<wbr>่างจากการศึกษามา ว่าจะเขียนรวมเล่มเป็นหนังส<wbr>ือแต่ ว่าช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลา (ข้ออ้าง) เอาเป็นว่าอย่าลืมเตือนผมตอ<wbr>นผม ว่าง ๆ ก็แล้วกันนะ

    นั่นจึงเป็นคำตอบว่า ทำไมคนหัวเอียงอย่างผมถึงกล
    <wbr>ับมาทำหัวตรง ถวายความรักความนับถือให้พร<wbr>ะองค์จนหลายคนเข้าใจผิดว่าผ<wbr>มเป็น Royalist หัวรุนแรง ไม่หรอกครับ ผมไม่ได้ถวายความรักความนับ<wbr>ถือ ให้พระองค์แบบไม่ลืมหูลืมตา<wbr> แต่มีเหตุผลมากพอที่จะบอกว่<wbr>า ทำไมผมถึงมีจุดยืนเช่นนี้

    เช่นเดียวกัน หากใครมีเหตุผลมากพอที่จะมี
    <wbr>จุดยืนที่แตกต่าง ผมก็ไม่เคยรังเกียจ เช่นเดียวกับน้องคนนั้น

    สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นปั
    <wbr>จจัย ที่ทำให้คนรุ่นใหม่ "ไม่รักในหลวง" นั่นเป็นเพราะกระแส "ลัทธิซาบซึ้ง" ที่ถูกปลุกขึ้นมาในช่วงปี ๔๖-ปัจจุบัน ที่สอนให้เรารักในหลวงแบบ "ลัทธิ" ไม่ใช่ "ความเข้าใจ" เช่น บอกลูกบอกหลานว่า "รักในหลวงนะลูก" - "ทำไมล่ะแม่" - "เพราะพระองค์ทำเพื่อแผ่นดิ<wbr>น" - "ยังไงล่ะแม่" - "ทรงเสด็จไปพัฒนาท้องที่ทุร<wbr>กันดาร" - "ไปไหนบ้างล่ะแม่" - "ทั่วประเทศจ๊ะ" - "จริงเหรอแม่" - ...(คิดในใจ นั่นสินะ)

    ดูเหมือนว่าภาพของกษัตริย์ท
    <wbr>ี่เด็ก รุ่นใหม่เห็นในปัจจุบัน จะเป็นเรื่องอภินิหารปรัมปร<wbr>า (Myth) เรื่องราวพระราชกรณียกิจของ<wbr>พระองค์ ก็เป็นเหมือนเรื่องเล่า นานแสนนานจนจับต้องไม่ได้ ทั้งที่ทุกสิ่งที่พระองค์ทำ<wbr>นั้น เป็นเรื่องที่มีบันทึกไว้ท ั้งหมด แต่ดูเหมือนว่าเราสามารถเข้<wbr>าถึง ข้อมูลนี้ได้น้อยเกินไป หรือเราศึกษาเรื่องราวของพร<wbr>ะองค์ ท่านน้อยเกินไป ส่วนหนึ่งผมขอกล่าวโทษสำนัก<wbr>ราชเลขาธิการ หรือส่วนอื่นส่วนใดก็แล้วแต<wbr>่ที่ เกี่ยวข้องที่ไม่สามารถ<wbr>ทำ ให้ประชาชนเข้าถึง "ความดีงาม" และ "พระปรีชาญาณ" ของพระองค์ได้มากพอ แต่กลับปลุกเร้าในทำนอง "ลัทธิ" ทั้งที่ความดีงามของพระองค์<wbr>นั้น มีมากมายจนทำให้คน "รักอย่างเข้าใจ" ได้ไม่ยากเลย (ตรงกันข้ามกับอดีตนายกฯ แม้ว ที่ต้องปลุกเร้าให้คนรักแบบ<wbr> "ลัทธิ" เพราะไม่สามารถให้คนรักแบบ "เข้าใจ" ได้ เพราะเมื่อใดที่คนที่รักแม้<wbr>วเข้า ใจว่าอะไรเป็นอะไร คนนั้นจะหมดรักแม้วทันที) ถ้าสามารถทำให้ทุกคน "รักอย่างเข้าใจ" ได้ "ลัทธิซาบซึ้ง" ก็ไม่จำเป็นเลยสำหรับการ "รักในหลวง"

    การทำให้การ "รักในหลวง" เป็น "ลัทธิซาบซึ้ง" จึงสุ่มเสี่ยงต่อการถูกวิพา
    <wbr>กษ์วิจารณ์และตรวจสอบจากฝ่า<wbr>ยที่ไม่เห็นด้วย นอกจากนั้นยังมีการพยายามเส<wbr>นอ ความคิดในลักษณะ "เปิดโปง" ความไม่ดีไม่งามบางประการอย<wbr>่าง ผิด ๆ เช่นที่บทความหนึ่งได้กล่าว<wbr>ว่า พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริ<wbr>ย์ ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เพราะบทความนั้นรวมสำนักงาน<wbr>ทรัพย์สิน ส่วนพระมหากษัตริย์เข้า ไปในบัญชีรายชื่อทรัพย์สินข<wbr>องพระองค์ ด้วย ทั้งที่สำนักงานนี้โดยเนื้อ<wbr>แท้ แล้วเป็นสำนักงานที่อยู่ใน ความควบคุมของรัฐ พระองค์ไม่สามารถเบิกจ่ายได<wbr>้ตามชอบใจ และเงินคงคลังแผ่นดินส่วนมา<wbr>กก็จะอยู่ในนี้ ดังนั้นพระองค์จึงเป็นเจ้าข<wbr>องทรัพย์ สินนี้แต่ในนาม การจะ "ตีขลุม" เอาว่าพระองค์ "รวย" ก็ดูเหมือนจะไม่ยุติธรรมต่อ<wbr>พระองค์ นัก อย่างไรก็ดี ก็มีหลายคนที่พร้อมจะเชื่อบ<wbr>ทความดังกล่าวโดยไม่ลังเลแล<wbr>ะไม่ไตร่ตรอง เพราะสำคัญว่าเรานี่ช่างวิเ<wbr>ศษเหลือเกินที่ "ได้รู้ได้เห็น" ความลับที่ใครอื่นไม่รู้ นี่แค่ตัวอย่างเดียวนะครับ ยังมีตัวอย่างอีกมากที่ได้ร<wbr>ับการ เผยแพร่จากนักวิชาการไร้ค วามรับผิดชอบ แต่ไม่มีใครออกมาชี้แจง การไม่ออกมาชี้แจงของฝ่ายที<wbr>่เกี่ ยวข้องจึงทำให้สถาบันถ<wbr>ูกมอง ว่าเป็น "สิ่งที่ตรวจสอบไม่ได้" และ "มีความลับที่ไม่ดีมากมายใน<wbr>นั้น" ทั้งที่ความจริงแล้ว "การตรวจสอบ" และ "การชี้แจง" เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้สถา<wbr>นะ ของสถาบันกษัตริย์มีความมั่<wbr>น คงมากกว่า "ความเชื่อ" และ "ความรักแบบไม่เข้าใจ"

    อีกประการหนึ่ง ใครที่เคยเป็นวัยรุ่น ก็น่าจะเข้าใจครับ วัยนั้นมัน "วัยแห่งการต่อต้าน" หรือ "วัยขบถ" เป็นปมอย่างหนึ่งที่ถ้าเรีย
    <wbr>นจิตวิทยามาจะเข้าใจ คือไม่อยากทำตัวเหมือนคนส่ว<wbr>นใหญ่ ไม่อยากตามกระแส ไม่อยากทำตามคำสั่งใคร เพราะจะ "ไม่มีตัวตน" และจะ "ไม่ได้รับการยอมรับ" ทีนี้ก็เอามาปนกับเรื่องนี้<wbr> ถ้าคนส่วนใหญ่รักในหลวง แม่สั่งให้รักในหลวง หนูก็จะไม่รักดื้อ ๆ นี่แหละ มีอะไรมั้ย จะคิดต่างใครจะทำไม เพื่อให้ได้มี "ที่ยืนอันแสนโดดเด่น" ในสังคม โดยเฉพาะเมื่อเกิดการ "รักในหลวง" ที่ถูกทำให้เป็น "กระแส" (อาทิ วิสต์แบนด์ เสื้อเหลือง-ชมพู ฯลฯ) มากกว่ารักเพราะศรัทธาอย่าง<wbr>แท้จริง (ที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องคว<wbr>รทำให้เกิดขึ้นอย่างยิ่ง) กระแสมันมาแบบนี้ ก็จะมีวัยรุ่นหลาย ๆ คนที่ไม่อยาก "ตามกระแส" ก็เลย "ไม่รักในหลวง" ไปซะแบบนั้น ก็เป็นเรื่องของเด็กที่เข้า<wbr>ใจได้ครับ อันนี้ไม่ได้ดูถูกความรู้สึ<wbr>กนึกคิดของวัยรุ่นว่าคิดเอง<wbr>ไม่เป็นนะครับ แต่มันมีส่วนหนึ่งที่อธิบาย<wbr>ได้ แบบนี้

    จึงต้องกลับมาทบทวนครับว่า หลายสิ่งที่เราทำเพื่อให้สถ
    <wbr>าบันสูงสุดดำรงอยู่นี้ เราทำได้ถูกต้องเหมาะสมเพีย<wbr>งใด และควรปรับปรุงอะไรบ้าง กรณีน้องณัฐกานต์ถูกปฏิเสธส<wbr>ิทธิ พื้นฐานทางการศึกษาเพรา<wbr>ะ "ไม่รักในหลวง" นั้นเหมาะสมมากน้อยหรือไม่เ<wbr>พี ยงใด จากนี้ไป สถาบันกษัตริย์จะต้องเผชิญก<wbr>ับอันตรายหลายด้าน และสุ่มเสี่ยงต่อความมั่นคง<wbr>ที่ จะดำรงอยู่ กฎหมายหมิ่นฯ ก็เป็นเพียงระบบหนึ่งที่จะป<wbr>ระ กันความมั่นคงได้ส่วนหนึ่<wbr>ง แต่กฎหมายนั้นไม่สามารถเข้า<wbr>ไป บีบบังคับความคิด-ความเชื<wbr>่อของ คนในรัฐได้ สำหรับในคนรุ่นเก่านี้ ผมเองคิดว่าสถาบันกษัตริย์ย<wbr>ังมี ความมั่นคงมากพอจากหลายปัจจ<wbr>ัย แต่ในคนรุ่นต่อไป การท้าทายพระราชอำนาจและควา<wbr>มมั่นคงของสถาบันจะมีมากขึ้<wbr>น ซึ่งก็เป็นโจทย์สำคัญสำหรับ<wbr>ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่า จะทำอย่างไรในอนาคตเพื่อให้<wbr>ความ มั่นคงของสถาบันนี้ยังคงอยู<wbr>
    ผมคงจะไม่ขอให้คนรุ่นใหม่คิ
    ่ <wbr>ดแบบ เดียวกับที่ผมคิด เพราะความคิดของคนเราสามารถ<wbr>มีความแตกต่างได้ ผมมีเพียงคำถามที่อยากฝากไว<wbr>้สำ หรับคนรุ่นใหม่ในวันนี้ที่ "ไม่รักในหลวง" ขอให้ถามตัวเองว่า ๑.ทำไม ๒.เราจะรักหรือไม่รักใครคนห<wbr>นึ่ง โดยที่เราไม่รู้จักเขาจ<wbr>ริ ง ๆ จะยุติธรรมต่อคน ๆ นั้นไหม ไม่ต้องตอบผมครับ ถามตัวเองแล้วตอบตัวเอง ถ้าสามารถตอบตนเองได้โดยได้<wbr>คำ ตอบที่ตนเองพอใจ ผมก็จะไม่ไปก้าวก่ายความคิด<wbr>ของ ท่าน

    มีเพียงสิ่งเดียวที่ผมอยากจ
    <wbr>ะขอ ก็คือ ขอแค่อย่าคิดจะไม่รักเพราะค<wbr>ิดว่า เท่ เป็นแฟชั่น ขอให้แตกต่างจากคนอื่นเป็นด<wbr>ี โดยไม่ใช้ "สมอง" ไตร่ตรองเลยครับ


    วุฒินันท์ ชัยศรี

    ศิษย์เก่าคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร รุ่น ๓๘

    ที่มา :
    http://www.facebook.com/no<wbr>te.php?note_id=39826272930<wbr>5&id=100000461614520&ref=m<wbr>f
     
  10. Lazaza

    Lazaza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +5,549
    ======================================


    27 พ.ค. 53


    ข่าวสั้น

    วันนี้เห็นตัวเองกำลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับอุกาบาต ที่จะมาชนโลก
    ว่ามีขนาดและน้ำหนักเท่าไร?




    องค์อินทร์ - ๙๗
    ทำการแทน

    ======================================
    ภาพฐานผาแบ่นบางส่วนค่ะ
    ที่มา นาม "องค์อินทร์ ๙๗"







    ---------------------------------------------------------------------
    หลงทางเสียเวลา แต่ไหนแต่ไรมา พระพุทธเจ้าท่านสอนแต่เรื่องทุกข์ และการพ้นทุกข์เท่านั้น<STYLE>body{background-image:url("http://palungjit.org/attachments/a.758354/");}</STYLE>
     
  11. Kongp

    Kongp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +3,909
    กองทัพกบจำนวนนับล้านที่พากันออกมาเพ่นพ่านกระโดดไปมาบนถนนหลวงทางตอนเหนือ ของกรีซ ส่งผลให้เกิดปัญหาการจราจรและต้องมีการปิดถนนนานกว่า 2 ชั่วโมง เนื่องจากรถ 3 คันตกไหล่ทางเพราะพยายามหักหลบฝูงกบเหล่านี้ เจ้าหน้าที่ทางหลวงระบุว่าเมื่อถนนเริ่มร้อนขึ้นกองทัพกบทั้งหมดจึงพากันหนี ไป แต่คาดว่าเมื่อถนนเย็นขึ้นเป็นไปได้ที่ฝูงกบเหล่านี้จะกลับมาอีกครั้ง

    ที่มา : ข่าวต่างประเทศ ข่าวต่างประเทศฮอตฮิต ฝูงกบนับล้านบุกถนนหลวงในกรีซ BBTV channel 7 Bangkok Broadcasting
     
  12. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    กองทัพกบ...ไม่ใช่ กองทัพบก
     
  13. bamrung

    bamrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2006
    โพสต์:
    834
    ค่าพลัง:
    +1,524
    ถ้าเป็นเมืองไทย คงโดนจับกินหมด
     
  14. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    สาเหตุึ เกิดจากน้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ปะการังตาย (ฟอกขาว)

    ซึ่งน้ำทะเลร้อนขึ้นนั้น หากเกิดจาก รอยปริแยกของรอยเลื่อนที่มีธารลาวาขึ้นมาใกล้พื้นมหาสมุทร หรือ การเกิดภูเขาไฟโคลน ภูเขาไฟใต้มหาสมุทรนั้น


    จุดนี้จะเป็นสัญญานให้เราระวังและ เป็นการเตือนภัยแผ่นดินไหว และสึนามิไป อีกประการหนึ่ง


    แต่ผลกระทบของปะการังฟอกขาวนั้น ยังเป็นเหตุที่ทำให้มหาสมุทรตาย สัตว์น้ำตายอีกหลายล้านชีวิต

    เกิดสาหร่าย สีแดงที่เป็นพิษ หรือ Red Tide ซึ่งหลั่งสารไซยาไนด์ออกมา ทำลายชีวิตสัตว์น้ำทั้งหมด น้ำทะเลเป็นพิษเปลี่ยนสภาพเป็นสีแดงฉานคล้ายเลือด ตามคำทำนาย ที่เคยผ่านตากันมาจากหลายๆแห่งครับ

    ผลกระทบเรื่องนี้โดยตรงก็คือ

    โรคภัยจากอาหารทะเลเป็นพิษรุนแรงถึงตาย

    การอดอยากขาดแคลนอาหารอย่างหนัก เพราะอาหารทะเลกินไม่ได้

    และที่หลายคนมองข้ามไปก็คือ

    เกลือทะเล จะขาดแคลนอย่างมาก


    มีพระอาจารย์หลายท่าน ท่านทราบล่วงหน้าเก็บเกลือเอาไว้นานพอควรแล้วครับ

    ที่ต้องใช้มากมาย เพราะ

    -ใช้ถนอมอาหาร
    -เสริมสารไอโอดีน ทดแทน KI6 เพื่อช่วยลดสลายไอโซโทป กรณีรับสารกัมมันตรังสี ช่วงเกิดนิวเคลียร์

    อย่าลืมเก็บเอาไว้บ้างครับ เกลือทะเลเป็นเม็ดๆ ซัก ถุงใหญ่ ต่อครอบครัว การเก็บระวังเรื่องความชื้น หรือการกัดกร่อนด้วย
     
  15. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เมื่อเกิดการประทุของภูเขาไฟใต้ทะเล เริ่มมีผลให้เห็นชัดเจน ก็ ควรเริ่มอพยพไปที่ปลอดภัยก่อน

    เมื่อน้ำทะเลเกิดเป็นสีแดงก็งดกินอาหารทะเลทุกอย่าง


    ขณะนี้ก็ควรเริ่มเฝ้่าระวัง อ่านข่าว จัดของ วางแผนกันไปบ้างก่อนครับ

    และหากมีลู่ทางก็ควรอพยพก่อนเกิดความแตกตื่นครับ
     
  16. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    จากพี่น้องชาวหาดใหญ่ที่ร่วมใจ ร่วมแรงกัน ทำกุศล รักษาทะเลไทยด้วยอำนาจพุทธคุณครับ

    ----------------------------------------------------

    ส่งหนังสือวิชาอยู่รอดปลอดภัยจากภัยพิบัติจำนวน 400 เล่มไปที่วิทยาลัยพยาบาลตรังเรียบร้อยแล้วจ้ะ


    ส่วนเหรียญทำน้ำมนต์ ลูกแก้ว พระบรมสารีริกธาตุ ที่ส่งไประนอง เพื่อนพี่ทีทำงานสนานีอนามันเกาะพยาม จะเหมาเรือใหญ่ประมาณ 4,000 บาท และนิมนต์พระไปทำพิธีในวันวิสาขบูชานี้ งานใหญ่เลย เธอบอกว่าจะไปทำพิธีและอธิษฐานจิตแถวๆที่ปะการังฟอกขาวแถวนั้นด้วย ดีจังเลย เอาหละ เดินงานต่อ ใต้ เหนือ กลาง อีสาน วันนี้เจเจ้จะเดินทางไปหล่อพระองค์ปฐม เป็นพระทันใจที่อ.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์ แล้วจะไปลำปางต่อ



    อานิสงค์บุญทุกกองขอน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชาและขออาราธนาน้อมนำกองบุญทั้งหมดทั้งมวลนี้มาเป็นกำลังในการสืบพระศาสนา ค้ำจุนประเทศชาติและราชบัลลังก์ ขอให้มีความคล่องตัวในกิจทั้งปวงทั้งทางโลกทางธรรม เพื่อช่วยเหลืองานพระศาสนา ช่วยเหลือผู้คนต่อไป ขออนโมทนากับทุกท่าน อดีต ปัจจุบัน อนาคต
     
  17. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    อยู่ภาคใต้
    เมื่อถึงเวลา ต้องหนีไปบนเขาสูงจริงๆ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  18. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    สงครามโลกครั้งที่ 3 ระหว่างอเมริกากับรัสเซีย+จีน
    โดยคุณ หน่วยรบพิเศษ CARTOON

    [​IMG]

    [​IMG]

    1. ระหว่างอิสราเอลกับอาหรับ อิสราเอลจะถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธนิวเคลียร์ก่อน โดยยิงมาจากซีเรีย ซึ่งเป็นของอิหร่านขนมาซ่อนไว้ ซึ่งหลายคนไปจับจ้องที่อิหร่านแต่ลืมซีเรียไป อิสราเอลจะโจมตีซีเรียและอิหร่านกลับ และนั่นจะทำให้เกิดปฏิิกิริยาลูกโซ่ทันที เพราะกลุ่มประเทศอิสลามทั้งหมดจะพากันขนทหารมารบกับอิสราเอล กรุงดามัสกัส เลบานอน จะถูกอิสราเอลโจมตีจนไม่เหลือซาก

    อเมริกาที่มีทหารอยู่ทีตะวันออกกลาง ก็ถือโอกาสโจมตีอิหร่านไปด้วย และนั่นทำให้รัสเซีย และจีนหันมาช่วย อาหรับรบกับอิสราเอลทำให้สงครามขยายวงกว้างไปอีก - สงครามนี้เป็นสงครามอันเนื่องจากศาสนาความเชื่อ อิสลามที่นำโดยอิหร่าน ที่เป็นนิกายชีอะห์หัวรุนแรง ไม่ปรารถนาที่จะเห็นยิวครองเยรูซาเล็ม โดยต้องการให้เยรูซาเล็มเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของอิสลามเท่านั้น และให้นิกายชีอะห์ที่นำโดยอิหร่านได้เป็น ผู้นำโลกอิสลามทั้งมวลอีกด้วย ไม่มีทางหยุดยั้งสงครามนี้จะให้เกิดได้เลย

    2. ระหว่างอเมริกา กับ รัสเซีย+จีน จีนจะบุกอเมริกาทางฝั่งตะวันตก แคลิฟอเนียร์ ซึ่งจะขนทหารจำนวนมากมาทางเรือ และเครื่องบินเป็นพลร่ม ส่วนรัสเซียกับจีนอีกส่วนจะมาทางแคนาดา เรื่องนี้มีคำยืนยันชัดจากหน่วยสืบข่าว ว่าจีนทุกวันนี้ซ้อมรบไปเืพื่อบุกอเมริกา ซ้อมยกพลขึ้นบกที่อเมริกา รัสเซียจะบุกด้าน Alaska, Minnesota, Florida ฝั่่งตะวันออก และอเมริกาจะัตั้งรับไม่ทันเพราะถูกบุกทุกด้าน และมีทหารน้อยกว่ามาก ๆ

    จีนมีทหารบกกว่า 5 ล้านนาย ในขณะนี้ไ่ม่รวบกองหนุนอื่น ๆ เกาหลีเหนือและคิวบาก็จะหนุนจีนด้วย ส่วนอเมริกามีทหารที่ปฏิบัติงานได้จริงแค่หลักแสน ส่วนใหญ่อยู่ที่ตะวันออกกลางและในภารกิจรักษาสันติภาพของ UN ตามที่ต่าง ๆ หลาย ๆ เมืองใหญ่ของอเมริกาจะุถูกถล่มด้วยนิวเคลียร์ และทำให้อเมริกาตอบโต้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งจะมีการยิ่งใส่ประเทศตัวเองบางส่วนเพราะจีนบุก หลายเมืองในอเมริกา จะถูกบอมบ์ด้วยนิวเคลียร์จากพวกก่อการร้ายที่นำมาซ่อนไว้แล้ว อเมริกาจะถึงคราวล่มสลายทั้งประเทศ

    ใครที่คิดว่ากองทัพอเมริกานั้นยิ่งใหญ่ไม่มีใครทำอะไรได้ก็คอยดู ท่านจะได้เห็นทหารจีนจำนวนมหาศาลยกพลขึ้นบกอเมริกาในฝั่งตะวันตกแน่นอน และทะเลทรายเนวาดาจะเป็นสมรภูมิรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์พอ ๆ กับสงครามดินแดนตะวันออกที่เยรูซาเล็ม อเมริกาจะถูกบุกถูกแผ่นดินไหวเล่นงานจนย่ำแย่ หรือเมื่ออเมริกาส่งทหารบุกเกาหลีเหนือ - สงครามนี้เป็นสงครามระหว่างโลกทุนนิยมเสรีประชาธิปไตยที่นำโดยอเมริกา มีอังกฤษและยุโรปตามหลัง ที่ต้องการจัดระเบียบ โลกที่เราพูดกันว่า "New World Order"

    ซึ่งทุกประเทศต้องเดินตามโดยมีอเมริกาเป็นผู้นำ ใช้เงินดอลล่าร์เป็นตัวยึด แต่โลกคอมมิวนิสต์และสังคมนิยมที่นำโดย รัสเซียและจีน นั้นไม่ต้องการ ที่จะตกอยู่ภายใต้โลกที่มีอเมริกาเป็นผู้นำ จึงวางแผนที่จะรวมกันถล่มอเมริกาเสีย และจัดระเบียบโลก โดย ใช้ืชื่อว่า "Red World Order" หรือระเบียบโลกสีแดง ซึ่งสีแดงคือสีตัวแทนของคอมมิวนิสต์และสังคมนิยม สงครามนี้ก็หยุดยั้งไม่ไ้ด้ที่แผนการณ์จัดระเบียบโลกนี้ยังดำเนินไป

    โพสเมื่อ : 2009-12-02 19:47:24

    ที่มา http://video.mthai.com/player.php?id=18M1259758039M0
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 002.jpg
      002.jpg
      ขนาดไฟล์:
      37.2 KB
      เปิดดู:
      1,160
    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.9 KB
      เปิดดู:
      1,161
    • 05_China60th.jpg
      05_China60th.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54.5 KB
      เปิดดู:
      53
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2010
  19. ปิยาจาโร

    ปิยาจาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +254
    น่ากลัวครับ
     
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>‘จีน, รัสเซีย, อเมริกา’ กับมหายุทธเอเชียกลาง</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย สิทธิเทพ เอกสิทธิพงษ์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>16 มิถุนายน 2551 12:09 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    เอเชียกลางภูมิภาคที่สามมหาอำนาจ จีน, รัสเซีย และอเมริกาเข้าไปพัวพัน

    ในการเยือนต่างประเทศครั้งแรกหลังรับตำแหน่งของประธานาธิบดี ดิมิทรี เมดเวเดฟแห่งรัสเซียเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมานั้น ได้มุ่งมาที่จีนเป็นเป้าหมายหลัก การเยือนดังกล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ 23 พ.ค.เป็นภาพสะท้อนที่สื่อเป็นเชิงสัญลักษณ์อันหวานชื่นว่า “รัสเซียให้ความสำคัญกับจีนมาก” อย่างไรก็ตามก่อนที่จะเดินทางมาเยือนจีนเมดเวเดฟได้แวะเยือนคาซัคสถาน ซึ่งนักวิเคราะห์ชิ้ว่า “เป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังจีนและตะวันตก ที่พยายามเข้ามามีอิทธิพลในเอเชียกลาง”

    ท่วงทีของประธานาธิบดีรัสเซียชี้ชัดว่า ภูมิภาคเอเชียกลางที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของคนไทย (เรียกได้ว่าพอพูดชื่อแล้วยังคิดไม่ออกเลยว่าอยู่ตรงไหนบนแผนที่โลก) กำลังเป็นสมรภูมิเดือดที่มีมหาอำนาจเข้าไปพัวพันในเรื่องผลประโยชน์ทั้ง จีน, สหรัฐฯ และรัสเซีย นอกจากนี้แต่ละประเทศในภูมิภาคก็ยังมีปัญหาการเมืองภายใน กระทั่งมีการกล่าวว่า “ภูมิภาคนี้จะเป็นพื้นที่แห่งความขัดแย้งแห่งใหม่ของโลกต่อจากตะวันออกกลาง”

    กล่าวสำหรับจีนแล้ว เอเชียกลางซึ่งประกอบด้วยประเทศอุซเบกิสถาน, เติร์กเมนิสถาน, ทาจิกิสถาน, คีร์กีซสถาน และคาซัคสถาน เป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงและพลังงานที่สำคัญ เนื่องจากเอเชียกลางเป็นทางเชื่อมต่อไปยังตะวันออกกลาง, ยุโรป และเอเชียใต้ นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่ซึ่งอุดมด้วยทรัพยากรน้ำมัน และที่สำคัญที่สุดคือ มีพรมแดนติดกับเขตปกครองตนเองชนชาติอุยกูร์ ซินเจียง (ซินเกียง) ซึ่งเป็นพื้นที่ล่อแหลมทางด้านความมั่นคงของจีน ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2008 ก็มีข่าวใหญ่เรื่องเจ้าหน้าที่ปะทะกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายในเมืองอูหลู่มู่ฉี เมืองเอกของซินเจียง​

    ปัญหาก่อการร้ายซินเจียงกับสัมพันธ์เอเชียกลาง

    ซินเจียงเคยเป็นส่วนหนึ่งของรัฐที่ยิ่งใหญ่มาก่อน ก่อนที่จะกลายมาส่วนหนึ่งของแผ่นดินจีนในปัจจุบัน โดยค่อยๆถูกผนวกกลืนกลายมาตั้งแต่ยุคราชวงศ์ และถูกรวมเข้ามาอย่างเด็ดขาดหลังพรรคคอมมิวนิสต์เถลิงอำนาจในปี 1949 อย่างไรก็ตามสำนึกเกี่ยวกับวัฒนธรรม และความรุ่งเรืองในฐานะส่วนหนึ่งของอดีตรัฐที่ยิ่งใหญ่ นาม “เตอร์กีสถาน” ซึ่งเป็นประตูเชื่อมระหว่างเศรษฐกิจและอารยธรรมตะวันออกกับตะวันตก ทำให้ชาวอุยกูร์ส่วนหนึ่งรวมตัวเป็น องค์การปลดปล่อยเตอร์กีสถานตะวันออก (ETLO) และ ขบวนการอิสลามเตอร์กีสถานตะวันออก (ETIM) เพื่อต่อต้านรัฐบาลจีน​

    โดยเบื้องหลังขององค์การเหล่านี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นผลผลิตของนโยบายต่างประเทศจีนยุคสงครามเย็น ที่ช่วงหนึ่งขัดแย้งกับโซเวียต ช่วงทศวรรษ 1980 จีนจึงร่วมกับอเมริกาฝึกนักรบและสนับสนุนขบวนการอิสลาม ต่อต้านการยึดครองอัฟกานิสถาน ของโซเวียต โดยทางการจีนได้ส่งที่ปรึกษานับร้อยรายจากองทัพปลดแอกเข้าไปฝึกนักรบในค่ายที่ปากีสถาน และซินเจียง โดยนักรบที่ถูกฝึกมีชาวอุยกูร์จากซินเจียงรวมอยู่ด้วย ความร่วมมือกับสหรัฐฯเพื่อต่อต้านโซเวียตทำให้ในที่สุดเกิดคนอย่างอุซามะห์ บิน ลาดิน และองค์กรก่อการร้ายอย่างอัลกออิดะห์ ที่กลับมาหลอกหลอนจีน โดยทางการจีนอ้างว่าอัลกออิดะห์มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มก่อการร้ายในซินเจียง​

    หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต รัฐต่างๆในเอเชียกลางได้รับเอกราช เป็นรัฐอิสระซึ่งภาวการณ์ดังกล่าว ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางด้านภูมิรัฐศาตร์ (geopolitic) ทำให้จีนต้องเปลี่ยนแปลงทิศทางการดำเนินนโยบายต่างประเทศใหม่ จากเดิมที่มุ่งเน้นต่อต้านโซเวียต การเกิดขึ้นของรัฐใหม่ยิ่งทำให้ชาวอุยกูร์เกิดแรงบันดาลใจที่จะมีรัฐอิสระเป็นของตนบ้าง ชนชาวอุยกูร์ในรัฐเกิดใหม่เช่น คาซัคสถาน, คีร์กิซสถาน และทาจิกิซสถาน ได้ร่วมสนับสนุนต่อสู้เพื่อสถาปนา “เตอร์กีสถานตะวันออก”​

    อย่างไรก็ตามทางการจีนได้ใช้กลยุทธ์ต่างๆ เพื่อสยบขบวนการแบ่งแยกดินแดน ด้วยการปราบปรามอย่างหนักหน่วง พร้อมกับเริ่มยุทธศาสตร์พัฒนาภาคตะวันตก (Great Western Development Strategy) ในปี 2000 สร้างความเจริญทางด้านเศรษฐกิจในซินเจียงด้วยการลงทุน และอพยพชาวฮั่นมาตั้งถิ่นฐานเพื่อกลืนกลายชนชาติอุยกูร์ ทว่ายุทธศาสตร์พัฒนาภายในเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถแก้ปัญหาซินเจียงได้ เนื่องจากปัญหาการก่อการร้ายมีลักษณะข้ามพรมแดน และขบวนการเหล่านี้ก็อาศัยฐานประเทศในเอเชียกลางเป็นแหล่งซ่องสุมกำลังและปฏิบัติการ อาทิเมื่อปี 2002 นักการทูตจีนระดับสูง และนักธุรกิจถูกสังหารอย่างอุกอาจกลางกรุงบิชเกค ประเทศคีร์กีซสถาน ฉะนั้นจีนจึงต้องอาศัยความร่วมมือกับประเทศในเอเชียกลางเพื่อต่อต้านการก่อการร้ายในซินเจียง​

    [​IMG]
    ชาวมุสลิม อุยกูร์ ขณะสวดภาวนา นอกมัสยิดในอูหลู่มู่ฉี เมืองเอกของเขตปกครองตนเองชนชาติอุยกูร์ ซินเจียง

    บุกเอเชียกลางเพื่อความมั่นคงพลังงาน

    นอกจากผลประโยชน์ด้านความมั่นคงแล้วจีนยังเล็งเห็นประโยชน์ด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงทางพลังงาน โดยหวังพึ่งน้ำมันจากเอเชียกลางลดการพึ่งพาน้ำมันจากตะวันออกกลาง ทั้งโดยการลงนามความร่วมมือด้านพลังงานกับรัฐและเอกชนต่างๆในภูมิภาคนี้ พร้อมทั้งริเริ่มโครงการเครือข่ายท่อส่งน้ำมันขนาดใหญ่ ที่คาดว่าจะช่วยให้การขนส่งน้ำมัน สามารถทำการขนผ่านท่อจากอิหร่านผ่านเอเชียกลางสู่ซินเจียง ซึ่งจะเป็นหลักประกันด้านความมั่นคง เนื่องจากการขนส่งน้ำมันส่วนใหญ่ใช้การขนส่งทางทะเล โดยใช้เส้นทางผ่านช่องแคบมะละกาก่อนที่จะเข้าสู่จีนทางมณฑลชายฝั่งด้านตะวันออก ทว่าเส้นทางดังกล่าวมีความเสี่ยงสูงคือ การนำเข้าน้ำมันของจีนกว่า 90% อาศัยเรือบรรทุกน้ำมันเป็นพาหนะสำคัญ และเรือบรรทุกน้ำมันของจีนกว่า 80% เดินทางผ่านช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นบริเวณที่มีปัญหาโจรสลัดชุกชุม นอกจากนี้ช่องแคบมะละกายังอยู่ภายใต้อิทธิพลการลาดตระเวนของกองทัพเรือสหรัฐฯ ซึ่งตั้งฐานที่มั่นอยู่ที่ ชางกี ประเทศสิงคโปร์ และถึงแม้จะผ่านช่องแคบมะละกามาได้โดยปราศจากปัญหา ทว่าหากเกิดปัญหาระหว่างจีนกับไต้หวัน การขนส่งน้ำมันขั้นสุดท้ายลงที่มณฑลชายฝั่งตะวันออกก็อาจสะดุด​

    นอกจากนี้การเชื่อมโยงซินเจียงเข้ากับเอเชียกลางด้วยการช่วยลงทุนพัฒนาเส้นทางคมนาคมทางบก จีนก็หวังรื้อฟื้นเส้นทางสายไหมในเอเชียกลาง ซึ่งจะสามารถทำให้ซินเจียงสามารถระบายสินค้าออกไปยังเอเชียกลาง สู่ยุโรป และตะวันออกกลาง และหากมองให้ลึกลงไปอีกจะพบว่า โครงการเชื่อมโยงทางรถไฟยังมีเหตุผลเบื้องหลังสำหรับเป็นทางเลือกในการขนส่งน้ำมัน แทนที่การพึ่งพาท่อขนส่งเพียงอย่างเดียว​

    มหายุทธเอเชียกลาง เมื่อมังกรถูกปิดล้อม

    อย่างไรก็ตามนับแต่เกิดเหตุการณ์ 9/11 ในปี 2001 สหรัฐฯได้รณรงค์สงครามต่อต้านการก่อการร้าย เข้าไปปฏิบัติการในอัฟกานิสถานและอิรัก แถมยังได้กระจายความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและทหาร เข้าไปช่วงชิงทรัพยากรในเอเชียกลาง ฐานทัพอเมริกันผุดขึ้นในแทบทุกประเทศในเอเชียกลางจากอุซเบกิสถาน, คาซัคสถานจนถึงคีร์กิซสถานซึ่งมีพรมแดนจ่อติดกับจีนโดยตรง​

    แม้จีนจะเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนสงครามต่อต้านการก่อการร้าย เพื่อหวังผลทำลายการสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายในซินเจียง ทว่าการปรากฏตัวของสหรัฐฯได้สร้างความวิตกให้กับจีนอย่างยิ่ง กระทั่งจีนกับรัสเซียต้องทำการซ้อมรบในปี ค.ศ. 2005 ภายใต้รหัส “Peace Mission 2005”​

    การซ้อมรบดังกล่าวได้สร้างกระแสความตื่นตระหนกให้กับสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างรุนแรง เนื่องจาก กองทัพ, บก, เรือ และอากาศ ของรัสเซียได้ทำการเคลื่อนพลจากเมืองท่าวลาดิวอสต็อค ชายฝั่งทะเลตะวันออกที่ติดกับทะเลญี่ปุ่นและอยู่ห่างประเทศญี่ปุ่นไม่กี่ไมล์ทะเล มาบรรจบกับกองทัพจีนจากมณฑลซันตงในคาบสมุทรเจียวตงบริเวณฝั่งทะเลเหลือง ซึ่งการซ้อมรบดังกล่าวมิได้สอดคล้องกับข้ออ้างที่ทั้งสองฝ่ายประกาศไว้ว่า เพื่อต่อต้านการก่อการร้าย เพราะหากจุดประสงค์ของทั้งสองฝ่ายคือ การต่อต้านก่อการร้ายจริง สมรภูมิสำหรับการซ้อมรบน่าจะอยู่บริเวณตะวันตกของทั้งสองประเทศมากกว่า ทว่าการใช้พื้นที่บริเวณภาคตะวันออกในการซ้อมรบครั้งนี้ สะท้อนถึงนัยความอึดอัด ที่จีนและรัสเซียมีต่อการปรากฏตัวทางทหารและการช่วงชิงทรัพยากรในเอเชียกลางของสหรัฐอเมริกา​

    ทางด้านสองพันธมิตรจีน-รัสเซีย ที่มาจับมือต้านอเมริกาก็มีความขัดแย้งคุกรุ่นอยู่ภายใน หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลาย รัสเซียซึ่งสืบทอดมรดกต่อจากโซเวียตอยู่ในฐานะอ่อนแอ ไม่สามารถแผ่อิทธิพลเข้ามายังเอเชียกลางได้อย่างเต็มที่ จึงต้องอาศัยร่วมมือกับจีน ซึ่งสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนจากการที่ รัสเซียยอมจับมือกับจีนก่อตั้งองค์กรความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) เมื่อปี 2001 โดยมีสมาชิกคือ จีน, รัสเซีย, อุซเบกิสถาน, คาซัคสถาน, ทาจิกิสถาน และคีร์กีซสถาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต่อต้านการก่อการร้ายและเสริมความร่วมมือในภูมิภาค เพราะรัสเซียเองก็ประสบปัญหาการก่อการร้ายของชนกลุ่มน้อยเช่นเดียวกับจีน​

    อย่างไรก็ตามภายใต้การนำของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน รัสเซียมีนโยบายที่จะรื้อฟื้นความยิ่งใหญ่เฉกเช่นที่เคยมีในสมัยสหภาพโซเวียต ซึ่งรวมถึงการแผ่อิทธิพลในเอเชียกลาง ซึ่งเคยเป็นเขตอิทธิพลของโซเวียตมาก่อน รัสเซียซึ่งเริ่มเติบโตจากการค้าทรัพยากรพลังงาน เริ่มมองเห็นการแผ่อิทธิพลอย่างเงียบๆของจีน ด้วยการค้าอาวุธ, ให้เงินช่วยเหลือ และความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับเอเชียกลาง เป็นภัยคุกคามต่อผลประโยชน์ของรัสเซีย

    ประธานาธิบดีรัสเซียคนปัจุบัน ดิมีทรี เมดเวเดฟ ก็มิได้ดำเนินนโยบายต่างจากปูติน หลายฝ่ายกลับมองว่าเมดเวเดฟเป็นร่างทรงของปูตินด้วยซ้ำ ฉะนั้นอุดมการณ์รื้อฟื้นความยิ่งใหญ่จึงสืบทอดต่อมา และการเยือนคาซัคสถานก่อนเยือนจีนก็เป็นการสะท้อนท่าทีของรัสเซียได้อย่างชัดเจนว่า เป็นการย้ำเตือนสหรัฐฯและจีนว่า “นี่คือเขตอิทธิพลของรัสเซีย”

    การรุกเข้าไปในเอเชียกลางเพื่อผลประโยชน์ทางด้านความมั่นคงในซินเจียง ซึ่งตอนนี้ถูกแปรเปลี่ยนไปเน้นมิติด้านความมั่นคงทางพลังงานมากกว่า จึงต้องเผชิญกับศึกรอบด้าน นอกจากการปะทะกับสหรัฐฯและรัสเซียแล้ว การดำเนินนโยบายบางอย่างเพื่อพัฒนาซินเจียง ยังถูกบางประเทศในเอเชียกลางต่อต้านอาทิ โครงการผันน้ำจากแม่น้ำอีลี่ และแม่น้ำอีร์ติช ซึ่งไหลผ่านจีนสู่คาซัคสถาน เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำมันในอูหลู่มู่ฉี ได้สร้างความขัดแย้งระหว่างคาซัคสถานกับจีน เหมือนกับที่โครงการหลากหลายในแม่น้ำโขงทำให้จีนต้องทะเลาะกับเพื่อนบ้านในอุษาคเนย์​

    เอเชียกลางจึงเป็นพื้นที่มหายุทธ ที่เต็มไปด้วยการปะทะระหว่างมหาอำนาจ และอาจนำไปสู่ความขัดแย้งได้ง่ายๆ การดำเนินนโยบายของจีนจึงเป็นไปอย่างระมัดระวัง แม้เงื่อนไขสภาวการณ์ปัจจุบันจะบีบบังคับให้รัสเซียร่วมมือกับจีนอย่างแน่นแฟ้น เพื่อต่อต้านสหรัฐฯ ทว่าหากเงื่อนไขดังกล่าวหมดไปเมื่อไร บางทีความขัดแย้งที่ซุกซ่อนอยู่อาจปรากฏชัดมากขึ้น กระทั่งคลี่คลายให้เห็นความตึงเครียดภายในภูมิภาคที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าตะวันออกกลาง

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Image.jpg
      Image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      60.7 KB
      เปิดดู:
      1,075
    • Image 2.jpg
      Image 2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      33.9 KB
      เปิดดู:
      1,070
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...