การเปิดตาที่สาม

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย The Third Eyes, 14 สิงหาคม 2008.

  1. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    แหม! อาจารย์ครับ เล่นส่งผมไปเป็นหน่วยกล้าตาย 55555555 วิธีนี้คิดว่า

    ไม่ค่อยถูกโฉลกซักเท่าไหร่ เอาตะปูโลงผีมาเจาะตา ยอมเหงาละครับจารย์

    ขนาดเมื่อกี๊ก่อนมาเข้าเน็ท นั่งสมาธิเสร็จ ออกมาเดินเล่นนอกบ้าน ตกใจเล็ก

    น้อยครับ คือเห็นแสงสีม่วงแบบโค้ง ๆ อย่างกับรุ้งกินน้ำ ทดลองหันไปทางไหน

    ก็เห็นเหมือนกันหมด ผมนึกว่าจะเห็นผีมั่งแล้ว กำน่าดู มันมีแต่แสงอ่ะครับจารย์

    แสงสีม่วงมันพาดเป็นวงโค้ง ทั้ง ๆ ที่เป็นตอนกลางคืน
     
  2. surapar

    surapar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    345
    ค่าพลัง:
    +2,408
    แถวนั้นมีบาร์เกย์เยอะป่าวคะ พี่มังกร อิอิ
     
  3. Aosta

    Aosta สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +2
    สวัสดีค่ะ พอดีติดตามกระทู้นี้มาได้ซักพักเเล้ว พอดีเมื่อคืนก็ลองนั่งสมาธิดู ปรากฏว่าเหมือนมีอะไรซักอย่างมากดตรงเเถวกกหูน่ะค่ะ(เอ่อ...เเถวๆจอนผมน่ะค่ะ ใช่กกหูหรือเปล่า) คือตอนเเรกเเค่รู้สึกตึงๆธรรมดา เเต่พอซักพัก มันเริ่มตึงมากขึ้น เหมือนมีอะไรมาบีบตรงกกหูทั้งสองข้างของเราจนต้องเลิกนั่งสมาธิน่ะค่ะ พอเลิกเเล้วล้มตัวลงนอนอาการก็ค่อยๆบรรเทาลงเเละหายไป เเละส่วนใหญ่เวลานั่งสมาธิจะมีอาการเเน่นๆตึงๆระหว่างหัวคิ้วน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าอาการทั้ง2อย่างนี้เกิดจากการที่เรานั่งสมาธิเเล้วเกร็งเกินไป เครียดเกินไปรึเปล่าคะ เเต่เวลาเรานั่งก็พยายามผ่อนคลายให้มากที่สุด เเต่อาการที่ตึงๆระหว่างหัวคิ้วก็ไม่หายน่ะค่ะ ส่วนอาการที่เหมือนมีอะไรมากดที่กกหูทั้งสองข้างนี้เพิ่งจะมาเริ่มเป็นเมื่อคืนเองค่ะ ไม่ทราบว่ามันเกิดจากอะไร ถ้าเกิดจากความเครียด เราควรจะผ่อนคลายยังไงดีคะ

    ปล. เวลานั่งสมาธิจำเป็นมั๊ยคะที่จะต้องท่องพุธโธ หรือว่าท่องอย่างอื่น คือเเบบ...นั่งเฉยๆได้มั๊ยคะ อย่างนั้นจะเรียกว่าทำสมาธิได้รึป่าว เพราะเเต่ก่อนเคยท่องสัมมา อะระหังตามลมหายใจเข้าออก เเต่พอมานั่งช่วงนี้ไม่ได้ท่องอะไรเลยค่ะ เเค่นั่งหลับตาเฉยๆ เเล้วดูว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่ เเค่นั้นน่ะค่ะ ไม่ได้ท่องอะไรในใจเลย เเล้วก็ไม่ได้กำหนดลมหายใจเลยน่ะค่ะ เเค่ดูว่าเรากำลังคิดอะไรอยุ่เเค่นั้น ไม่ทราบว่าเราทำสมาธิผิดรึป่าวคะ ยังไงก็รบกวนช่วยชี้เเนะด้วยนะคะ เด็กใหม่ค่ะ

    ปล.หากหนูทำอะไรผิดไป จะโดยรู้ตัวหรือไม่ ก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ ^^"
     
  4. นาย เอ

    นาย เอ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +535
    เพิ่งเข้ามาศึกษาได้สักพักมีคำถามอยากถามผู้รู้ครับ
    .... อยากทราบว่าผู้ที่เขานั่งสมาธิเพียงเพื่อต้องการความสงบนานๆ เป็นประจำ จนจิต สมาธิเขาแข็งแล้ว โดยไม่มีการกำหนดจักษะ เขาจะผ่านการรับรู้ของตาทิพย์ หูทิพย์ หรือป่าวครับ เพราะผมสนใจเกี่ยวกับตาทิพย์ เลยไปถามคนๆหนึง เขาบอกว่ามันคือเพียงสวนดอกไม้ แปลว่าเขาเจอแต่ไม่ใส่ใจไช่ไหมครับ
     
  5. The Third Eyes

    The Third Eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +51,007
    ตอบ คุณ เอ
    ผู้ที่ นั่ง สมาธิ แบบ โลกุตตระ..จะไม่สนใจในฤทธิ์
    เมื่อเห็น ก็ วาง..ก็ วาง..ก็วาง..ให้เป็นความว่างเปล่า
    เมื่อ มีตาทิพย์ หรือ หูทิพย์..ก็เหมือนไม่มี
    ถ้า ฝึกแบบ โลกียะ..ก็จะมี
    คนที่ มี..แต่ถ้า ตั้งจิต ว่า เมื่อ ตายไป ก็ขอให้ ลบทิ้ง ไปด้วย..
    จิตก็จะไม่ติด ในฤทธิ์ นั้น
     
  6. *ดาวเคียงเดือน๐

    *ดาวเคียงเดือน๐ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +5
    น่าสนใจค่ะ
     
  7. sweetrosie

    sweetrosie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    460
    ค่าพลัง:
    +977
    รบกวนอาจารย์ช่วยตรวจหนูได้มั้ยคะว่าพอจะมี พลังระดับไหนแล้วจะได้ รู้ตัวและปฏิบัติได้ถูกต้องค่ะ

    หลังจากที่เรียน พลังกายทิพย์ หนูก็เริ่ม อ่านใจคนออก เคยไล่ โจรโรคจิตปล้นทอง ตามบ้านออกจากบ้านด้วยค่ะ โจรเหมือนคนเล่นไสย์ด้วยเพราะ ที่บ้านผู้ใหญ่หลงเชื่อกันหมดเลยมีหนูยืนโกรธเท้าสะเอวไล่เค้าออกไป ยังงงมากที่รอดมาได้

    อยากปรึกษาเรื่องสัมผัสวิญญานด้วยค่ะ หนูกลัวว่าตัวเองจะเพ้อไปหรือปล่าว แต่มันเกิดบ่อยมากจนเริ่มสงสัย และก็กลายเป็นกลัวด้วย

    ในชีวิตหนูเคยเรียนพลังจักรวาลมาระดับสอง ตอน สัก ม.ปลาย จากนั้น ตอนเข้ามหาวิทยาลัยก็เริ่มเห็นวิญญาน จริงๆ เคยเห็นตอนเด็กๆ มาก่อน ทั้งแสงขาว ที่เดินในบ้าน และ วิญญานโปร่งเหมือนคนที่ลอยบนฟ้า

    แต่ครั้งแรกที่เริ่มชัดมากคือตอนเรียนมหาวิทยาลัย หนูเห็นวิญญานมา ตอนกลางคืน แบบเงาดำ รู้เห็นรูปร่าง ลักษณะผม และ เพศ รวมทั้งการแต่งกาย
    ต่อๆ มาก็เริ่มมาทางเสียง แต่มาหูข้างเดียว และ
    ก็เริ่มมาเป็นเสียงแบบ ผู้หญิงเหมือนอิเลกโทรนิคส์ พูดไทยบอกให้ช่วยติดต่อกลัีบด้วย ติดต่อกลับด้วย แล้วบอกเลขยาวมากๆๆ พอเช็คเป็นประเทศ แคนาดา แต่ไม่ได้ลองโทรไป จากนั้นปีนี้ก็ได้มาแคนาดา

    แล้วตอนอยู่ไทย ก็เคยเห็นวิญญานมาหาถึงเตียงนอนมาสามคนเลยแล้วพูดกับเรารวมทั้ง คนนึงโน้มมือมาสัมผัสมือเราด้วย พอท่องอิติปิโสถอยหลังก็หายวับไปเลย

    อีกครั้งตอนไปร่วมงานวัดยานนาวา ไปเห็นวิญญานของ คนที่เพื่อนรู้จัก โดยบังเอิญ ทั้งๆ ที่เวลาประมาณ ห้าโมงเย็น อยู่เลย เห็นตรงบันไดวัด ชั้นสองค่ะ เห็นลักษณะรูปร่างเหมือนคนมาก ทั้งหน้าตาการแต่งตัว ทรงผม แต่จากไหล่ลงไปไม่มีลำตัวเป็นอากาศแต่ แบบนี้ไม่น่ากลัว แต่พอเวลาเห็นต้องเป็นเวลาเผลอๆ แล้วให้เห็นแป๊บเดี่ยวแบบที่วิญญานก็ยังไม่รู้ว่าเราเห็นอ่าค่ะ

    จากนั้นก็มีเรื่องแปลกๆ ทั้งฝัน และเสียงผู้หญิงคอยเตือนค่ะ

    ถ้าอาจารย์พอมีเวลารบกวนช่วยสงเคราะห์หนูด้วยนะคะ เพราะ เรื่องแบบนี้ถ้าไปพูดกับคนที่เค้าไม่เข้าใจ เค้าก็จะคิดว่าหนูเพี้ยนอ่าค่ะ อยากทราบวิธีที่ควรปฏิบัติให้ถูกต้องค่ะ เพราะตอนนี้เหมือนคนหลงทางค่ะ

    สุดท้ายนี้ขอบคุณที่รับฟังนะคะ ถ้าหากหนูเขียนเล่ายาวไปก็ต้องขออภัยทุกท่านด้วยค่ะ

    Merry X'mas everybody ka ^^
     
  8. surapar

    surapar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    345
    ค่าพลัง:
    +2,408
    พลังคลื่นเต่า!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

    พลังคลื่นเต่า.gif
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2008
  9. visnu

    visnu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,844
    ค่าพลัง:
    +23,778
    มีบทความเก่าๆของอาจารย์มาฝากครับลองอ่านดูครับจะสามารถตอบทุกหลายๆคำถามที่สงสัยได้
    แต่ถ้าอ่านมาตั่งแต่ต้นกระทู้ก็จะรู้อยู่แล้ว ถ้าขยันอ่าน

    <link rel="File-List" href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5CADMINI%7E1%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtml1%5C01%5Cclip_filelist.xml"><link rel="Edit-Time-Data" href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5CADMINI%7E1%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtml1%5C01%5Cclip_editdata.mso"><!--[if !mso]> <style> v\:* {behavior:url(#default#VML);} o\:* {behavior:url(#default#VML);} w\:* {behavior:url(#default#VML);} .shape {behavior:url(#default#VML);} </style> <![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><style> <!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Angsana New"; panose-1:2 2 6 3 5 4 5 2 3 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;} @font-face {font-family:"DB ThaiTextFixed"; panose-1:0 0 0 0 0 0 0 0 0 0; mso-font-alt:"Times New Roman"; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-format:eek:ther; mso-font-pitch:auto; mso-font-signature:0 0 0 0 0 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-parent:""; margin:0cm; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:12.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Angsana New";} @page Section1 {size:595.3pt 841.9pt; margin:72.0pt 90.0pt 72.0pt 90.0pt; mso-header-margin:35.4pt; mso-footer-margin:35.4pt; mso-paper-source:0;} div.Section1 {page:Section1;} /* List Definitions */ @list l0 {mso-list-id:1183087810; mso-list-type:hybrid; mso-list-template-ids:518676154 1288866734 67698713 67698715 67698703 67698713 67698715 67698703 67698713 67698715;} @list l0:level1 {mso-level-tab-stop:36.0pt; mso-level-number-position:left; text-indent:-18.0pt; mso-ansi-font-size:13.5pt; font-family:"DB ThaiTextFixed";} ol {margin-bottom:0cm;} ul {margin-bottom:0cm;} --> </style><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot]บทความ[/FONT][FONT=&quot]ต่อไปนี้ เป็นเรื่องหนักไปทางวิชาการ เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมาก[/FONT][FONT=&quot]จนเราไม่เคยสังเกตุเพราะใกล้เกินไปกว่าที่จะคิด คิดว่า[/FONT][FONT=&quot]ยังไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้ มากนัก[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]อาจจะมีบางคนเคยพูดไว้ บางส่วน[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]บทความนี้จึงรวบรวมไว้ให้ได้มากที่สุด และจะเป็นประโยชน์มาก[/FONT][FONT=&quot]แก่คนที่สนใจและปฏิบัติ เพราะ มีผลอย่างมาก และตรง แก่ตัวเรา และ เรา[/FONT][FONT=&quot]เพราะเรามี "สองกาย" ที่จะต้องร่วมด้วยช่วยกัน[/FONT][FONT=&quot]มิฉน้นเราก็จะไม่พบเส้นทางไปสู่ "การหลุดพ้น"[/FONT]
    [FONT=&quot]ถ้าสัง[/FONT][FONT=&quot]เกตุให้ดี เราจะพบว่า รูปสักการะบูชาในศาสนา ต่างๆเช่น พระพุทธองค์[/FONT][FONT=&quot]พระเยซู พระแม่มารีอา ฯลฯจะมีวงรัศมี ที่บริเวณรอบศีรษะ เด่นชัด[/FONT][FONT=&quot]และมีการตีความว่า เป็นรัศมีแห่งการมีบุญ บารมี เป็นที่พึ่งของสัตว์โลก[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ต่อมาเมื่อประมาณ เกือบ [/FONT][FONT=&quot]20 [/FONT][FONT=&quot]ปี มี นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย พบว่า[/FONT][FONT=&quot]เมื่อถ่ายรูปสิ่งที่มีชีวิต จะมีแสงรังสีออกมารอบๆๆ[/FONT][FONT=&quot]คล้ายเช่นแสงรัศมีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]จึงทำให้เริ่มมีการเข้าใจว่า ในตัวคนเรา นอกจากเราแล้ว ยังมีอะไรอีกอย่างหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเรา[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ต่อมาเมื่อ วิทยาการด้านวิทยาศาสตร์ทางจิต และวิญญาณ รวมทั้งควอนตัมฟิสิก ได้ก้าวหน้าไปไกล[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]เราจึงได้ข้อมูลเรื่อง ของ จักระ ที่สามารถดูดพลังปล่อยพลังออกมาได้[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]และบางศาสนวิทยา เชื่อในเรื่องวิญญาณ เรื่องกายละเอียด กายหยาบ การเวียนว่ายตายเกิด[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]คำว่าสองกายนี้คือ "กายหยาบ หรือกายนอก กับกายทิพย์หรือกายใน"[/FONT][FONT=&quot]และเพื่อความเข้าใจ ในทุกตอนของ บทความนี้ จะเรียกว่า "กายนอก" และ[/FONT][FONT=&quot] "[/FONT][FONT=&quot]กายใน"[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]กายนอก กับกายใน ได้อยู่ร่วมเป็นคู่ปลาท่องโก๋ ตลอด ชีวิต เมื่อ[/FONT][FONT=&quot]ถึงเวลา ดับสูญ ก็จะมีเพียงกายใน ที่ยังคงอยู่ ส่วนกายนอก หรือ สังขาร[/FONT][FONT=&quot]ก็จะสลายธาตุกลับไป[/FONT]
    [FONT=&quot]คนเรามีสองกาย และต่างก็จะอยู่ร่วมกันอย่างดี ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ถ้าป่วยก็จะป่วยด้วยกัน เมื่อมีความสุข ก็จะมีมีความสุข เช่นกัน[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]มนุษย์ นั้น กายนอก มีสมอง มีหู มีตา มี ปากอย่างไร กายในก็จะมีเช่นเดียวกัน แต่วิเศษกว่ามาก มายหลายเท่านัก[/FONT]
    <o></o>

    • [FONT=&quot]ตา[/FONT][FONT=&quot]
      [/FONT][FONT=&quot]กายนอก หรือคน จะมีตาสองตา มีอวัยวะอยู่บนใบหน้า[/FONT][FONT=&quot]เป็นเนื้อเยื่อลูกกลมภายในมีของเหลว มีม่านตา มีเลนส์ตา ถ้าเลนส์ไม่ลงตัว[/FONT][FONT=&quot]ก็ต้องแก้ไข โดยการวัดสายตาใส่แว่น[/FONT][FONT=&quot]

      [/FONT][FONT=&quot]การมองเห็นเริ่มจาก ภาพมาตกที่หน้าจอ ที่เรียกว่า เรติน่า[/FONT][FONT=&quot]แล้วจะมีระบบประสาท ส่งสัญณาณไปที่สมองส่วนหลังที่เรียกว่า โอลแฟคเตอรี่[/FONT][FONT=&quot]แล้ว สัญญาณจะกลับและแปลความหมายออกมาเป็นภาพที่สมอง[/FONT][FONT=&quot]

      [/FONT][FONT=&quot]คนเราต้องมีสองตา เพื่อใช้ ในการ กะระยะ ถ้ามีตาเดียวจะกะระยะลำบาก ขับรถไม่ได้[/FONT][FONT=&quot]

      [/FONT][FONT=&quot]ตาเป็นส่วนที่แสดงถึงสติความรู้สึกของกายนอกเวลาคนป่วยมาโรงพยาบาลและมี[/FONT][FONT=&quot]อาการหนัก หมอจะใช้วิธี ส่องดูม่านตา เพื่อ ตรวจว่า คนไข้[/FONT][FONT=&quot]มีอาการหนักขนาดใหน[/FONT][FONT=&quot]

      [/FONT][FONT=&quot]เนื่องจากตา เป็นเนื้อเยื่อ ประกอบด้วยธาตุ จึงมีการเกิดและการเสื่อม[/FONT][FONT=&quot]เราจึงมีโรคตามากมาย ตาสั้น ตายาว ตาเอียง ตาต้อเนื้อ ตาต้อกระจก[/FONT][FONT=&quot]ตาบอดธรรมดา ตาบอดสี ตาแฉแหม ฯลฯ[/FONT][FONT=&quot]

      [/FONT][FONT=&quot]ตาเป็นประตูของหัวใจ เราจะรู้อารมณ์ของคนได้ โดยดูที่แววตา ตาเศร้า[/FONT][FONT=&quot]ตาโศก ตาดีใจ ตาซืมเพราะอกหัก ตาเหลือกเพราะตกใจ ตาตี่ ตาเล็ต ตาโต ฯลฯ[/FONT]
    [FONT=&quot]กายในหรือกายทิพย์ที่เป็นคู่ปาท่องโก๋ จะมีเพียงตาเดียวอยู่ตรงหน้าผากระหว่างคิ้ว เราเรียกว่า ตาที่สาม หรือ ตาทิพย์[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ทุกคนมีตาที่สาม แต่จะมองเห็นหรือเปิด(ลืมตา) ขึ้นอยู่ว่า ตั้งใจจะเปิดหรือไม่[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]การเปิดต้องใช้พลังจิตของตัวเอง[/FONT][FONT=&quot]หรือให้คนอื่นที่มีพลังจิตแรงกว่าช่วยเปิดให้[/FONT][FONT=&quot]พลังจิตจะมีได้ก็ต่อเมื่อได้ปฏิบัติสมาธิ จนมีพลัง อำนาจทะลุ[/FONT][FONT=&quot]หน้าผากออกมาได้[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]บางคนปฏิบัติ นั่งสมาธิ จน รู้สึกว่า ที่ตรงหน้าผากเต้นตุ๊บๆๆ นับว่าใกล้มากแล้ว ถ้ามีคนอื่นมาช่วยเจาะให้ ก็จะได้ทันที[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]การมองเห็นของตาที่สาม ที่มีตาเดียวก็จริง แต่อำนาจการมองมหาศาลกว่า ตากายนอก สองตา มากมายนัก[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ดวงตาที่สาม อยู่ในกลางสมอง ส่วนที่เป็น ต่อมเม็ดเล็กๆๆ เท่าถั่วลิสง[/FONT][FONT=&quot]เรียกว่า ต่อมไร้ท่อ "พิทุยแทรี่" ต่อมนี้ อยู่กลางกระโหลกศีรษะ[/FONT][FONT=&quot]เหนือเพดานปากพอดี[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]จึงมีวิธีเร่งตาที่สามให้เปิดเร็วๆๆได้โดยเอาลิ้นกดที่เพดานปาก แล้ว[/FONT][FONT=&quot]คำราม เหมือนการขากถุย ให้เกิดการสั่น การสะเทือนไปถึง ต่อมพิทุยแทรี่[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]เมื่อ ต่อมพิทุยแทรี่ ถูกเขย่า ก็จะออกฤทธิ์ ส่งสัญญาณออกมาให้ตาที่สามเปิด หลักการคล้ายๆๆ เขย่าต้นมะม่วง เพื่อให้ผลมะม่วงหล่นลงมา[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ดังนั้นถ้าเจอใคร กำลังทำท่า โก่งคอ คำราม แบบ"ราชสีห์คำรณ" หรือ ตั้งท่า ขากถุย แต่ไม่มีน้ำลายออกมาให้เห็น ก็อย่าตกใจ[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]เขาผู้นั้นกำลังฝึกกำลังภายใน เพื่อเปิดตาที่สาม นั่นเอง[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ตาที่สามเห็นอะไร[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]มองเห็นโลกขนานอีกมิติ มองเห็น ผี เทวดา เทพฯลฯ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]มองเห็นแสงออร่าคนอื่น[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]เห็นแสงสีของพระเครื่อง[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]มองเห็นวิญญาณ บรรพบุรุษที่ตามตัวมา[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]มองทะลุร่างกายคน เหมือนเครื่องเอกซเรย์ ตรวจโรคได้[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]มองเห็นอดีตโดยหมุนเกลียวตา ตามเข็มนาฬิกา[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]มองเห็ยอนาคตโดยการหมุนเกลียวตา ทวนเข็มนาฬิกา[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ทอดสายตาไปไกลเพื่อเป็นสะพานในการ ถอดจิตไปที่นั่น[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]เป็นตาที่ส่งพลังทางจิตไปรักษาคนไข้ ทั้งใกล้ และไกล และรักษาโรคได้[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]อยากเห็นใคร อยากดูใคร ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลก นี้และจักรวาล[/FONT][FONT=&quot]ตาที่สามก็จะลอยไปที่นั่น เป็นเซ็นเช่อร์แล้วส่งสัญญาณมาให้[/FONT][FONT=&quot]เราที่นอนอยู่ที่บ้านได้เห็น สะบายและฟรี ไม่เสียเงิน เหมือน[/FONT][FONT=&quot]ระบบมือถือที่ต้องผ่านดาวเทียม[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]มองดูคนที่สมองเขา ก็จะเห็นว่า เขากำลังคิดอะไร[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]และจะทำอะไร[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ยังมีอีกมาก แค่นี้ก็จะเห็นแล้วว่า ตาที่สามที่มีอยู่ตาเดียว[/FONT][FONT=&quot]มีคุณค่ามากมายมหาศาลกว่า สองตาทึ่มๆๆ[/FONT][FONT=&quot]ที่เรามีอยู่และใช้มองแค่ของสวยๆๆงามๆๆ ที่เป็นของปลอม ไม่จีรัง[/FONT][FONT=&quot]เสื่อมสลายได้[/FONT]
    [FONT=&quot]สมอง[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]สมองของคนเรานับว่าเป็นอวัยวะชิ้นใหญ่ที่สุดชิ้นหนึ่งของร่างกาย[/FONT][FONT=&quot]เป็นอวัยวะที่พิเศษต้องการความคุ้มครอง เพราะ หมายถึงชีวิต[/FONT][FONT=&quot]จึงมีส่วนปกป้องเป็นกระดูกแข็งที่เรียกว่า หัวกระโหลก[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]สมองประกอบด้วยเซลล์พิเศษ นับพันล้านหน่วย[/FONT][FONT=&quot]ชิ้นที่ต่อเรียงกนเป็นหมวดหมู่ แบ่งแยกกันทำหน้าที่ ต่างๆ เกี่ยวกับ[/FONT][FONT=&quot]การสั่งการ ให้อวัยวะส่วนต่างๆๆ ทำงานเป็นระบบ การมองเห็น การได้ยิน[/FONT][FONT=&quot]การเคลื่อนไหว การเต้นของหัวใจ การย่อยอาหาร ฯลฯ[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]เซลล์สมองทำงาน เหมือนสมองกลคอมพิวเตอร์ แต่เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีชีวิต[/FONT][FONT=&quot]มีการเกิด มีการเสื่อมสลาย เพราะประกอบด้วยธาตุ เมื่อสลายไป[/FONT][FONT=&quot]ก็กลับไปเป็นธาตุดังเดิม[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]แรง[/FONT]
    [FONT=&quot]สมองจะสั่งการทุกอย่าง เพื่อการดำรงอยู่ของชีวิต และมีความามรถพิเศษ คือการคิด การไตร่ตรอง การวินิจฉัย และความจำ[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]คนเราโดยปกติจะจำความได้ ตั้งแต่ [/FONT][FONT=&quot]3-5 [/FONT][FONT=&quot]ขวบ แล้วแต่ไอคิวที่มีอยู่[/FONT][FONT=&quot]และเมื่อเข้าวัยชรา ล่วง [/FONT][FONT=&quot]50-60 [/FONT][FONT=&quot]ขึ้นไป เซลล์สมองบางส่วนก็จะเริ่มสลายตายไป[/FONT][FONT=&quot]หมดอายุไขใช้การไม่ได้[/FONT][FONT=&quot]เซลล์สมองเป็นเซลล์ที่ไม่มีการทดแทนเวลาตายหรือเสียไป[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]เซลล์แต่ละเซลล์มีข้อมูลความจำที่ บันทึกไว้ ดังนั้นในชั่วชีวิต คนจึงมีสมองครั้งเดียว ไม่มีการทดแทน[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]คนจึงมีอาการสมองความจำเสื่อม ที่เรียกกันว่า[/FONT][FONT=&quot]
    "[/FONT][FONT=&quot]อัลไซเมอร์"[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]เมื่อคนตาย สมองจะหยุดทำงาน สูญสลายแปรธาตุไป แพทย์ปัจจุบัน เวลาตัดสินว่า ใครตาย จะดูจากคลื่นสมอง แทน คลื่นหัวใจเหมือนเมื่อก่อน[/FONT]
    [FONT=&quot]สมองของกายทิพย์[/FONT][FONT=&quot]จะมีขนาดใหญ่กว่า ของกายนอก เพราะต้องใช้ความจำมากกว่ามากมายนัก[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]มองกายนอก จำได้แค่ ชั่วชีวิตสั้นๆๆนับพันนับหมื่นปี บางคนกลับไปถึงการเกิดเป็นไดโนสาร์ ล้านปี[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ผู้ใดมีสมาธิจิตที่ดี ก็จะสามารถสะแกนกลับไปดูได้ ที่เรียกว่า การระลึกชาติ[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]และในแต่ละชติ ก็จะจำได้ว่า ได้ทำอะไรไปบ้าง[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ซึ่งก็เป็นเรื่องลึกลับเกิน คนที่ไม่มีสมาธิจิตก็ระลึกชาติได้ง่ายๆๆ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ถ้าอยากจะรู้ว่า ชาติก่อนเป็นอย่างไร ก็ให้ดูว่า ชาตีนี้เป็นอย่างไร[/FONT][FONT=&quot]เช่นถ้าเกิดมาดี มีสุข ชีวิตสะบายก็แปลว่า ชาติก่อนทำกรรมดี ไว้มาก[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ถ้าชารตินี้นี้เกิดมา มีแต่ความลำบากยากเข็ญ[/FONT][FONT=&quot]หรือ พิการ อาการไม่ครบ [/FONT][FONT=&quot]32 [/FONT][FONT=&quot]ก็แปลว่า ชาติก่อนทำกรรมเลวไว้[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ถ้าอยากจะรู้ว่า ชาติหน้า เราจะเป้นอะไร ก็ให้ดูว่า ชาตินี้ เราทำดีหรือ ทำเลว ทำอย่างใดก็จะได้อย่างนั้น[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]สมองของกายนอก อยู่กับที่ อยู่ในหัวกระโหลก ไปไหนไม่ได้ สมองของกายในเป็นพลังงาน เป็นพลังจิต เดิทางไปไหนๆๆก็ได้ แม่มีความปลอดภัย[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ดังนั้นทุกครั้งที่จะเดินทาง ต้องอัญเชิญ สิ่งศักดิ์สิทธิให้ติดตามคุ้มครอง ด้วยเสมอไป[/FONT][FONT=&quot]

    ...[/FONT][FONT=&quot]มนุษย์เป็นสิ่งที่มีชีวิต ที่ต้องเดินสองตีน และ เงยหน้ามองฟ้า เวลาเราอยากได้พลัง จึงต้อง มองและเอาจากฟ้า....[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ต่างกับสัตว์สี่เท้า ที่ต้องวิ่งสี่ตีนและก้มมองดูดิน เพื่อหาอาหาร สัตวืทั้งหลายจึงไม่มีโชคดีกว่ามนุษย์[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]เมื่อสมองอยู่สูง ธรรมชาติจึงให้มนุษย์มี รีโมทของสมองลงมาติดดิน[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]สมองของมนุษย์จึงมีรีโมท ลงมาอยู่ที่ฝ่า เท้า จึงมีวิชาเกิดใหม่[/FONT][FONT=&quot]เรียกว่า วิชานวดฝ่าเท้า ที่มีแผนที่ สมองวาดอยู่บนฝ่าเท้า ว่า[/FONT][FONT=&quot]ส่วนนิ้วโป้ง คือ ตำแหน่งหัวใจ กลางฝ่าเท้าคือ กะเพาะอาหารเป้นต้น ฯลฯ[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]มือสองข้างของกายนอก หรือกายหยาบ มีข้างละ [/FONT][FONT=&quot]5 [/FONT][FONT=&quot]นิ้ว สองมือรวมเป็น สิบนิ้ว[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]นิ้วทั้งสิบต่างเป็นอิสระ ไม่ขึ้นต่อกัน และมักใช้เป็น แม่บทในเรื่องความสามัคคี[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ถ้านิ้วทั้งสิบทะเลาะกัน เกี่ยงกันไม่ทำงาน ในที่สุด ร่างกายก็จะอ่อนเพลีย เพราะ ไม่มีนิ้วใหน หยิบอาหารใส่ปาก[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]เราใช้มือสองข้าง ในการหยิบ การจับ การเขียน การสัมผัส การรับรู้[/FONT][FONT=&quot]การติดต่อสื่อสาร การพูดโดยภาษาใบ้ และที่สำคัญ คือการแสดงความเคารพ ต่อ[/FONT][FONT=&quot]กัน และต่อ สิ่งศักดิสิทธิ์[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]บางคนไม่มีมือ พิการทั้งมือและแขน ก็สามารถ ใช้เท้าแทนได้ ดังจะเห็นจากข่าวหนังสือพิมพืบ่อยๆๆ[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]การเคลื่อนไหวของมือ ถูกควบคุมและบังคับโดยสมองส่วนที่เรียกว่า มอเตอร์ คอนโทรล ซึ่งอยู่ข้างๆๆ ขมับบริเวณที่ตั้ง ใบหู[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]คนที่มีปัญหา เลือดและความดัน และการอุดตันของเส้นเลือด จะทำให้[/FONT][FONT=&quot]มีเลือดไปเลี้ยงที่สมองส่วนนี้ไม่พอ นั่นคือ ปริมาณ ออกซิเจนไม่พอเช่นกัน[/FONT][FONT=&quot]จะทำให้สมองชา และส่งผลมายัง มือ ทำให้มือสั่นและชา โดยเพาะที่ปลายนิ้ว[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]คนที่มือชา ก็แปลว่า เป็นโรคหัวใจ และ ระบบเลือดขึ้นสมองไม่พอ[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]มือของกายในหรือกายทิพย์เพื่อนคู่หู ก็มีสองข้างเช่นกัน แต่ทำงามที่สำคัญมากกว่ามากนัก[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ในมือแต่ละข้างจะเป็นตัวแทน หรือเอเย่นท์ หรือรากไม้ที่ยืดออกมาจากต้น เพื่อการ รับและถ่ายพลังโดยเฉพาะ[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]นิ้วแม่โป้ง ที่เอาไว้แสดงการโกรธกันแบบเด็กๆๆ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]เป็นรากดูดพลังของ จักระที่[/FONT][FONT=&quot]1 [/FONT][FONT=&quot]ดูดพลัง สีแดงที่ช่วยด้านการเข้มแข็ง และใช้รักษาโรคร้ายแรง[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]นิ้วชี้ที่ยาวเด่น ใครยิ่งมีนิ้วชี้ที่ยาว หมายถึง[/FONT][FONT=&quot]วาสนาที่จะได้เป้นคุณนายมีมาก เป็นรากดูดของ จักระที่ [/FONT][FONT=&quot]2 [/FONT][FONT=&quot]ดูดพลังสีส้ม[/FONT][FONT=&quot]ซึ่งช่วยในการบริหารจัดการ และรักษา โรคที่ต้องการปรับธาตุ[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]นิ้วกลาง ที่อยู่กลางสุด ใครที่มีนิ้วกลางสูงเด่นมากๆๆ แปลว่า[/FONT][FONT=&quot]เป็นคนยุติธรรม ถ้าสั้นกว่านิ้วอื่น ก็คบไม่ได้ เป็นรากดูดพลัง[/FONT][FONT=&quot]ของจักระที่ [/FONT][FONT=&quot]3 [/FONT][FONT=&quot]สีเหลือง ซึ่งช่วยในด้านสติปัญญา และอัจฉริยะ รักษา[/FONT][FONT=&quot]ให้แผลหายสนิทและเร็ว[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]นิ้วนาง สัญญลักษณ์ของการสวมแหวนแต่งงาน สัญญลักษณ์ของการมีคู่[/FONT][FONT=&quot]เป็นรากพลังของจักระที่[/FONT][FONT=&quot]4 [/FONT][FONT=&quot]คือ หัวใจ คนจึงเอาแหวนมาใส่ไว้ที่นิ้วนี้[/FONT][FONT=&quot]เพื่อให้ใกล้หัวใจที่สุด เป็นรากดูดพลัง สีเขียว ที่ให้ความสดชื่น ความสด[/FONT][FONT=&quot]เหมือนใบไม้สีเขียว รัฏษา โรคที่ร้อน อักเสบ ทำเย็น และหายปวด[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]นิ้วก้อยน้องน้อยสุด ที่ ขี้เกียจและขี้แยมากที่สุด[/FONT][FONT=&quot]มีประโยชน์ใช้แสดงความเป็นมิตร ที่เด็กๆๆ เวลาดีกัน ก็จะ ยกนิ้วก้อยให้[/FONT][FONT=&quot]หรือ หนุ่มสาวที่ มีความรัก ก็จะพากันเดินเกี่ยวก้อยกันไป[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]จะว่า นิ้วก้อยไม่เอาไหนก็ไม่ได้ เป็นรากดูดพลังของจักระที่ [/FONT][FONT=&quot]5 [/FONT][FONT=&quot]ดูดสีน้ำเงินให้อำนาจในการสื่อความ และรักษาโรคในรูปแบบของยาชา[/FONT][FONT=&quot]ลดความเจ็บปวด[/FONT]
    [FONT=&quot]กลางฝ่า[/FONT][FONT=&quot]มือ นั้นเป็นศูนย์รวมการบังคับมือ เป็นรากดูดของ จักระที่ [/FONT][FONT=&quot]6 [/FONT][FONT=&quot]อันทรงพลังที่สุด จักระที่ [/FONT][FONT=&quot]6 [/FONT][FONT=&quot]คือตำแหน่งเดียวกับตาที่สาม ควมคุม ชีวิต ของ[/FONT][FONT=&quot]กายใน ดังนั้นส่วนสำคัญที่สุดของ กายใน รองจาก สมองแล้วก็คือ ฝ่ามือนี่เอง[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]การประกบมือ จึงมีอำนาจมาก และการปรบหรือตบมือ ก็เท่ากับส่งพลังออกไป[/FONT][FONT=&quot]ให้แก่ผู้อื่นโดยทางออ้ม ดังนั้นทุกคนไม่ควรเว้นการปรบมือ[/FONT][FONT=&quot]ในที่ประชุมเพื่อเป็นเกีรตฺแก่คนอื่น เพราะเท่า กับ แผ่บุญ แผ่ความดี[/FONT][FONT=&quot]ความสุขไปให้เขา เราก็ได้บุญด้วยที่ส่งจิตยินดีไปให้เขา.ต่อนี้ไป[/FONT][FONT=&quot]ทุกคนควรจะปรบมือ/ตบมือให้มากที่สุด เพื่อตัวเอง[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]เมื่อ มือและฝ่ามือ เป็นที่เข้า-ออกของพลัง จึงมี วิชาต่างๆๆที่ใช้พลังด้วยมือ เช่น กำลังภายใน ที่ออกฤทธิโดยการผลักและดันฝ่ามือ[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]กำลังภายในนี้มีจริง โดยปกติคนเราจะมีพลังภายในประมาณ [/FONT][FONT=&quot]3-5 [/FONT][FONT=&quot]เมตร[/FONT][FONT=&quot]แต่คนที่ฝึกจะมีพลังหรือกำลังภายในดันได้ไกล [/FONT][FONT=&quot]15-50 [/FONT][FONT=&quot]เมตร[/FONT][FONT=&quot]สามารถวัดกำลังภายในนี้ได้[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]บางกลุ่มก็ใช้พลังจากฝ่ามือ รักษาคน[/FONT][FONT=&quot]โดยการแตะมือถ่ายพลังรักษาให้คนป่วย เช่น กลุ่มพลังจักรวาล พลัง โยเร[/FONT][FONT=&quot]พลังเรกิ หรือ หมอแมะที่เอาปลายนิ้วแตะที่เส้นชีพจร[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]เรามีมือ สองมือ คือ มือซ้ายและมือขวา เท่ากับว่า สายรากดูดพลังแยกออเป็นสองสาย[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ถ้าทำให้สองมือมาประกบติดกัน เป็นหนึ่งเดียว พลังจะมากทวีคูณกว่า สิบเท่าปกติ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]เช่นเดียวกับสมองสองซีก ถ้าตั้งจิตให้มารวมเป็นหนึ่งเดียว[/FONT][FONT=&quot]อำนาจจะมหาศาลที่สุด ที่เรียกว่า " เป็นหนึ่ง) คิดจะทำอะไรก็ได้ โดยเฉพาะ[/FONT][FONT=&quot]อภิญญาทั้งสิบ จะได้หมด[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]โชคดีที่คนไทย และ ชาวพุทธ ทั่วโลก แสดงความเคารพ ต่อ ไตรลักษณ์[/FONT][FONT=&quot]พระพุทธ พระรรม พระสงห์ โดยการไหว้[/FONT][FONT=&quot]ด้วยการประกบมือเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว[/FONT][FONT=&quot]จึงได้พลังมากเป็นพิเศษมากชนชาติอื่น[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]เรามาสารถทดสอบพลังแห่งการรวมมือเข้าด้วยกัน หรือ ประกบมือไหว้ ได้ง้ายๆๆ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ลองยกมือข้างเดียว ขึ้นสวดมนต์ ดูว่า มีพลังที่มือมากใหม[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ลองพนมมือประกบ แล้วสวดมนต์ดู จะเห้นว่า น้ำหนักและขนาดพลัง แตกต่างกันมากนัก[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]กายและตัวตน[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]กายนอก หรือกายหยาบ เป็นเรื่องของสังขาร กายจะประกอบด้วย เนื้อ เลือด[/FONT][FONT=&quot]และกระดูก ตามที่ภาษาอังกฤ[/FONT][FONT=&quot]K[/FONT][FONT=&quot]เรียกว่า [/FONT][FONT=&quot]Flesh Blood and Bone [/FONT][FONT=&quot]ในภาษาพระเราเรียกว่า กายปรพกอบด้วยธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ[/FONT][FONT=&quot]และแถมด้วย วิญญาณ[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]กายมีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ตามคำอธิบายของพระพุทธองค์ในเรื่อง อริยะสัจจะสี่[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ตุทั้งสี่เมื่อสมดุลย์ ก็จะทำให้ คนมีหูมีตา มีจมูก ฯลฯมีอาการครบ [/FONT][FONT=&quot]32 [/FONT][FONT=&quot]มีความสุขตามอัตภาพ ของชาติพันธุ์ อายุเฉลี่ยของกายนอก ประมาณ [/FONT][FONT=&quot]65-75 [/FONT][FONT=&quot]ปี[/FONT][FONT=&quot]ขึ้นอยู่กับวิธีการกินอยู่ที่ถูกอนามัยหรือไม่[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]กายในหรือกายทิพย์ เป็นอีกกายในอีกมิติ ที่ซ้อนกันอยู่[/FONT][FONT=&quot]เป็นกายที่มีพลังงานเป็นแสง มีเค้าโครงรูปร่างที่เหมือนเงาตามตัว[/FONT][FONT=&quot] (Silhluette) [/FONT][FONT=&quot]เป็นร่างพลัง ที่มีสีแสง หรือ แสงกายทิพย์ หรือ ออร่า[/FONT][FONT=&quot]นั่นเอง[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]สีของกายใน ขึ้นอยู่กับ ความถี่ของคลื่นแสง อันเป็นผลรวมมาจากพฤฒิกรรม ของหลายภพหลายชาติที่ได้ ปรับตัวมาจนถึงปัจจุบัน[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]กายทิพย์สีแดง แปลว่าที่ผ่านมา ทำอะไร เด็ดขาด[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]กายทิพย์สีแสด แปลว่า ที่ผ่านมา ทำบริหารจัดการดี[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]กายทิพย์สีน้ำเงิน แปลว่า สื่อสาร และสอนคนอื่นได้ดี[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]กายทิพย์ สีเขียว แปลว่า ใจดี มีกรุณาเมตตามาตลอด[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]กายทิพย์สีม่วง แปลว่า สวดมนต์ไหว้พระ ปฏิบัติดี[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]กายทิพย์สีคราม แปลว่า เป็นร่างทรง ติดต่อ เบื้องบน ได้[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]กายทิพย์สีขาว แปลว่า มีจิตบริสูทธิมาตลอด[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]กายทิพย์สีเงิน แปลว่า เป็นมนุษย์ต่างดาวแอบมาเกิด[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]กายทิพย์สีทอง แปลว่า เทวดา/พญานาค มาเกิด ช่วยมนุษย์ตามที่ได้รับปากไว้กับ พระพุทธองค์ ช่วง [/FONT][FONT=&quot]25 [/FONT][FONT=&quot]ศตวรรษ สุดท้าย[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]การเกิด[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]กายหยาบ เวลาปฏิสนธิแล้ว ตัวอ่อนจะได้ อาหารธาตุผ่านสายสะดือเข้ามา[/FONT][FONT=&quot]สายสะดือเป้นทางเข้าของอาหาร และเป็นทางถ่ายของเสียจากตัวอ่อนเช่นกัน[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]เมื่อเกิดมาแล้ว สายสะดือก็จะถูกตัดออกไป ไม่มีทางอื่น[/FONT][FONT=&quot]เด็กที่เกิดมาจึงต้องกินอาหารทางปาก เมื่อโตขึ้นอาจจะมีปัญหาทางปาก[/FONT][FONT=&quot]หมอก็จะเจาะคอ ใส่ท่ออาหารลงไป หรือ ให้น้ำเกลือ ฉีดสารอาหารเข้าเส้น[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]การกินอาหาร ก็ต้องมีระบบ ที่ซับซ้อนมาดำเนินการ อาหารต้องผ่านปาก[/FONT][FONT=&quot]กะเพาะอาหาร ลำใส้ ตับเรื่องน้ำย่อย ลำใส้เล็ก ถุงน้ำดี ลำใส้ใหญ่[/FONT][FONT=&quot]และมีการดูดซึมธาตุอาหารที่เป็นปุ่มอยู่ที่ตลอดผนังลำใส้[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ของเสียที่เป็นของเหลว ก็จะถูกขับผ่านไต และระบบ ปัสสาวะ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ของแข็งก็จะผ่านระบบขับถ่ายออกทางทวาร[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ของเหลวแกส ก็จะถูกขับออกทาง ปอด และปากในการหายใจ[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]คนเรามีระบบ อวัยวะต่างๆๆมาช่วยกันเพื่อให้ได้ธาตุอาหาร มากมาย[/FONT][FONT=&quot]ยิ่งมาก ยิ่งมีจุดอ่อน คนเราจึงมีโอกาสสูงมาก ที่จะป่วยในทุกระบบ[/FONT][FONT=&quot]เราจึงต้องมี โรงพยาบาล คนฐานะสูงมีทรัพย์ก็สะบาย คน ทรัพย์น้อย ก็ จ่าย[/FONT][FONT=&quot] 30 [/FONT][FONT=&quot]บาท[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]กายใน[/FONT][FONT=&quot]หรือกายละเอียดนั้น เมื่อ กายหยาบปฏิสนธิเป็นร่างขึ้นมา[/FONT][FONT=&quot]มีระบบส่งอาหารโดยผ่านสายสะดือ เมื่อตัวอ่อนเป็นร่างขึ้นมาเป็นตัวเป็นตน[/FONT][FONT=&quot]ก็จะมีสรีระของกาย ที่สำคัญคือ ศีรษะ[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]บนศีรษะจะมีจุดหมุนเหมือนวังน้ำวน ที่ต่อมาเราเรียกว่า "ขวัญ"[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ปกติคนเราจะมี ขวัญเดียว ที่ตอนเด็กได้ยินคนเก่าผู้เฒ่าบอกว่า " ขวัญเดียว อีเปรี้ยวขายปู"ไม่รู้ว่า หมายความว่า อย่างไร[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]บางคนมีสองขวัญ ที่ผู้เฒ่าบอกเช่นกันว่า " สองขวัญขยันหาเมีย" คิดว่า บางคน คงจะเคยได้ยินมาก่อน[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]บางคนมี สามขวัญ นับว่า แปลก บางคนขวัญมาอยู่ข้างหน้า เหนือหน้าผาก[/FONT][FONT=&quot]คนที่มีขวัญเดียวที่หน้าผาก เป็นคนพิเศษ เป็นผู้มีฤทธิมาเกิด[/FONT][FONT=&quot]ใครมีเพื่อนที่มีขวัญเดียวที่หน้าผาก คบๆๆ ซุๆๆ เขาไว้ให้ดี แล้วจะได้ดี[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]จุดหมุนวังน้ำวนที่เรียกว่าขวัญ เป็นจุดเข้าของพลังของกายใน[/FONT][FONT=&quot]เทียบเท่ากับปากของกายนอก เป็นพลังที่ถือว่า เป็นพลังชีวิต[/FONT][FONT=&quot]และเป็นที่ตั้งของ จักระที่ [/FONT][FONT=&quot]7 [/FONT][FONT=&quot]อย่างแท้จริง[/FONT][FONT=&quot]ไม่ใช่ที่กลางกระหม่อมดังที่อยู่ในตำราต่างๆๆโดยเฉพาะ พลังจักรวาล[/FONT][FONT=&quot]พลังโยเร พลังเรกิ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]คนที่มีตาปกติ ก็จะเห็นว่า บนศีรษะปอยผมจะวนเป็นวงก้นหอย[/FONT][FONT=&quot]เพื่อแสดงรัศมีการดูด ถ้าไม่ได้เป็นจุดดูดพลังจริงๆๆ[/FONT][FONT=&quot]บริเวณส่วนนั้นก็ควรจะเป็นตำแหน่งที่ ผมขึ้นมาตรงๆๆ เหมือนต้นข้าวในนา[/FONT][FONT=&quot]ไม่ต้องมีการวนให้เสียทรงและรูปลักษณะ[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]เมื่อกายหยาบคลอดออกมาสู่ภายนอก ระบบ ปอดและหัวใจจะทำงาน[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ถ้าไม่ทำงาน หมอก็จะควักของเหลวของแข็งที่ค้างอยู่ในจมูกปากออกให้หมดแล้วตบก้นให้ตกใ[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ทารกก็จะผวาตื่น หายใจเฮือกแรก และร้องไห้จ้า อันเป็นสัญญลักษณ์ว่า[/FONT][FONT=&quot]อีกหนึ่งชีวิตได้เกิดมาแล้ว เพื่อ รับ กรรม ที่จะตามมาเป็นลำดับ คือ[/FONT][FONT=&quot]การแก่ การเจ็บ และการตาย[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ถ้าใครไม่เข้าใจว่า ขบวนการทั้งหมดที่เห็นนั้นที่แท้จริงเป็นทุกข์ แล้วจะใฝ่หาทางพ้นทุกข์ใหม..ถ้าฉลาดและมีปัญาพ[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]เมื่อเกิดมาแล้ว พลังชีวิตก็จะผ่านเข้ามาที่ ร่องขวัญที่อยู่บนศีรษะ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]กายในนั้น ต้องการอาหารเช่นกัน ตัวกายในเป็นพลังงาน เป็นแสง จึงต้องการพลังงานและแสงเข้าไปเติมให้เต็มตลอดเวลาเพื่อความคงทนของกายใน[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]แสงมีอยู่ในจักวาล โดยระบบของเราคือระบบสุริยะ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]มีแสงแดด[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]แสงแดด ที่มองเห็นเป็นสีขาว เมื่อผ่านแท่งปริซึมแก้วก็จะแยก ออกเป็นเจ็ดสี[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]แสงแดดเมื่อผ่านละอองน้ำหลังฝนตกก็จะกระจายสีออกเป็นเจ็ดสีอันสวยงามที่เรียกว่า " รุงกินน้ำ[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]พวกเราเห็นกันแทบทุกครั้งหลังฝนตกน้อยๆๆ มีสองตัวบ้าง สามตัวบ้างเป็นชั้น[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]เมื่อมองไปที่รุ้งกินน้ำคราใด เราจะมองเห็นความสวยงามของธรรมชาติที่ช่างจัดสรรค์ให้เป็นของขวัญแก่มนุษย์ที่ง่ายดายและเป็นธรรมชาติ[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]เมื่อกายในจะต้องกินแสงเป็นพลังเพื่อความคงทนของกายใน จึงมีระบบกินแสงของกายในเป็นพิเศษ ที่เรียกว่า "จักระทั้งเจ็ด[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]แสงแดดเมื่อแยกออกจะมีเจ็ดสี คือ สีม่วง สีคราม[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]สีน้ำเงิน สีเขียว สีเหลือง สีส้ม และสีแดง[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ในการดูดซึมพลังแสงเข้าตัวกายใน มีอุปกรณ์ที่เรียกว่า จักร[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]จักระ เป็นอุปกรณ์ที่เหมือนฝักบัว มีขนาดประมาณเส้นผ่าศูนย์กลาง [/FONT][FONT=&quot]2 [/FONT][FONT=&quot]น้ว[/FONT][FONT=&quot]ลอยอยู่ห่างจากกายหยาบประมารณ[/FONT][FONT=&quot]1.5 [/FONT][FONT=&quot]นิ้ว หมุนด้วยความเร็วเหมือนใบพัดลมดูดลม[/FONT][FONT=&quot]แต่ดูดแสงแทน[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]จักระที่ [/FONT][FONT=&quot]1 [/FONT][FONT=&quot]อยู่ตรงก้นใกล้ฝีเย็บ ระหว่างช่องทวารกับช่องปัสสาวะ ดูดแสงสีแดง เพื่อ เป็นพลังหลักของงชีวิต[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]จักระที่ [/FONT][FONT=&quot]2 [/FONT][FONT=&quot]อยู่ตรงก้นกบ ดูแสงสี แสด เพื่อให้พลังแก่ระบบ สืบพันธ์และอวัยวะที่เกี่ยวข้อง[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]จักระที่ [/FONT][FONT=&quot]3 [/FONT][FONT=&quot]อยู่เหนือสะดือเล็กน้อย ดูดแสงสี เหลือง เพื่อให้พลังแก่ระบบ ย่อยอาหารและอวัยวะที่เกี่ยวข้อง[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]จักระที่ [/FONT][FONT=&quot]4 [/FONT][FONT=&quot]อยู่ในตำแหน่งระดับ หัวใจ ดูดแสงสีเขียว เพื่อให่พลังแก่ระบบการหายใจ อันมีหัวใจ และปอดเป็นหลัก[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]จักระที่ [/FONT][FONT=&quot]5 [/FONT][FONT=&quot]อยู่ระดับลำคอ ดูดแสงสี น้ำเงิน ให้เพลังแก่ระบบ สื่อสาร ช่นการพู[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]จักระที่ [/FONT][FONT=&quot]6 [/FONT][FONT=&quot]อยู่ระหว่างคิ้ว อันเป็นตำแหน่งเดียวกับตาที่สาม ดูดพลังสี คราม/ม่วง เป็นพลังหลักในการควบคุมการคงอยู่ของกายในทั้งหม[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]จักระที่ [/FONT][FONT=&quot]7 [/FONT][FONT=&quot]อยู่ที่ขวัญบนศีรษะ ดูดพลังสีม่วง([/FONT][FONT=&quot]Violet) [/FONT][FONT=&quot]ให้พำลังในการทำสมาธิและพลังในการสื่อสารกับเบื้องบน[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ตำแหน่งของจักระดังรูป ซึ่งจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดอย่างมากกับต่อมไร้ท่อ[/FONT][FONT=&quot]
    <!--[if gte vml 1]><v:shapetype id="_x0000_t75" coordsize="21600,21600" o:spt="75" o:preferrelative="t" path="m@4@5l@4@11@9@11@9@5xe" filled="f" stroked="f"> <v:stroke joinstyle="miter"/> <v:formulas> <v:f eqn="if lineDrawn pixelLineWidth 0"/> <v:f eqn="sum @0 1 0"/> <v:f eqn="sum 0 0 @1"/> <v:f eqn="prod @2 1 2"/> <v:f eqn="prod @3 21600 pixelWidth"/> <v:f eqn="prod @3 21600 pixelHeight"/> <v:f eqn="sum @0 0 1"/> <v:f eqn="prod @6 1 2"/> <v:f eqn="prod @7 21600 pixelWidth"/> <v:f eqn="sum @8 21600 0"/> <v:f eqn="prod @7 21600 pixelHeight"/> <v:f eqn="sum @10 21600 0"/> </v:formulas> <v:path o:extrusionok="f" gradientshapeok="t" o:connecttype="rect"/> <o:lock v:ext="edit" aspectratio="t"/> </v:shapetype><v:shape id="_x0000_i1025" type="#_x0000_t75" alt="" style='width:292.5pt; height:243pt'> <v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image001.jpg" o:href="http://www.phithan-toyota.com/news/images/chakra%201.jpg"/> </v:shape><![endif]--><!--[if !vml]--><!--[endif]-->

    [/FONT][FONT=&quot]ชื่อและตำแหน่งของจักระหลัก[/FONT][FONT=&quot]

    1 Muladhara
    [/FONT][FONT=&quot]มูลลัดดา [/FONT][FONT=&quot]Base
    [/FONT][FONT=&quot]ระหว่างอวัยวะสืบพันธุ์และทวารหนัก [/FONT][FONT=&quot]Adrenals
    [/FONT][FONT=&quot]ต่อมคุมเกลือและแร่[/FONT][FONT=&quot]
    2 Svadhistana
    [/FONT][FONT=&quot]สวัสดิ์ธนา [/FONT][FONT=&quot]Sacral (hara , dantian)
    [/FONT][FONT=&quot]ปลายกระดูกสันหลังใต้ก้นกบ [/FONT][FONT=&quot]Gonals
    [/FONT][FONT=&quot]ต่อมเพศ[/FONT][FONT=&quot]
    3 Manipura
    [/FONT][FONT=&quot]มณีปูระ [/FONT][FONT=&quot]Solar Plexus
    [/FONT][FONT=&quot]สันหลังบริเวณเอว [/FONT][FONT=&quot]Pancreas
    [/FONT][FONT=&quot]ต่อมหมวกไต[/FONT][FONT=&quot]
    4 Anahata
    [/FONT][FONT=&quot]อนัตตา [/FONT][FONT=&quot]Heart
    [/FONT][FONT=&quot]ตรงกระดูกสันหลัง ระดับเดียวกับหัวใจ [/FONT][FONT=&quot]Thymus
    [/FONT][FONT=&quot]ต่อมไทมัส[/FONT][FONT=&quot]
    5 Vishudha
    [/FONT][FONT=&quot]วิสุทธิ [/FONT][FONT=&quot]Throat
    [/FONT][FONT=&quot]กระดูกต้นคอ [/FONT][FONT=&quot]Thyroid
    [/FONT][FONT=&quot]ต่อมไทรอยด์[/FONT][FONT=&quot]
    6 Ajna
    [/FONT][FONT=&quot]อัจนา [/FONT][FONT=&quot]Third Eye
    [/FONT][FONT=&quot]กลางหน้าผาก [/FONT][FONT=&quot]Pituitary
    [/FONT][FONT=&quot]ต่อมพิททูอิเทรี่[/FONT][FONT=&quot]
    7 Sahasra
    [/FONT][FONT=&quot]สหัสรา [/FONT][FONT=&quot]Crown
    [/FONT][FONT=&quot]อยู่เหนือกลางกระหม่อม [/FONT][FONT=&quot]Pineal
    [/FONT][FONT=&quot]ต่อมไพนีล[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]มนุษย์[/FONT][FONT=&quot]ถูกสร้างขึ้นในแลป อวกาศ ร่างกายจะเป็นสองซีก คือซีก ซ้ายกันซีกขวา เมื่อ[/FONT][FONT=&quot]ประกอบอวัยวะภายในที่ได้พยายามแก้ไขดัดแปลงส่วนและระบบให้เข้าที่[/FONT][FONT=&quot]เหมือนเราประกอบชิ้นส่วนภายในของรถยนต์[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]เมื่อประกอบเสร็จก็ เอามารวมกันเป็นชิ้นเดียว แล้วใส่พลังชีวิตเข้าไป มนุษย์ก็จะเป็นหุ่นยนต์ที่มีชีวิต[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]เรา[/FONT][FONT=&quot]สามารถตรวจได้ว่า เราเป็นสองซีกจริงหรือไม่ ตามต้นฉบับแรก[/FONT][FONT=&quot]ให้ลองสำรวจดูตัวเราว่า แผงหน้าอก จะมีรอยต่อของซีก[/FONT][FONT=&quot]อยู่ตามรอยผิวและรอยวรแผงขนหน้าอก ยาวลงมา ถึงท้องน้อย ผ่านไป ยังฝีเย็บ[/FONT][FONT=&quot]แล้วเลยขึ้นไปที่หลัง ที่แปลกคือ ที่ถุงห้อยอัญฑะ นั้น[/FONT][FONT=&quot]ตัวถุงก็ยังแบ่งครึ่งมาประกบกันให้เห็นชัดๆๆ ไม่เชื่อก็ลองมองดู ครับ[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]มีออวัยวะ หลายชิ้นที่แยกเป็นสองซีก เป็นซ้ายและขวา[/FONT][FONT=&quot]เมื่อใดที่นำมาประกบเป็นชิ้นเดียว จะเกิดพลังอำนาจที่ รุนแรงที่สุด[/FONT][FONT=&quot]ตามที่เรียกกันว่า มวลวิกฤตฺ หรือ [/FONT][FONT=&quot]Critical Mass [/FONT][FONT=&quot]ถ้าควบคุมพลังชีวิตได้[/FONT][FONT=&quot]ร่างกายนั้นก็จะคงอยู่[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ถ้าคุมไม่ได้ มนุษย์คนนั้น ถ้าเกิด การสั่นด้วยความถี่ที่ลงตัว[/FONT][FONT=&quot] (Resonance) [/FONT][FONT=&quot]จะเกิดการลุกไหม้ร่างกายที่ ฉับพลัน ละลายหายไปในเวลาไม่ถึง [/FONT][FONT=&quot]3 [/FONT][FONT=&quot]นาที จะไม่มีซากให้เห็น จะเห็นแต่ผลของความร้อนที่มีผลต่อ[/FONT][FONT=&quot]สิ่งรอบข้างเช่น รอยไฟใหม้[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]มีรูปถ่ายเหตุการณ์ไฟไหม้ตัวคนทั้งเป็นนี้ได้ เป็นภาพที่น่ากลัวมาก วันหลังจะเอารูปลงมาให้ดู[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]อวัยวะ สองชิ้นที่แยกกันถ้าใช้พลังจิตดึงเอามารวมกันก็จะได้ อำนาจและพลังที่มหาศาล[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]สมองสองข้างที่แยกกันเป็นซ้ายขวา ถ้าใครสามารถใช้พลังจิตสมาธิดึงเอามารวมกันได้ ก็จะเป็นหนึ่ง มีอำนาจตามที่ว่า[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]มือสองข้างถ้านำมารวมกันโดยการประกบ ของจุด จักระ ทั้ง [/FONT][FONT=&quot]6 [/FONT][FONT=&quot]พลังที่เข้า-ออก จะมหาศาลเเช่นกัน[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ฝ่าเท้าสองข้างซึ่งเป้น ระบบแยกส่วน หรือ รีโมท ของสมองถ้าเอามารวมประกบกัน ก็จะเป็นเท้าหนึ่งเดียว มีพลังมหาศาล[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]หูมีสองข้าง ถ้าใช้จิตสามธิดึงให้มาติดกันทางมิติได้ เขาก็จะมีหูทิพย์ อันน่ามหัศจรรย์[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ร่างกาย เมื่อมีการคงอยู่โดยหลักการของ เมตาบอริสสึ่ม การเผาผลาญอาหารธาตุที่ละลายอยู่ในเลือด[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ได้อาหารธาตุที่เหมาะแก่ ระบบและอวัยวะต่างๆๆ ของร่างกาย[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]จะมีผลเหนี่ยวนำทำให้เกิดขบวนการ เคมี-ชีวะ-ไฟฟ้า ([/FONT][FONT=&quot]Bio3Chemical Electric)
    [/FONT][FONT=&quot]หรือที่เราเรียกว่า หยิน-หยาง[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]หยิน กับหยาง ถ้าไม่สมดุลย์ กายก็จะเป็นปัญหาทีไฟฟ้าที่ไม่ลงตัว[/FONT][FONT=&quot]มีมากเกิน เอามือไปจับอะไร ไฟก็จะดูด เข้าบ้านใคร ไฟเขาก็ดับทั้งบ้าน[/FONT][FONT=&quot]เข้าใกล้เคื่องคอม กับเครื่องอิเลคโตรนิคต่างๆๆ ของงจะเสียหมด[/FONT]
    [FONT=&quot]คนที่มี[/FONT][FONT=&quot]ปัญหาเรื่องไฟฟ้าดูด เข้าใกล้คน เข้าใกล้คอม เครื่องอิเลคโตรนิค ของจะเสีย[/FONT][FONT=&quot]แก้ได้โดย พยามปล่อยไฟลงดิน กราวนด์ โดยการ เดินเท้าเปล่า ลงเหยียบหญ้า[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]หรือ เอามือกอดรอบๆ ต้นไม้ใหญ่ ไฟฟ้าส่วนเกินก็จะลงดิน[/FONT][FONT=&quot]ปรับไฟฟ้าในตัวให้สมดุลย์ ปัญหา เรื่องไฟดูด ทำไฟบ้านดับ[/FONT][FONT=&quot]เครื่องใช้ไฟฟ้าพังก็จะหายไป[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]มนุษย์[/FONT][FONT=&quot]เราเรียนรู้วิชา วิศวพันธุกรรม วิชาโคลนิ่ง หรือ วิชา ทำก๊อปปี้ มนุษย์[/FONT][FONT=&quot]การปลูกอะไหล่ชิ้นส่วนอวัยวะ มนุษย์เพื่อใส้แทนอวัยวะอื่นที่เสีย[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ซึ่งในที่สุด มนุษย์ก็จะมาถึงการสร้างมนุษย์ใหม่ในอวกาศ[/FONT][FONT=&quot]แล้วนำไปปล่อยในดาวเคราะห์อื่นทำเหมือนกับที่ เอเลี่ยน หรือ[/FONT][FONT=&quot]มนุษย์ต่างดาวเคยทำกับที่โลกนี้มาก่อน และเราก็จะเป็นเอเลี่ยนของโลกนั้น[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]เราก็จะสร้างโลกใหม่ แทนโลกที่อยู่นี้ ซึ่งจะพังและสลายไป[/FONT][FONT=&quot]จนไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ โดยจะเป็นโลกที่แห้งตายซาก[/FONT][FONT=&quot]เหมือนกันกับเหตุการณ์ในอดีต พันล้านปี ที่เกิดกับ ดาวอังคารและดาวศุกร์[/FONT][FONT=&quot]และโลกนี้ ก็จะเป็นรายต่อไปจาก ดาว อังคาร และดาวศุกร์ และในอีกนานไกล[/FONT][FONT=&quot]มนุษย์ก็จะไปอยู่ ณ ที ใหม่ที่ไกลโพ้นออกไป[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]อีกไม่เกิน สามร้อยปีจากนี้ไป เหตุการณ์แรกที่จะเห็นชัด คือ โลก[/FONT][FONT=&quot]จะเหลือมหาสมุทรเพียงสองแห่ง คือ แอตแลนติค กับ แปฟิก น้ำจืดจะไม่พอใช้[/FONT][FONT=&quot]และผลนั้นเกิดจากการกระทำของมนุษย์เราเอง[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]การที่ตัวเราสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ จาก กายสังขาร และ เราก็สามารถทำสมาธิให้เกิดไฟฟ้าใกยทิพย์และจิตได้เช่นกัน[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]โลกเรา พื้นดินจะมีประจุไฟฟ้าลบ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ถ้าทำให้จิตเกิดกระแสไฟฟ้า ลบ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ประจุไฟฟ้าลบ จะผลักกัน[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ตัวคนก็จะลอยขึ้นได้ ดังเเช่นพวก ฤาษีในอินเดียบางคนนั่งทำสามาธิจนทำให้ตัวลอยได้[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]และในไม่ช้าหลักการนี้ เราวสามารถนำมาสร้างยวดยานที่ลอยได้ สร้างยานอวกาศออกไปนอกโลกได้[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]กายนอก[/FONT][FONT=&quot]เป็นธาตุแห่งสังขารและอวัยวะ จึงมีการเสื่อมและเจ็บป่วย[/FONT][FONT=&quot]และบำบัดด้วยสารเคมี ซึ่งได้ผลเพียงเฉพาะหน้า แต่มีผลเสียข้างเคียง ([/FONT][FONT=&quot]Side Effect) [/FONT][FONT=&quot]มากมาย[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ต่อมามนุษย์ที่ได้ก้าวหน้าไปไกล ได้ถึงจุดที่จะกลับมามองแนวชีวิตใหม่ ไม่ใช่แนววัตถุนิยม ซึ่งแทบทั้งหมด ฝืนและทำลายธรรมชาติ[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]แนวชิวิตใหม่ให้เป็นไปตามธรรมชาติ โดยจะเห็นได้ว่า[/FONT][FONT=&quot]บรรดาสัตว์ทั้งหลายโดยปกติไม่มี โรงพยาบาล[/FONT][FONT=&quot]ยกเว้นโรงพยาบาลสัตว์ที่คนตั้งขึ้นมา ไม่ใช่สัตว์เป็นผู้ตั้ง[/FONT][FONT=&quot]แต่พวกสัตว์เหล่านั้นก็อยู่ดีกินดี ในธรรมชาติ อยู่ได้อย่างไร[/FONT][FONT=&quot]คำตอบคืออยู่กับธรรมชาติ[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]นักวิชาการบางคนจึงได้ศึกษาว่า สัตว์อยุ่กันอย่างไร เช่นเห็นว่า นก[/FONT][FONT=&quot]ไก่ และสัตว์บิน จะหากินตอนเเช้ พอช่วงบ่าย [/FONT][FONT=&quot]1-4 [/FONT][FONT=&quot]โมง มันจะเข้านอน และ[/FONT][FONT=&quot]ตื่นออกมาหากินใหม่ตอนเย็นอีกครั้ง จนมืด[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]เราจึงเลียนแบบมันเพื่อให้เป็นไปตามธรรมชาติ คือ ประเทศอิตาลี[/FONT][FONT=&quot]และปประเทศอื่นอีกบางประเทศ จะ เข้านอนตอนบ่าย แล้วตื่นมาทำงานต่อ[/FONT][FONT=&quot]อีกตอนเย็น จนถึงสามทุ่มจึงเลิกงานกลับบ้าน[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]นัก[/FONT][FONT=&quot]วิชาการบางคน เริ่มศึกษาหการกินอาหารตามธรรมชาติ ตั้งแต่ยุคมนุษย์ต้นแบบ[/FONT][FONT=&quot]โดยดูจากสัตว์บางประเพศที่ใกล้ตัวคน เช่น ลิง นก กระรอก กระแต ฯลฯ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]โดยเฉพาะสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร เพราะหลักการเริ่มต้นมีว่า มนุษย์ดั้งเดิมกินพืช ไม่ใช่อาหารเช่นในปัจจุบัน[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]จะเห็นว่า พวกสัตว์จะกินผลไม้ที่สุก ตามธรรมชาติ จะไม่กินดิบ[/FONT][FONT=&quot]เหล่าแมลงจะไม่กิน ลูกไทร เมื่อไม่สุก นก จะไม่กิน ลูกตะขบที่ดิบ[/FONT][FONT=&quot]ไม่กินข้าวที่รวงยังเขียว[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]กระรอกจะไม่เจาะมะพร้าวเมื่อยังเขียวมากๆๆ ยังไม่เป็นมะพร้าวอ่อน[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ธรรมชาติสร้างและกำหนดให้ สัตว์เหล่านั้นกินเฉพาะผลไม้ที่สุก[/FONT][FONT=&quot]จึงมีคนจำนวนมาก เริ่มมาเลียนแบบสัตว์ โดยกินเฉพาะ[/FONT][FONT=&quot]ผลไม้สุกอย่างเดียวเป็นอาหาร ไม่มีการกินเนื้อ สัตว์แต่อย่างใด[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]และกินสมุนไพรจากธรรมชาติในการบำบัดโรค โดยไม่ใช้สารเคมีอีก่อไป[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ดูหลักแล้ว น่าจะดี[/FONT]
    [FONT=&quot]รูปแบบ[/FONT][FONT=&quot]ของชิวิตในจักรวาล เช่นในโลกเราหรือดาวเคราะห์ดวงอื่น มีหลักอยู่ข้อหนึ่ง[/FONT][FONT=&quot]ทุกสิ่งที่มีชีวิตจะต้องมีพลังงาน และพลังงานหลัก คือแสง[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]แสงได้จากดาวฤกษ์เช่นดวงอาทิตย์ของเรา[/FONT][FONT=&quot]ถ้าโลกมนุษย์ไม่มีแสงจากดวงอาทิตย์เพียง [/FONT][FONT=&quot]7 [/FONT][FONT=&quot]วัน[/FONT][FONT=&quot]สิ่งที่มีชีวิตทุกอย่างจะตายหมด ในแต่ละดาวเคราะห์[/FONT][FONT=&quot]จะมีพื้นฐานของธาตุที่ไม่เหมือนกัน[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]การดำรงอยู่ของชีวิตก็ต้องขึ้นอยู่กับสภาวะของดาวเคราะห์นั้น[/FONT][FONT=&quot]บางโลกโครงสร้างสิ่งที่มีชีวิต จะมีมวลน้อย และมีพลังมาก บางโลก[/FONT][FONT=&quot]มีมวลมากก็จะมีพลังน้อย มนุษย์เราอยู่ในประเภทหลัง[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]โลกมนุษย์เรามีธาตุสำคัญ คือ ไฮโดรคาร์บอน คือมี คาร์บอน ไฮดดรเจน[/FONT][FONT=&quot]ออซิเจนเป็นหลัก มนุษย์มีมวล ประมาณ [/FONT][FONT=&quot]93 % [/FONT][FONT=&quot]มีส่วนที่เป็นพลังงานเพียง[/FONT][FONT=&quot]ไม่เกิน [/FONT][FONT=&quot]7 % [/FONT][FONT=&quot]นับว่าล้าหลังมากเมื่อเทียบกับที่อื่น[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]จะออกไปนอกโลก ไปอวกาศแต่ละครั้งมีปัญหามากมาย[/FONT][FONT=&quot]อีกไม่ช้ามนุษย์ก็จะพัฒนาตัวเอง หัดกินแสงเป็นอาหารพลังงานหลัก[/FONT][FONT=&quot]ไม่ต้องอ้อมค้อมกินอ้อมโลกมาแต่ไกล เมื่อกินไปเรื่อยๆๆ ต่อไป[/FONT][FONT=&quot]ระบบอวัยวะต่างๆๆที่ทำงานอยู่ก็จะปรับตัว หดหายไป เรื่อยๆๆ เปอร์เซ็นต์ของ[/FONT][FONT=&quot]มวลกับพลังงาน จะเปลี่ยนไป สัดส่วนของมวลจะน้อยลง[/FONT][FONT=&quot]และสัดว่วนของพลังงานจะมากขึ้น[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]และเมื่อถึงเวลานั้น มนุษย์บนโลกก็จะไปใหน มาใหนในอวกาศได้สะดวก[/FONT][FONT=&quot]เราก็จะกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวสำหรับโลก อื่น[/FONT][FONT=&quot]ในทำนองเดียวกับที่มีมนุษย์จากโลกอื่นมาเยี่ยม เราในปัจจุบัน[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]กายหยาบ[/FONT][FONT=&quot]หรือกายนอกของมนุษย์มีระบบประสาทอยู่ทั่วตลอดร่าง มีอยู่สองระบบ คือ[/FONT][FONT=&quot]ระบบที่ควบคุมไม่ได้ บังคับไม่ได้ เช่น การเต้นของหัวใจ การย่อยอาหาร[/FONT][FONT=&quot]การทำงานของไต ฯลฯ เราจะบังคับให้ ระบบที่ว่า นั้นให้ทำงานเร็วขึ้น[/FONT][FONT=&quot]หรือให้หยุดไม่ได้[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ระบบที่สอง เราบังคับ สั่งการได้ เช่น เราสั่งให้งอมือ สั่งให้ขาก้าวเดิน สั่งให้หยิบของ ฯลฯ ได้[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ระบบประสาทให้ความปลอดถัยต่อสภาพชีวิต เช่นเมื่อมือถูกไฟ[/FONT][FONT=&quot]เราจะชักมือกลับทันที เราถูกมีดบาดที่มือ เราจะรู้สึกเจ็บ[/FONT][FONT=&quot]เราจะชักมือกลับเช่นกัน[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ทั้งหมดเป็นการให้ความปลอดภัยของ กายนอก[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]กายในที่เป็นเงาแฝดของเราก็มีระบบป้องกันภัยของเขาเช่นกัน โดยเราไม่ได้ใสใจที่จะรู้[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]แสงรัศมีของกายใน หรือที่เรียกว่า ออร่า จะมีรูปร่างขยายใหญ่กว่า[/FONT][FONT=&quot]กายหยาบ ออกไปหลายเท่า เท่ากับความหนาของ ชั้นแสงทั้ง [/FONT][FONT=&quot]7 [/FONT][FONT=&quot]ที่ซ้อนๆๆกันไป[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]โดยปกติจะมีความหนาประมาณ [/FONT][FONT=&quot]2.5 - 5 [/FONT][FONT=&quot]เมตรโดยเฉลี่ย แต่สำหรับบางคนอาจจะมีรัศมีออกไปไกลมากกว่า ปกติ อาจจะไปไกลถึง [/FONT][FONT=&quot]50 [/FONT][FONT=&quot]เมตร[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]คนที่มีพลังจิตดี มีสมาธิดี ฝึกเพ่ง ทำกสิญจ์จะมีรัศมีออร่าไกลกกว่าคนธรรมดา[/FONT]
    [FONT=&quot]ออร่าของ[/FONT][FONT=&quot]มนุษย์ อาจจะเทียบได้กับ รีโมทของกายใน เมื่อ กระทบกับ ออร่าของคนอื่น[/FONT][FONT=&quot]ก็จะรู้ข้อมูล[/FONT][FONT=&quot],[/FONT][FONT=&quot]พื้นฐานของคนอื่น ว่า เขาเป็นอย่างไร เป็นคนดี คนเลว[/FONT][FONT=&quot]เขากำลังคิดอะไร เขากำลังจะทำอะไร[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]นั่นคือเมื่อสัมผัสได้ ก็เท่ากับอ่านจิต เขาได้ เราจะได้รู้ก่อน[/FONT][FONT=&quot]คนที่มีออร่าไกล จึงได้เปรียบเหมือนคนที่มีอาวุธยาว ย่อมได้เปรียบ[/FONT][FONT=&quot]คนที่มีอาวุธสั้น เมื่ออยู่ในระยะห่าง เเท่กับเตือนให้เราได้รู้ตัว[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ที่มอและที่เท้าของกายหยาบก็มีออร่า ขนาดโตกว่า กายนอกนั้น และใช้ป้องกันภัยได้เช่นกัน[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]เมื่อมีคลื่นหรือพลังพิเศษมา ก็จะสัมผัสได้ และจะทำให้ได้รู้ก่อน[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ออร่าของกายใน ช่วยกายนอกได้ เพราะต้องอยู่ร่วมกัน เพราะถ้ากายนอกตาย กายในก็ต้องแยกออกไป[/FONT]
    [FONT=&quot]เวลาเรากินอาหาร[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ขณะที่เราเอาอาหารเข้าปาก นั้น[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]กายในของเราจะกิน สิ่งนั้นก่อน คือออร่าของอาหารนั้น และจะทำให้อาหารนั้นมีรสจืด[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ในทำนองเดียวกับที่เมื่อเราถวายอาหารแก่ ทวยเทพ เทวดา ผี โอปาติกะ ฯลฯ[/FONT][FONT=&quot]เมื่อถวายแล้ว มี เทพ เทวดา ผี โอปาติกะ มากินออร่าแล้ว[/FONT][FONT=&quot]อาหารนั้นก็จะมีรสจืด[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ออร่าของเราช่วยกายหยาบได้ เพราะ ถ้ากายหยาบมีสุขภาพดี[/FONT][FONT=&quot]กายในก็จะดีไปด้วย[/FONT][FONT=&quot]กายในจึงมีระบบช่วยป้องกันสุขภาพของกายในโดยการช่วยกลั่นกรองเลือกอาหาร[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ปกติกายหยาบจะกินอาหารตามที่ชอบและถูกลิ้น โดยไม่รู้ว่า สิ่งนั้นดีหรือไม่ดีกับธาตุของกาย[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]มนุษย์จึงเป้นโรคเกี่ยวกับอาหารสารพัด เช่น โรคอ้วน โรคตัวบวม โรคไตอักเสบ โรเรื้อรัง โรคโคเลสเตอร์โรลสูง โรคเบาหวาน ฯลฯ[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ความจริงกายในพยายามช่วยกายนอกในการเลือกกินอาหาร แต่กายนอกไม่เคยสนใจ[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]เวลากายหยาบหรือกายนอกป่วย กายในก็จะป่วยด้วย และรู้ด้วยว่าป่วยเพราะอะไร และจิตกายในก็วิเคราะห์ไว้แล้วว่า อะไรเป็นอะไร[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]เวลากายในป่วย แสงสีของอวัยวะกายใน จะมีสีเพียนไปจากที่ควรจะเป็[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]เราจึงสามารถตรวจได้ว่า คนๆๆนั้นป่วยเป็นโรคอะไร[/FONT][FONT=&quot]โดยดูจากรูปของกายในที่เป็นรูปออร่าที่ถ่ายด้วยกล้องถ่ายออร่า หรือ กล้อง[/FONT][FONT=&quot]เคอร์เลี่ยน ที่มีบางสถานที่ในประเทศไทยได้มีการนำเอาเข้ามาใช้[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]หรือสามารถมองเห็นได้ง่ายโดยผู้ที่มีตาที่สาม หรือมีตาทิพย์[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ในการเลือกกินอาหารนั้น ออร่าของมือและฝ่ามือของกายในช่วยได้มากในการเลือกอาหารที่เหมาะกับบุคคลผู้ที่จะกิน โดยมีข้อมูลแล้วไว้พร้อม[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]คนที่เป็นเบาหวาน ก็จะไม่ถูกกับอาหารที่มีน้ำตาลสูง[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]คนที่อ้วนเกินไป ก็จะไม่ถูกกับ อาหารประเภทไขมัน[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]คนที่เป็นโรคสุราเรื้อรังก็ย่อมไม่ถูกกับสารแอลกอฮอลล์[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]เป็นต้น ฯลฯ[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]สัมผัสๆด้อย่างไร ก็แปลว่า จะมีผลต่อตัวเราอย่างนั้น[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ถ้าเย็น ก็ทำให้ตัวเราเย็น[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ถ้าร้อนก็แปลว่าทำ ให้เราร้อน[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ถ้าคันก็แปลว่า เราจะคัน[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ถ้าทิ่มมือ ก็แปลว่า จะทิ่มกระเพาะเรา[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ถ้าแสบมือ แปลว่า กินแล้วจะปวดท้อง[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]เมื่อสัมผัสได้ ถึงอุณหภูมิที่ได้รับ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ให้ถามตัวกายละเอียด ว่า ชอบใหม[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]เขาจะบอกมาที่สมอง[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ทำตามที่เขาบอก จะปลอดภัย อายุยืน[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ครับ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ฝึกใหม่ๆๆ ก็เหมือนการขับรถใหม่ เก้ๆๆกังๆๆ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]อีกหน่อยก็พรืด เพราะชิน แค่กวาดมือเร็วๆๆก็รู้แล้วว่า เป็นอย่างไร กินได้ใหม[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]การทำบ่อยๆๆ จะเท่ากับรู้ใจ ของกาย ละเอียด[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]แล้วจะดีเอง[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]กายหยาบหรือกายนอกของเรามีอายุไข เหมือนดอกไม้ ก่อนที่จะตายจะต้องออกดอก นี่ก็เหมือนกันเพราะเป็นกฏของธรรมชาติ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]กายหยาบจะถ่ายทอด พันธุกรรม ดีเอ็นเอ [/FONT][FONT=&quot]DNA[/FONT][FONT=&quot]ให้แก่ลูกหลานที่จะเกิดมาเพื่อคงสายพันธุ์ของมนุษย์ไว้[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ส่วนกายในก็จะยุบรวบรวม พันธุกรรมทางวิญญาณ เก็บ ดีเอ็นเอ ทางวิญญาณ[/FONT][FONT=&quot]เช่นกัน และก็จะพาไปเกิด ใหม่ ในชาติภพ ที่สูงกว่า หรือ ต่ำกว่า หรือ[/FONT][FONT=&quot]ไม่เกิด (นิพพาน)[/FONT][FONT=&quot]ก็แล้วแต่กรรมที่ได้ทำไว้และสะสมไว้มาหลายพันชาติภูมิว่าสะสมจนถึงระดับได้[/FONT][FONT=&quot]คะแนนสะสม พอที่จะได้ แจ็คพ๊อต หรือ ยัง[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]วิญญาณ คล้ายๆๆกับผีเสื้อ ที่จะโบยบินไป และ สังคมเฉพาะ ผีเสื้อที่มีสีและแบบแพทเทิร์นเดียวกัน คือวิญญาณดี จะไปอยู่กับวิญญาณที่ดี[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]กายหยาบที่สะบายอยู่ได้ด้วยการสมดุลย์ของพลังที่นักปราชญ์จีนโบราณเรียกว่า หยิน และหยาง[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ในชิวิตประจำวัน ไม่ว่าเราจะไปใหน ทำอะไร[/FONT][FONT=&quot]จะต้องมีพลังภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะสิ่งของรอบตัวเรา ไม่ว่า[/FONT][FONT=&quot]เป็นสิ่งที่มีชีวิ ตหรือไม่มี ชีวิต มีพลังทั้งสิ้น[/FONT][FONT=&quot]มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับธาตุนั้น[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]สิ่งของที่มีชีวิตที่คนเรารู้และนำมาเสริมพลังออร่ามีมาก เช่นหิน[/FONT][FONT=&quot]บางประเภท หินสีอัญมณี พลอยต่างสี เพชร มรกต บุษราคัม โกเมน เพทาย[/FONT][FONT=&quot]เพชรพญานาค ฯลฯ โดยเฉพาะได้มีผู้ทำการศึกษาและได้กำหนดไว้ว่า[/FONT][FONT=&quot]คนเกิดวันนั้น เกิดราศีนั้นจะต้องใส่อัญมณี นั้นๆๆ จะเห้นว่าในปัจุบัน[/FONT][FONT=&quot]ตามศูนย์การค้าใหญ่ จะมีร้านขายอัญมณีประเภทนี้มาก[/FONT][FONT=&quot]และก็มีส่วนถูกต้องอญู่บ้าง[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]สิ่งที่[/FONT][FONT=&quot]ใกล้ตัวมากที่สุด นอกจากเครื่องประดับ พวก พลอย หินสี อัญมณี แล้ว ก็มี[/FONT][FONT=&quot]สร้อยโลหะประเภทต่างๆ สายนาฬิกาข้อมือ โลหะ กำไลมือ ตุ้มหู สารพัด โลหะ[/FONT][FONT=&quot]แหวนสารพัด สร้อยลูกปัด สร้อยลูกประคำ พระเครื่อง และวัตถุนิยม นานาประเภท[/FONT][FONT=&quot]รวมตะกรุดคาดเอว ฯลฯ[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]โดยเฉพาะ พระเครื่องห้อยคอ ดูจะมีผลต่อชีวิตมากที่สุด เพาะ คนไทย กว่า [/FONT][FONT=&quot]70 % [/FONT][FONT=&quot]จะห้อยพระเครื่อง[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]พระเครื่อง นั้นโดยปกติจะมีคุณ ในด้าน คงกระพัน แคล้วคลาด พุทธบารมี เมตามหานิยม ป้องกันคุญไสย โชคลาภ ฯลฯ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]และในแต่ละองค์พระเครื่องงก๊มีออร่า หลากสี หลากหลายความถี่และอาจจะไม่สมพงษ์หรือถูกโลกกับตัวผู้ใส่ก็ได้ และกลับจะให้ผลตรงข้ามก็ได้[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]การที่พระเครื่องจะสมพงษ์กับตัวเรา หรือ ไม่ถูกกับตัวเรานั้น[/FONT][FONT=&quot]เราสารถตรวจสอบได้โดยถอดพระเครื่องออกมาทั้งหมดแล้วค่อยๆๆใส่กลับเข้าไปทีละ[/FONT][FONT=&quot]องค์ แล้วจับความรู้สึกที่มีผลต่อตัวเรา[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ถ้าใส่กลับทีละองค์แล้ว ทำให้รู้สึก สบาย เบา เหมือนวิ่งไป ตัวซู่ซ่า พลังขึ้นสมอง ก็ถือว่าดี[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]เป็นพลังที่เสริมออร่า ให้ตัวมีสง่าราศี ดีขึ้นเสริมดวง เสริมโชคชะตา ทำอะไรๆๆก็สำเร็จ[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าใส่แล้วมีความรู้สึก กดดัน หดหู่ หายใจไม่ออก แน่นหน้าอก พลังเลื่อนลงข้างล่าง[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ไม่ควรใส่[/FONT][FONT=&quot]ไม่ใช่ว่าพระเครื่องนั้นไม่ดี[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ท่านดี แต่ไม่ภูกโลก กับตัวผู้ใส่นั่นเอง[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]ถ้าผู้ใด ไม่แน่ใจว่า พระเครื่องที่ใส่อยู่กับตัวว่า ดีหรือเหมาะกับตัวหรือไม่ ให้ลองมาที่ บูธ [/FONT][FONT=&quot]053 [/FONT][FONT=&quot]ช่วยได้แน่นอน[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]กายในกับกายนอก เป็นเพื่อนฝาแฝด ต้องอยู่ด้วยกัน จะต้องพึ่งพาอาศัยต่อกัน[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]อาจจะเปรียบกายนอก เหมือนยางนอกรถยนต์ และกายในเหมือนยางใน รถยนต์ รถนั้นถ้ายางใน ยางนอก ดี ทั้งคู่รถก็วื่งฉิว[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]จิตของกายนอน นั้นอาจจะไม่ครงกับจิตของกายใน อาจจะขัดแย้งกัน จน[/FONT][FONT=&quot]บางครั้งตัวเรามีปัญหา ระหว่างความรู้สึกด้านดี (ฝ่ายสูง) กับ ฝ่ายต่ำ[/FONT][FONT=&quot]จนคิดไม่ตกว่า จะเอาด้านใหน[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ในกรณีย์เช่นนี้ ถ้าเป็นไปได้ ให้เชื่อการชักนำของจิตกายใน เพราะ กายในมีจิตที่จะทำดี เป็นตัวอย่างที่ดี กว่า เสมอ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]แต่ในบางครั้งจิตกายนอก แข็งและแกร่งกว่ามาก ก็จะนำจิตกายในให้ทำตาม ชีวิตจึงมีแต่กิเลสและความยุ่งยาก[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]ถ้ากายนอก ทำตัวไม่ดี ไม่ถือศีล เที่ยวสำมะเลเทเมา ทำให้สุขภาพร่างกายทรุดโทรม ในที่สุดก็จะทำให้ กายใน ทรุดโทรมไปด้วย[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ถ้ากายนอนทำดี ถือศีลปฏิบัติสมาธิ กายในก็จะมีสุขภาพดีไปด้วย มีความแข็งแรง ก็จะพา ไปสู่จุด แห่งการหลุดพ้นได้[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]กายนอนนั้นเมื่อถึงเวลาก้จะสูญสลาย แต่กายใน จะคงอยู่ต่อไป[/FONT][FONT=&quot]เพื่อเรียนรู้ปัญหา จนกว่า จะพบและเข้าใจปัญหาทางวิญญาณ[/FONT][FONT=&quot]ที่จะหลุดพ้นได้อย่างไร[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]คนเราจึงควรที่จะ รักษากายในไว้ให้ดีที่สุด เพราะ นั่นคือ[/FONT][FONT=&quot]ของจริงแท้และคงทน[/FONT][FONT=&quot]ในขณะที่กายนอกเป็นเพียงเปลือกหอยชั่วคราวที่เราต้องอาศัยเพื่อการเรียนรู้[/FONT][FONT=&quot]เท่านั้น[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]การนั่ง[/FONT][FONT=&quot]ปฏิบัติสมาธิ นั่งสวดมนต์ภวนา มีค่าเท่ากับให้[/FONT][FONT=&quot]กายในให้มีโอกาสแสดงและมีอำนาจจิตที่ดีเพิ่มขึ้น เข้าใจและมีปัญญา[/FONT][FONT=&quot]ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนตามหลักศาสนาพุทธ เริ่มจาก มีศีล มี สมาธิ[/FONT][FONT=&quot]แล้วก็จะมีปัญญา[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ปัญญาที่ว่า คือการเข้าใจทุกข์และเห็นช่องทางหนีทุกข์นั้น และ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ก็จะกลายเป็นปาท่องโก๋ข้างเดียวที่จะเป็นแสงสว่างให้แก่จักรวาลชั่วนิรันดร์ ไม่มีมุมมืดในจักรวาลอีกต่อไป[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]สวัสดี ครับ[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2008
  10. Augeas

    Augeas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2008
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +222
    ขอบคุณมากครับที่นำมาให้อ่านศึกษากัน
    ผมสงสัยอยู่หลายเรื่องเดียวทยอยถามดีกว่าครับ
    ผมสงสัยสิ่งที่าจารย์ทำนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ดีแต่บูธอาจารย์ทำไมต้องไปซ่อนอยู่ขนาดนั้นหรือว่าเป็นการวัดใจศิษย์ว่าจริงใจที่อยากจะพบจริงหรือไม่

    ผมสงสัยอีกว่าผมคุยเรื่องสมาธิเรื่องธรรมมะกับใครเขาก็บอกได้แต่เพียงว่าทำได้ก็ดีนะเป็นเรื่องที่ดีแต่ไม่มีใครทำแต่ทำในสี่งตรงกันข้ามวิ่งหน้าตั่งเพื่อลงสู่นรกทำแต่ในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ผมละสุดที่เบื่อหน่ายกับชีวิตปัจจุบันนี้ สุดท้ายนี้ใครเป็นอย่างไรก็ช่างเขาผมจะทำในสิ่งที่ดีที่สุดเพื่ออนาคตผม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2008
  11. ตัวกลมๆ

    ตัวกลมๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +5,941
    ขอบคุณ คุณvisnu ที่รวบรวมได้ยาวแบบเต็มหน้ากระดาษเลย ฝรั่งเขาก็ศึกษาออร่า
    บางคนไม่แน่ใจคำพูดของอีกฝ่าย เขาก็ดูออร่าที่หัว เพราะหน้าตาำคำพูดหลอกได้
    แต่สีออร่าที่ออกมาจากความคิดขณะนั้นมันหลอกไม่ได้
    [​IMG]
    ลองดูยูทู้บ Aura Imaging เขาใช้กล้องแล้วประมวลทางคอมพิวเตอร์ปี 1991
    มาเป็นภาพให้เห็น แต่ละคน แต่ละอารมณ์
    http://www.youtube.com/watch?v=xyf9fpPeEr0
    ก๊อปลิงค์เองเน้อ ทำไม่เป็น

    คุณAugeas หาอาจารย์ไม่ยากหรอกค่ะ เราเป็นคนขี้หลงทิศยังไปถูกเลย
    ถ้ามีรถก็ไปจอด อตก.เสียตังค์ แล้วเดินลงทางอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน มาออกตรงประตูกำแพงเพชร 1
    ถ้านั่งรถไฟฟ้าใต้ดินก็ลงสถานีกำแพงเพชร ออกประตู 1นะคะ อย่าเผลอ ไปประตูจตุจักรเชียว
    ไม่งั้นเสียเวลาเดินกลับหาอีก แล้วก็เดินไปหาห้อง 042 ฝั่งห้องน้ำค่ะ จริงๆไม่ต้องมองหาเลขห้อง
    เพราะจะเห็นสมาชิกนั่งๆยืนๆ แถวนั้น เห็นได้ชัดเจน

    คนที่รู้ว่าทำดีแล้วไม่ทำ เป็นสภาวะของคนประมาทค่ะ แต่ก็ยังดีที่เขายังรู้ว่าดีนะคะ การคบหากัลยาณมิตรย่อมจะดีกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2008
  12. visnu

    visnu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,844
    ค่าพลัง:
    +23,778
    ทุกเส้นทางมีทางแยกเสมออยู่ที่เราจะเลือกไปทางไหน
    ผู้ที่มีธรรมในใจมากก็จะละอายต่อบาปเหมือนกับมีเข็มทิศ
    ย่อมไม่หลงไปทางผิด ครับ
     
  13. Augeas

    Augeas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2008
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +222
    คนที่ใกล้ชิดคนที่รู้จักส่วนใหญ่จะตรงกันข้ามกับที่ผมคิดสี่งที่ผมเป็นอยู่ การคบหากัลยาณมิตรเป็นเรื่องที่ดีมากแต่ผมพูดได้เต็มปากเลยไม่มีผมก็พึ่งมาเจอที่เวปนี้ที่ให้คำปรึกษากำลังใจแรงบันดาลใจให้ทำสิ่งที่ดีๆต่อไป ก็เลยมานึกถึงบัวสีเหล่าตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ผมบอกคนหลายคนเลยว่าการนั่งสมาธินอกจากจะทำให้ใจสงบแล้วเรายังได้บุญด้วย เขาไม่เชื่อว่านั่งเฉยๆก็ได้บุญว่างั้นเจริญใหมความคิด
    ผมก็เลยเข้าใจในหลายอย่างเช่น
    -ทำไมพระถึงจะต้องทุดงด้วยก็เพราะหนีคนเหล่านี้
    -บูธอาจารย์นั้นคงต้องการให้คนที่มีสัจธาจริงมาพบ ถ้าหากคนที่มาหาไม่สัจธาก็ไม่มีความหมายคงจะทะเลาะกันเป็นแน่ ผมคิดว่าต่อให้อยู่ที่ใหนของประเทศผม ว่าศิษย์อาจารย์ทุกคนก็คงไปหาแน่นอน
    -ทำไมผมไม่ชอบฟังเพลงทั้งที่ผ่านมาผมก็ชอบมากแต่ตั่งแต่เริ่มจริงจังกับสมาธิมากขึ้นเกิดอาการเบื่อหน่ายเพลงเลยหงุดหงิดเลยเมื่อมีเสียงเพลงอยู่ใกล้ๆ คงจะเหมือนพระที่ไม่ฟังเพลงกระมังแต่ผมรักษาเพียงศีล 5 เท่านั้นเอง
    ผมดีใจที่ได้มาเจอคนดีมีศีลมีธรรมในทีแห่งนี้ ที่ผ่านมาผมทำสิ่งไม่ดีมามาก จากนี้ไปก็จะเพียรทำแต่สิ่งที่ดีเพื่อวันข้างหน้า
     
  14. 9อมตะ9

    9อมตะ9 อมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +1,288
    ขอพลังให้บังเกิดกับตัวข้าฯ
     
  15. ตัวกลมๆ

    ตัวกลมๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +5,941
    อนุโมทนาค่ะ มีสัญญาดี ตั้งใจในการปฏิบัติชอบ อาจารย์ว่าพวกที่ใกล้นิพพานในชาติใกล้ๆ
    จะเริ่มเบื่อคน (ไม่ได้รวมพวกโรคซึมเศร้าแยกตัวเอง) ขอให้สมหวังในทางธรรม และสหายธรรมที่ตรงจริตนะคะ
     
  16. channarong_wo

    channarong_wo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +1,510
    ชอบจังเลยครับห้องนี้ ตามอ่านเกือบหมดแล้ว
    ขอฝากเนื้อฝากตัวเป็นน้องใหม่ด้วยคนครับ
    ตาที่สามยังไม่เปิด แต่มีสิ่งแปลกๆเกิดกับตัวบ่อยมาก
    เจอผู้รู้แล้วอยากงี้ ขออนุญาติสอบถามที่ติดๆขัดๆกับการปฏิบัติด้วยนะครับ
    ขอผมเจริญรอยตาม...ขอขึ้นรถด้วยคนครับ
     
  17. surapar

    surapar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    345
    ค่าพลัง:
    +2,408
    [​IMG]
     
  18. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085
    [​IMG] <!-- / message --><!-- attachments -->
    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
     
  19. The Third Eyes

    The Third Eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +51,007
    มีผุ้ที่ นับถือ เข้ามาอวยพร ปีใหม่..แก่ สมาชิก ทั้งหลาย ในกระทู้ นี้
    ในนามของ ชมรมคนตาทิพย์ ก็ ขอให้ ทุกๆๆ ท่า นมีความสุข และได้ สิ่งที่ตนปราถนา
    ไม่ว่า จะเป็น ทาง โลก หรือ การหลุดพ้น..ก็ขอให้ ได้ ตาม ที่ จิต ปราถนา
    ครับ
     
  20. visut_p

    visut_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2008
    โพสต์:
    553
    ค่าพลัง:
    +1,763
    มีคำถามครับเอ่อ.... อธิบายไงดีไม่รู้ว่าจะเข้าใจคำถามของผมรึเปล่า งั้นขอเกริ่นก่อนนิดนึงแล้วกัน

    เอาเป็นว่าเวลาเราลืมตาแล้วมองสิ่งของที่อยู่ข้างหน้าเนี่ย เราจะเห็นลูกตาดำเพ่งไปข้างหน้า วัตถุที่เรามองอยู่จะเป็นจุดตัด ถ้าลากเส้นเป็นรูป 3 เหลี่ยมก็จะเห็นว่าจุดทั้ง 3 จุดคือ ตาซ้าย ตาขวา และวัตถุ ระยะของจุดตัดจะเป็นตัวบอกระยะทางระหว่างเรากับวัตถุ จะเห็นได้ว่าถ้าเรามองอะไรด้วยตาข้างเดียว เราก็จะเห็นภาพแต่จะกะระยะห่างไม่ได้

    เวลาเราหลับตา ลูกตาดำจะกรอกขึ้นไปข้างบนโดยอัตโนมัติ (ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปเปิดเปลือกตาคนที่กำลังนอนหลับดูได้ เราจะมองเห็นแต่ตาขาว ไม่เห็นตาดำเพราะตาดำจะมองขึ้นไปข้างบนเหมือนมองสมองอยู่)

    มาถึงคำถามแล้วครับ คือว่าเวลาผมนั่งสมาธิแบบธรรมดาจะไม่มีอาการหน้าผากเต้นตุ๊บๆๆๆ เพราะตาดำกรอกขึ้นข้างบน แต่ถ้ากำหนดจิตไปอยู่ที่ตำแหน่งของตาที่ 3 แล้วผมก็จะรู้สึกปวดๆ ตึงๆ อยู่เหมือนกัน เลยไม่แน่ใจว่าปวดหน่วงๆเพราะตาที่ 3 จะเปิด หรือว่าปวดเพราะตำแหน่งโฟกัสของตาธรรมดาทั้งสองอยู่ใกล้กันเกินไป เหมือนเวลาเราแกล้งทำตาเหล่ ตาดำทั้งสองข้างจะเข้ามาอยู่ชิดกันเลยทำให้รู้สึกปวดลูกตา แล้วเราจะแยกความแตกต่างได้ไงครับ

    แล้วสมมุติว่าตาที่สามจะเปิดจริง เราจะทะลวงให้เปิดเลยยังไงครับ เคือง.... ไม่เปิดซักที

    อ้อ.... อีกหนึ่งคำถามครับ ผมยังไม่เคยได้คำตอบแบบชัดๆซักที... เวลาเรานั่งสมาธิเนี่ย เราควรจะให้ลูกตาดำอยู่ตรงไหนดีครับ เอาแบบกรอกขึ้นข้างบนตามธรรมชาติ หรือว่าควรจะเพ่งไปข้างหน้าดีครับ (คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตาดำจะกรอกขึ้นข้างบนเวลาหลับตา)

     

แชร์หน้านี้

Loading...