ประสบการณ์ขนหัวลุก No2

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 24 พฤศจิกายน 2005.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    ป ริ ศ น า ส า ว ชุ ด ดำ

    เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะ

    เหตุการณ์มีอยู่ว่า
    วันนั้นทางสถาบันการศึกษาต้องส่งทีมเชียร์ลีดเดอร์ประจำสถาบันเข้าไปทำการแข่งขันและ
    หนึ่งในนั้นก็มีกระผมด้วย
    แต่มีเวลาในการส่งทีมเข้าทำการแข่งขันอีกประมาณ 2 เดือนเท่านั้น
    อาจารย์ที่ควบคุมทีมต้องให้พวกกระผมซ้อมเชียร์ลีดเดอร์ตอนหลังเลิกเรียนเวลาประมาณ 15.00-18.00 ของทุกวัน

    ซึ่งมีอยู่วันหนึ่งวันนั้นอาจารย์ที่ควบคุมทีมพาพวกเราให้ไปลองยืนเข้าเสต็บการเต้น
    ในหอประชุมใหญ่บนเวที ผมสูง 178 ซม.เลยต้องเต้นอยู่ด้านหลัง หรือแถวหลัง
    เต้นไปได้สักพักผมก็เหลือบไปมองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดสีดำรัดรูปทั้งชุด
    มายืนซ้อมการเต้นกับพวกเราโดยเธออยู่แถวหน้าสุด

    ผมแปลกใจมากว่าตอนก่อนเต้นอาจารย์จะจัดแถวให้เต้นว่าใครจะอยู่แถวไหน
    และตอนจัดแถวไม่เห็นมี ผู้หญิงคนนี้อยู่เลย
    ผมสงสัยจึงเดินเข้าไปจะดูหน้าว่าคือใครกันพอผมจะก้าวเท้าไปถามเธอผู้นั้น
    ตัวเธอก็หายวับไปกับตา ผมตกใจมาก

    ทำให้เพื่อนสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ผมคิดว่าคงตาฝาดไป
    เพราะว่าเมื่อคืนนอนดึกพอเต้นได้สักพักอาจารย์ที่ควบคุมทีมจึงสั่งให้ซ้อมการต่อตัว
    การต่อตัวที่ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างมาก คือ จะต้องจับเพื่อนผู้หญิงที่ชื่อเบนซ์
    ซึ่งเธอมีทักษะทางยิมนาสติกอยู่แล้วมาทำการดีดตัวตีลังกากลางอากาศ 2 รอบแล้วม้วนตัวลงให้เพื่อนผู้ชายทั้งสองคนข้างล่างคอยรับอยู่

    แต่ในจังหวะที่ไก่ กับ เตอร์ จับเบนซ์ ขึ้นให้มาเหยียบบนมือแล้วดีดขึ้น
    ขณะที่เบนซ์กำลังม้วนตัวตีลังกาอยู่นั้น ...

    ผมก็เห็นหญิงชุดดำ อยู่ๆเธอก็วิ่งตัวลอยเข้าไปจับขาเบนซ์
    ในขณะที่ตีลังกาอยู่ทำให้เสียหลักตกลงมากับพื้นเวที แต่โชคดีที่พื้นนั้น ทำด้วยกระเบื้องยาง
    หัวเบนซ์น็อคพื้น หัวไม่แตก แต่ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล
    ผมพยายามวิ่งไบรับเพื่อนแต่ก็ไม่ทัน
    ผมยังเห็นผู้หญิงชุดดำยืนหันหลังอยู่ผมกะว่าจะต้องเข้าไปต่อว่าสักหน่อย
    แต่พอหันไปมองอีกทีหัวเธอก็ไม่มีแล้วมีแต่ตัวยืนอยู่จากนั้นร่างของเธอก็ค่อยๆเลือนห
    ายไป

    ผมพยายามคิดว่าตัวเองตาฝาดอีกหรือเปล่าทำไมเพื่อนๆถึงมองไม่เห็น
    ผมไม่กล้านำเรื่องนี้ที่เห็นไปเล่าให้กับใครฟังเดี๋ยวจะหาว่าผมเพ้อเจ้อ
    เพราะสมัยนี้แล้วใครจะมาเชื่อเรื่องแบบนี้อีก
    หลังจากนั้นคุณแม่ของเบนซ์ก็ไม่อนุญาติให้เบนซ์มาเต้นอีกเลย
    ทำให้เราต้องหาคนมาแทนและต้องเสียเวลามาเพราะว่าต้องมาซ้อมกันอีกหลายรอบ
    สาเหตุนี้จึงทำให้อาจารย์ที่ควบคุมทีมต้องใช้เวลามากขึ้นจึงให้พวกเราไปฝึกซ้อมกันที
    ่ค่าย แถวๆจังหวัดสระบุรี

    พอถึงที่ พวกเราก็ถือว่าได้มาเที่ยวไปในตัว
    เพราะที่ค่ายนั้นสวยมากเราซ้อมมาได้ 5 วันแล้วเหลืออีก 2 วันก็จะได้กลับบ้าน
    เราซ้อมเต้นกันตั้งแต่เช้าจนเย็น

    คืนหนึ่งหลังจากการซ้อมอาจารย์จับให้พวกเรานอนห้องเดียวกันทั้งชายหญิงแต่นอนคนละฝั่
    ง ผมนอนไปอยู่ดีๆ ผมก็สะดุ้งขึ้นมาเฉยๆ เหมือนมีคนมาจับเท้าเราดึงเล่น เลยนอนไม่หลับเหลือบดูนาฬิกาก็ตี 4 พอดี
    ผมมองดูเพื่อนๆและอาจารย์ทุกคนก็ยังหลับกันอยู่
    ผมกวาดสายตาไปที่หน้าต่างที่เป็นกระจกใสไม่มีผ้าม่านอยู่
    ทำให้มองเห็นด้านนอกซึ่งผมมองเห็นเงาดำๆ ลอยผ่านไปผ่านมาตอนนั้น
    คิดอย่างเดียวว่าคือเงาของต้นไม้ข้างนอกผมเพ่งดูที่หน้าต่างอีกครั้งทีนี้เห็นเป็นเง
    าดำๆ
    และมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆๆ แล้วก็ต้องตะลึงกับ ภาพที่เห็นเพราะเป็นผู้หญิงชุดดำคนนั้นแต่คร่าวนี้ใบหน้าของเธอเปลี่ยนสภาพเป็นเลือด
    ไหลเต็มหน้า
    สาเหตุที่เห็นเพราะว่าได้เปิดไฟห้องน้ำเอาไว้
    ด้วยความกลัวและความตกใจผมจึงตะโกนสุดเสียงตัวสั่นไปทั้งตัว
    ทำให้เพื่อนๆและอาจารย์ ตื่นกันหมดและเพื่อนได้ถามผมว่าเป็นอะไร
    ผมได้เล่าให้เพื่อนๆและอาจารย์ฟังหลังจากนั้นอาจารย์ก็เล่าว่า

    เมื่อ 1 ปีก่อนมีผู้หญิงใส่ชุดดำรัดรูปหน้าตาสวยมาขอสมัครเข้าเป็นเชียร์ลีดเดอร์
    อาจารย์ก็รับไว้อาจารย์ยังบอกว่าเธอขยันมากมาซ้อมแทบทุก
    วันหลังจากนั้นเดือนเศษระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเธอ
    รถพลิกคว่ำทำให้เธอเสียชีวิตในชุดดำนั้นเอง
    อาจารย์เล่าต่อว่าตอนเสียชีวิตใหม่ๆพวกเชียร์ลีดเดอร์รุ่นพี่ก็เจอกันเป็นประจำ
    และเคยทำบุญให้เธอไปแล้ว สงสัยผมคงต้องทำสังฆทานให้เธอคนนั้น

    หลังจากได้ฟังอาจารย์เล่าแล้วจึงได้รู้ว่าเป็นเรื่องจริง
    พวกเราพูดคุยกันถึงเช้าและได้เดินทางกลับก่อนถึงกำหนด 7 วัน
    หลังจากนั้นพวกเราก็นัดกันไปทำสังฆทานให้เธอ
    และหลังจากนั้นพวกเราก็ไม่เจอเธออีกเลย
     
  2. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    ผีไม่มีหน้า

    [​IMG]
     
  3. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    ผีไม่มีหน้า

    "คนสะพานขาว" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากหน้าสนามม้านางเลิ้ง

    ผมเป็นหนุ่มย่านสะพานขาว ยุคที่โรงหนังปารีสกับแอมบาสเดอร์กำลังดัง ตอนนั้นเพิ่งเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม วันมหาวิปโยคมาไม่นานนะครับ ที่บ้านมีอาชีพขายส่งผลไม้ใกล้ๆ กับโรงหนังนั่นเอง

    สมัยก่อนมีห้องแถวไม้เรียงรายไปถึงยมราช ร้านแซบอีหลีก็อยู่ที่ห้องแถวเก่าแก่นั่นแหละครับ

    ว่ากันว่าเป็นร้านอีสานแห่งแรกในกรุงเทพฯ ก่อนจะไปมีชุมทางอยู่แถวสนามมวยราชดำเนิน แล้วแพร่หลายออกไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว ไก่ย่าง ส้มตำ ลาบและข้าวเหนียวกลายเป็นอาหารยอดฮิต ขนาดมีขายทุกตรอกทุกซอยก็แล้วกัน

    ตอนนั้นห้องแถวไม้ก็ค่อยๆ หายไปทีละแถวสองแถว กลายเป็นตึกแถวเรียงรายตามความเจริญของบ้านเมือง

    ผมเรียนอยู่เทพศิรินทร์ ตอนเย็นซ้อมบอล ตอนเช้าออกจ๊อกกิ้งจากบ้านผ่านแอมบาสเดอร์ เลี้ยวไปทางยมราช ซ้ายอีกทีผ่านโรงพยาบาลมิชชั่นไปทางสนามม้าเลี้ยวซ้ายอีกสองครั้งก็เลาะคลองผดุงกรุงเกษมมาถึงบ้านพอดี

    สมัยนั้นรถรายังน้อยครับ คนชอบออกกำลังกายก็มีน้อย นักจ๊อกกิ้งมักชอบไปวิ่งทางสวนจิตรฯ มากกว่า ที่คุ้นๆ หน้ากันก็มีอยู่ราว 3-4 คนเท่านั้นเอง

    เขาลือกันว่าย่านนั้นผีดุสุดๆ เพราะมีทั้งเด็กตกน้ำตาย คนโดดน้ำตาย ไม่นับพวกที่โดนรถทับตายบ้าง โดนรถไฟชนจนเหลือแต่ซากและๆ บ้าง พวกคนใจร้อนที่ขับรถซิกแซ็กหลบด่านกั้น แต่ก็ไม่พ้น..โดนรถไฟขยี้ชนิดนับศพไม่ถ้วน

    ไหนจะผีตายโหงในสนามม้าอีกล่ะ!

    ไม่นับคนที่หัวใจวายคาสนามนะครับ ทั้งถูกม้าเยอะๆ ก็มี โดนม้ากินหมดตัวก็ไม่น้อย แต่มีพวกจ๊อกกี้ที่ตกม้าคอหักตายบ้าง โดนม้าตัวหลังๆ เหยียบย่ำเอาโดยไม่เจตนาบ้าง วิญญาณสิงสู่อยู่ในสนามม้านับสิบรายแล้ว

    ไหนจะผีที่โรงพยาบาลที่เขาลือกันว่าเฮี้ยนไม่เบาอีกต่างหาก

    ขึ้นชื่อว่าโรงพยาบาลก็ต้องมีคนตายใช่มั้ยครับ? ยิ่งเป็นโรงพยาบาลใหญ่สร้างมาหลายสิบปี คนที่ล้มตายด้วยความเจ็บปวดทรมานน่ะไม่รู้ว่ามีกี่ร้อยกี่พันคนกันแน่?

    เขาลือกันว่า มีคนเห็นแต่งชุดคนไข้เดินวนเวียนอยู่หน้าโรงพยาบาลตอนดึกๆ พอจ้องมองให้แน่ใจก็หายไปดื้อๆ บ้าง เดินทะลุรั้วเข้าไปบ้าง ล้วนแต่น่าขนหัวลุกทั้งนั้นนะครับ สำหรับคนขวัญอ่อน เชื่อถือเรื่องผีๆ สางๆ น่ะ

    สำหรับผมเองไม่มีปัญหา เพราะไม่เชื่อเรื่องผี ไม่เคยถูกผีหลอก ไหนจะเรียนคณะวิทยาศาสตร์ กำลังจะได้เข้ามหาวิทยาลัยอยู่รอมร่อ

    ให้ตายเถอะ! ผมดันมาโดนผีหลอกเอาดื้อๆ ที่หน้าสนามม้านั่นเอง!

    ปกติผมจะตื่นตอนตีห้า ล้างหน้าสีฟันแล้วก็มาแต่งชุดเก่งคือกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดคอกลม สวมรองเท้าผ้าใบ มีผ้าขนหนูผืนเล็กๆ เหน็บเอวสำหรับซับเหงื่อ..ราวตีห้าครึ่งก็ออกวิ่งเหยาะๆ ได้แล้ว

    ร้านข้าวมันไก่สวนสนอยู่ซ้ายมือ ตรงหัวมุมคือร้านหมอเสนอ ไม่ช้าก็ผ่านซอยไชยา ถิ่นเก้ายอดในอดีต ห้างขายยาเทวกรรมฯ และสะพานข้ามคลองผดุงฯ ไปตลอดนางเลิ้ง

    เช้านั้นก็เช่นกัน! บรรยากาศคล้ายๆ กันทุกวัน โดยเฉพาะวันที่ผมเจอะเจอเรื่องขนหัวลุกในเดือนธันวาคม!

    โรงหนังที่เคยคึกคักตอนกลางวัน มีแสงสีสว่างไสวตอนกลางคืน กลับดูทึบทึมเปล่าเปลี่ยว ร้านค้าสองฝั่งถนนทยอยกันเปิด รถราเริ่มจะหนาตาขึ้น แต่ยังเปิดไฟกันอยู่เพราะฤดูหนาวมืดเร็วแต่สว่างช้า กว่าจะถึงเลี้ยวที่สองกว่าจะได้เหงื่อ

    ถนนโล่งว่าง ต้นไม้ริมทางร่มครึ้ม รถราไม่ค่อยหนาตาเหมือนแถวยมราชกับสะพานขาว..ผมรู้สึกนัยน์ตาเขม่นตุบๆ ราวกับจะเป็นลางสังหรณ์ที่เกิดขึ้นดื้อๆ

    เหงื่อชุ่มหลังแล้ว สามแยกปรากฏขึ้นเบื้องหน้า!

    สนามม้าอยู่ทางขวามือ ตอนนั้นเกือบจะหกโมงเช้าแล้ว แต่ฟ้าก็ยังไม่สว่างเสียที แสงไฟฟ้าข้างถนนยังส่องอยู่ตามเดิม บรรยากาศเยือกเย็นน่าวังเวงใจชอบกล..หันมองก็ไม่เห็นเพื่อนนักจ๊อกกิ้งแม้แต่คนเดียว

    กำลังผ่านร้านสวนสนที่ยังปิดเงียบเชียบ ได้ยินแต่เสียงฝีเท้าตัวเองดังตุ๊บๆ เป็นจังหวะ หันไปทางสนามม้าเงียบเชียบ อัฒจันทร์มหึมาตั้งตระหง่าน...จู่ๆ ก็ต้องผ่อนฝีเท้าลงไม่รู้ตัว

    เสียงม้ากำลังควบคึ่กๆ ดังมาจากสนามตอนย่ำรุ่งน่ะซีครับ!

    ชะงักเพราะคิดว่าตัวเองหูแว่วไป จะว่าใครเอาม้ามาซ้อมวิ่งตอนนี้ก็ไม่ใช่แน่ๆ ถ้างั้นผมก็คงหูฝาดเฝื่อนไปเอง..แต่ทำไมมันใกล้เข้ามาทุกทีล่ะ?

    นรกเป็นพยาน! มันดังคึ่กๆ อยู่ข้างหลังผมนี่เอง หันขวับไปมองก็ไม่เห็นอะไรเลย แต่เสียงนรกจกเปรตก็ยังกึกก้อง..ใกล้เข้ามา..ใกล้เข้ามาทุกที!

    วิ่งซีครับ! ไม่ใช่จ๊อกกิ้งแล้ว แต่วิ่งอ้าวเป็นนักวิ่ง 100 เมตรโดยไม่รู้ตัวจนถึงร้านหมอเสนอที่มุมถนน พอดีเห็นนักจ๊อกกิ้งคนหนึ่งก้มหน้าก้มตาวิ่งมาหาพอดี..แต่ว่าเขาแต่งตัวแบบจ๊อกกี้ขี่ม้า

    ผมเบรกพรืดแทบหัวทิ่ม ขนลุกเกรียว อ้าปากค้าง พอดีคนที่วิ่งสวนมาดันเงยหน้าขึ้นมอง..โลกทั้งโลกแตกเป็นเสี่ยงๆ ทันใด เพราะแสงไฟส่องให้เห็นหน้าขาวๆ ที่ไม่มีปาก จมูก นัยน์ตา อะไรทั้งนั้น..หรือจะเรียกว่าผีไม่มีหน้าก็ได้

    เสียงแผดร้องของผมดังซะจนตัวเองรู้สึกแก้วหูลั่นกราว เสียงต่างๆ เงียบหายไป แต่ผมโจนพรึ่บไม่คิดชีวิต..รวดเดียวมาหอบแฮกๆ อยู่หน้าบ้าน

    ต่อมาผมก็ยังออกจ๊อกกิ้งตามเคย แต่รอจนถึงหกโมงเช้าก่อน..ไม่อยากดีฝ่อตายเพราะโดนผีหลอกน่ะซีครับ!
     
  4. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    ผีรักเพื่อน

    "น้องอ้อแอ้" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อวิญญาณเพื่อนมาหาที่ห้อง

    ดิฉันเป็นคนหนึ่งละที่เชื่อว่า ผีมีจริง แต่ไม่กลัวผีเลย อาจจะเป็นเพราะไม่เคยเห็นผี ไม่เคยโดนผีหลอกก็ได้ เชื่อว่าก็อยู่ในโลกของผี จะเป็นนรกหรือสวรรค์ก็ไม่รู้ พิลึกกึกกือแค่ไหนก็ไม่ทราบ

    พวกฝรั่งเขาเชื่อเรื่องตอนวิญญาณขออกจากร่างเอามากๆ ค่ะ

    คือมีคนตายแล้วฟื้น (ความจริงคงยังไม่ตายหรอกนะคะ) มาเล่าตรงกันว่า ตอนวิญญาณออกจากร่างจะสบายที่สุด ความเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสตอนที่ใกล้จะตายกลับหายสนิทเป็นปลิดทิ้ง

    ระยะแรกๆ จะตื่นตกใจ เมื่อมองเห็นร่างตนนอนแน่นิ่ง ท่ามกลางแพทย์และพยาบาล รวมถึงบุคคลอันเป็นที่รักกำลังร้องไห้คร่ำครวญอยู่รอบๆ กาย

    จากนั้น วิญญาณจะถูกพลังลึกลับบางอย่าง ดึงดูดอย่างแรงไปสู่อุโมงค์ดำ มืดน่ากลัว เวลาผ่านไปสักครู่ใหญ่ๆ ก็จะเห็นแสงสว่างที่ปากอุโมงค์ ออกมาสู่ทุ่งหญ้าแสนสวยงามได้สำเร็จ

    ญาติสนิทมิตรสหายผู้ล่วงลับไปก่อนหน้านั้น กำลังยืนรอต้อนรับอย่างอบอุ่น...น่าเสียดายที่พลังชีวิตเรียกร้อง ดึงดูดให้กลับมาเข้าร่างดังเดิม

    คนไหนก็คนนั้นนะคะ...เล่าเหมือนกันหมด!

    ในที่สุดก็มีการพูดจาหยอกล้อคนเจ็บหนักที่ค่อยทุเลาลงว่า...ผ่านอุโมงค์ดำมืดไปจนเห็นแสงสว่างหรือเปล่า? หรือไม่ก็....เราจวนจะได้เข้าอุโมงค์มืดๆ ไปจนเห็นแสงสว่าง ได้พบคนรู้จักมักคุ้นกันแล้ว

    คนโบราณก็บอกว่าผีไม่ได้มาหลอก แต่มาขอส่วนบุญต่างหาก ให้ทำบุญกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลให้เขาก็หมดเรื่อง เพราะเหตุนี้แหละค่ะ ดิฉันจึงไม่กลัวผีเลย

    ...ถ้าเป็นคนขวัญอ่อน กลัวผี ดิฉันคงจะไม่กล้าอยู่ในห้องพักคนเดียวแน่ หลังจากเพื่อนสนิทชื่อน้ำฝน ถูกโจรมอเตอร์ไซค์ชิงทรัพย์ตอนดึกหลังเลิกงาน น้ำฝนต่อสู้ขัดขืน เลยโดนไอ้เดนคนใจโหดยิงทิ้งค่ะ

    ใครๆ ต่างพูดกันว่า โทษไอ้โจรไม่ได้หรอก เพราะมันต้องการเงินไปซื้อยาเสพติด หรือไม่เอาไปเที่ยวกลางคืน พนันมวย พนันบอลสารพัด ทางการว่าจะปราบให้หมด ก็เห็นจะๆ อยู่นั่นแหละ...คือยิ่งบอกว่าจะปราบให้หมด ยิ่งมียาเสพติดมากขึ้นทุกวัน

    นั่นไง! เขาจับได้ยาบ้า เฮโรอีน โคเคนมากมายทั่วประเทศทุกวันเห็นมั้ย?

    แทนที่จะลดลง กลายเป็นยิ่งปราบยิ่งเยอะ จะโทษตำรวจก็ไม่ได้อีกนะคะ โจรผู้ร้ายชุกชุมเหมือนแมลงวันหน้าร้อน ตำรวจมีน้อย ไหนจะต้องคุ้มกันคนใหญ่คนโต ไหนจะต้องไปนั่งกินเหล้าตามผับ ตามคาราโอเกะอีกล่ะ

    อ้าว? ให้ถอดเครื่องแบบก่อนทำไม...คนยิ่งหิวเหล้าไส้จะขาดอยู่แล้วนี่นา!

    ไหนจะเมา...เอ๊ย! รำคาญคนขี้เมา หรือเขม่นใครก็ควักปืนตบหน้าเล่น...คิดสู้ก็เรียกจิ๊กโก๋ในร้านมารุมตื้บซะจนตาย ใครจะทำไม?

    ตำรวจประจำสน.ท่านก็ดีนะคะ ไปแจ้งความก่อนตายก็ไล่ให้ไปทำแผลซะก่อน! อ้าว? ตายแล้วเหรอเนี่ย...เจ้านายใหญ่ๆ โตๆ ท่านบอกว่าจะให้ความเป็นธรรมอย่างเต็มที่ แห่ไปงานศพออกทีวีกันสลอนเชียวค่ะ ไม่ช้าเรื่องราวก็คงเงียบหายไปเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง อย่างที่เคยเงียบหายไม่รู้ว่ากี่สิบกี่ร้อยรายแล้ว

    แหม! ตำรวจตั้ง 2-3 แสนนาย คนหมู่มากก็ย่อมมีคนเลวปะปนเป็นธรรมดา! ตกลงว่าตำรวจมีน้อยหรือมีมากกันแน่คะเนี่ย?

    ...ไม่ลืมหรอกค่ะ เรื่องน้ำฝนที่โดนโจรยิงตายเพื่อชิงเงินไม่กี่ร้อยบาท กับมือถืออันเดียว...ที่ว่าไม่ลืมก็เพราะน้ำฝนตายได้ 3 วัน เผาศพเรียบร้อยแล้ว เธอก็มาหาดิฉันแทบทุกคืนเลยค่ะ

    เราเช่าห้องอยู่แถวปิ่นเกล้า ต้องอาศัยมอเตอร์ไซค์เข้าซอย ชวนเพื่อนที่ทำงานมาอยู่ด้วยกันเพื่อช่วยแชร์ค่าห้อง แต่ไม่มีใครกล้ามาอยู่ซักคน บอก...กลัวผี!

    ดิฉันกลัวค่าเช่ามากกว่ากลัวผีนะคะ...ตอนกลางคืนนอนคนเดียวก็เอาแล้ว! เดี๋ยวไฟในห้องน้ำปิด-เปิดเอง พอดุเข้าก็เงียบไป บางคืนกำลังหลับสบายก็ได้ยินเสียงทีวีดังลั่น ต้องตะโกนว่า...คนจะนอนโว้ย อีเพื่อนบ้า! นั่นละค่ะ เธอจึงยอมปิดทีวี

    บางวันไขกุญแจเข้าห้อง โมโหจนนึกขัน อ๋อ...กลิ่นน้ำหอมที่น้ำฝนชอบน่ะซีคะ อบอวลไปทั้งห้องเลย ทั้งๆ ที่ญาติเธอก็มาขนของไปจนหมดแล้ว

    "แน่จริงก็โผล่มาเลยเพื่อน อยากเห็นหน้าว่ะ"

    มีเสียงถอนใจเฮือก แล้วกลิ่นบ้าๆ กวนประสาทก็ค่อยๆ จางหายไป

    ในที่สุด ดิฉันทนรำคาญไม่ไหวต้องหาผ้ายันต์มาแปะบานประตูด้านในไว้เลย น้ำฝนเข้าไม่ได้ เอาแต่เดินวนเวียนไปมา บางคืนก็ร้องไห้ฮือๆ อยู่หน้าประตูนั่นเอง

    ว่าจะไม่สนใจแล้วเชียวนา แต่น้ำฝนก็มาเข้าฝัน บอกคิดถึง อยากมาอยู่ด้วย มานอนด้วยเหมือนแต่ก่อน! ดิฉันดุว่าอย่าเชียวนะ...ฉันไม่ชอบนอนกับผีหรอกย่ะ!

    ทีนี้เพื่อนก็มาเคาะประตูห้องตอนกลางคืนซิคะ...พอไปเปิดดูก็ไม่เห็น คืนต่อมาก็เอาอีก ดิฉันอยากดูให้รู้แน่ รีบวิ่งไปถอดกลอนทันที...ห้องข้างซ้ายเป็นห้องริมสุดถัดไปยาวเหยียด โล่งว่าง ห้องอื่นๆ ปิดประตูเงียบ

    ดิฉันแกล้งพูดเอะอะว่าเธอไม่ถึงเตียง แล้วหุบปากย่องกลับมาที่ประตู...เสียงก๊อกๆๆ ดังขึ้นอีกแล้ว ดิฉันเปิดผาง ไม่เห็นใครตามเคย แต่รู้สึกว่าอากาศจะหนาวยะเยือกชอบกล กับได้กลิ่นน้ำหอมล่องลอยอยู่ในอากาศ...เล่นเอาขนลุกค่ะ ยอมรับเลย

    "ตกลงจะเอายังไง?" ดิฉันพูดลอยๆ "พรุ่งนี้จะตื่นแต่เช้า ซื้อของใส่บาตรให้กิน อุทิศส่วนกุศลให้ด้วยน่า...เธอชอบกินไก่ผัดขิงกับแกงหมูเทโพใช่มั้ย? แต่ถ้ามากวนฉันอีก รับรองอดแน่...ขอบอก!"

    สรรพสิ่งเงียบหายไป รุ่งขึ้นดิฉันก็ใส่บาตร อุทิศส่วนกุศลให้เพื่อนตามสัญญา เธอก็หายไปนานเชียวค่ะ พอนึกได้ก็ใส่บาตรกรวดน้ำให้เธออีกจนน้ำฝนหายไปเลย

    ถ้าคุณโดนผีหลอก หรือมีญาติสนิทมิตรสหายเสียชีวิต โปรดหาเวลาว่างทำบุญกรวดน้ำไปให้เขาด้วยนะคะ...ขนาดดิฉันไม่กลัวผียังขนหัวลุกเป็นบางครั้งเลยค่ะ!

     
  5. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    คนคอน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในวันประเพณีให้ทานไฟ

    มนุษย์เกือบทั้งโลกเชื่อว่า เมื่อมีใครล้มตายลงด้วยสาเหตุใดๆ ก็ตาม ญาติสนิทมิตรสหายจะต้องจัดทำพิธีศพให้ถูกต้องตามประเพณี เพื่อให้วิญญาณผู้ตายสงบสุขในปรโลกสืบไป

    คนไทยเราก็เชื่อถือในการทำศพ บำเพ็ญกุศลให้ผู้ตายตามฐานะของตน ญาติสนิทมิตรก็มักเต็มใจมาช่วยงานศพ เพราะเห็นแก่ผู้ตายบ้าง เจ้าภาพบ้าง ส่วนหนึ่งก็มักจะคิดว่า...ไหนๆ ก็เป็นงานครั้งสุดท้ายของคนๆ นั้นแล้ว

    ถ้าศพใดไม่ได้ทำพิธี หรือบำเพ็ญกุศล วิญญาณนั้นก็จะเดือดร้อน หาความสงบสุขไม่ได้ไปตลอดกาล!

    นอกจากนั้นยังมีการทำบุญให้ผู้ตายในโอกาสต่างๆ เช่นครบร้อยวันบ้าง ครบรอบปีบ้าง บางคนที่มีความผูกพันกันลึกซึ้ง เช่น บิดามารดากับบุตร สามีกับภรรยา พี่น้องและเพื่อนฝูงที่รักใคร่กันเหมือนญาติ ก็มักจะหาโอกาสทำบุญใส่บาตร อุทิศส่วนกุศลไปให้เป็นประจำ

    ถ้าไปเกิดใหม่ก็แล้วไป แต่ถ้ายังไม่เกิดก็จะได้รับกุศลผลบุญนั้นๆ ไม่ต้องอดอยากปากแห้ง ทนทุกข์ทรมานอยู่ในเมืองผี-หรือโลกหน้าที่ยังไม่มีใครบอกกล่าวให้เข้าใจได้แน่ชัดว่าเป็นอย่างไร

    แต่ส่วนมากมักจะลืมเลือนไป เมื่อเวลาผ่านไปเป็นปีๆ หรือนับสิบปี โดยคิดเอาว่าไปเกิดใหม่แล้วเป็นแน่นอน

    ภิกษุสงฆ์คือสื่อกลางระหว่างคนเป็นกับตาย!

    นั่นคือ จำได้ว่าญาติมิตรผู้ล่วงลับไปแล้ว เคยชอบกินอาหารหวานคาวชนิดใด ก็จะนำอาหารชนิดนั้นๆ ไปถวายพระ คะยั้นคะยอให้ท่านฉัน แล้วตัวเองจะได้มากรวดน้ำอุทิศให้ผู้ตาย โดยเชื่อมั่นว่าจะต้องได้กินอาหารที่ตนทำบุญไปให้อย่างไม่มีปัญหา

    บางครั้งก็เกิดเหตุน่าขนหัวลุกขึ้นโดยมิได้เจตนาเลย!

    ผมเป็นคนปากพนัง นครศรีธรรมราช ที่เรียกว่า "คนคอน" นั่นแหละครับ วันนี้จะเล่าเรื่องแปลกประหลาดปนสยองให้ท่านฟัง

    บ้านผมมีประเพณีแตกต่างกว่าที่อื่นหลายอย่าง เช่น แห่ผ้าขึ้นธาตุ, ชักพระหรือลากพระ, งานบุญเดือน 10, ประเพณีการให้ทานไฟ และประเพณีงานศพ...บางอย่างก็เลือนหายไปกับกาลเวลา

    สมัยก่อนเมื่อมีคนตาย จะแยกเป็น "ศพสด" กับ "ศพแห้ง"

    "ศพสด" หมายถึงคนที่ตายก่อนวัยอันสมควร เช่น เด็กๆ หรือหนุ่มสาวที่ตายอย่างคาดไม่ถึง ทั้งตายด้วยอุบัติเหตุหรือเจ็บไข้ได้ป่วยก็ตาม เมื่อสวดศพครบกำหนดแล้วก็จะเผาทันที ไม่มีการเก็บศพไว้รอเผาเหมือนศพแห้ง

    "ศพแห้ง" หมายถึงผู้ที่เสียชีวิตในวัยชรา ถือว่าถึงวัยอันสมควร เมื่อสวดศพครบกำหนดแล้วก็มักจะเก็บศพไว้ โดยการฝังไว้ก่อนจนกว่าศพจะแห้งแล้ว จึงจะขุดกระดูกขึ้นมาทำพิธีเผาศพต่อไป

    ประเพณีที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยก็คือ "ประเพณีการให้ทานไฟ"

    การให้ทานไฟ หมายถึงการทำบุญด้วยไฟ หรือทำบุญด้วยความร้อนนั่นเอง เชื่อว่าประเพณีนี้เกิดขึ้นเพราะความหนาวเย็นของอากาศเป็นต้นเหตุนะครับ

    ประเพณีนี้ปฏิบัติกันมาช้านานแล้ว นั่นคือ ตอนเช้าตรู่ในฤดูหนาว ชาวบ้านจะพากันไปที่วัดในหมู่บ้าน ช่วยกันก่อไฟกองใหญ่ขึ้นที่ลานวัด ปูเสื่อลาดอาสนะใกล้กองไฟ แล้วนิมนต์ภิกษุสามเณรในวัดทั้งหมดมานั่งผิงไฟ...คิดดูเถิดว่าหนาวปานใด?

    จากนั้น ชาวบ้านก็จะช่วยกันทำขนมตามแบบพื้นเมือง เพื่อถวายพระเณรให้ฉันขณะร้อนๆ เพื่อบรรเทาความหนาวเย็น จากนั้นก็แยกออกมาตั้งวงกินกันทั้งผู้ใหญ่และเด็ก...การบุญที่ช่วยให้พระเณรอบอุ่นขึ้น ตนเองก็พลอยสุขกายสบายใจไปด้วย ถือว่าได้บุญทันตาเห็นนะครับ

    สาเหตุก็เพราะอากาศหนาวจัด พระเณรท่านก็มีเพียงจีวรบางๆ พันกาย อีกทั้งภัตตาหารที่ได้จากการบิณฑบาตก็เย็นชืดหมดแล้ว ชาวบ้านจึงช่วยกันก่อไฟให้พระเณรอบอุ่น ปรุงอาหารร้อนๆ ขึ้นถวาย

    นี่แหละครับ น้ำใจ "คนคอน" หรือชาวใต้ละคุณ!

    แต่แล้ว กาลเวลาก็กลายเป็นตัวแปรให้ประเพณีต่างๆ ต้องเปลี่ยนแปลงไป

    เดี๋ยวนี้เศรษฐกิจรัดตัว ไม่มีเวลาไปทำขนมที่วัดเลยทำที่บ้านดีกว่า เสร็จแล้วไปถึงวัดก็ช่วยกันก่อไฟให้พระเณรท่านผิงแล้วประเคนขนมถวาย เป็นอันเสร็จพิธี

    ว่าแต่ประเพณีการให้ทานไฟมีวันไหน?

    คำตอบคือ...วันใดวันหนึ่งในเดือนอ้ายต่อเดือนยี่ แต่จะเป็นวันใดนั้นก็แล้วแต่ทางวัดจะตกลงกับอุบาสกอุบาสิกาเป็นปีๆ ไป

    สมัยผมเด็กๆ เคยตามพ่อแม่ไปวัดในตอนเช้าตรู่วันหนึ่ง จำได้ว่าอากาศหนาวจับใจ ต้องใส่เสื้อหนาๆ แล้วห่มผ้าขนหนูอีกชั้น เด็กคนอื่นๆ ก็เหมือนกัน...เราไปช่วยเขาก่อไฟกันเล่นเพราะสนุกดีตามประสาเด็กๆ

    จนพระท่านเณรลงมาผิงไฟ พวกผู้ใหญ่ทำขนม ขอบฟ้าเริ่มขาวขึ้นมาแล้ว แต่อากาศดูเหมือนจะหนาวเย็นยิ่งกว่าเดิม ลมพัดคร่ำครวญมาตามยอดไม้ฟังเหมือนเสียงใครร้องครางน่าขนหัวลุก

    เมื่อทำขนมเสร็จ ชาวบ้านก็ทยอยนำไปประเคนพระเณร จากนั้นก็นำมาแจกจ่ายกันกิน...ช่วงนี้ถือว่ามีความสุขที่สุด

    พระฉันเสร็จก็ให้ศีลให้พรก่อนจะกลับเข้ากุฏิ พวกเราหันมาจะเก็บถ้วยชามรอบกองไฟที่ซาลง...แต่ก็ต้องชะงักกันหมด เมื่อเห็นร่างดำๆ กลุ่มใหญ่เกือบสิบร่างกำลังล้อมวงกันตักขนมกินอย่างเอร็ดอร่อย

    เสียงร้องเฮ้ย...ฮ้าย...โฮ้ย...ดังระงมไปหมด ลมพัดวูบ ควันไฟม้วนตลบวูบวาบ แล้วภาพน่าสยองเมื่อครู่ก่อนก็พลันเลือนรางจางหายไปจนหมดสิ้น! บรื๋อส์...
     

แชร์หน้านี้

Loading...