บทความให้กำลังใจ(ความสุขที่ถูกมองข้าม )

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,617
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    (สุดท้าย)
    มรณสติช่วยเตือนใจให้เราตระหนักว่า สิ่งต่าง ๆ ที่เรามีอยู่ขณะนี้ ไม่ช้าก็เร็วย่อมจากเราไป การระลึกว่าสิ่งเหล่านี้อยู่กับเราเพียงชั่วคราวเท่านั้น จะช่วยให้เราหันมาชื่นชมกับสิ่งนั้นมากขึ้น ไม่มองข้ามหรือปล่อยให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เมื่อเรารู้ว่าในที่สุดเราต้องเจ็บป่วยและแก่ชรา เราจะเห็นคุณค่าของสุขภาพและวัยเยาว์ จะไม่ปล่อยปละละเลยสุขภาพหรือใช้วัยเยาว์ไปในทางที่ไร้สาระ เมื่อเราตระหนักว่าเรามีเวลาอยู่ในโลกนี้จำกัด เราจะเห็นคุณค่าของทุกเวลานาทีที่ยังเหลืออยู่ ไม่ปล่อยทิ้งไปอย่างไร้คุณค่า ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาเราจะรู้สึกเป็นสุขที่ยังมีชีวิตอีกหนึ่งวัน แต่ละวันนั้นจะมีคุณค่าอย่างยิ่ง เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีวันพรุ่งนี้สำหรับเราหรือไม่

    ในทำนองเดียวกัน เพียงแค่รู้ว่า พ่อแม่ ลูกหลาน สามีภรรยา ยังอยู่กับเรา เราก็มีความสุขแล้ว เพราะไม่มีหลักประกันเลยว่าเขาจะจากเราไปเมื่อใด แม่บ้านผู้หนึ่งเล่าว่าทุกเย็นเพียงแค่ได้เห็นสามีและลูก ๆ อยู่กันพร้อมหน้าที่บ้าน เธอก็มีความสุขแล้ว เพราะไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้จะมีโอกาสแบบนี้หรือไม่ มรณสติจึงทำให้เรามีความสุขได้ง่ายขึ้น เพราะตระหนักว่าเรามีสิ่งดี ๆ ที่ทรงคุณค่าอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าหาความสุขจากสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ไกลตัวเลย

    การระลึกถึงความตายว่าเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างกะทันหัน ยังทำให้เราตระหนักว่าคนที่เราพบปะเกี่ยวข้องนั้น อาจจะจากไปเมื่อไรก็ได้ การพบปะกับเขาอาจเป็นการพบปะกันครั้งสุดท้าย เมื่อใดก็ตามที่คิดได้เช่นนี้ เราจะตระหนักว่าเวลาที่อยู่กับเขาขณะนั้นเป็นเวลาที่สำคัญมาก เราจะให้ความสำคัญกับเขามากขึ้น ใส่ใจกับความรู้สึกของเขายิ่งกว่าเดิม แทนที่จะพูดหรือทำกับเขาตามความเคยชิน ก็จะนุ่มนวลหรืออ่อนโยนกับเขามากขึ้น ใช่หรือไม่ว่าบ่อยครั้งเราไม่ค่อยมีเวลาให้แก่กัน ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของกัน เพราะคิดว่าเรามีโอกาสที่จะได้พบกันอีก การคิดว่ายังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกนาน ทำให้เราไม่ใส่ใจความรู้สึกของกันและกันเท่าที่ควร จึงทำให้มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันได้ง่าย และเมื่อทะเลาะกันแล้ว ก็คิดว่าไม่ต้องรีบปรับความเข้าใจกันก็ได้ เพราะมีเวลาอีกมากที่จะคืนดีกัน การคิดเช่นนี้จัดว่าเป็นความประมาทอย่างหนึ่ง แต่หากเราตระหนักว่าความตายอาจพรากจากเราไปเมื่อไรก็ได้ เราจะเปลี่ยนท่าที และใส่ใจกันมากขึ้น

    ตายก่อนตาย

    อานิสงส์ของการเจริญมรณสติ ๓ ประการข้างต้น คือการขวนขวายใส่ใจในสิ่งที่ชอบผัดผ่อน การปล่อยวางสิ่งที่ชอบติดยึด และการเห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน ในด้านหนึ่งช่วยให้เราอยู่อย่างมีความสุขและใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความตายที่จะมาถึง เพราะเมื่อได้ทำสิ่งที่สมควรทำเสร็จสิ้นแล้ว ไม่มีสิ่งคั่งค้างกังวลใจ ไร้ความห่วงหาอาลัย อีกทั้งละเว้นสิ่งที่สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจ ก็พร้อมจะจากโลกนี้ไปด้วยใจสงบ การอยู่อย่างมีความสุขและมีคุณค่า กับการเตรียมตัวตายอย่างสงบจึงเป็นเรื่องเดียวกัน หาได้แยกจากกันไม่ กล่าวอีกนัยหนึ่งหากต้องการตายเป็นก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ให้เป็นด้วย ในข้อนี้ท่านพุทธทาสภิกขุได้เคยกล่าวในรูปปุจฉาวิสัชนาว่า “เตรียมสำหรับตายให้ดีที่สุดอย่างไร? ตอบ: อยู่ให้ดีที่สุด ! เตรียมสำหรับอยู่ให้ดีที่สุดอย่างไร? ตอบ:เตรียมพร้อมสำหรับที่จะตายนะซี่!”

    การเตรียมตัวตายที่ดีที่สุดคือการอยู่อย่างพร้อมที่จะตายอยู่เสมอ นั่นคือทำความดีทุกขณะที่มีโอกาส และฝึกใจให้รู้จักปล่อยวาง ขณะเดียวกันก็ระลึกถึงความตายอยู่เป็นนิจเพื่อกระตุ้นเตือนให้ทำกิจทั้งสองประการดังกล่าว การเจริญมรณสติยังช่วยให้เราพร้อมเผชิญความตายได้ดีขึ้น ตรงที่เป็นการฝึกใจให้คุ้นกับความตายอยู่เสมอ ดังได้กล่าวแต่ต้นแล้วว่าความตายไม่น่ากลัวมากเท่ากับความกลัวตาย และสาเหตุที่เรากลัวตายมากก็เพราะไม่คุ้นชินกับความตายโดยเฉพาะความตายของตัวเอง ปัญหานี้จะลดลงไปเมื่อเราเจริญมรณสติอยู่เสมอ เพราะช่วยให้ใจคุ้นชินกับความตายของตัวเอง หากความคุ้นชินนั้นมิได้เกิดในระดับความคิดหรือสมองเท่านั้น แต่ลงไปถึงอารมณ์ความรู้สึกหรือหัวใจ ก็จะทำให้เรายอมรับความตายของตนเองได้ง่ายขึ้น

    การฝึกตายอยู่เสมอเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เรายอมรับความตายในระดับอารมณ์ความรู้สึกด้วย เพราะการฝึกชนิดนี้ ยิ่งจินตนาการได้ใกล้เคียงความจริงมากเท่าไร ความกลัว ความอึดอัด และความห่วงหาอาลัย จะถูกกระตุ้นขึ้นมามากเท่านั้นโดยเฉพาะในใจของผู้ฝึกใหม่ การตระหนักรู้ในอารมณ์ดังกล่าวจะช่วยให้เราสามารถรับมือกับมันได้ดีขึ้นเมื่อความตายมาใกล้ตัวจริง ๆ ขณะเดียวกันการเผชิญกับสถานการณ์ที่คุกคามชีวิต แม้จะเป็นแค่สมมติหรือจินตนาการ แต่ก็ช่วยให้เรามีความคุ้นกับมันมากขึ้น จึงช่วยลดความตื่นตระหนกว้าวุ่นหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นมาจริง ๆ

    การฝึกตายหากทำอย่างสม่ำเสมอมากเท่าไร ก็มีผลดีต่อจิตใจมากเท่านั้น วิธีที่จะทำให้การฝึกตายเป็นไปอย่างสม่ำเสมอก็คือการทำให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ท่านพุทธทาสภิกขุได้เสนอแนะวิธีการการฝึกตายที่กลมกลืนไปกับการดำเนินชีวิต นั่นคือ “ตายก่อนตาย” หมายถึงฝึกการตายจากกิเลส หรือตายจากการยึดมั่นในตัวตน คือทำให้ตัวตนตายไปก่อนที่จะหมดลม

    ตัวตนนั้นมิได้มีอยู่จริง หากเกิดจากการปรุงแต่งของใจ เมื่อเกิดความสำคัญมั่นหมายในตัวตนแล้ว ก็จะเกิดการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่าง ๆ ตามมาว่าเป็น “ตัวกู ของกู” ไม่ว่าทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง ความสำเร็จ รวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วย ไม่จำกัดเฉพาะสิ่งที่พึงปรารถนา แม้สิ่งที่ไม่พึงปรารถนาก็ยังอดยึดไม่ได้ว่าเป็น “ตัวกู ของกู” ด้วยเหมือนกัน เช่น ความโกรธ(ของกู) ความเกลียด(ของกู) ศัตรู(ของกู) ความยึดมั่นในตัวกูของกูนี้เองที่ทำให้เรากลัวความตายเป็นอย่างยิ่งเพราะความตายหมายถึงการพลัดพรากสูญเสียไปจากสิ่งทั้งปวง และสิ่งที่เรากลัวที่สุดคือพลัดพรากจากตัวตนหรือการดับสูญของตัวตน

    เมื่อใดก็ตามที่เราสามารถปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้ ความตายก็จะไม่น่ากลัวอีกต่อไป เพราะจะไม่มีความพลัดพรากสูญเสียใด ๆ เลยในเมื่อไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย ที่สำคัญที่สุดคือไม่มี “เรา”ตาย เพราะตัวเราไม่มีตั้งแต่แรกแล้ว ด้วยเหตุนี้การฝึกใจให้ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนจึงเป็นวิธีเตรียมตัวตายที่ดีที่สุด

    ท่านพุทธทาสภิกขุได้แนะนำวิธีปฏิบัติหลายประการเพื่อการละวางตัวตน วิธีหนึ่งก็คือฝึก “ความดับไม่เหลือ” กล่าวคือทุกเช้าหรือก่อนนอนให้สำรวมจิตเป็นสมาธิ แล้วพิจารณาให้เห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราหรือของเราแม้แต่สักอย่างเดียว รวมทั้งพิจารณาว่าการ “เกิด”เป็นอะไรไม่ว่าเป็นแม่ เป็นลูก เป็นคนรวย เป็นคนจน เป็นคนดี เป็นคนชั่ว เป็นคนสวย เป็นคนขี้เหร่ ก็ล้วนแต่มีทุกข์ทั้งนั้น “เกิด”ในที่นี้ท่านเน้นที่ความสำคัญมั่นหมายหรือติดยึดว่าเป็นนั่นเป็นนี่ เมื่อเห็นแล้วให้ละวางความสำคัญมั่นหมายดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิด “ตัวกู”ว่าเป็นนั่นเป็นนี่ (แต่การทำหน้าที่ตามสถานะหรือบทบาทดังกล่าวก็ยังทำต่อไป) เป็นการน้อมจิตสู่ความดับไม่เหลือแห่งตัวตน

    เมื่อทำจนคุ้นเคย ก็นำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เมื่อใดที่ตาเห็นรูป หรือหูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้สัมผัส หรือจิตนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ขึ้นมา ก็ให้มีสติเท่าทันทุกคราวที่ “ตัวกู”เกิดขึ้น นั่นคือเมื่อเห็น ก็สักว่าเห็น ไม่มี “ตัวกู”ผู้เห็น เมื่อโกรธ ก็เห็นความโกรธเกิดขึ้น ไม่มี “ตัวกู”ผู้โกรธ เป็นต้น

    การปฏิบัติดังกล่าวเป็นไปเพื่อดับ “ตัวกู”ไม่ให้เหลือ ซึ่งก็คือทำให้ตัวกูตายไปก่อนที่ร่างกายจะหมดลม หากทำได้เช่นนั้นความตายก็ไม่น่ากลัวอีกต่อไป หรือกล่าวอย่างถึงที่สุด ความตายก็ไม่มีด้วยซ้ำ เพราะไม่มีผู้ตายตั้งแต่แรก ดังนั้นจึงเท่ากับเป็นวิธีเอาชนะความตายอย่างแท้จริง แต่ถึงแม้ตัวกูจะไม่ตายไปอย่างสิ้นเชิง ยังมีความยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกูอยู่ เมื่อจวนเจียนจะตายท่านพุทธทาสภิกขุได้แนะนำให้น้อมจิตสู่ความดับไม่เหลือเช่นเดียวกัน นั่นคือละวางความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวงว่าเป็นตัวกูของกู วิธีการนี้ท่านเปรียบเสมือน “ตกกระไดแล้วพลอยกระโจน” กล่าวคือเมื่อร่างกายทนอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว จิตก็ควรกระโจนตามไปด้วยกัน ไม่ห่วงหาอาลัยหรือหวังอะไรอย่างใดอีกต่อไป ไม่คิดจะเกิดที่ไหนหรือกลับมาเกิดใหม่อีกต่อไป นาทีสุดท้ายของชีวิตเป็นโอกาสสำคัญยิ่งที่จิตจะปล่อยวางตัวกูเพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างสิ้นเชิง จึงนับว่าเป็น “นาทีทอง”อย่างแท้จริง

    บทส่งท้าย

    พระอาจารย์ลี ธมมธโร เคยกล่าวว่า “คนที่จะพ้นตาย ต้องทำตนเหมือนคนตาย” ท่านได้ข้อคิดนี้จากเรื่องเล่าของชายแก่คนหนึ่งซึ่งรอดชีวิตจากกรงเล็บของหมีใหญ่อย่างหวุดหวิด หมีตัวนั้นเข้ามาทำร้ายเขาและภรรยาขณะที่กำลังหาของป่า ภรรยาหนีขึ้นต้นไม้ทัน ส่วนชายแก่ถูกหมีปราดเข้ามาประชิดตัว พยายามต่อสู้ แต่สู้ไม่ได้ ภรรยาจึงตะโกนว่า ให้นอนหงายเหมือนคนตาย อย่ากระดุกกระดิก ชายแก่จึงทำตาม ล้มนอนแผ่ลงกลางพื้นดิน ไม่ไหวติงเหมือนคนตาย หมีเห็นดังนั้นจึงหยุดตะปบ ยืนคร่อมตัวเอาไว้ ดึงขาและหัวชายแก่ แล้วใช้ปากดันตัวอยู่พักหนึ่ง เขาก็ทำตัวอ่อนไปอ่อนมา ขณะเดียวกันก็บริกรรมว่า “พุทโธ”ไปด้วย หมีเห็นชายแก่ไม่กระดุกกระดิก คิดว่าเขาตายแน่แล้วจึงเดินจากไป

    ชายแก่รอดตายได้เพราะทำตัวเหมือนคนตาย แต่คำพูดของพระอาจารย์ลีมีความหมายลึกกว่านั้น ในแง่หนึ่งคืออยู่อย่างปล่อยวางทุกสิ่ง ไร้ความยินดียินร้ายในโลกธรรม ไม่อาลัยในชีวิต ผู้ที่ทำใจได้เช่นนี้แม้เผชิญความตายต่อหน้า ย่อมมีจิตสงบ ความทุกข์ทรมานมิอาจย่ำยีบีฑาได้ เท่ากับว่าอยู่เหนือความตาย ลึกลงไปกว่านั้นก็คือการอยู่อย่างไม่มีตัวกู พร้อมจะตายทุกเมื่อ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงทำอะไรไม่ได้ คือ “พ้นตาย”นั่นเอง

    การเจริญมรณสติคือการฝึกใจให้พร้อมตายทุกเมื่อ เป็นวิถีสู่การตายก่อนตายและการพ้นตาย แม้ด้านหนึ่งจะคล้ายกับการทำตนเหมือนคนตาย แต่อีกด้านหนึ่งคือการปลุกใจให้ตื่นจากความประมาท เพื่ออยู่อย่างมีชีวิตชีวา โปร่งโล่ง เบาสบาย เป็นชีวิตที่เปี่ยมด้วยความพากเพียรรับผิดชอบแต่ก็พร้อมปล่อยวางในเวลาเดียวกัน

    มรณสติเมื่อบำเพ็ญอย่างสม่ำเสมอ ย่อมช่วยให้เกิดปัญญาตระหนักรู้ว่าความตายมิได้เป็นปฏิปักษ์กับชีวิต แต่เป็นสิ่งที่สามารถหนุนเสริมและขับเคลื่อนชีวิตให้เป็นไปในทางที่งอกงามได้ กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้วชีวิตกับความตายนั้นหาได้แยกจากกันไม่ หากดำรงอยู่ควบคู่กับชีวิตตลอดเวลา ดังมีพุทธพจน์ว่า “ความแก่มีอยู่ในความเป็นหนุ่มสาว ความเจ็บไข้มีอยู่ในความไม่มีโรค ความตายก็มีอยู่ในชีวิต” สำหรับผู้ที่เข้าถึงสัจธรรมดังกล่าว ความตายจึงไม่ใช่ศัตรู หากเป็นส่วนหนึ่งของธรรมดาที่สบตาได้อย่างสบายใจ

    บทพิจารณาสำหรับการเจริญมรณสติ

    ปัจฉิมพุทโธวาท

    หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า
    วะยะธัมมา สังขารา
    สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
    อัปปะมาเทนะ สัมปะเทถะ
    ท่านทั้งหลาย จงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด
    อะยัง ตะถาคะตัสสะ ปัจฉิมา วาจา
    นี้เป็นพระวาจามีในครั้งสุดท้าย ของพระตถาคตเจ้า

    บังสุกุลตาย

    อะนิจจา วะตะ สังขารา สังขารทั้งหลายล้วนไม่เที่ยง
    อุปปาทะวะยะธัมมิโน มีการเกิดขึ้นและความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
    อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป
    เตสัง วูปะสะโม สุโข ความสงบระงับสังขารเหล่านั้นเป็นความสุข

    บทพิจารณาสังขาร

    สัพเพ สังขารา อะนิจจา
    สังขารคือร่างกาย จิตใจ แลรูปธรรม นามธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้น
    มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้ว ดับไป มีแล้ว หายไป
    สัพเพ สังขารา ทุกขา
    สังขารคือร่างกาย จิตใจ แลรูปธรรม นามธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้น
    มันเป็นทุกข์ ทนยาก เพราะเกิดขึ้นแล้ว แก่ เจ็บ ตายไป
    สัพเพ ธัมมา อะนัตตา
    สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ทั้งที่เป็นสังขาร และมิใช่สังขาร ทั้งหมดทั้งสิ้น
    ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ควรถือว่าเรา ว่าของเรา ว่าตัวตัวว่าตนของเรา
    อะธุวัง ชีวิตัง ชีวิตเป็นของไม่ยั่งยืน
    ธุวัง มะระณัง ความตายเป็นของยั่งยืน
    อะวัสสัง มะยา มะริตัพพัง อันเราจะพึงตายแน่แท้
    มะระณะปะริโยสานัง เม ชีวิตัง ชีวิตของเรามีความตายเป็นที่สุดรอบ
    ชีวิตัง เม อะนิยะตัง ชีวิตของเราเป็นของไม่เที่ยง
    มะระณัง เม นิยะตัง ความตายของเราเป็นของเที่ยง
    วะยะ ควรที่จะสังเวช
    อะยัง กาโย ร่างกายนี้
    อะจิรัง มิได้ตั้งอยู่นาน
    อะเปตะวิญญาโณ ครั้นปราศจากวิญญาณ
    ฉุฑโฑ อันเขาทิ้งเสียแล้ว
    อะธิเสสสะติ จักนอนทับ
    ปะฐะวิง ซึ่งแผ่นดิน
    กะลิงคะรัง อิวะ ประดุจดังว่าท่อนไม้และท่อนฟืน
    นิรัตถัง หาประโยชน์มิได้

    อภิณหปัจจเวกขณ์ ๕

    สตรี บุรุษ คฤหัสถ์หรือบรรพชิต ควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า
    เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้
    เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้
    เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
    เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทังสิ้น
    เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง เราทำกรรมใด ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม จักต้องเป็นทายาทของกรรมนั้น
    :- https://visalo.org/article/D_Raluktung.htm
    ,,, skullunderlinemoving.gif

     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,617
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
    พระไพศาล วิสาโล
    ข้าพเจ้าได้ยินชื่อหลวงพ่อเทียนมาเป็นเวลาหลายปีก่อนบวช ทั้งจากคำบอกเล่าของลูกศิษย์ลูกหาของท่านและจากหนังสือของกลุ่มศึกษาและปฏิบัติธรรม ซึ่งมีคุณวุฒิชัย ทวีศักดิ์ศิริผล เป็นกำลังสำคัญเวลานั้น ความจริง ๓-๔ ปีก่อนหน้านั้นขึ้นไปอีก คือในปี ๒๕๑๘ ข้าพเจ้าก็เคยติดตามเพื่อน ๆ สมาชิกชุมนุมศึกษาพุทธศาสตร์และประเพณี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ลัดเลาะไปยังวัดสนามในซึ่งเวลานั้นหลวงพ่อเทียนและลูกศิษย์เพิ่งมาฟื้นฟูให้เป็นสำนักปฏิบัติธรรม หลังจากเป็นวัดร้างมานาน ที่ข้าพเจ้าใช้คำว่า “ลัดเลาะ” ก็เพราะเวลานั้น ทางไปวัดสนามในยังมิใช่เป็นถนนคอนกรีตตลอดสาย บ้านจัดสรรยังไม่ขยายลึกเข้าไปจนเนืองแน่นเหมือนทุกวันนี้ จะมีก็แต่เรือกสวนเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงต้องเดินเข้าไปเป็นหลัก หากแต่คราวนั้นพวกเรามิได้พบหลวงพ่อเทียน ไปถึงวัดไม่นานก็กลับ ยังจำได้ว่า รอบวัดสนามในเมื่อ ๑๔ ปีก่อน ยังเป็นชนบทแท้ ๆ ผู้คนอยู่กันอย่างพื้น ๆ สมถะ เยี่ยงชาวสวนชานเมือง โดยที่รถโดยสารก็ไม่ต่างจากรถ “โคตรทรหด” ที่เคยเห็นในหนังเรื่อง “ครูบ้านนอก” เท่าใดนัก ทั้ง ๆ ที่อยู่ห่างจากสี่แยกสะพานกรุงธนเพียง ๒-๔ กิโลเมตรเป็นอย่างมาก


    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ข้าพเจ้าก็หาได้มีความสนใจหลวงพ่อเทียนเป็นพิเศษไม่ หนังสือธรรมเทศนาของท่านที่กลุ่มศึกษาและปฏิบัติธรรมพิมพ์เผยแพร่ ข้าพเจ้าก็ไม่เคยมีโอกาสอ่านจริง ๆ จัง ๆ ทั้ง ๆ ที่ได้รับแจกมาหลายเล่ม แต่ที่สะดุดใจคือ รายการเก็บอารมณ์ที่กลุ่ม ฯ จัดเป็นประจำที่วัดสนามใน ได้ทราบว่าหลายคนได้รับอานิสงส์จากการปฏิบัติธรรมที่นั่นมาก จึงตั้งใจว่าจะหาโอกาสปลีกตัวไปร่วมรายการดังกล่าวบ้าง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจทำดังที่คิดไว้ จนกระทั่ง ๒-๓ อาทิตย์ก่อนบวช คือ ปลายเดือนมกราคม ๒๕๒๖ ข้าพเจ้าจึงได้เข้าไปวัดสนามในเป็นครั้งแรกในรอบ ๗ ปี แต่ที่เข้าไปก็เพราะได้ทราบจากเพื่อนว่า หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ เดินทางมายังวัดสนามใน ในช่วงนั้นเป็นโอกาสดีที่จะขอไปฝึกปฏิบัติธรรมกับท่านที่วัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ และอยู่ที่วัดนั้น ข้าพเจ้าได้สังเกตเห็นภิกษุชรารูปหนึ่งเดินจงกรมอยู่หน้ากุฏิ แต่งตัวดังพระเซน มีคนบอกว่านั้นแหละหลวงพ่อเทียน ตอนนั้นท่านกลับจากการเปิดอบรมธรรมที่สิงคโปร์ไม่นาน และอยู่ในระหว่างพักฟื้นจากการผ่าตัด นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าพบหลวงพ่อเทียน แต่ก็หาได้เข้าไปกราบคารวะท่านไม่ พอเสร็จธุระกับหลวงพ่อคำเขียน ก็ลาท่านกลับเลย

    ข้าพเจ้ามาวัดสนามในอีกที ๑ เดือนหลังจากนั้น จำได้ว่าเป็นวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ คราวนี้มาในเพศบรรพชิต โดยเปลี่ยนใจมาปฏิบัติธรรมที่วัดสนามในแทนตามคำแนะนำของหลวงพ่อคำเขียน ท่านว่าวัดป่าสุคะโตนั้นกันดารมาก หากมาอยู่ที่วัดสนามในจะสะดวกแก่การปฏิบัติมากกว่า อีกทั้งหลวงพ่อเทียน ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย สามารถช่วยเหลือในด้านการปฏิบัติได้อย่างเต็มที่ ส่วนท่านเองจะลงมาสอนกรรมฐานให้ข้าพเจ้าเป็นประเดิมในอาทิตย์แรกด้วย

    ครั้นไปถึงก็มิได้พบหลวงพ่อคำเขียน และไม่ทราบว่าท่านจะลงมาวัดสนามในเมื่อไร วันแรกจึงปฏิบัติผิด ๆ ถูก ๆ อาศัยการสังเกตจากพระเณรรูปอื่น ๆ เป็นหลัก ไม่มีใครมาแนะนำการปฏิบัติ ต่อเมื่อถึงเย็นวันที่ ๒ จึงมีคนไปเรียนให้หลวงพ่อเทียนทราบ ดูเหมือนหลวงพ่อคำเขียนจะปรารภกับท่านเรื่องข้าพเจ้าก่อนแล้ว พอท่านทราบชื่อข้าพเจ้า ท่านก็เดินลงมาจากกุฏิ และสอนวิธีเจริญสติแก่ข้าพเจ้าที่ลานหน้ากุฏิท่าน ท่านสอนว่าไม่ว่าจะเดินหรือสร้างจังหวะ ก็ให้ “รู้สึก” อยู่เสมอ อย่าไปสนใจความคิด รู้อยู่แต่ที่การเคลื่อนไหวของกาย จะคิดอะไรก็แล้วแต่ พอรู้ตัวก็ให้กลับมาอยู่ที่กายนั่นแหละ ท่านแนะไม่ถึง ๕ นาที เสร็จแล้วท่านก็บอกให้ข้าพเจ้าไปปฏิบัติ ข้อนั้นไม่สู้กระไร แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือประโยคท้าย ๆ ของท่านที่ว่า ให้ปฏิบัติทั้งวันไม่ต้องพูดคุยกับใคร อยู่แต่ในกุฏินั่นแหละ ข้าพเจ้าฟังแล้วก็หนักใจขึ้นมาทันที เพราะลำพังการปฏิบัติ ๘ ชั่วโมง ซึ่งข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะทำให้ได้ ก็รู้สึกเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสอยู่แล้ว นี่ท่านกลับให้ทำทั้งวัน แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้ออกปากกับท่าน คิดว่าลองทำตามที่ท่านแนะมาก็แล้วกัน

    ในช่วงแรก ๆ หลวงพ่อเทียนหมั่นมาสอบอารมณ์ข้าพเจ้าที่กุฏิทุกวัน ๆ ละ ๒ ครั้ง คือเช้ากับเย็น เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าต้องตั้งใจปฏิบัติตลอดเวลา เพราะไม่รู้ว่าท่านจะเดินมาหาเมื่อไร ท่านมาแต่ละครั้งก็ถามเพียงว่าเป็นอย่างไร และแนะว่าให้รู้สึกอยู่เสมอ กระนั้นข้าพเจ้าก็รู้สึกเกรงใจท่านอย่างยิ่ง เพราะยังไม่ประสบความก้าวหน้าในการปฏิบัติเลย ไม่รู้ว่า “ความรู้สึก” ที่ท่านพูดนั้นเป็นอย่างไร ใจนั้นหนักไปในด้านการเพ่งอิริยาบถการเคลื่อนไหวของกาย หาไม่ก็เพ่งและคอยสกัดกั้นความคิดมิให้กำเริบ ซึ่งล้วนเป็นวิธีที่ผิดทั้งนั้น แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถรู้สึกได้โดยไม่เอียงสุดไปข้างใดข้างหนึ่ง อันได้แก่การเพ่งจ่อและการปล่อยใจให้ฟุ้งซ่าน

     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,617
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    (ต่อ)
    อย่างไรก็ตามหลวงพ่อเทียนก็อดทนที่จะมาหาข้าพเจ้าและฟังคำตอบเดิม ๆ อยู่เสมอ จนข้าพเจ้าต้องพยายามนึกหาคำตอบใหม่ ๆ แต่แม้ท่านจะแนะนำอย่างไร ข้าพเจ้าก็หาเข้าใจไม่ บางวันท่านก็มาสอนวิธีกวาดพื้นอย่างมีสติ ท่านย้ำเสมอว่าการเจริญสติมิได้อยู่ที่การเดินจงกรม หรือการปฏิบัติในรูปแบบ แต่นักปฏิบัติควรให้การกระทำทุกอย่างเป็นการเจริญสติไปในตัว ไม่ว่าจะเดิน นั่ง หรือกวาดใบไม้ แม้เวลากระพริบตา กลืนน้ำลาย ก็ให้รู้สึกอยู่เสมอ ระยะหลัง ๆ ท่านมิได้มาเอง หากให้อาจารย์ทอง อาภากโร มาช่วยสอบอารมณ์แทน

    กว่าข้าพเจ้าจะรู้จักวิธีเจริญสติอย่างถูกต้องตามที่ท่านแนะนำก็หมดเวลาเป็นเดือน ระหว่างนั้นต้องเป็นทุกข์ทั้งกายและใจอย่างยิ่ง หากมิได้ตั้งจิตอธิษฐานก่อนมาวัดสนามในว่าจะอยู่ที่นั่นให้ครบ ๑ เดือนแล้ว ข้าพเจ้าก็คงเลิกปฏิบัติและย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว ประสบการณ์ช่วงนี้ข้าพเจ้าเขียนไว้ในที่อื่นอย่างละเอียดแล้ว จึงจะไม่ขอกล่าวในที่นี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อข้าพเจ้าผ่านช่วงวิกฤตดังกล่าวไปได้ ได้เห็นอานิสงส์ของสติที่มีพลัง ว่องไว ก็อดซาบซึ้งในคุณครูบาอาจารย์ไม่ได้ ที่ท่านได้เพียรพยายามชี้แนะด้วยความกรุณา

    หลังจากนั้น หลวงพ่อเทียนก็ยังมาให้คำชี้แนะในการปฏิบัติเป็นครั้งคราว คราวหนึ่งข้าพเจ้าเก็บอารมณ์ไม่ไปฉันรวมกับหมู่คณะที่ศาลา ซึ่งเนืองแน่นด้วยญาติโยมเนื่องจากเป็นวันสงกรานต์ ข้าพเจ้าเดินจงกรมอยู่คนเดียวไม่ไกลจากกุฏิท่านเท่าใดนัก ท่านแลเห็นก็เดินเข้ามาหา คราวนี้นอกจากจะสอบถามชี้แนะการปฏิบัติอย่างเคยแล้ว ท่านยังพูดเลยไปถึงเรื่องอื่น ๆ อันเป็นเรื่องพื้น ๆ ทั่วไปที่มิใช่เรื่องการปฏิบัติ ดูไม่มีพิธีรีตองอันใด กับชาวบ้านซึ่งบังเอิญเดินผ่านมา ท่านก็พูดด้วยอย่างเป็นกันเอง ดูไม่ต่างจากพระหลวงตาธรรมดารูปหนึ่ง ช่วงนั้นเองที่ข้าพเจ้าได้เห็นอีกมิติหนึ่งของท่าน คือความเป็นธรรมดาสามัญ ที่ปราศจากความโดดเด่นเคร่งขรึม ทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นวิปัสสนาจารย์ผู้ใหญ่ ซึ่งมีผู้เคารพนับถือเป็นอันมาก ความเป็นธรรมดาสามัญของท่านดังกล่าว ทำให้หลายคนที่เคยได้ยินกิตติศัพท์ของท่าน หากบังเอิญได้มาพบท่านโดยไม่รู้ว่าท่านเป็นใครแล้วก็ย่อมนึกไม่ถึงว่าท่านคือ หลวงพ่อเทียน ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นปรมาจารย์แห่งการเจริญสติ

    เดิมข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะบวชเพียง ๓ เดือน ต่อมาขยายเป็น ๖ เดือน หลวงพ่อเทียนเป็นพระเถระรูปหนึ่งซึ่งแนะข้าพเจ้าให้บวชนานกว่านั้น การที่ข้าพเจ้าได้อยู่ปฏิบัติต่อที่วัดสนามในและภายหลังย้ายไปที่วัดป่าสุคะโตต่อมาอีกหลายปีนั้น ในด้านหนึ่งก็ทำให้เห็นคุณวิเศษของท่านมากขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งก็พลอยได้เห็นขีดจำกัดของท่าน โดยเฉพาะในเรื่องการรับรู้และการเกี่ยวข้องกับโลกสมัยใหม่ ซึ่งรวมถึงเรื่องการบริหาร การจัดการ ยิ่ง ๕ ปีหลัง ท่านมาให้ความสนใจกับการสร้างสำนักปฏิบัติธรรมแนวใหม่ที่จังหวัดเลย ขีดจำกัดดังกล่าวก็เห็นเด่นชัดขึ้น แต่นี้ก็ช่วยให้ข้าพเจ้าได้เห็นความเป็นธรรมดาสามัญของท่านมากขึ้น ท่านจึงเป็นแบบอย่างที่มีชีวิตชีวา มีความเป็นมนุษย์อันเราสามารถเรียนรู้จากท่านได้ทั้งในทางบวกและลบ โดยที่เรายังสามารถเคารพท่านได้อย่างสนิทใจ

    แต่หากกล่าวในเรื่องทางธรรมแล้ว หลวงพ่อเทียนมีวิธีการสอนที่แปลกและไม่หยุดนิ่ง ความที่ท่านเติบโตในทางธรรมโดยไม่จำกัดที่สำนักหรือสายการปฏิบัติใดเป็นพิเศษ ทั้งท่านยังได้ประจักษ์แจ้งสัจจะด้วยวิธีการของท่านเอง ดังนั้นแนวการสอนของท่านจึงแหวกออกไปจากประเพณีการปฏิบัติแต่ดั้งเดิมที่แพร่หลายในเมืองไทย อาทิ การไม่เน้นพิธีรีตอง การใช้ถ้อยคำสำนวนที่มีลักษณะเฉพาะ และวิธีการอบรมที่ผิดกับสายปฏิบัติแบบวัดป่าทั่วไป ทั้งนี้ไม่จำต้องพูดถึงวิธีการเจริญสติที่เป็นแบบฉบับของท่านโดยเฉพาะ กล่าวกันว่า เมื่อแรกที่ท่านสอนธรรมแก่คนทั่วไปนั้น ท่านแทบจะไม่พูดเลย หากแต่อาศัยอากัปกริยาบางอย่างเป็นสื่อแสดงสภาวธรรม และกระตุ้นให้คนฉุกคิดขึ้นมา แต่ในช่วงหลังท่านใช้คำพูดเป็นสื่อแสดงธรรมมากขึ้น และท่านดูตั้งใจในเรื่องนี้มาก ทั้งยังพยายามศึกษาการแสดงธรรมของอาจารย์ท่านอื่น ในช่วงที่ข้าพเจ้าอยู่วัดสนามในนั้น เนื่องจากกุฏิของข้าพเจ้าอยู่หลังกุฏิท่านเพียงแค่คูน้ำเล็ก ๆ คั่นกลาง จึงได้ยินและเห็นท่านฟังเทปธรรมบรรยายของท่านพุทธทาสภิกขุอยู่เนือง ๆ

    แม้ว่าท่านจะเป็นพระเถระที่มีเมตตา เข้าหาได้ง่ายและเป็นกันเอง แต่ในเรื่องการสอนธรรมแล้ว ท่านกวดขันเอาใจใส่มาก กล่าวกันว่า เมื่อท่านยังมีกำลังวังชาอยู่นั้น ท่านตรวจตราตามกุฏิ และจ้ำจี้จ้ำไชลูกศิษย์เป็นคน ๆ เลยทีเดียว ข้าพเจ้ามาไม่ทันเห็นภาพดังกล่าว แต่ก็ยังโชคดีมาเห็นท่านหมั่นมาสอบอารมณ์ของลูกศิษย์สม่ำเสมอ

    หลวงพ่อเทียนนั้น แม้ท่านจะดูเหมือนพระหลวงตาธรรมดารูปหนึ่ง โดยเฉพาะในเรื่องกิจการงานทางโลก แต่เวลาท่านก้าวสู่อาณาจักรแห่งธรรมปฏิบัติ โดยลงมาควบคุมการปฏิบัติและชี้แนะสอบอารมณ์ลูกศิษย์ตามกุฏิด้วยตัวเองแล้ว ท่านดูสง่าดังบุรุษอาชาไนย ซึ่งเปี่ยมด้วยพลัง ไม่ยอมแพ้ต่อสังขารอันบอบบางของท่าน ทั้งไม่เคยยอมจำนนต่อความเขลาเบาปัญญาของลูกศิษย์ ท่านจะเพียรพยายามกระตุ้นลูกศิษย์ กระตุ้นแล้วกระตุ้นเล่าอย่างเปี่ยมด้วยปัญญาคุณและกรุณาคุณ แต่เมื่อท่านป่วยหนักจนต้องผ่าตัดเป็นครั้งที่ ๒ ตอนกลางพรรษาปี ๒๕๒๖ ท่านก็ดูอ่อนแรงไปมาก การกวดขันการปฏิบัติชนิดตัวต่อตัวลดน้อยลงไป ท่านหันไปเน้นการบรรยายธรรม หาไม่ก็พักฟื้น แต่ก็มีบางครั้งที่ท่านไม่ยอมอยู่นิ่งเฉย ลุกขึ้นมากวดขันการปฏิบัติในวัดดังที่ท่านเคยปฏิบัติ ในยามนั้นท่านกลับดูเข้มแข็งอีกครั้งหนึ่ง ในความรู้สึกของข้าพเจ้าท่านดูสง่าดังแม่ทัพที่กลับมายังสมรภูมิอีกครั้งหนึ่ง เป็นสมรภูมิรบที่ท่านเจนจัดและเป็นชีวิตจิตใจของท่าน ดูเหมือนว่าในพรรษา ๒๕๓๑ อันเป็นพรรษาสุดท้ายของท่าน ท่านได้หันมากวดขันอย่างจริงจังกับพระเณรที่สำนักทับมิ่งขวัญ แต่ท่านไม่ทันได้ทำตลอดพรรษาก็ดับขันธ์เสียก่อน

    หลวงพ่อเทียนได้จากไปอย่างสงบและอย่างธรรมดาสามัญที่สุด ดังใบไม้ที่ปลิดขั้วและร่อนสู่พื้นอย่างแผ่วเบา คืนสู่ธรรมชาติอันเป็นที่มาของท่านและของชีวิตทั้งหลาย ท่านมิใช่อะไรอื่น หากเป็นส่วนหนึ่งของกระแสแห่งเหตุปัจจัย ซึ่งบังเกิดขึ้นมาในยุคของเรา เพื่อเกื้อหนุนโน้มนำเราท่านทั้งหลายให้ตระหนักในคติธรรมดาของชีวิต และเพียรพยายามเข้าถึงภาวะแห่งความสว่างไสวด้วยอำนาจแห่งสติและปัญญาซึ่งมีอยู่ในเราทุกคน ท่านได้ทำจนหมดอายุขัยสิ้นเหตุปัจจัยที่ท่านจะดำรงอยู่ต่อไป คงเหลือแต่เราท่านซึ่งยังมีภาระที่จะต้องทำ มีขันธ์ที่จะต้องแบก แต่ธรรมที่ท่านสอนนั้นสามารถช่วยให้ภาระดังกล่าวสิ้นสุดลงและทำขันธ์ให้เบาบางลงไปได้ นี้เองที่ทำให้หลวงพ่อเทียนเป็นดังดวงเทียนท่ามกลางกระแสธรรมที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับเรา
    :- https://visalo.org/article/paja255107.htm
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,617
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    ชัยชนะของผู้ไม่ยอมแพ้
    ภาวัน
    หากเกมกีฬาสามารถให้บทเรียนชีวิตแก่เราได้ อย่างน้อยก็มีสองประการที่กีฬาสอนใจเราได้นั่นคือ ไม่มีอะไรที่แน่นอน และทุกอย่างเป็นไปได้เสมอตราบใดที่เวลายังไม่หมด

    สำหรับแฟนฟุตบอลทั่วโลก สุดยอดของนัดชิงชนะเลิศถ้วยสโมสรยุโรป หรือยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก ที่ประทับแน่นในความทรงจำ ย่อมหนีไม่พ้นนัดชิงชนะเลิศระหว่างทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกับทีมบาเยิร์นมิวนิค ที่ประเทศสเปนเมื่อปี ๒๕๔๒

    ครั้งนั้นบาเยิร์น ฯ สามารถทำประตูได้ตั้งแต่นาทีที่ ๖ และสามารถต้านทานการรุกของแมนยู ฯได้ตลอดครึ่งแรก ครึ่งหลังแมนยู ฯ ยังคงบุกหนัก แต่ก็ทำประตูไม่ได้เลย จนถึงนาทีที่ ๙๐ บาเยิร์น ฯ ก็ยังนำอยู่ ๑ : ๐ ชัยชนะอยู่แค่เอื้อมแล้ว แฟนบาเยินร์น ฯ ที่เมืองมิวนิคถึงกับจุดดอกไม้ไฟเฉลิมฉลองก่อนที่การแข่งขันจะยุติ ส่วนผู้จัดก็ผูกริบบิ้นติดชื่อบาเยิร์น ฯ ไว้กับถ้วยเรียบร้อยแล้ว

    ชัยชนะต้องเป็นของบาเยิร์น ฯ อย่างแน่นอนหากกรรมการไม่ทดเวลาบาดเจ็บ ๔ นาที แล้วนาทีที่ ๙๑ ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นเมื่อเท็ดดี้ เชอริงแฮมของแมนยู ฯ ยิงประตูเข้า เกมทำท่าจะต้องต่อเวลา ๓๐ นาที แต่ผ่านไปแค่ ๒ นาทีเท่านั้น โอเล่ โซชา ก็สร้างปาฏิหาริย์เป็นครั้งที่ ๒ เมื่อเขาทำประตูชัยให้แมนยู ฯ แฟนบาเยิร์น ฯ ตกตะลึงทั้งสนาม

    เพียงแค่ ๓ นาทีเท่านั้น ถ้วยที่เกือบจะเป็นของบาเยิร์นอย่างแน่นอนแล้วก็หลุดไปเป็นของแมนยู ฯ ทันที

    นัดชิงชนะเลิศอีกนัดหนึ่งซึ่งถือว่าประทับใจไม่มีวันลืม คือนัดชิงระหว่างลิเวอร์พูลกับเอซีมิลานที่ประเทศตุรกีเมื่อปี ๒๕๔๘ ครึ่งแรกมิลานถล่มลิเวอร์พูลถึง ๓:๐ แฟนลิเวอร์พูลหลายคนผิดหวังถึงกับเดินคอตกออกจากสนามทันทีที่หมดครึ่งแรก อีกไม่น้อยปิดโทรทัศน์เพราะไม่อยากเห็นลิเวอร์พูลถูกเชือดมากกว่านี้

    ครึ่งหลังมิลานลงสนามด้วยความมั่นใจ แต่เล่นได้แค่ ๙ นาที สตีเฟน เจอร์ราดก็ทำประตูแรกให้ลิเวอร์พูลได้ แม้กระนั้นก็ดูเหมือนว่าลิเวอร์พูลยากจะตีตื้นได้ แต่ผ่านไปอีก ๒ นาทีมิลานก็เสียประตูที่ ๒ เท่านั้นยังไม่พอคล้อยหลังไปอีก ๔ นาที ลิเวอร์พูลก็ได้ประตูที่ ๓ ไม่มีใครเชื่อว่าเพียงแค่ ๖ นาทีเท่านั้น มิลานซึ่งเป็นทีมสุดยอดของยุโรปจะเสียไปถึง ๓ ประตู

    การแข่งขันนัดนั้นจบลงด้วยชัยชนะของลิเวอร์พูลจากการเตะลูกโทษเข้าได้มากกว่า คือ ๓:๒

    มิลานกลับบ้านมือเปล่าอย่างพลิกความคาดหมาย

    ตราบใดที่ยังไม่หมดเวลาแข่ง ก็ยังบอกไม่ได้ว่าใครเป็นผู้ชนะหรือผู้แพ้ แม้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะถูกนำไปมากมาย หรือถูกนำตลอดจนเกือบนาทีสุดท้าย ก็อาจลงเอยด้วยการเป็นผู้ชนะก็ได้ เพราะทุกอย่างเป็นไปได้เสมอ ตราบใดที่ยังไม่สิ้นความเพียร

    ในทำนองเดียวกันตราบใดที่ยังไม่หมดลมหรืองานยังไม่เลิกรา ก็อย่าเพิ่งท้อแท้หมดหวัง แม้อะไรต่ออะไรจะไม่เป็นดั่งใจ เพราะสถานการณ์อาจเปลี่ยนไปเมื่อเรายังพยายามไม่หยุดหย่อน และรู้จักแก้ไขปรับปรุงข้อผิดพลาด

    ถึงจะเป็น “มวยรอง” ก็อย่าคิดว่าจะต้องเป็นผู้แพ้เสมอไป เพราะบางครั้งมวยรองก็มีสิทธิได้แชมป์เหมือนกัน ดังทีมกรีซซึ่งถูกคาดหมายว่ามีโอกาส ๑ ใน ๑๐๐ เท่านั้นที่จะมีโอกาสเป็นแชมป์ฟุตบอลยุโรปปี ๒๕๔๗ แต่แล้วในที่สุดก็สร้างปาฏิหาริย์ด้วยการชนะเจ้าภาพคือโปรตุเกสทั้งนัดเปิดสนามและนัดชิงชนะเลิศได้อย่างไม่น่าเชื่อ

    โอลิมปิคเกมส์ปีนี้ เราคงได้เห็นอีกครั้งว่า ทุกอย่างเป็นไปได้เสมอตราบใดที่ยังไม่สิ้นความหวังและความเพียร ความเป็นไปได้ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความพลิกผันระหว่างผู้แพ้กับผู้ชนะเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเป็นไปได้ในการข้ามพ้น “ขีดจำกัด”ของมนุษย์ ดังที่ครั้งหนึ่งโรเจอร์ แบนนิสเตอร์ นักวิ่งชาวอังกฤษได้พิสูจน์เมื่อ ๕๔ ปีก่อนว่ามนุษย์เราสามารถวิ่งระยะทาง ๑ ไมล์ด้วยเวลาไม่ถึง ๔ นาทีนับเป็นการทำลายความเชื่อที่สืบทอดกันมานับพันปีว่า ๔ นาทีคือเวลาน้อยสุดที่มนุษย์สามารถทำได้สำหรับระยะทางดังกล่าว

    กีฬานั้นให้บทเรียนชีวิตได้มากมาย ถ้ามองเป็นก็ได้เห็นสัจธรรมอันทรงคุณค่า
    :- https://visalo.org/article/Image255105.htm
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,617
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    สุขมีที่กลางทาง
    ภาวัน

    นิโคลัส เบนเนตต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและการพัฒนาชาวอังกฤษ เคยเป็นที่ปรึกษาให้แก่รัฐบาลไทยเมื่อเกือบ ๔๐ ปีที่แล้ว ในช่วง ๓ ปีสุดท้ายที่เมืองไทย เขามีบทบาทในการรณรงค์เพื่อนิรโทษกรรมผู้ต้องหาคดี ๖ ตุลา ฯ จนประสบความสำเร็จ หลังจากนั้นเขาได้ย้ายไปประเทศเนปาล โดยเลือกที่จะทำงานกับชาวบ้านในชนบทที่ห่างไกล แทนที่จะปักหลักอยู่ในเมืองหลวง ทั้งนี้เพื่อให้แผนพัฒนาสอดคล้องกับความเป็นจริง และเป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

    เขาเล่าประสบการณ์ตอนหนึ่งว่า บ่อยครั้งเขามีกิจต้องเข้าเมืองหลวงคือกาฏมาณฑุ วิธีที่สะดวกที่สุดคือ ไปทางเครื่องบิน ลานบินที่ใกล้ที่สุดนั้นอยู่ในหุบเขา ซึ่งต้องใช้เวลาไต่เขา ๒ ชั่วโมง แต่เนื่องจากดินฟ้าอากาศที่นั่นแปรปรวนบ่อย ดังนั้นจึงไม่มีทางแน่ใจได้เลยว่า เครื่องบินจะมาตามกำหนดหรือไม่ อย่างเดียวที่ทำได้คือไต่เขาลงไปตั้งแต่เช้าแล้วคอยเครื่องบิน ถ้ารอจนถึงเย็นแล้วเครื่องบินยังไม่มาก็ต้องปีนเขากลับ ซึ่งใช้เวลาอีก ๓ ชั่วโมง บางครั้งเขาต้องลงเขาและขึ้นเขาอย่างนี้ทุกวันตลอดสัปดาห์กว่าฟ้าจะเปิดให้เครื่องบินร่อนลงได้ บางวันอากาศตอนเช้าปลอดโปร่ง เครื่องบินน่าจะลงได้ แต่พอเดินทางไปถึงลานบิน ฟ้าก็ปิดเมฆหนา เครื่องบินลงไม่ได้เสียแล้ว

    เจอแบบนี้บ่อย ๆ ใคร ๆ ก็ต้องหงุดหงิดหัวเสีย แต่สำหรับนิโคลัส ประสบการณ์ดังกล่าวทำให้เขาเรียนรู้ว่าไม่ควรคาดหวังกับจุดหมายปลายทาง แต่ควรหันมาเพลิดเพลินผ่อนคลายกับการเดินทางแทน ดังนั้นระหว่างที่ลงเขาหรือขึ้นเขา นิโคลัสจะชื่นชมกับธรรมชาติ และหาเวลาจิบชาร้อน ๆ สัก ๒-๓ ถ้วย การถึงกาฏมาณฑุกลายเป็นเรื่องรอง จะถึงหรือไม่ ไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือความเพลิดเพลินจากการเดินทางต่างหาก

    ผู้คนส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับจุดหมายปลายทาง จิตใจจดจ่ออยู่แต่การไปให้ถึง จึงมักเดินทางด้วยความทุกข์เพราะใจอยากให้ถึงจุดหมายไว ๆ ยิ่งมีอุปสรรคที่อาจทำให้ไม่ถึงเป้าหมายตามกำหนด ก็ยิ่งหงุดหงิดกระสับกระส่าย โดยลืมไปว่าหงุดหงิดหรือกังวลอย่างไร ก็ไม่ช่วยให้ถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้นแต่อย่างใด บางคนตั้งใจจะไปเที่ยว แต่แล้วกลับหัวเสียตลอดทางเพราะรถติดบ้าง เพื่อนร่วมคณะชักช้างุ่มง่ามบ้าง กลายเป็นว่าแทนที่จะได้ผ่อนคลายจิตใจ การเที่ยวกลับทำให้เครียดตั้งแต่เริ่มเดินทางด้วยซ้ำ ทั้งนี้ก็เพราะมีความคาดหวังเต็มที่กับจุดหมายปลายทาง

    เรามักลืมไปว่า การเดินทางมีความสำคัญไม่น้อยกว่าจุดหมายปลายทาง แม้จะมีสิ่งสำคัญรออยู่ที่ปลายทาง แต่นั่นเป็นอนาคตที่ยังมาไม่ถึง และจะมาถึงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ จึงเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางต่างหากที่เป็นของจริงและแน่นอน เราจึงควรเก็บเกี่ยวมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ในขณะที่ยังไม่ถึงจุดหมาย เราก็ควรจะมีความสุขหรือทำใจให้สบายระหว่างการเดินทาง การละทิ้งความสุขระหว่างเดินทาง เพื่อหวังความสุขที่จุดหมายปลายทางนั้น เป็นการหวังน้ำบ่อหน้า แม้จุดหมายปลายทางคือรีสอร์ตหรือแหล่งท่องเที่ยว แต่ทำไมเราจึงรอคอยความสุขที่อยู่ข้างหน้า ในเมื่อเราสามารถมีความสุขตรงนี้เดี๋ยวนี้ได้เลย

    ไม่ใช่แค่จุดหมายปลายทางที่เป็นสถานที่เท่านั้น กับความสำเร็จก็เช่นกัน ทำไมเราจึงหวังว่าจะมีความสุขต่อเมื่อบรรลุความสำเร็จแล้ว ในเมื่อระหว่างที่ทำงานเราก็สามารถมีความสุขได้ ขอเพียงแต่วางใจให้เป็น คือ ไม่มัวจดจ่ออยู่กับความสำเร็จ แต่เอาใจมาอยู่กับการงานแทน เพียงแค่ไม่ยึดติดถือมั่นกับผลข้างหน้า ก็ช่วยลดความกังวลไปได้มากแล้ว

    ประสบการณ์ของนิโคลัส ยังบอกเราอีกด้วยว่า เมื่อเจอสถานการณ์ที่คาดหวังอะไรไม่ได้ ป่วยการที่จะเป็นทุกข์หงุดหงิดหัวเสีย เพราะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น จะดีกว่าหากเรายอมรับความจริง และมีความสุขในปัจจุบันขณะ ถ้าวางใจได้อย่างนี้ เราจะไม่หัวเสียเวลาเจอรถติด แต่จะหันมาผ่อนคลายจิตใจด้วยการฟังเพลงในรถ สนทนากับลูก ๆ ที่นั่งมาด้วย หรือไม่ก็น้อมใจสงบอยู่กับลมหายใจเข้าออก
    :- https://visalo.org/article/Image255508.htm
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,617
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    ชีวิตต้องเสี่ยง
    ภาวัน
    เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทันทีหลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เพื่อนที่มาเยี่ยมสงสัยว่าเขาเมาแล้วขับ แต่เขาปฏิเสธว่าไม่ได้แตะเหล้าสักหยด
    “แล้วแกทำอีท่าไหนรถถึงพลิกคว่ำ ขับเร็วเกินไปหรือเปล่า?” เพื่อนถาม
    “ข้าก็แค่เหยียบ ๙๐ แต่พอจะถึงเชียงใหม่ เห็นป้ายบอกว่า “ทางโค้งอันตราย” ข้าไม่อยากเจ็บตัว ก็เลยขับตรงไป ดีนะที่แค่ขาหัก ถ้าข้าเลี้ยวโค้งคงจะเจอหนักกว่านี้”

    ชายผู้นี้เห็นป้ายแล้วไม่อยากเสี่ยง เขากลัวอันตรายจากทางโค้ง จึงเลือกที่จะพุ่งตรงไป แต่การทำเช่นนั้นกลับเป็นอันตรายแก่เขายิ่งกว่า
    เรื่องนี้เป็นแค่ขำขัน แต่ใช่หรือไม่ว่าในชีวิตจริงคนเป็นอันมากก็คิดคล้าย ๆ ชายผู้นี้ นั่นคือไม่กล้าเสี่ยง เจออะไรที่อันตรายเป็นต้องพยายามหนีห่างให้ไกลที่สุด หารู้ไม่ว่าการทำเช่นนั้นกลับเป็นอันตรายยิ่งกว่า

    ทางโค้งข้างหน้าอันตรายก็จริง แต่สิ่งที่ควรทำก็คือ เลี้ยวโค้งอย่างระมัดระวัง มิใช่หนีห่างทางโค้งนั้นไปให้ไกลที่สุด

    ขับรถย่อมต้องเจอโค้งอันตรายฉันใด การมีชีวิตในโลกนี้ย่อมหนีไม่พ้นความเสี่ยงฉันนั้น ใครที่พยายามหนีความเสี่ยงตลอดเวลา ย่อมประสบเหตุร้ายไม่ต่างจากชายผู้นี้ พูดอีกอย่างคือ ชีวิตที่ไม่ยอมเสี่ยงเลยคือชีวิตที่เสี่ยงที่สุด

    มีพ่อแม่เป็นอันมากที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกไกลจากเชื้อโรค เช่น ไม่ยอมให้เล่นดินเล่นทราย เพราะกลัวลูกจะเจ็บป่วย แต่การทำเช่นนั้นอาจทำให้ลูกมีโอกาสเจ็บป่วยได้มากกว่าเพราะไม่มีภูมิต้านทานเชื้อโรค มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าเด็กที่เป็นโรคมือเท้าปากนั้นมักจะมาจากครอบครัวที่อนามัยจัด ในขณะที่เด็กชนบทหรือเด็กยากจนที่พ่อแม่ไม่ค่อยกวดขันเรื่องความสะอาดจะไม่มีปัญหานี้เลย

    เชื้อโรคนั้นเป็นอันตรายก็จริง แต่การได้สัมผัสมันบ้างก็มีประโยชน์ มีการวิจัยพบว่าเด็กที่อยู่ในสถานอนุบาลแม้สัมผัสเชื้อโรคมากกว่าเด็กที่เลี้ยงในบ้านก็จริง แต่ก็มีโอกาสเป็นหอบหืดแค่ครึ่งเดียวของเด็กที่เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน อีกทั้งมีโอกาสเป็นหวัดแค่ ๑ ใน ๓ เมื่อเริ่มเข้าโรงเรียน นอกจากนั้นยังพบว่าเด็กที่มีพี่น้องอยู่ร่วมกันมีโอกาสเป็นหวัดแค่ ๑ ใน ๒ เมื่อเทียบกับเด็กที่เป็นลูกคนเดียว เหตุผลก็เพราะเด็กที่อยู่ด้วยกันหลายคนมีโอกาสได้รับเชื้อจากกันและกัน จึงทำให้มีภูมิต้านทานโรคดีขึ้น

    การให้ลูกได้สัมผัสกับเชื้อโรคบ้าง แม้จะเสี่ยงต่อความเจ็บป่วยก็จริง แต่การไม่ยอมให้ลูกได้สัมผัสเชื้อโรคเลย กลับทำให้ลูกเสี่ยงต่ออันตรายที่รุนแรงยิ่งกว่า

    เส้นทางชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เต็มไปด้วยความเสี่ยง ชีวิตไม่อาจเจริญก้าวหน้าได้เลยตราบใดที่เราหลีกหนีความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่กล้าเสี่ยง อย่างเดียวที่ทำได้คืออยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไร แต่ขืนทำเช่นนั้น ก็เท่ากับเป็นฝ่ายตั้งรับให้ความทุกข์โหมกระหน่ำอย่างเดียว มิไยต้องเอ่ยว่าชีวิตจะควรค่าแก่การอยู่ได้อย่างไรหากไม่กล้าทำอะไรเลย หากปรารถนาความสำเร็จก็ต้องไม่กลัวความล้มเหลว ในทำนองเดียวกันหากปรารถนาชีวิตที่ผาสุกก็ต้องไม่กลัวความทุกข์ อันที่จริงนอกจากจะไม่กลัวแล้ว ควรอ้าแขนต้อนรับด้วย เพราะความล้มเหลวคือปัจจัยแห่งความสำเร็จ อย่างน้อยมันก็ให้บทเรียนที่ช่วยให้เราฉลาดและจัดเจนขึ้น

    เช่นเดียวกันความทุกข์ก็เป็นปัจจัยแห่งความสุข คนเราจะสุขได้ก็เพราะมีภูมิต้านทานความทุกข์ แต่ภูมิต้านทานดังกล่าวจะมาจากไหนหากไม่เจอความทุกข์บ่อย ๆ

    คนที่ไม่เคยพบกับความผิดหวังเลยตั้งแต่เล็กจนโต ได้รับการตามใจมาโดยตลอด เพียงแค่อกหัก สอบเข้าไม่ได้ ก็หนักหนาพอที่จะทำให้เขาทุกข์ระทมจนคิดสั้นได้ ตรงข้ามกับคนที่เจอความไม่สมหวังอยู่บ่อย ๆ จะสามารถรับมือกับปัญหาชีวิตได้ดีกว่า

    อันตรายหรือความทุกข์มิใช่สิ่งที่ต้องถอยหนีอย่างเดียว เราควรเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างไม่ประมาท หรือใช้ประโยชน์จากมันให้มากที่สุด เช่นเดียวกับโค้งอันตรายที่หากขับอย่างระมัดระวัง ก็สามารถพาเราไปถึงจุดหมายปลายทางได้
    :- https://visalo.org/article/Image255305.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2025
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,617
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    มองตนก่อนเปลี่ยนคนอื่น
    ภาวัน
    “จันทิมา” มีแม่ที่เริ่มเป็นอัลไซเมอร์ หลงลืมเป็นประจำ เวลาหาของไม่เจอ จะมีอาการกระวนกระวาย กระสับกระส่าย อีกทั้งมีเรื่องวิตกกังวลต่าง ๆ นานา หน้าตาหม่นหมอง อารมณ์พลุ่งพล่านได้ง่าย

    จันทิมาไม่สบายใจที่แม่เป็นเช่นนี้ พยายามบอกให้แม่ปล่อยวาง หาของไม่เจอไม่เป็นไร เดี๋ยวก็เจอเอง อย่าไปกังวลมาก แต่พูดเท่าไรก็ไม่เป็นผล ทำให้เธอยิ่งเครียด ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ไม่ยอมปล่อยวางบ้าง

    จันทิมาอยากให้แม่ปล่อยวาง แต่เธอกลับไม่เฉลียวใจเลยว่า ตัวเธอเองก็ปล่อยวางไม่ได้ เป็นทุกข์ทุกครั้งที่เห็นแม่ไม่เป็นดั่งใจ ในเมื่อตัวเธอเองยังปล่อยวางไม่ได้ แล้วจะไปคาดหวังให้แม่ ซึ่งมีสุขภาพจิตย่ำแย่กว่าเธอ ปล่อยวางได้อย่างไร

    จะว่าไปแล้วความเครียดของเธอ มีส่วนไม่น้อยทำให้แม่มีอาการกระวนกระวายหนักขึ้น เพราะถึงแม้ความจำและความคิดจะเสื่อมทรุด แต่ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ก็ยังสามารถรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของคนรอบข้างได้ผ่านสีหน้าและน้ำเสียง กล่าวอีกนัยหนึ่งความเครียดของจันทิมาสามารถถ่ายเทไปยังแม่ของเธอได้

    ถ้าเธออยากให้แม่ปล่อยวาง เธอก็ต้องเป็นฝ่ายปล่อยวางก่อน ถ้าเธอยังปล่อยวางไม่ได้ อย่างน้อยก็จะเข้าใจได้ว่าทำไมแม่จึงไม่ยอมปล่อยวางบ้าง ความเข้าใจดังกล่าวย่อมช่วยให้เธอเป็นทุกข์น้อยลง ยอมรับสภาพความเป็นจริงของแม่ได้มากขึ้น การยอมรับดังกล่าวย่อมช่วยให้ปฏิสัมพันธ์ของเธอกับแม่ดีขึ้น และเมื่อเธอเป็นทุกข์น้อยลง ก็ย่อมส่งผลดีต่ออารมณ์ของแม่ด้วย ยิ่งเธอสามารถปล่อยวางได้มากขึ้น ยิ้มแย้มแจ่มใสเมื่อได้อยู่กับแม่ ก็จะโน้มน้าวอารมณ์ของแม่ให้พลอยดีขึ้นด้วย

    การช่วยเหลือผู้ป่วยนั้น ควรเริ่มจากการดูแลรักษาใจของผู้ดูแลให้ดีก่อน การเรียกร้องหรือแนะนำพร่ำสอนผู้ป่วยให้รู้จักวางใจมักไร้ผล หากผู้ดูแลลืมมองตน และไม่สนใจที่จะปฏิบัติตนอย่างเดียวกับที่เรียกร้องผู้ป่วย สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ คนที่ชอบเรียกร้องผู้อื่นให้ปล่อยวางนั้น ตนเองมักทำใจปล่อยวางไม่ค่อยได้ จะว่าไปแล้วสาเหตุที่ผู้คนชอบเรียกร้องผู้อื่นนั้นมักเป็นเพราะลืมเรียกร้องตนเอง ใคร ๆ ก็อยากเห็นคนอื่นเปลี่ยนแปลง แต่ละเลยที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองก่อน

    บ่อยครั้งเรามักมองว่าคนอื่นเป็นปัญหา แต่ไม่เฉลียวใจว่าตนเองก็เป็นปัญหาหรือมีส่วนทำให้เกิดปัญหานั้นด้วยเช่นกัน พ่อแม่ที่กลุ้มใจเพราะลูกไม่ยอมฟังตนนั้น หากสืบสาวไปก็จะพบว่าเป็นเพราะพ่อแม่ไม่ยอมฟังลูกก่อน ถนัดแต่การบังคับ ชี้นิ้ว หรือสั่งสอนอย่างเดียว ไม่สนใจแม้แต่จะถามว่าลูกคิดหรือรู้สึกอย่างไร ลูกที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบนี้ พอโตขึ้นก็ไม่ฟังพ่อแม่เช่นเดียวกัน

    ปัญหานี้แก้ไม่ได้ด้วยการเรียกร้องให้ลูกฟังพ่อแม่มากขึ้น แต่แก้ได้ด้วยการที่พ่อแม่เป็นฝ่ายฟังลูกก่อน ไม่ด่วนตัดสินเมื่อเห็นลูกทำอะไรที่ขัดตาขัดใจ แต่ควรถามเหตุผลของลูกก่อน เมื่อใดที่พ่อแม่เปลี่ยนแปลงตนเองได้ ความเปลี่ยนแปลงของลูกก็จะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก

    เป็นเพราะลืมมองตน ผู้คนจึงมักสร้างปัญหาหรือมีส่วนทำให้ปัญหาลุกลามขึ้นโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นเมื่อใดที่คิดจะแก้ปัญหา ควรหันมาสำรวจตนเองก่อนที่จะเรียกร้องหรือจัดการคนอื่น แม้แต่การช่วยคนอื่นก็เช่นกัน เพียงแค่ดูแลตนเองให้ดีก็สามารถช่วยคนอื่นได้มาก ภาษิตของพระพุทธเจ้าที่ว่า “เมื่อรักษาตน ก็เท่ากับรักษาผู้อื่น(ด้วย)” ไม่ล้าสมัยเลย แม้กาลเวลาจะผ่านมาร่วม ๒,๖๐๐ ปี
    :- https://visalo.org/article/Image255802.html
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,617
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    สุขได้แม้ไม่สำเร็จ
    ภาวัน
    ความสำเร็จเป็นยอดปรารถนาของทุกคน เพราะเชื่อว่าจะนำมาซึ่งความสุข แต่ความสำเร็จก็เช่นเดียวกับความมั่งมี ไม่สามารถเป็นหลักประกันแห่งความสุขได้อย่างแท้จริง ใครก็ตามที่เอาความสุขไปผูกไว้กับความสำเร็จ ย่อมยากที่จะพบกับความสุขที่ยั่งยืน ทั้งนี้ก็เพราะรสชาติของความสุขชนิดนี้หอมหวานเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ช้าไม่นานก็รู้สึกจืดชืด ไม่ต่างจากเพลงที่ไพเราะ ฟังครั้งแรกก็ให้ความซาบซึ้งตรึงใจ แต่ถ้าฟังไปนาน ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็จะเริ่มรู้สึกจำเจ และกลายเป็นเบื่อในที่สุด ต้องขวนขวายหาเพลงใหม่มาฟังแทน

    ด้วยเหตุนี้จึงมีน้อยคนที่พอใจหรือพอเพียงกับความสำเร็จ ส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าความสำเร็จที่ได้มายังไม่เพียงพอ ต้องการได้อีก และนั่นคือที่มาแห่งความทุกข์ จนกว่าจะประสบความสำเร็จครั้งใหม่

    นักธุรกิจผู้หนึ่งประสบความสำเร็จทางธุรกิจอย่างรวดเร็ว เขาสามารถปลดหนี้สินของธุรกิจครอบครัวซึ่งสูงถึง ๗,๐๐๐ ล้านได้ภายในเวลา ๓ ปีเท่านั้น และใช้เวลาอีกไม่กี่ปีขยายธุรกิจดังกล่าวจนมีผลประกอบการปีละ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เขามีความสุขอย่างไม่ต้องสงสัย แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็พบว่าตัวเองเปลี่ยนไป เบื่อหน่ายกับการทำงาน รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า “ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่...มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง (ในจำนวนอีกหลายร้อยคนในไทย)” ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องดิ้นรนหาความสำเร็จอย่างใหม่ นั่นคือเอาดีทางการเมือง เขายอมรับว่าวันที่เขามีความสุขที่สุดในชีวิตคือวันที่ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการในเวลาต่อมา แต่น่าสงสัยว่าเขาจะมีความสุขไปได้นานเท่าใดตราบใดที่ยังไม่ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการ

    ความสำเร็จหากผูกติดกับตำแหน่ง ยิ่งให้ความสุขที่คลอนแคลน เพราะตำแหน่งทั้งหลายเป็นของชั่วคราว ไม่นานก็ต้องตกเป็นของคนอื่น บิล คลินตันเป็นนักการเมืองที่ประสบความสำเร็จสูงสุดคนหนึ่งของยุคนี้ เขาได้เป็นประธานาธิบดีตั้งแต่ยังหนุ่ม และเป็นถึง ๒ สมัย แต่เมื่อเขาพ้นตำแหน่ง เขากลายเป็นคนที่ไม่มีความสุข เพราะยังโหยหาอาลัยอดีตอันหอมหวาน เมื่อไม่นานมานี้เขาเผยความในใจว่า “คิดดูสิว่าตอนผมเป็นประธานาธิบดี เขาจะบรรเลงเพลงทุกครั้งที่ผมเดินเข้าห้อง (แต่ตอนนี้) ไม่มีใครบรรเลงเพลงอีกแล้ว ผมไม่รู้เลยว่าผมอยู่ที่ไหน”

    ใช่หรือไม่ว่าหากสุขใจที่ได้เป็นประธานาธิบดี ก็ต้องทุกข์แน่นอนเมื่อกลายเป็นราษฎรเต็มขั้น มองในแง่นี้ความสำเร็จทำให้เกิดทุกข์ได้ เหมือนคนที่ลอยสูงมากเท่าไร เมื่อตกลงมาก็เจ็บมากเท่านั้น

    ที่น่าคิดมากกว่านั้นก็คือ เราแน่ใจได้อย่างไรว่าความสำเร็จจะเป็นสิ่งน่าชื่นชมไปตลอดกาล มีหลายคนที่เมื่อมองย้อนไปถึงความสำเร็จของตนในอดีต กลับรู้สึกว่าไม่น่าชื่นชมเสียเลย เพราะเห็นข้อบกพร่องหรือข้อเสียติดตามมามากมาย ไอน์สไตน์เคยพูดว่าหากเขารู้ล่วงหน้าว่าระเบิดปรมาณูซึ่งสร้างขึ้นจากทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขาจะสร้างความเสียหายอย่างมากมายแก่ชาวญี่ปุ่นและทำให้โลกตกอยู่ในอันตราย เขาคงตัดสินใจเป็นช่างซ่อมนาฬิกาดีกว่า ด้วยเหตุนี้จึงมีบางคนกล่าวว่า “ความสำเร็จคือความล้มเหลวที่ยังไม่ปรากฏ”

    ความสำเร็จเป็นสิ่งสำคัญก็จริงอยู่ แต่มิใช่สิ่งสำคัญที่สุดของชีวิต สิ่งสำคัญกว่านั้นคือการได้ทำสิ่งดีงาม ถูกต้อง และเสียสละ หากได้ทำความดีงามอย่างเต็มที่ แม้ไม่สำเร็จหรือประสบชัยชนะ ก็ได้ชื่อว่าทำสิ่งที่ควรแก่ความภาคภูมิใจ ซึ่งให้ความสุขที่ยั่งยืนกว่าความสำเร็จทั่ว ๆ ไป

    ซารา เรนเนอร์ เป็นนักกีฬาสกีวิบากชาวแคนาดาที่นำคู่แข่งมาโดยตลอด แต่แล้วจู่ ๆ ไม้ค้ำสกีของเธอหัก เธอพยายามฝืนสู้ แต่ก็ไม่ประสบผล นักสกีหลายคนแซงเธอไป ขณะที่เธอรู้สึกหมดหวังก็มีชายผู้หนึ่งยื่นไม้ข้างหนึ่งให้เธอ เธอจึงกลับเข้าสู่การแข่งขัน และสามารถนำทีมแคนดาคว้าเหรียญทองได้ในที่สุด
    เธอรู้เมื่อจบการแข่งขันว่าผู้ที่ช่วยเธอคือบเยอร์นาร์ ฮาเกนสโมเอน นักกีฬาชาวนอรเวย์ ซึ่งเข้าเส้นชัยมาเป็นอันดับสี่ เขากลายเป็นวีรบุรุษของชาวแคนาดาในทันที แต่เขากลับให้สัมภาษณ์ว่าเขาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องยกย่องกันขนาดนี้ เขาให้เหตุผลว่า “ถ้าคุณชนะแต่ไม่ได้ช่วยเหลือใครในเวลาที่คุณควรช่วย นั่นเป็นชัยชนะประเภทไหนกัน” สำหรับเขาการทำสิ่งที่ถูกต้องมีคุณค่ายิ่งกว่าชัยชนะ

    ความสำเร็จนำมาซึ่งความสุขก็จริง แต่การอยู่เหนือความสำเร็จ หรือไม่หมกมุ่นติดยึดกับความสำเร็จต่างหาก คือที่มาแห่งความสุขที่แท้จริง

    :- https://visalo.org/article/Image255110.htm
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,617
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    อย่าว่าคนเมา
    ภาวัน
    เมื่อยังหนุ่ม เปี๊ยก โปสเตอร์ นักวาดและผู้กำกับหนังชื่อดังระดับตำนาน มีเพื่อนร่วมงานและร่วมเที่ยวอยู่สองคน หนึ่งในนั้นชื่อ “เกษียร” วันหนึ่งขณะที่ทั้งสามกำลังกินอาหาร เกษียรเห็นคนเมาในร้านเดียวกัน จึงพูดขึ้นว่า “โง่ฉิบหาย กินเหล้าให้เหล้ากิน”

    สองเดือนต่อมา ทั้งสามคนได้รับเชิญไปงานขึ้นบ้านใหม่ของเพื่อน ทุกโต๊ะมีเบียร์วางอยู่ พวกเขาจึงลองดื่มดูเพราะอยากรู้ทำไมผู้คนหลงใหลกันนัก ชิมดูก็เห็นตรงกันว่า เปรี้ยว ๆ ฝืด ๆ

    หลังจากนั้นไม่นาน ระหว่างที่กำลังเขียนรูปกันอยู่ เกษียรก็สั่งเบียร์มาดื่ม เปี๊ยกจึงท้วงว่า “อ้าวเคยว่าเขา ทำไมวันนี้กินซะเอง” เกษียรตอบว่า “นายไม่รู้อะไร เหล้าน่ะของคนสถุล เบียร์ช่วยผ่อนคลาย เป็นเรื่องของสังคมชั้นสูง”

    ในที่สุดเกษียรก็ติดเบียร์ ดื่ม ๔-๕ ขวดทุกวัน วันไหนไม่กิน ก็ทำงานไม่ได้ และแล้ววันหนึ่งก็ตะโกนสั่งลูกน้องให้ไปเอาแม่โขงมาเป๊กหนึ่ง เปี๊ยกจึงแย้งว่า “ไหนว่าเหล้าไม่ดี เป็นเรื่องของคนสถุลไม่ใช่หรือ” คำตอบของเกษียรก็คือ “นายต้องมีเหตุผลหน่อย เราทำงานแบบนี้มีรายได้เท่าไหร่วะ เดี๋ยวนี้เรากินเบียร์วันละห้าขวด แล้วมันจะไหวไหม ” แล้วเขาก็อธิบายต่อ “เหล้านี่เป๊กเดียว อยู่เลย”

    สุดท้ายเขาก็ติดเหล้าอย่างหนักจนเป็นอัมพาตและสิ้นชีวิตเพราะเหล้า

    เรื่องของเกษียรดูเหมือนจะสอดคล้องกับคำโบราณที่ว่า “อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา” ทำไมการทำเช่นนั้นจึงนำภัยมาสู่ตัว หลายคนนึกถึงความเชื่อที่ว่า หากพูดไม่ดีกับใคร มันจะย้อนกลับเข้าตัว ดังนั้นจึงควรระมัดระวังคำพูดของตน แต่ที่จริงแล้วชะตากรรมของเขาเป็นผลจากความประมาทโดยแท้ ไม่ใช่เพราะคำพูดของเขา

    เกษียรนั้นประมาทในพิษสงของเหล้า เขาคิดว่ามันล่อหลอกได้ก็แต่คนโง่ แต่ไม่มีวันทำอะไรเขาได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ระวังตัว จึงถูกเหล้าล่อหลอกให้ถลำทีละน้อย เริ่มต้นด้วยการลิ้มลองนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็หันมาเสพชนิดอ่อน ๆ ด้วยข้ออ้างว่าเพื่อผ่อนคลาย ต่อมาก็โดดเข้าหาเหล้าอย่างเต็ม ๆ ด้วยเหตุผลว่ามันถูกกว่าเบียร์ ก็แค่เหล้าเป๊กเดียว จะเสียหายอะไร ดีกว่ากินเบียร์ ๔-๕ ขวด ข้ออ้างที่สวยหรูดูมีเหตุผลชักนำให้เขากินเหล้าในที่สุด ถึงตรงนี้แล้วการกินเหล้าทั้งวันก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป สุดท้ายเหล้าก็กินเขาเช่นเดียวกับคนที่เขาเคยดูแคลนว่าโง่

    คนที่ประมาทเหล้านั้น เสียผู้เสียคนมามากแล้ว บางคนต่อต้านเหล้าอย่างแข็งขันด้วยซ้ำ แต่ในที่สุดกลับตายเพราะเหล้า ที่จริงมิใช่แต่เหล้าเท่านั้น อบายมุขอื่น ๆ เช่น การพนัน ตลอดจนสิ่งล่อเร้าเย้ายวนทั้งหลาย ล้วนมีพิษสงที่ไม่ควรประมาททั้งสิ้น มีคนจำนวนไม่น้อยที่ต่อต้านสิ่งเหล่านี้ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นทาสของมัน เช่นเดียวกับคนที่เกลียดนักการเมืองคอร์รัปชั่น แต่กลับลงเอยด้วยการทำเช่นนั้นเสียเอง ไม่จำต้องพูดถึงนักศึกษาที่ต่อต้านทุนนิยมหัวชนฝา แล้ววันหนึ่งก็กลับกลายเป็นนายทุนที่ร่ำรวยมหาศาลจากการเอาเปรียบผู้คน

    เหล้า อบายมุข เซ็กส์ และเงินตรา มีพิษสงก็เพราะเราทุกคนมีความอ่อนแออยู่ภายใน จึงหวั่นไหวและเสียคนเพราะมันได้ง่ายมาก เมื่อใดก็ตามที่เรามองข้ามความอ่อนแอภายใน เชื่อมั่นในความกล้าแกร่งของตนเอง ก็ง่ายที่จะประมาทสิ่งเหล่านี้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของหายนะ

    หากเกษียรเห็นคนเมาแล้ว แทนที่จะด่าว่าเขาโง่ กลับหันมาเตือนตนว่า จะต้องระมัดระวังตัวให้ดี เพื่อไม่ให้เป็นอย่างเขา เกษียรก็คงจะมีชีวิตที่ยืนยาวและผาสุก และอาจเป็นนักวาดหรือผู้กำกับชื่อดังอย่างเปี๊ยก โปสเตอร์เพื่อนรุ่นน้องก็ได้
    :- https://visalo.org/article/Image255709.html


     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,617
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    เปลี่ยนผิดให้เป็นถูก
    พระไพศาล วิสาโล
    มโนธรรมเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงอยากทำความดีด้วยกันทั้งนั้น มโนธรรมทำให้เราหวั่นไหวเมื่อเห็นความทุกข์ของผู้อื่น และอยากช่วยเหลือให้เขาพ้นทุกข์ แต่หากเราทำในสิ่งตรงข้าม อย่าว่าแต่เบียดเบียนทำร้ายผู้อื่นเลย เพียงแค่ยืนดูอยู่เฉย ๆ เมื่อเห็นเขาได้รับความทุกข์ เราก็จะรู้สึกผิดขึ้นมาทันที

    ทุกคนย่อมรู้ดีว่าความรู้สึกผิดนั้นก่อความทุกข์ให้แก่จิตใจเพียงใด มันทั้งกดถ่วงหน่วงทับและทิ่มแทงจิตใจ ทำให้เจ็บปวดเศร้าสลด ยิ่งกว่านั้นมันมันยังสั่นคลอนความรู้สึกเคารพตัวเอง บางครั้งถึงกับฉีกทำลายภาพ “ตัวตน”อันงดงามที่เคยวาดไว้ให้ย่อยยับในฉับพลัน คำว่า “เสียself”ดูจะเบาไปด้วยซ้ำ

    ความเจ็บปวดนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อทำร้ายตัวเรา แต่เพื่อกระตุ้นให้เราทำสิ่งที่ถูกต้อง หรือหลีกหนีจากอันตราย เมื่อนิ้วสัมผัสกับเปลวไฟหรือเหล็กแหลม ความเจ็บปวดจะทำหน้าที่กระตุกให้เราดึงนิ้วออกมา (คนที่สูญเสียประสาทรับรู้ความเจ็บปวด ร่างกายจะเต็มไปด้วยบาดแผล บางคนถึงกับปากแหว่งลิ้นกุดเพราะเผลอกัดซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่รู้ตัว) ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อเราทำสิ่งที่ผิดพลาด ความเจ็บปวดเพราะรู้สึกผิด จะกระตุ้นให้เราหันมาทำสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อประโยชน์ทั้งของผู้อื่นและของเราเองด้วย

    ความรู้สึกผิดมีหน้าที่ผลักดันให้เราเปลี่ยน “ผิด”ให้เป็น “ถูก” แต่บ่อยครั้งเรากลับพบว่าผลกลับตรงกันข้าม หลายคนกลับทำผิดซ้ำสอง หรือทำผิดยิ่งขึ้นกว่าเดิม เช่น หาเหตุผลมาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำที่ผิดนั้น เหตุผลที่นิยมอ้างกันโดยเฉพาะเวลาทำการทุจริตคอร์รัปชั่นก็คือ “ใคร ๆ เขาก็ทำกันทั้งนั้น” หากนิ่งเฉยเมื่อเห็นหญิงสาวถูกรุมทำร้าย เหตุผลที่ใช้บรรเทาความรู้สึกผิดก็คือ “กรรมใครกรรมมัน” เหตุผลเหล่านี้ถูกอ้างขึ้นมาเพื่อให้การกระทำที่ผิดนั้นกลายเป็นถูก แต่ที่จริงกลับเป็นการทำผิดเป็นครั้งที่สอง เพราะเป็นการแก้ต่างให้กับการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ไม่ต่างจากการแก้ต่างให้กับโจร

    แต่ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ การหันไปเล่นงานบุคคลซึ่งเป็นที่มาแห่งความรู้สึกผิดในใจตน คนที่ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม ย่อมรู้สึกผิดเมื่อเห็นเพื่อนทำงานขยันขันแข็ง คนที่ทุจริตย่อมรู้สึกผิดเมื่อรู้ว่ามีเพื่อนบางคนปฏิเสธสินบน นักปฏิบัติที่เพลินในการนอนอาจรู้สึกผิดที่เห็นเพื่อนร่วมห้องพากเพียรภาวนา หลายคนบรรเทาความรู้สึกผิดดังกล่าวด้วยการหันไปกล่าวร้าย กลั่นแกล้ง หรือหาทางกำจัดคนที่ทำดีกว่าตน ราวกับว่าเขาเป็นศัตรูกับตน เพราะตราบใดที่คนเหล่านั้นยังปรากฏอยู่ต่อหน้า ความรู้สึกผิดก็จะยังทิ่มแทงใจตนตลอดเวลา กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือเกิดความสำคัญผิดไปว่าคนเหล่านั้นเป็นต้นตอแห่งความทุกข์ที่กำลังกัดกร่อนใจตน ทั้ง ๆ ที่สาเหตุแท้จริงนั้นได้แก่การกระทำที่ไม่ถูกต้องของตัวเองต่างหาก

    ความรู้สึกผิดนั้นเป็นผลผลิตของมโนธรรมก็จริง แต่สามารถก่อให้เกิดอาชญากรรมหรือความเลวร้ายได้ จะว่าไปการเบียดเบียนทำร้ายกันบ่อยครั้งก็เกิดจากแรงผลักดันแห่งความรู้สึกผิด และคนที่ถูกทำร้ายนั้นหาใช่ใครที่ไหน หากเป็นคนที่เรารักหรือใกล้ชิดเรานี้เอง การทำร้ายผู้อื่นจึงมิใช่พฤติกรรมที่สงวนไว้สำหรับคนชั่วเท่านั้น แต่คนธรรมดา ๆ อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ก็สามารถลงมือได้เช่นกัน นี้เป็นประเด็นที่ถ่ายทอดให้เห็นอย่างชัดเจนในนิยายเรื่องเด็กเก็บว่าว ของฮาเหล็ด โฮเซนี่ (แปลโดยวิษณุฉัตร วิเศษสุวรรณภูมิ)

    อาเมียร์ กับ ฮัสซาน เป็นเด็กวัย ๑๓ ขวบที่เติบโตในบ้านหลังเดียวกันและดื่มน้ำนมจากอกแม่นมคนเดียวกัน แต่สถานะของคนทั้งสองต่างกันอย่างสิ้นเชิง อาเมียร์เป็นบุตรชายของคหบดี ส่วนฮัสซานเป็นลูกของคนใช้ รูปร่างหน้าตาที่น่าเย้ยหยันของฮัสซานนั้นตรงข้ามกับน้ำใจที่งดงามเปี่ยมด้วยความซื่อสัตย์และภักดีต่ออาเมียร์ ในสายตาของฮัสซาน อาเมียร์นั้นสูงส่งกว่าเขาทั้งชาติวุฒิและคุณวุฒิ ฮัสซานพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่ออาเมียร์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรกับฮัสซานก็ตาม

    “สำหรับคุณ(อาเมียร์) กว่านี้อีกพันเท่าก็ยังไหว” ไม่ใช่เป็นแค่คำพูดที่ฮัสซานประดิดประดอย แต่ออกมาจากใจอันใสซื่อ แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้พิสูจน์ให้อาเมียร์เห็น อัสเซฟเป็นลูกของผู้มีอิทธิพล ทำตัวเยี่ยงอันธพาล เกิดมีปากเสียงวิวาทกับอาเมียร์ซึ่งมีอายุอ่อนกว่ามาก อัสเซฟกับพวกอีก ๒ คน รุมล้อมกรอบเขาและเตรียมทำร้ายด้วยสนับมือ แต่ต้องชะงักเมื่อพบว่าฮัสซานเหนี่ยวหนังสติ๊กคู่ใจเล็งมาที่หน้าของอัสเซฟ พร้อมกับวิงวอนขอให้ปล่อยอาเมียร์ ทั้ง ๆ ที่กลัวตัวสั่นแต่ฮัสซานพร้อมยิงนัยน์ตาของอัสเซฟหากอาเมียร์ถูกทำร้าย

    ทั้งสองผ่านเหตุการณ์วันนั้นได้ด้วยความปลอดภัย แต่ต้องจ่ายด้วยราคาที่แพงลิบลิ่ว อัสเซฟและพวกมีโอกาสชำระความแค้นเมื่อเทศกาลแข่งว่าวมาถึง อาเมียร์สามารถปราบว่าวทุกตัวที่มาประชันบนท้องฟ้าได้หมด รวมทั้งว่าวสีน้ำเงินซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญ ขณะที่อาเมียร์ฉลองชัยชนะที่รอมานานหลายปี ฮัสซานออกไปตามเก็บว่าวสีน้ำเงินให้อาเมียร์ตามลำพัง เป็นโอกาสที่อัสเซฟและพวกติดตามล่าไปล้างแค้น อาเมียร์เฉลียวใจเมื่อรู้ว่าฮัสซานหายไปนาน จึงกลับไปตามหาเขา และแล้วก็พบกับเหตุการณ์ที่จะตามหลอกหลอนเขาไปอีกหลายสิบปี อัสเซฟและพวกรุมข่มขืนฮัสซานอย่างโหดร้ายขณะที่อาเมียร์ยืนหลบซุ่มอยู่ในมุมที่ปลอดภัย แทนที่เขาจะวิ่งไปช่วยฮัสซาน หรือตะโกนขอความช่วยเหลือ อาเมียร์เลือกที่จะถอยหลังกลับและวิ่งออกไปจากที่เกิดเหตุ

     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,617
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    (ต่อ)

    คืนนั้นฮัสซานกลับมาพร้อมกับว่าวสีน้ำเงินด้วยร่างกายที่บอบช้ำ อาเมียร์รู้อยู่เต็มอกว่าว่าวตัวนั้นเขาได้มาก็เพราะฮัสซานปฏิเสธที่จะมอบว่าวให้กับอัสเซฟเพื่อแลกกับความปลอดภัยของเขา ฮัสซานยอมพลีกายเพื่อนำว่าวตัวนั้นกลับมาให้อาเมียร์ อาเมียร์รู้สึกผิดมากขึ้นเมื่อสบตากับฮัสซานและรู้ว่าฮัสซานเห็นเขาแอบซุ่มอยู่หลังตึกขณะที่เขาถูกรุมทำร้าย ฮัสซานเห็นเขาแต่ไม่ร้องขอความช่วยเหลือจากเขาเลย


    นับแต่วันนั้นอาเมียร์ไม่มีความสุขเลยที่เห็นฮัสซาน ยิ่งฮัสซานปฏิบัติต่อเขาอย่างสุภาพอ่อนน้อมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เขาก็ยิ่งเจ็บปวดที่ทรยศฮัสซาน ยิ่งเจ็บปวดมากเท่าไรเขาก็ยิ่งอยากกำจัดฮัสซานออกไปจากบ้าน แล้ววันหนึ่งเขาก็บอกพ่อว่า นาฬิกาและเงินของเขาหายไป ไม่นานก็พบว่าสิ่งของทั้งหมดนั้นซ่อนอยู่ใต้ฟูกนอนของฮัสซาน เมื่อพ่อของอาเมียร์ซักถามฮัสซาน แทนที่จะปฏิเสธ ฮัสซานกลับยอมรับว่าเป็นคนขโมยไป ไม่มีใครเชื่อว่าฮัสซานทำเช่นนั้น แต่นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ฮัสซานได้พิสูจน์ถึงความภักดีต่ออาเมียร์ และเป็นครั้งสุดท้ายเพราะไม่กี่วันต่อมาทั้งฮัสซานและพ่อก็ขอกลับบ้าน แม้จะถูกทัดทานจากพ่อของอาเมียร์ก็ตาม

    อาเมียร์ดีใจที่ฮัสซานเดินออกไปจากชีวิตของเขาเสียที ต่อไปนี้ไม่มีใครที่จะเตือนใจให้เขารู้สึกผิดที่ได้ทรยศเพื่อน ไม่มีใครที่จะเปิดเผยความลับของเขาให้โลกรู้ เขายังเป็นคนดีของพ่ออยู่ต่อไป แต่นั่นเป็นความเข้าใจผิด เพราะความรู้สึกผิดยังหลอกหลอนเขาอยู่ต่อไปอีกหลายสิบปี มีทางเดียวเท่านั้นที่ความรู้สึกผิดจะเลือนหายไป นั่นคือการกลับไปแก้ตัวด้วยการทำความดีทดแทนความผิดพลาดในอดีต

    เรื่องขออาเมียร์และฮัสซานมิใช่เป็นแค่เรื่องราวของเด็กสองคนในอัฟกานิสถาน แต่เป็นเรื่องของเราทุกคน ใช่หรือไม่ว่าบางครั้งเราทำร้ายคนใกล้ชิดเพียงเพราะทนความรู้สึกผิดไม่ได้ ลึก ๆ เราอยากเป็นคนดีด้วยกันทั้งนั้น แต่ความรู้สึกผิดกลับทำให้เรารู้สึกไม่ดีกับตัวเอง แทนที่เราจะบรรเทาความรู้สึกผิดด้วยการหันมาแก้ไขตัวเอง บ่อยครั้งเราเลือกที่จะไปจัดการกับคนอื่นซึ่งมิใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่เราเคยทำผิดกับเขามาแล้ว เราต้องการให้เขาพ้นไปจากสายตาหรือชีวิตของเรา เพื่อเราจะได้รู้สึกดีขึ้นกับตัวเอง แต่ยิ่งแก้ปัญหาผิดจุด ความผิดพลาดก็ยิ่งพอกพูนจนส่งผลยาวไกลต่อชีวิต เช่นทำให้ชีวิตตกต่ำลง หรือก่อผลร้ายต่อผู้อื่นต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ทั้ง ๆ ที่บางครั้งเพียงแค่สารภาพผิดหรือขอโทษ ก็ทำให้ความรู้สึกผิดนั้นเปลื้องออกไปจากใจได้ไม่น้อย

    ความรู้สึกผิดบางครั้งถึงขั้นก่อให้เกิดอาชญากรรมได้ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวยิวในยุโรปได้ตกเป็นเหยื่อของระบอบนาซี มิใช่แต่ชาวเยอรมันเท่านั้นที่ร่วมมือในการกวาดล้างชาวยิว ชาวยุโรปในหลายประเทศก็ให้ความร่วมมือด้วยโดยเฉพาะประเทศที่รัฐบาลนาซีเข้าไปยึดครอง หนึ่งในนั้นคือโปแลนด์ อันเป็นที่ตั้งของค่ายกักกันนาซีที่มีชื่อเสียงก้องโลก อาทิ เอาชวิตช์ เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองยุติ ชาวยิวที่เคยถูกกักกันได้กลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอน แต่สิ่งที่ได้พบก็คือการถูกทำร้ายอย่างทารุณจากชาวโปลิช หลายคนถูกทุบตี จำนวนไม่น้อยถูกสังหาร บางครั้งถึงกับถูกฆ่าหมู่เป็นเรือนร้อย แม้แต่เด็กก็ไม่ละเว้น จนชาวยิวต้องอพยพหนีจากโปแลนด์ในชั่วเวลาไม่นาน คำถามก็คือ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร ชาวโปลิชมีจิตใจกระด้างหรืออย่างไรจึงไม่รู้สึกเห็นใจชาวยิวที่ถูกล้างผลาญจนเกือบสิ้นเผ่าพันธุ์ ทำไมจึงซ้ำเติมพวกเขาเช่นนั้น ?

    ความรังเกียจชาวยิวที่ฝังลึกมานานในสำนึกของชาวโปลิชเป็นคำตอบหนึ่ง แต่เหตุผลมีมากกว่านั้น ตรงข้ามกับภาพที่ปรากฏ ชาวโปลิชหาได้มีจิตใจแข็งกระด้างไม่ เขามีความรู้ผิดรู้ชอบเยี่ยงเรา ๆ ท่าน ๆ และเพราะเหตุนั้นจึงรู้สึกผิดอย่างมากที่ได้มีส่วนในการร่วมมือกับนาซีก่ออาชญากรรมกับชาวยิวในสงครามโลกครั้งที่สอง ดังนั้นเพียงแค่ได้เห็นชาวยิวเหล่านั้นกลับมาจากค่ายนรกในสภาพที่น่าสังเวช ได้สบตากับคนที่เคยถูกเขากลั่นแกล้ง ทุบตี ปล้นสะดม หรือลากตัวให้นาซี เท่านี้ก็มากเกินกว่าที่เขาจะทนทานได้ ด้วยเหตุนี้จึงพยายามทุกวิถีทางที่จะขจัดคนเหล่านั้นให้ออกไปจากชีวิตของเขา เพื่อความรู้สึกผิดจะได้ไม่มารบกวนจิตใจอีกต่อไป

    น่าแปลกไหมว่า เป็นเพราะไปทำร้ายเขาจึงเกิดรู้สึกผิดขึ้นมา และยิ่งรู้สึกผิดมากเท่าไร ก็ยิ่งอยากทำร้ายและผลักไสเขาออกไปไกล ๆ ด้วยความหวังว่าความรู้สึกผิดจะลดลง ผลก็คือ ถลำเข้าไปในวัฏฏะแห่งความชั่วร้ายมากขึ้น ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงเพราะไม่ได้คิดจะแก้ไขที่ตัวเอง แต่มุ่งไปจัดการกับคนอื่น ในเมื่อความรู้สึกผิดนั้นเกิดจากการกระทำที่ไม่ถูกต้องของตน ก็ต้องบรรเทาด้วยการหันมาทำสิ่งที่ถูกต้อง อย่างน้อยเริ่มต้นจากการยอมรับผิดและขอโทษ

    ความรู้สึกผิดเป็นผลผลิตของมโนธรรม เพื่อกระตุ้นเตือนให้เราทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่หากเราไม่ระวัง มันอาจกลายเป็นตัวผลักดันให้เราทำสิ่งผิดมากขึ้น เพราะความรู้สึกผิดนั้นสามารถทิ่มแทงอัตตาจนอยู่เฉยไม่ได้ อัตตานั้นต้องการอวดตัวว่า “ฉันเก่ง” “ฉันดี และดีกว่าคนอื่น” (พุทธศาสนาเรียกกิเลสแบบนี้ว่า “มานะ”) แต่ความรู้สึกผิดนั้นกลับเป็นตัวตอกย้ำในทางตรงกันข้าม อัตตานั้นทนไม่ได้ที่จะยอมรับว่า “ฉันผิด” “ฉันพลาด” “ฉันยังมีกิเลสอยู่” ดังนั้นมันจึงพยายามที่จะกลบเกลื่อนความผิดพลาดดังกล่าว ด้วยการหาเหตุผลสารพัดมาเป็นข้ออ้าง หรือไม่ก็โทษคนอื่น หรือถึงขั้นจัดการกับคนที่เป็นภาพสะท้อนหรือบ่งฟ้องความผิดดังกล่าว ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้ต่อว่าเรา กล่าวหาเรา แต่เพียงเขาปรากฏตัวให้เราเห็น ก็มากพอแล้วที่ความรู้สึกผิดจะถูกปลุกขึ้นมาทิ่มแทงอัตตา จนอัตตาต้องทำอะไรสักอย่าง แม้ว่านั่นจะเป็นสิ่งเลวร้ายก็ตาม และหากเรายอมอยู่ใต้อำนาจของมันเมื่อไร ชีวิตของเราก็พร้อมตกต่ำลงเมื่อนั้น

    ความรู้สึกผิดก่อให้ความรู้สึกทุกข์ขึ้นมา เพราะมันไม่เพียงส่งผลกระเทือนต่อมโนธรรมเท่านั้น แต่ก็ยังกระทบกระแทกอัตตาอย่างจัง จุดหักเหที่สำคัญอยู่ตรงนี้ ว่าเราจะยอมเชื่อฟังมโนธรรมเพื่อหันกลับมาทำสิ่งที่ถูกต้อง หรือว่ายอมเชื่อฟังอัตตาและพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อกลบเกลื่อนความผิด หรือเพื่ออัตตาจะได้รู้สึกดีกับตัวเอง แม้นั่นจะหมายถึงการทำร้ายผู้อื่นก็ตาม คนจำนวนไม่น้อยเลือกทำอย่างหลังโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะต้องทำความผิดซ้ำสอง

    แต่หากเรามีสติเท่าทันอุบายของอัตตา อัตตาย่อมชักนำให้เราทำผิดพลาดได้ยาก แม้จะมีความทุกข์เกิดขึ้นเพราะเสียหน้าหรือรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง แต่ก็รู้ดีว่าเป็นอัตตาต่างหากที่ทุกข์ ไม่ใช่ใจเราทุกข์ แทนที่จะทุกข์ร้อนไปกับอัตตา เรากลับยินดีด้วยซ้ำเพราะมันสมควรได้รับบทเรียนเสียบ้าง จะได้ไม่ยกหูชูหางอยู่ร่ำไป อัตตาหากไม่ถูกทรมานเสียบ้างมันจะเหิมเกริมครอบงำจิตใจเราไม่หยุดหย่อน เมื่อรู้เท่าทันอัตตา เราย่อมไม่ลังเลที่จะสารภาพผิด กล่าวคำขอโทษ หรือแก้ไขสิ่งผิดให้เป็นถูก แม้อัตตาจะทัดทานเพียงใดก็ตาม เราไม่รู้สึกเสียหน้าที่จะทำเช่นนั้น เพราะเป็นอัตตาต่างหากที่เสียหน้า ไม่ใช่เรา และสมควรแล้วที่มันจะรู้สึกเสียหน้า จะได้ไม่คุยโวโอ้อวดอีกต่อไป อัตตาที่ถูกสยบจนสงบเสงี่ยมต่างหากที่จะทำให้ชีวิตของเราเป็นอิสระและโปร่งเบา

    ความรู้สึกผิด หากใช้ให้เป็นหรือเกี่ยวข้องอย่างถูกต้อง สามารถขับเคลื่อนชีวิตของเราไปในทางที่ดีงามและเป็นสูขได้ แต่หากใช้ไม่เป็น หรือปล่อยให้อัตตาเข้ามาบงการ ชีวิตก็เป็นอันตรายอย่างยิ่ง หากเราไม่เผลอไปทำร้ายคนอื่นเพื่อรักษาหน้าของอัตตาเอาไว้ ก็อาจทำร้ายตัวเองเพราะทนความรู้สึกผิดไม่ไหว ดังเป็นข่าวไม่เว้นแต่ละวัน
    :- https://visalo.org/article/sarakadee255009.htm


     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,617
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    Buddhaevening.jpg
    ทุกข์ทุกทีเมื่อมี “ฉัน”
    รินใจ
    ทุกเย็น “ตั้ง” จะนั่งรถโรงเรียนกลับบ้าน แต่เย็นนี้เขารู้สึกหงุดหงิดมากเมื่อเห็นนักเรียนชายรุ่นน้องรังแกเพื่อนผู้หญิงที่นั่งมาในรถด้วยกัน เด็กหญิงตัวเล็กกว่าจึงได้แต่ร้องห้าม แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนกับยิ่งยุ เด็กชายก่อกวนหนักมือขึ้น เต้นเข้าไปตักเตือนแต่เด็กชายก็ไม่สนใจ ยังคงก่อกวนเด็กหญิงต่อไป ตั้งพยายามสะกดอารมณ์ แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว เขาจึงตบหัวเด็กชายอย่างแรง จนเขาร้องไห้ดังลั่น

    ตั้งกลับถึงบ้านด้วยสีหน้าไม่สู้ดี เขารู้สึกผิดที่เล่นงานเด็กคนนั้นหนักเกินไป เย็นนั้นเขาจึงไม่มีอารมณ์จะเจื้อยแจ้วกับแม่เช่นเคย แม่รู้สึกผิดสังเกต เดาว่าลูกชายคงไปก่อเรื่องมาแน่ จึงถามว่า “ตั้ง วันนี้มีเรื่องอะไรมาหรือเปล่า บอกแม่มานะ”

    ตั้งทำท่าอึกอัก นึกสรรหาคำแก้ตัว แล้วเขาก็บอกแม่พร้อมกับชูมือขึ้นมาว่า “แม่ ตั้งไม่อยากเชื่อเลยว่า มือข้างนี้จะตบหัวเด็กจนร้องไห้”

    ตั้งรู้ตัวว่าทำผิด แต่แทนที่จะยอมรับผิดตรง ๆ ว่าตนไปตบหัวเด็กจนร้องไห้ กลับบอกว่า เป็นการกระทำของมือข้างนั้นต่างหาก เหมือนกับจะบอกแม่ว่า เป็นความผิดของมือ ไม่ใช่ความผิดของตัวเขา ด้วยคำพูดเช่นนี้ เขาหวังว่าแม่จะไม่โกรธเขา และเห็นใจเขามากขึ้น

    ดูเผิน ๆ นี้คืออุบายของเด็กที่ทำให้ตัวเองพ้นผิด แต่ตั้งอาจไม่รู้เลยว่าคำพูดของเขาแฝงนัยยะที่ลึกซึ้ง ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนา นั่นก็คือมือนั้นไม่ใช่ “ตัวฉัน” จะว่าไปแล้วสิ่งที่เรียกว่า “ตัวฉัน” นั้นหามีจริงไม่ เพราะตัวฉันเป็นเพียงแค่คำสมมุติที่ใช้เรียกเมื่ออวัยวะหรือชิ้นส่วนต่าง ๆ มารวมกัน เช่นเดียวกับบ้านนับร้อยเมื่อมารวมกันเราก็เรียกว่า “เมือง” แต่แท้จริงแล้วตัวเมืองนั้นหามีไม่

    พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช เล่าว่าตอนเป็นเด็กอายุแค่ ๗-๘ ขวบ เล่นไล่จับกับเพื่อน โดยมีกติกาว่า ถ้าจับตัวใครได้เมื่อไร ถือว่าคนนั้นแพ้ ต้องเปลี่ยนจากคนหนี มาเป็นคนไล่จับ คราวหนึ่งท่านเป็นฝ่ายหนี เพื่อนวิ่งมาจับแขนท่านแล้วร้องว่า “จับตัวได้แล้ว” ท่านเถียงว่า “จับตัวได้ที่ไหน จับแขนต่างหาก” เพื่อนเถียงท่านไม่ได้ ต้องปล่อยตัวท่านไป พอวิ่งมาจับเอวท่านแล้วร้องว่า “จับตัวได้แล้ว” ท่านก็เถียงว่า ที่จับนั้นเป็นเอวต่างหาก ไม่ใช่จับตัว เพื่อนก็ต้องปล่อยท่านไปอีก แล้วก็วิ่งไล่จับกันใหม่ แต่ไม่ว่าเขาจะจับหัว จับคอ หรือจับขาท่าน ก็ไม่สามารถทำให้ท่านยอมแพ้ได้เสียที เพราะยัง “จับตัว”ท่านไม่ได้

    “ตัวฉัน”อยู่ไหน? ลองชี้ดู แล้วคุณจะพบว่า ไม่ว่าชี้ไปตรงไหน สิ่งที่คุณชี้ถ้าไม่ใช่หน้าอก ก็เป็นหัว คอ ท้อง แขน ขา แต่หาใช่ตัวคุณไม่ “ตัวฉัน”เป็นแค่คำสมมุติเท่านั้น หามีอยู่จริงไม่ ความจริงดังกล่าวเรามองเห็นได้ยาก เพราะคุ้นกับสิ่งสมมุติจนนึกว่าเป็นความจริงแท้ แต่เด็ก ๆ นั้นยังพอแยกแยะได้ว่า แขน ขา มือนั้นไม่ใช่ตัวฉัน จึงเอามาเป็นอุบายทั้งในยามเล่นและในสถานการณ์ที่จริงจัง

    กรณีของตั้งนั้นเป็นการพยายามโยนความผิดไปให้มือ เพื่อตัวเองจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบกับการทำร้ายคนอื่น จะว่านี่เป็นวิธีการเอาตัวรอดแบบเด็ก ๆ ก็ได้ อุบายแบบนี้คงไม่มีวิญญูชนคนไหนเห็นดีด้วย เพราะถ้าไปปล้นบ้านหรือทำร้ายคนอื่น แล้วโยนให้เป็นความผิดของมือ ขา หรือหัวสมองไปหมด บ้านเมืองย่อมวุ่นวายเป็นแน่

    แต่อุบายอย่างนี้ถ้าเราใช้ให้ถูก ก็ช่วยลดความทุกข์ได้มาก เวลาปวดหัว ปวดแขน เคยคิดบ้างไหมว่า ที่ปวดนั้นคือหัวหรือแขน แต่ไม่ใช่ “ฉัน”ปวด เมื่อใดที่ไปสำคัญมั่นหมายว่าความปวดของหัวหรือแขน เป็นความปวดของ “ฉัน” จะรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น ท่านอาจารย์พุทธทาสเคยแนะว่า เวลาถูกมีดบาด ถ้าไปยึดมั่นสำคัญหมายว่ามีดบาด “ฉัน”เมื่อไร จะรู้สึกปวดมาก แต่เมื่อใดที่เห็นว่ามีดบาดนิ้ว ความปวดจะลดลง

    ในทำนองเดียวกันเวลาโกรธ หงุดหงิด ขึ้งเครียด แทนที่จะไปสำคัญมั่นหมายว่าฉันโกรธ หงุดหงิด หรือขึ้งเครียด ลองโยนให้เป็นเรื่องของใจไปเสีย จะรู้สึกเลยว่าความทุกข์บรรเทาเบาบางลง “ฉันโกรธ” กับ “เห็นใจมันโกรธ”นั้น ให้ความรู้สึกต่างกันมาก จะว่าไปแล้วความทุกข์ทั้งหลายเกิดขึ้นและลุกลามทุกครั้งที่มี “ตัวฉัน”เข้าไปเกี่ยวข้อง แดดร้อนทำให้เป็นทุกข์ทันทีที่ไปนึกว่า “ฉันร้อน” ถูกตำหนิก็ทำให้เป็นทุกข์ทันทีที่เกิดความคิดว่า “ฉันถูกตำหนิ”

    คนเราไม่ได้ยึดเอากายและใจเป็น “ตัวฉัน”เท่านั้น แต่ยังยึดอะไรต่ออะไรมากมายมาเป็น “ตัวฉัน”ด้วย เช่น บ้าน รถยนต์ ครอบครัว ประเทศชาติ ทีแรกก็ยึดว่าเป็น “ของฉัน”ก่อน แต่ไป ๆ มา ๆ ก็สำคัญมั่นหมายว่าเป็น “ตัวฉัน”ด้วย ใครมาตำหนิรถยนต์ของฉัน ก็เท่ากับตำหนิตัวฉันด้วย ใครมาดูหมิ่นประเทศของฉัน ก็เท่ากับว่าดูหมิ่นตัวฉันด้วย

    การยึดอะไรต่ออะไรมาเป็นตัวฉันนั้น ในแง่หนึ่งก็ทำให้ตัวฉันพองโตขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ทำให้ทุกข์ง่ายมาก เพราะมีอะไรมากระทบตัวฉันได้ตลอดเวลา เกิดเรื่องร้ายกับสิ่งใดขึ้นมา ไม่ว่า แขน ขา บ้าน รถยนต์ ก็ไปยึดเอามาเป็นความทุกข์ของตัวฉันทันที ทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่ควรหนีห่างให้ไกล แต่เหตุใดจึงชอบไปยึดเอามาเป็นของฉัน

    ใคร ๆ ก็บอกว่ารักสุข เกลียดทุกข์ แต่ทุกวันนี้เราพากันหยิบฉวยเอาความทุกข์ต่าง ๆ มาเป็นของตัวเองอยู่ไม่หยุดหย่อน แทนที่จะปล่อยให้เป็นแค่ความเจ็บปวดของแขนขา ก็ไปเหมาเอามาเป็นความปวดของฉันด้วย แทนที่จะปล่อยให้เป็นแค่ความเครียดของใจ ก็ไปยึดเอามาเป็นความเครียดของฉันด้วย แทนที่จะปล่อยให้เป็นความเสื่อมของรถ ก็ไปยึดเอามาเป็นความทุกข์ของฉันด้วย

    “ตัวฉัน” ไม่ได้มีอยู่จริง หากเกิดขึ้นจากการนึกคิดปรุงแต่งเอาเอง ถ้า “ตัวฉัน”มีอยู่จริง ก็น่าจะมีอยู่หนึ่งเดียว แต่เคยสังเกตไหมว่าสิ่งที่เรียกว่า “ตัวฉัน”นั้นแปรเปลี่ยนตลอดเวลา เดี๋ยวฉันก็เป็นแม่ เดี๋ยวก็เป็นลูก เดี๋ยวก็เป็นคนสวย เดี๋ยวก็เป็นคนขี้เหร่ ฯลฯ สุดแท้แต่สถานการณ์หรือผู้คนที่แวดล้อมเกี่ยวข้อง เจอฝรั่ง ฉันก็กลายเป็นคนไทย แต่พอเจอคนใต้ ความรู้สึกว่าฉันคนกรุงเทพ ฯ ก็เกิดขึ้น พอฉันเป็นแม่ ก็ทุกข์เมื่อลูกไม่เชื่อฟัง แต่พอฉันกลายเป็นลูก ก็ทุกข์ที่พ่อชอบห้ามโน่นห้ามนี่ แต่ไม่ว่าฉันจะเป็นอะไร ก็ทุกข์เสมอ แม้แต่ฉันเป็นคนเก่ง ก็ทุกข์เพราะกลัวว่าจะมีคนอื่นเก่งกว่า หรือขุ่นเคืองใจที่ไม่มีใครเห็นว่าฉันเก่ง

    เป็นอะไรก็ทุกข์ทั้งนั้น หากยึดมั่นสำคัญหมายหรือเผลอคิดว่า “ฉัน”เป็นอย่างนั้นจริง ๆ แต่หากรู้ว่านั่นเป็นสมมุติ ก็ไม่มี“ฉัน”เป็นผู้ทุกข์ พูดอีกอย่างคือ มีความทุกข์ แต่ไม่มีผู้ทุกข์ ต่อเมื่อมีกระจก ฝุ่นถึงจะเกาะได้ แต่เมื่อไม่มีกระจก ฝุ่นจะเกาะกับอะไร

    ถ้าไม่อยากทุกข์ก็ควรมีสติรู้เท่าทันทุกครั้งที่เผลอคิดว่า “ฉัน” เป็นนั่นเป็นนี่ แต่ถ้ายังตามไม่ทัน อย่างน้อยก็อย่าเผลอเอาความทุกข์ของกายและใจมาเป็นความทุกข์ของฉัน สติช่วยให้เราเห็นความปวดเกิดกับกาย เห็นความทุกข์เกิดกับใจ โดยไม่ไปสำคัญมั่นหมายว่า“ฉัน” ปวดหรือไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับความปวดนั้น กองไฟแผดเผาเราได้ต่อเมื่อเข้าไปอยู่กลางเปลวเพลิง แต่เมื่อถอยออกมา ความทุกข์ก็บรรเทา ยิ่งอยู่ห่างเท่าไร มันก็ยิ่งทำอะไรเราไม่ได้

    ความสุขนั้นเราไม่ต้องไปแสวงหาหรอก เพียงแค่หยุดเหมาเอาความทุกข์ต่าง ๆ มาเป็นของฉัน ความสุขก็บังเกิดขึ้นทันที
    :- https://visalo.org/article/sarakadee255101.htm
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,617
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    ความสุขที่ถูกมองข้าม
    พระไพศาล วิสาโล
    คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อ ว่า ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวดูเผิน ๆ ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง มิใช่เพิ่มมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี ในทำนองเดียวกันผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล่าง ๆ เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป

    ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองว่า “ชีวิต(ของผม)เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ” ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า “ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่….มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง” เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้ ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่น ๆ ยังคงมุ่งหน้าหาเงินต่อไป ด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐีแสนล้านจะมีความสุขมากกว่านี้ คำถามก็คือ เขาจะมีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ ?

    คำถามข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคน ทั่วไป เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อยได้บ้างว่า ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์ จึงไม่หยุดหาเงินเสียที ทั้ง ๆ ที่มีสมบัติมหาศาล ขนาดนั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยังไม่หมด

    แต่ ถ้าเราอยากจะค้นพบคำตอบให้มากกว่านี้ ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับหมื่นแผ่น ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วเกือบพันตัว ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่ แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด ในทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้า ที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ มีหลายตัวหลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้อีกไม่หยุดหย่อน

    ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้นไม่ทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าสิ่งที่ได้มา ใหม่ มีเสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ทำให้จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื้อ ๑ ตัวที่ได้มาใหม่ มีซีดีอยู่แล้วนับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี ๑ แผ่นที่ได้มาใหม่ ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคารก็ไม่ทำให้รู้สึกปลาบ ปลื้มใจเท่ากับเมื่อได้มาใหม่อีก ๑ ล้าน

    พูดอีกอย่างก็คือ คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้ มากกว่าความสุขจากการมี มีเท่าไรก็ยังอยากจะได้มาใหม่ เพราะเรามักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม

    บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของ เดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่ ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มา จะว่าไปนี่อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับสัตว์หลายชนิดไม่เฉพาะแต่มนุษย์ เท่านั้น ถ้าโยนน่องไก่ให้หมา หมาก็จะวิ่งไปคาบ แต่ถ้าโยนน่องไก่ชิ้นใหม่ไปให้ มันจะรีบคายของเก่าและคาบชิ้นใหม่แทน ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน ไม่ว่าหมาตัวไหนก็ตาม ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับของใหม่ที่ได้มา

    ถ้า หากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริง ๆ เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็กลายเป็นของเก่า และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป ผลก็คือกลับมารู้สึก “เฉย ๆ” เหมือนเดิม และดังนั้นจึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่าเดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ ?

    เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย ไหนจะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง ไหนจะต้องแข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ครั้นได้มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ไม่ให้ใครมาแย่งไป แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึกคุ้มค่า ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือกว่าจะใช้อันไหนก่อน ทำนองเดียวกับคนที่มีเงินมาก ๆ ก็ต้องยุ่งยากกับการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว มาเก๊า หรือซิดนีย์ดี

    ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่ง ที่มีอยู่แล้ว ชีวิตจะยุ่งยากน้อยลงและโปร่งเบามากขึ้น อันที่จริงความพอใจในสิ่งที่เรามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมองออกไปนอกตัว และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรามีอยู่ หา ไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นเขามีของใหม่ ก็อยากมีบ้าง คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้งเท่ากับการชอบเปรียบ เทียบตัวเองกับคนอื่น การเปรียบเทียบจึงเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใคร ๆ ก็นิยมใช้กัน


     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,617
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    (ต่อ)
    นิสัย ชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ทำให้เราไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้จะมีหน้าตาดี ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สวย เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดาราหรือพรีเซนเตอร์ในหนังโฆษณา

    การมองแบบนี้ทำให้ “ขาดทุน” สองสถาน คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ยังเป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก พูดอีกอย่างคือไม่มีความสุขกับปัจจุบัน แถมยังเป็นทุกข์เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง ไม่มีอะไรที่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่องหมา คาบเนื้อ คงจำได้ว่า มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นใหญ่มา ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพาน มันมองลงมาที่ลำธาร เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง (ซึ่งก็คือตัวมันเอง) กำลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่ เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่าชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภ (และหลง) มันจึงคายเนื้อที่คาบอยู่ เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ำ ผลก็คือเมื่อเนื้อตกน้ำ ชิ้นเนื้อในน้ำก็หายไป มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบอยู่และเนื้อที่เห็นในน้ำ

    บ่อเกิด แห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่ แล้ว เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น เมื่อใดที่เรามีความทุกข์ แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็นอยู่ ไม่ว่า มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุขให้แก่เราได้ทั้งนั้น ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม รู้จักมอง และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น

    แทน ที่จะแสวงหาแต่ความสุขจากการได้ ลองหันมาแสวงหาความสุขจากการมี หรือจากสิ่งที่มี ขั้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการให้ กล่าวคือยิ่งให้ความสุข ก็ยิ่งได้รับความสุข สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม และสุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ทำความดีและทำให้ชีวิตมีความหมาย จากจุดนั้นแหละก็ไม่ยากที่เราจะค้นพบความสุขจากการไม่มี นั่นคือสุขจากการปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี และเพราะเหตุนั้น แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้

    เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการให้ และ การไม่มี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่างแท้จริง

    พระไพศาล วิสาโล
    :- https://www.bansuanporpeang.com/node/65

     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,617
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    เดินทวนกระแส
    ธรรมยาตราลุ่มน้ำลำปะทาวปีที่ ๑๐
    วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๒ เช้า

    พระไพศาล วิสาโล
    เช้าวันนี้เป็นเช้าวันแรกของธรรมยาตรา ปกติเช้าวันแรกของธรรมยาตราปีก่อนๆ เราจะทำวัตรในป่าที่วัดป่ามหาวัน แล้วก็จะเดินลงมาจากเขา ทางเดินจะค่อยๆ ลาดลงไป ปีที่แล้วเราเดินมาถึงตัวเมืองชัยภูมิ แต่ครั้งนี้เรามาทำวัตรกันในเมืองเพื่อที่จะเดินขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปสิ้นสุดที่วัดป่ามหาวันหรือภูหลง ที่ผ่านมาพวกเราหลายคนอาจจะเพียงแค่ได้ยินเรื่องราวของธรรมยาตรา ได้ฟังเรื่องราวของคนนั้นคนนี้ว่าได้เจออะไรมาบ้าง วันนี้เราจะไม่ใช่เป็นเพียงแค่ผู้ฟัง แต่เราจะเป็นผู้เดินด้วย เราจะเดินด้วยเท้าของเราเอง มาร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูธรรมชาติบนหลังเขา ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความเพียรและระยะเวลา คงไม่ใช่เพียงแค่ครั้งนี้ และไม่ใช่ครั้งต่อๆ ไป แต่ต้องอีกหลายครั้ง

    ธรรมยาตราครั้งนี้ไม่เหมือน ๙ ครั้งก่อน เพราะเราจะไม่ได้เดินจากป่าสู่เมือง แต่เราจะเดินจากเมืองสู่ป่า การเดินครั้งนี้เป็นการเดินทวนกระแส ครั้งก่อนๆ เราเดินมาตามลำห้วย ล่องมาเรื่อย ๆ แต่คราวนี้เราจะเดินทวนกระแสน้ำลำปะทาว การเดินทวนกระแสเป็นเรื่องยากกว่าการเดินตามกระแส เพราะการเดินทวนกระแสน้ำ หมายความว่าเราต้องเดินจากที่ต่ำขึ้นไปที่สูง ไม่เหมือนปีก่อนๆ ที่เราเดินจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ การเดินจากที่ต่ำไปสู่ที่สูง เป็นการเดินสู้แรงโน้มถ่วง จึงต้องใช้เรี่ยวแรง ใช้ความเพียรมากกว่าเดิม อาจจะมีบางจุดที่ทางค่อนข้างชัน แต่ก็เชื่อว่าไม่เหลือกำลังของพวกเรา

    เมื่อเดินทวนกระแสน้ำ จากที่ต่ำไปสู่ที่สูง จากเมืองสู่ป่า เราจะต้องเจอกับความยากลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ คนเราโดยธรรมชาติแล้วชอบความสบาย แต่นี้เป็นธรรมชาติของกิเลสไม่ใช่ธรรมชาติที่แท้ในใจเรา ธรรมชาติของกิเลสนั้นชอบอยู่ที่สบาย ชอบไปสู่ที่ต่ำ การเดินจากที่ต่ำสู่ที่สูง จากเมืองสู่ป่าจึงเป็นการทวนกระแสกิเลสด้วย ทวนทั้งกระแสกิเลสและทวนกระแสความเคยชินของเราที่ชอบแสวงหาความสะดวกสบาย การทวนกระแสกิเลสจึงต้องใช้ความเพียรเหมือนกัน ใช้ความพยายาม ความอดทน แต่ก็ไม่เหลือวิสัยของพวกเรา โดยเฉพาะเรามาเดินกันเป็นกลุ่ม ๒๐๐ คนอย่างนี้ รวมทั้งมีเด็กๆ เล็กๆ มาร่วมเดินกับเราด้วย การเดินเป็นกลุ่มใหญ่นี้จะเป็นกำลังใจให้แก่กันและกัน

    การเดินทวนกระแสถึงแม้จะยากลำบาก แต่มีรางวัลรออยู่ข้างหน้า เวลาเราเดินทวนกระแสน้ำขอให้สังเกตน้ำเมื่อเราเดินขึ้นไปเรื่อยๆ น้ำที่เคยขุ่น จะเริ่มใส ใครที่เคยไปเที่ยวป่าจะนึกภาพออก ถึงแม้ลำห้วยจะแคบลง แคบลง แต่น้ำจะใสขึ้น ใสขึ้น จนเห็นก้อนหิน เห็นกรวดอยู่ใต้น้ำ อันนี้คือประสบการณ์ของคนที่เดินทวนกระแสน้ำในป่า ธรรมชาติที่เคยเหี่ยวแห้งจะเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้น วันนี้เราอาจจะไม่ค่อยได้เห็นธรรมชาติที่สวยงามเท่าไหร่ อย่างมากก็เห็นแต่ทุ่งนา แต่เมื่อเราเดินขึ้นไปเรื่อย ๆ ต้นไม้สองข้างทางก็จะหนาแน่นมากขึ้น ขณะที่น้ำเริ่มใส อาจจะไม่ใสอย่างที่เห็นในอุทยานส่วนใหญ่ แต่เสียงน้ำตก เสียงน้ำเซาะ น้ำไหลริน เราจะได้ยินชัดขึ้น

    อันนี้ก็เหมือนการเดินทวนกระแสกิเลส เมื่อเราทวนกระแสกิเลส ใจที่เคยขุ่น เคยหมอง เคยร้อนรุ่ม ด้วยความอยาก ความโกรธ ความไม่พอใจ หรือหมองมัวเพราะความหลงความลืมตัว ก็จะแปรเปลี่ยนไป ใจเราจะเริ่มใสขึ้น ถึงแม้กายจะเหนื่อย อาหารจะไม่อร่อย ไม่ถูกปาก แต่ใจเราก็จะใสขึ้นเรื่อยๆ เกิดความรู้สึกโปร่งเบา สบาย ถึงแม้ว่ากายจะลำบาก แต่ว่าใจสบาย เป็นการทวนกระแสโลก

    กระแสโลกนั้นกายสบาย มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเยอะแยะ ไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องเดิน นั่งรถ อยู่ในบ้านก็มีพัดลม มีแอร์ นอนบนเตียงนุ่มสบาย อยากจะกินอะไรก็ได้กิน อาหารก็อร่อย สบายกายมาก แต่ส่วนใหญ่แล้วใจไม่สบาย ใจมีความทุกข์ มีความกังวล หงุดหงิดง่าย และไม่เคยรู้สึกพอใจในสิ่งที่เรามี มันก็แปลกนะ อยู่ในถิ่นที่กายสบาย ใจกลับไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ ใจเป็นทุกข์

    คนในกรุงเทพฯ หรือคนในเมืองมีความทุกข์เยอะ ทุกข์จนกระทั่งเป็นโรคจิต โรคประสาท ทุกข์จนฆ่าตัวตายก็มีมากทั้งๆ ที่มีความสะดวกสบายทางกาย แต่เวลาเรามาใช้ชีวิตที่นี่ มันไม่ค่อยสะดวกสบายเท่าไหร่ จะอาบน้ำก็ต้องเดินไกล การนอนก็ไม่สะดวก น้ำแข็งก็ไม่มี อาหารก็ไม่อร่อย ไปไหนมาไหนก็ต้องเดินเอา แต่ว่าใจนั้นสบาย เราอาจจะได้พบกับตัวเองว่าแม้กายลำบากแต่ใจกลับสบาย

    บนเส้นทางเดินตลอด ๘ วันของเรา เราจะได้เห็นชาวบ้านที่แม้อยู่อย่างลำบาก แต่เขากลับยิ้มแย้มแจ่มใส หลายคนเขาอาจจะไม่มีข้าวกินเหมือนเรา บางคนมาเลี้ยงต้อนรับเราเขาต้องออกเงินกันคนละ ๒๐ บาท ๓๐ บาท สำหรับเขามันเป็นเงินที่มาก แต่เขาก็พร้อมจะสละเงินเพื่อต้อนรับคณะธรรมยาตรา เป็นอย่างนี้มาหลายปีแล้ว และปีนี้ก็คงจะเป็นอย่างนั้นอีก เพราะว่าเป็นความพึงพอใจ เป็นน้ำใจของเขาที่ต้องการต้อนรับพวกเรา โดยเฉพาะพวกเราที่อุตส่าห์มาเยี่ยมเยียนเขาด้วยการเดินเท้า ไม่ใช่นั่งรถมา มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการจาริก การแสวงบุญ ชาวบ้านเขาไม่ค่อยคุ้นกับคำว่าธรรมยาตรา แต่ถ้าพูดถึงการจาริกแสวงบุญ หรือการมาทำบุญ เขาคุ้นเคยดีและพร้อมจะเสียสละ อันนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่เราจะพบได้

    ขอให้เราสังเกตว่าถึงแม้เขาจะอยู่ลำบาก แต่ว่าใจเขาสบาย ใจเขามีความสุขกว่าคนจำนวนมากในเมืองที่กายสบายแต่ใจไม่เป็นสุข อาตมาเชื่อว่าพวกเราจะได้รับประสบการณ์เช่นนี้ด้วย ลองดูสิว่าเราจะค้นพบความสุขท่ามกลางความไม่สะดวกสบายได้อย่างไร อันนี้เป็นเคล็ดลับของการมีความสุขในชีวิต คือการที่เราสามารถค้นพบและเข้าถึงความสุขใจท่ามกลางความไม่สะดวกสบายทางกาย คนเราถ้าไม่สามารถค้นพบเคล็ดลับในการเข้าถึงความสุขแบบนี้ได้ ชาตินี้ทั้งชาติจะไม่มีความสุขเลย เพราะว่าชีวิตนี้ใช่ว่าจะปูไปด้วยกลีบกุหลาบหรือความสะดวกสบายอย่างเดียว ชีวิตนี้เต็มไปด้วยความไม่สะดวกมากมาย รวมทั้งความไม่สมหวัง ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก อย่างที่เราสวดมนต์เมื่อเช้านี้

    ทุกข์คืออะไร ทุกข์คือการประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น นี่คือความจริงของชีวิตที่ทุกคนต้องเผชิญ ไม่ว่าจะร่ำรวย ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่หากว่าเราสามารถค้นพบความสุขใจท่ามกลางความไม่สะดวกสบาย ท่ามกลางความลำบาก เราก็จะยิ้มแย้มแช่มชื่นได้ตลอดเวลา อาจจะไม่ยิ้มให้เห็นทางใบหน้า แต่ว่าในใจก็ยิ้มแย้มได้

    เพราะฉะนั้นการทวนกระแสกิเลสจึงเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราทวนกระแสกิเลสได้ก็เป็นการทวนกระแสสังคมด้วย กระแสสังคมตอนนี้ คือกระแสบริโภคนิยม บริโภคนิยมคือความเชื่อว่าคุณจะสุขได้ถ้าคุณมีกิน มีเสพ มีบริโภคเยอะๆ หรือมีครอบครองมากๆ ความเชื่อว่าความสุขจะเกิดขึ้นจากความสะดวกสบาย แต่ความจริงแล้วหาใช่เช่นนั้นไม่ ความสุขกับความสะดวกสบายไม่ใช่สิ่งเดียวกัน บางครั้งกลับตรงข้ามกันด้วยซ้ำ

     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,617
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    (ต่อ)
    ท่ามกลางความสะดวกสบายทางกาย หลายคนมีความทุกข์ ทุกข์เพราะว่ายังมีไม่พอ ยังอยากได้ไม่จบไม่สิ้น แถมยังทำให้คนอื่นทุกข์ด้วย ทำให้สิ่งแวดล้อมแย่ลงไปด้วย เพราะทำให้เกิดขยะ เกิดมลภาวะ เนื่องจากการกินการบริโภคของเรา ทำให้เกิดขยะในทุกขั้นตอน เริ่มจากขั้นตอนการผลิต เช่นโรงงานอุตสาหกรรมหรือโรงไฟฟ้า กว่าจะมีไฟฟ้าให้เราใช้ กว่าจะผลิตสิ่งอำนวยสะดวกให้เราใช้สอย มันไปสร้างมลภาวะให้กับผู้คนมาก ยกตัวอย่างเช่น มาบตาพุดที่กำลังเป็นข่าว มาบตาพุดคือนิคมอุตสาหกรรม กลั่นน้ำมัน ผลิตเม็ดพลาสติก และสิ่งต่าง ๆ มากมายให้เราได้ใช้ แต่ว่าคนที่มาบตาพุดกลับลำบากเพราะมลภาวะ เป็นมะเร็งกันมากมาย เป็นข่าวเมื่อสองสามวันก่อนว่า ก๊าซพิษหรือว่าสารพิษระเหยออกมา ปลาในแม่น้ำในทะเลก็ตายกันเป็นแพ นี่แค่เป็นตัวอย่างเล็กๆ ท่ามกลางปัญหามากมายที่เกิดขึ้นทั้งโลก

    เราไม่ค่อยตระหนักว่าความสะดวกสบายของเราได้สร้างความทุกข์มากมาย นอกจากความทุกข์ที่ใจของเราแล้ว ก็ยังอาจไปสร้างความทุกข์ให้กับคนอื่นได้ด้วย ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักควบคุมหรือไม่รู้จักทวนกระแสกิเลสบ้าง เพราะฉะนั้นการเดินธรรมยาตราจึงไม่ใช่แค่เดินทวนกระแสน้ำอย่างเดียว แต่ยังเป็นการเดินทวนกระแสกิเลส และทวนกระแสบริโภคนิยมด้วย เราตามกิเลส ตามกระแสบริโภคนิยมมามากแล้ว ลองทวนดูบ้าง

    เส้นทางในวันนี้เป็นเส้นทางที่เดินง่ายแต่ยาวไกล เส้นทางที่เราเดินที่จริงเหมาะกับการนั่งรถ หรือขับรถ ถ้าขับรถบนเส้นทางนี้จะไปได้เร็ว แต่ว่าอาจจะไม่สะดวกกับการเดินเท้าเท่าไหร่ เราลองสังเกตดูก็แล้วกัน แต่ก่อนเวลานั่งรถเราไม่เคยสังเกตเลยว่า ถ้าลงเดินบนถนนมันให้ความรู้สึกแตกต่างกันอย่างไร มันสบายเมื่อนั่งรถ แต่ว่าไม่สะดวกเลยเวลาเราเดิน ยิ่งถ้าใครเดินเท้าเปล่าด้วยก็จะรู้เลยว่า เหมือนกำลังเดินอยู่บนกระทะร้อน ๆ โดยเฉพาะตอนบ่ายๆ เหมือนกับเดินอยู่บนกระทะที่กำลังร้อน และแดดก็แรง แต่เรามีวิธีการเดิน ถ้าเราเดินเป็นแล้ว เราก็จะมีความทุกข์น้อย อาจจะมีความสุขความสงบถึงแม้แดดจะแรงด้วยซ้ำ

    วิธีนี้คือการเดินด้วยสติ เดินด้วยสติเป็นเรื่องสำคัญมาก ส่วนใหญ่เดินกันไม่เป็น ถึงแม้ว่าเราเดินได้ แต่เราเดินไม่เป็น เดินได้กับเดินเป็นไม่เหมือนกัน เดินได้คือเดินไปเรื่อยๆ แต่เดินไม่เป็นคือเดินไปนานๆ แล้วก็ทุกข์ ทุกข์ทั้งกายทุกข์ทั้งใจ แต่ถ้าเราเดินเป็นเราจะเดินได้นาน จะไม่เมื่อยมาก และจะไม่ทุกข์มาก เดินให้เป็นคือเดินด้วยสติ

    เดินด้วยสติหมายความว่าอะไร หมายความว่าเวลาเราเดิน ใจกับกายไปด้วยกัน ปกติเวลาเราเดิน ตัวเดินแต่ใจไม่รู้ไปไหน ลืมไปเลยว่ากำลังเดินอยู่ก็มี แต่ถ้าเราเดินอย่างมีสติ เราก็จะรู้ตัวตลอดเวลาที่เดิน ใจรับรู้อยู่กับการเดิน เรียกว่าใจเดินไปพร้อมกับกายด้วยก็ได้ ถ้าใจเราไม่วอกแวกเราจะไม่ทุกข์เท่าไหร่ คนส่วนใหญ่ที่เป็นทุกข์เวลาเดิน เขาไม่ได้ทุกข์กาย แต่ทุกข์ใจต่างหาก ทุกข์ใจเพราะอะไร เพราะใจไปเร่งรัดอยากจะให้ถึงไวๆ ตัวอยู่ที่นี่แต่ใจไปข้างหน้าแล้ว ใจอยากจะให้ถึงไวๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่ใจมัวไปอยู่กับจุดหมายปลายทาง เราจะหงุดหงิดง่าย โดยเฉพาะวันนี้ ถ้าใจเราคอยเร่งเร้าอยากให้ถึงไวๆ ใจบ่นว่าเมื่อไหร่จะถึง ๆ ใจที่ช่างบ่นนี่แหละ จะทำให้เราเป็นทุกข์กับการเดิน ทุกข์กายไม่เท่าไหร่ แต่ทุกข์ใจต่างหากที่ทำให้เราร้อนรุ่มกับการเดิน แต่ถ้าเรามีสติ ใจอยู่กับการเดิน ตัวอยู่ตรงนี้ใจก็อยู่ตรงนี้ ไม่ได้ไปรออยู่ข้างหน้า เราจะไม่ค่อยทุกข์ ไม่หงุดหงิด ถึงก็ต่อเมื่อมันถึง อย่าไปเร่งให้มันถึง

    การควบคุมจิตเป็นเรื่องสำคัญมากในการเดิน ใหม่ๆ อาจจะไม่ค่อยมีสติเท่าไหร่ แต่ก็มีวิธีการที่จะช่วยให้เราเดินอย่างมีสติได้ บางคนใช้วิธีนับก้าว มีเด็กนักเรียนหลายคนที่มาวันแรกสองวันแรกเขาจะทรมานใจมาก มันไกลเหลือเกิน เขาไม่เคยเดิน ๔ กิโล บางคนเกิดมาสิบกว่าปีไม่เคยเดิน ๔ กิโล เดินแค่ ๒๐๐ เมตรก็ถือว่าไกลแล้ว แต่นี่มาเดินตั้ง ๙ กิโล ๑๐ กิโล แต่พออาตมาแนะให้เขาลองนับก้าวดู นับไปเรื่อยๆ ถ้าลืมนับก็นับใหม่ เขาก็ลองนับดู นับได้หกพันกว่าก้าว เขาพอใจมาก รู้สึกเลยว่าเหนื่อยน้อยลง ระยะทางเท่าเดิมแต่ทำไมเหนื่อยน้อยลงก็เพราะว่าใจอยู่กับที่กับทาง ใจมีสมาธิ พอกำหนดจิตอยู่กับการเดิน ด้วยการนับก้าว ใจก็เป็นสมาธิ พอใจเป็นสมาธิก็จะรู้สึกมีความสุข เพราะสมาธิกับสุขมันไปด้วยกัน จะเรียกว่าเพลินก็ได้ พอมีสมาธิแล้วก็เพลิน บางคนใช้วิธีการรับรู้แต่ละก้าว ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา บางคนก็กำหนดจิตอยู่เท่านี้ ซ้ายก็รู้ ขวาก็รู้ บางคนก็ใช้วิธีฟังเสียง เอาจิตมากำหนดอยู่ที่เสียงกลอง

     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,617
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    (ต่อ)
    กลองนี้มีความหมาย ไม่ได้ตีเล่นๆ หรือตีให้จังหวะกับการเดินซ้ายขวา ซ้ายขวาเท่านั้น เสียงกลองยังเป็นจุดกำหนดของจิตได้ พอจิตไปกำหนดที่เสียงกลองมันก็ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่หงุดหงิด จิตที่หงุดหงิดชอบบ่นโวยวายเป็นอุปสรรคสำคัญของนักเดินธรรมยาตรา ไม่ใช่ระยะทางที่ไกล ถ้าเรากำหนดจิตอยู่กับเสียงกลอง ใจเราจะนิ่งมากขึ้น บางปีกลองแตกต้องซ่อม ไม่มีเสียงกลอง คนเดินจะรู้เลยว่ามันมีความแตกต่างระหว่างวันที่มีเสียงกลอง กับวันที่ไม่มีเสียงกลอง วันที่มีเสียงกลองเราจะรู้สึกว่าเดินได้มีสมาธิมาก แต่พอกลองแตก จิตก็เริ่มแส่ส่าย เพราะไม่มีจุดกำหนด

    มีคณะธรรมยาตราบางคณะเดินไกลเดินประมาณ ๘ เดือน อาตมาเคยไปร่วมเดินธรรมยาตราเพื่อสันติภาพในโอกาสครบรอบ ๕๐ ปีสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมื่อพ. ศ. ๒๕๓๘ เดินจากประเทศโปแลนด์ โดยเริ่มต้นจากจุดที่มีการสังหารล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในค่ายนรกที่เอาชวิตซ์ พวกเราคงทราบ เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ มีคนเสียชีวิตจำนวนมาก มีชาวยิวจำนวน ๖ ล้านคนตายในค่ายนรกโดยพวกเยอรมันนาซี ธรรมยาตราครั้งนั้นเริ่มเดินจากเอาชวิตซ์ไปถึงฮิโรชิมาซึ่งมีการทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรก ใช้เวลา ๘ เดือน นำโดยพระญี่ปุ่น ท่านตีกลองเหมือนกันและสวดมนต์ไปด้วย สวดว่า นะโม เมียว โฮเร็งเกเกียว เป็นทำนองเพราะดี พวกเราเดินไปด้วยก็สวดตามไปด้วยตลอดทาง การสวดตามช่วยกำหนดจิตให้เป็นสมาธิได้ เมื่อใจเราอยู่กับเสียงสวดมนต์ใจก็สงบเป็นสมาธิได้

    เพราะฉะนั้นลองฝึกจิตของเรา อย่าปล่อยใจให้เพ่นพ่าน ถือเป็นโอกาสเจริญสติด้วยการเดิน แต่ละก้าวก็ให้รู้ ไม่ใช่รู้แบบคิดเอาว่าฉันกำลังเดิน ฉันกำลังก้าว จะถือว่าเรากำลังมาเดินจงกรมก็ได้ ใครที่ไม่เคยเดินจงกรม ขอให้ลองเดินจงกรมระหว่างเดินธรรมยาตรา แต่อย่าไปเดินเล่น เพราะถ้าเดินเล่นพอถึงจุดหนึ่งเราจะเหนื่อย จะเมื่อย จะบ่น เดินคุยกันก็เหมือนกัน ทีแรกก็เพลิน แต่พอเดินไปสักพักก็จะเหนื่อย เพราะเวลาคุยเราจะเสียพลังงาน การหายใจของเราจะไม่เป็นจังหวะ ถ้าเราทำให้การหายใจของเราประสานกับการเดินจะทุ่นพลังไปได้เยอะ และใจก็มีสมาธิด้วย แต่ไม่ต้องถึงกับบังคับลมหายใจ ให้หายใจสบายๆ แต่พอคุยกัน การหายใจของเราจะไม่เป็นระเบียบ ใหม่ๆ ก็เพลินดี สนุกดี แต่พอเดินไปไกลๆ จะรู้สึกเหนื่อย พอเดินไปนานๆ ก็ไม่อยากจะคุยแล้ว เพราะฉะนั้นขอให้ลองอยู่กับตัวเอง เดินอยู่กันหลายคนแต่เหมือนกับว่าอยู่คนเดียว ใครเขาจะคุย ก็อย่าไปเผลอคุยกับเขา ลองฝึกใจของเราดู

    ธรรมยาตราไม่ได้แค่ฝึกความอดทนของกายนะ อันนั้นเป็นเรื่องรองมากๆ ความอดทนของกายฝึกที่ไหนก็ได้ แต่การฝึกใจนั้นหาที่ฝึกได้ลำบาก แต่ที่นี่เราจะฝึกใจได้ง่าย ให้ใจอยู่กับการเดิน อย่าไปหาเรื่องคิด อย่าไปหาเรื่องปรุง เผลอแล้วรู้ตัวเมื่อไหร่ให้กลับมาอยู่กับการเดิน ไม่ต้องถึงกับไปเพ่งที่เท้าก็ได้ ให้แค่รู้สึกเบาๆ ว่ากำลังเดิน รู้สึกถึงกายที่เคลื่อนขยับ ใหม่ๆ ใจอยู่กับกายได้ไม่นาน เดี๋ยวก็ไปแล้ว ฝันกลางวันบ้าง ฝันถึงอาหารที่บ้านบ้าง ฝันถึงเพื่อนที่กรุงเทพฯ บ้าง รู้ตัวก็กลับมาอยู่กับการเดิน แล้วสติเราก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ พอสติดีแล้วต่อไปใจก็จะอยู่กับการเดิน ไม่เพ่นพ่านฟุ้งซ่าน แล้วใจก็จะมีสมาธิ

    นี่คือรางวัลที่จะได้จากการเดินทวนกระแสกิเลส ลองฝึกดู อาตมาจะค่อยๆ แนะนำไปเรื่อย ๆ ทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอให้ลองทำดู พระอาจารย์โน้ตท่านจะคอยพูดนำเวลาเราเดินในแต่ละช่วงแต่ละวัน ท่านพูดนำพูดเตือนให้เราเจริญสติไปกับการเดิน พยายามคุยกันให้น้อย เพราะว่าเราตั้งใจกันมาแล้วว่าเราจะเดินกันอย่างสงบ เดินด้วยธรรมะคือเดินด้วยความสงบ ขบวนธรรมยาตราตราก็จะกลายเป็นขบวนของนักปฏิบัติธรรม นักจาริกแสวงบุญ ชาวบ้านเห็นแล้วก็เกิดศรัทธา เมื่อศรัทธาเขาก็อยากจะมาทำบุญกับเราด้วยการเอาอาหารมาต้อนรับ ก็ขอให้เราช่วยสนองความปรารถนาของเขาเพื่อให้เขาได้บุญเยอะๆ เมื่อเห็นว่าเราเดินอย่างสงบ เขาก็เกิดศรัทธาเกิดปีติ บุญก็เกิดขึ้นกับเขา และบุญก็เกิดขึ้นกับเราด้วย

    สิ่งหนึ่งที่อยากฝากไว้คือการเดินคราวนี้ นอกจากเราจะต้องดูแลตัวเราเอง คือดูแลกายดูแลใจแล้ว ก็จำเป็นต้องดูแลเพื่อนๆ ด้วย การเดินครั้งนี้ถ้าเดินให้เป็นไม่เพียงแต่จะช่วยให้ร่างกายเราเข้มแข็ง ปอดเราจะดีขึ้น หัวใจเราจะดีขึ้นเท่านั้น แต่ใจเราก็จะใหญ่ขึ้นด้วย ใจใหญ่ขึ้นหมายถึงอะไร หมายถึงใจที่มีเมตตา กรุณา ใจที่มีความเผื่อแผ่ บางคนตัวใหญ่แต่ใจเล็ก ใจเล็กคือใจที่คับแคบคิดถึงแต่ตัวเอง เวลากินก็ตักเยอะๆ หรือเวลากินน้ำก็ไม่สนใจคนอื่น ฉันจะกินของฉันคนเดียว แต่ว่าการเดินครั้งนี้สามารถช่วยให้หัวใจเราใหญ่ขึ้น คือเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ บางคนเป็นเด็ก บางคนตัวเล็กๆ แต่หัวใจเขาใหญ่มากเลย เวลาพัก เขาก็ขวนขวายหาน้ำมาช่วยดูแลเพื่อนๆ ดูแลพี่ๆ ดูแลป้าๆ ลุงๆ

    มาฝึกให้ใจใหญ่กัน คือมาช่วยกันใส่ใจดูแลเพื่อนร่วมคณะของเรา ให้ถือว่าเราเป็นพี่น้องกันแล้ว เรามาร่วมเรือลำเดียวกัน เป็นนาวาลำเดียวกัน ชื่อว่า ธรรมนาวา ขอให้ธรรมยาตรานี้เป็นธรรมนาวาคือเรือแห่งธรรมะ ให้ระลึกว่าเราลงเรือลำเดียวกัน ดังนั้นจึงควรช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน มันจะทำให้ใจเราใหญ่ขึ้น และตัวตนเราเล็กลง

    เมื่อใจใหญ่ขึ้นแต่ตัวตนเล็กลง ก็จะมีเนื้อที่ให้กับความสุขได้มากขึ้น คนจำนวนไม่น้อยใจเล็กแต่ตัวตนใหญ่ คือเห็นแก่ตัวมาก เพราะฉะนั้นใจจึงมีที่ว่างน้อยลงสำหรับความสุข คนที่ใจใหญ่ตัวตนเล็ก จะมีความสุขมาก คนที่ใจเล็กตัวตนใหญ่จะมีความสุขน้อยมีความทุกข์เยอะ เรามาช่วยกันขยายใจของเราให้ใหญ่ ให้เป็นคนมีน้ำใจ ในขบวนธรรมยาตรานี้เราดูแลธรรมชาติ ดูแลตัวเองด้วยทั้งกายและใจ และเราก็ดูแลเพื่อนร่วมเดินด้วย

    อีกอย่างที่ขอฝากไว้ คือนอกจากเรามาเดินเพื่อธรรมชาติบนหลังเขาแล้ว อย่าลืมสิ่งแวดล้อมที่เราอยู่ด้วย ที่พักที่อาศัยขอให้ช่วยดูแลให้ดีด้วย โดยเฉพาะเรื่องขยะ พยายามอย่าทิ้งขยะเรี่ยราด ทิ้งให้เป็นที่ ให้สำนึกในความกรุณาของเจ้าของที่ที่เขาช่วยดูแลเรา ตลอดจนผู้คนสองข้างทางด้วย เรากินอะไรก็ตาม เศษกระดาษห่อลูกอม ขอให้ทิ้งเป็นที่ อย่าทิ้งกลางทางให้เป็นภาระกับชาวบ้านสองข้างทาง ขอฝากเป็นข้อคิดข้อปฏิบัติสำหรับการเดินครั้งนี้
    :- https://visalo.org/article/dhammayatra5202.htm
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,617
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    สุขใดเสมอสงบไม่มี
    พระวิทยา กิจจวิชโช
    ธรรมท่านสอนให้รู้ว่า นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง

    สุขอื่นเสมอด้วยความสงบไม่มี ข้อนี้เป็นเครื่องยืนยันว่า ถ้าใครอยากมีความสุขที่แท้จริง ก็เพียงแค่ทำใจให้สงบเท่านั้น มิฉะนั้น ก็จะหาความสุขไม่เจอเลย
    ถ้าสงบด้วยสมาธิได้ก็เป็นสุขแบบหนึ่ง ถ้าสงบด้วยปัญญาได้ก็เป็นสุขอีกแบบหนึ่งที่ประณีตกว่า แต่ทั้งสองอย่างต้องอาศัยซึ่งกันและกัน
    ถ้ายังทำใจให้สงบไม่ได้ ก็ต้องหมั่นฝึกทำใจให้มีสติอยู่กับพุทโธไปนาน ๆ พอใจเริ่มมีความสงบได้บ้าง ก็จึงฝึกคิดค้นทางด้านปัญญา ถ้ามีอารมณ์ทางภายนอกมากระทบสัมผัสใจ แล้วใจเกิดมีความทุกข์ฟุ้งซ่านขึ้น ให้รู้ว่า สมุทัยเกิด จงค้นคว้าหาเหตุแห่งทุกข์นั้นให้ได้ว่า เกิดจากความอยาก หรือไม่อยากไปในสิ่งใด
    พยายามดับความอยากอันเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ที่ใจให้ได้ สอนจิตด้วยปัญญาให้เข้าใจความจริง ให้เห็นโทษของความอยากอันนั้น ถ้าใจเป็นทุกข์ก็แสดงว่า ความอยากนั้นต้องเป็นสมุทัย พยายามฝึกฝืนทำลายความอยากอันนั้นให้ได้ด้วยสติปัญญา แล้วทุกข์ใจก็จะดับไปเอง

    ส่วนทุกข์กายก็ให้กำหนดรู้เพื่อหาสาเหตุ แล้วแก้ไขเยียวยารักษาไปตามสมควรแก่เหตุ ฝึกใจให้ยอมรับความจริงว่า กายมันเป็นทุกข์ได้ตลอดเวลา อย่าไปอยากให้ทุกข์กายมันหายไป ถ้าทุกข์กายมันจะหายก็ต้องหายด้วยการกำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์กายนั้น ทุกข์กายจะไม่หายไปด้วยความอยากของใจ

    ในขณะที่ทุกข์กายกำลังปรากฏอยู่นั้น ต้องทำใจยอมรับ และคอยตั้งสติระวังอย่าให้ใจคิดปรุงแต่งเป็นสมุทัย คือคิดไปตามความอยากของใจ จะทำให้ใจเป็นทุกข์หนักยิ่งขึ้น
    ตรงนี้ที่ทำได้ยาก เพราะใจไปยึดเอาความรู้สึกทุกข์นั้น มาเป็นเรา เหมาเอาเองว่าเราเป็นทุกข์ ใช่แต่เท่านั้น ใจยังไปยึดเอากายมาเป็นเรา ไปยัดเยียดหาเรื่องว่า กายเราเป็นทุกข์ จึงเกิดความอยากให้ความรู้สึกทุกข์มันหายไป และไม่อยากให้กายเกิดเจ็บปวด เพราะเหตุที่ใจไม่ยอมรับทุกข์ตามที่เป็นจริง ใจจึงเป็นทุกข์เร่าร้อนเสียเอง
    .
    ทางแก้คือ ฝึกฝืนทำลายความอยากที่เป็นสาเหตุของทุกข์ใจให้ได้ ค่อย ๆ ฝึกสติฝืนใจไปเรื่อย ๆ ใจจะค่อย ๆ ลดความอยากลง จนสามารถดับความอยากที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ใจให้หมดสิ้นไปได้เป็นพัก ๆ ไป เมื่อใจเกิดความสงบมีสติมากขึ้น ใจย่อมเห็นความจริง ทุกข์ใจก็จะดับไปเอง


    ให้รู้ว่า ความอยากมี 2 อย่างคือ

    1.ความอยากที่เป็นสมุทัย คือความอยากในทางที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ อยากแล้วทำให้ใจเป็นทุกข์ เช่น ทุกข์กายมันเกิด ก็ไปอยากให้มันไม่ทุกข์ ก็ยิ่งทำให้ใจเป็นทุกข์หนักยิ่งขึ้น
    2.ความอยากที่เป็นมรรค คือความอยากในทางที่เป็นสัมมาทิฏฐิ อยากแล้วทำให้ใจดับทุกข์ได้ เช่น อยากให้ทาน อยากรักษาศีล อยากเจริญภาวนา แต่อยากแล้วต้องทำเหตุให้สอดรับกัน จึงจะเป็นอริยมรรคแท้ ที่สามารถแก้กิเลสได้

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2025 at 23:12
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,617
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    (ต่อ)
    ถ้าทำใจให้สงบไม่ได้ ต่อให้มีทรัพย์สมบัติ เงินทองกองเท่าภูเขา ก็อย่าหวังว่าใจจะมีความสุข ถ้าหากใจมีความสุข ก็ต้องตรวจตรองให้แน่ใจว่า เป็นสุขที่เกิดจากการฝึกฝืนทรมานกิเลส ไม่ใช่ความสุขที่เกิดจากการยอมทำตามความอยากของกิเลสที่เป็นสมุทัย
    .
    ดังนั้น ถ้าอยากได้เงินทอง ก็ทำการงานชอบเป็นสัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว ทำไปตามสมควรแก่เหตุ ขอให้ได้มาด้วยความชอบธรรม อย่าทำผิดศีลผิดธรรม ใจก็ไม่เกิดโทษ
    .
    ถ้าอยากได้มากก็ทำเหตุให้ได้มาก เมื่อทำเหตุดีแล้ว หากได้ผลอย่างไร ก็ให้พอใจตามนั้น ถ้าอยากได้มากกว่านั้นอีก ก็ต้องทำเหตุให้มากยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าพอใจจะทำ ก็ทำได้ หากขยันอดทนทำงานสุจริต ก็จัดเป็นสัมมาวายาโม คือมีความเพียรชอบ ไม่ทำให้เกิดโทษ
    ธรรมท่านสอนไว้เฉียบขาด
    สันตุษฐี ปะระมัง ธะนัง
    ความสันโดษคือ ความพอใจในสิ่งที่ตนมีตนได้ เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ให้รู้จักนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์
    ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา จะดีก็ตาม จะชั่วก็ตาม ล้วนมาจากกรรมดี กรรมชั่วของเราทั้งนั้น เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว จงทำใจให้ยอมรับ เพราะมันเป็นผลมาจากกรรมของเราเอง

    หน้าที่ของเราคือ ต้องอยู่กับมันให้ได้ ไม่ใช่ไปรังเกียจ หรือขับไล่ไสส่ง มิฉะนั้น ใจจะเป็นทุกข์มากขึ้นทันที เพราะใจไม่พอใจในสิ่งที่ตนมีตนได้ คือมีอย่างนี้ก็จะเอาอย่างโน้น ใจจะเป็นทุกข์เพราะไม่สมหวัง
    สื่งที่ควรทำคือ ทำใจให้สงบนิ่ง ยอมรับทุกสิ่งที่เกิดกับเรา และพยายามแก้ไขด้วยการทำเหตุในปัจจุบันให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
    .
    ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา ให้ทำใจยอมรับ และจะตอบโต้ด้วยการทำดีเท่านั้น เมื่อทำเหตุดีแล้ว มันได้จะได้ผลอย่างไร ก็ต้องยอมรับผลตามเหตุที่ทำ อย่าไปรังเกียจผล การยอมรับผล นั่นคือ การชดใช้กรรมเก่าที่ไม่ดีของตนเองให้หมดสิ้นไป เมื่อชดใช้หนี้กรรมหมดแล้ว กรรมนั้นจะมาส่งผลไม่ดีแก่เราอีกไม่ได้
    .
    ถ้าได้รับผลที่ไม่ดีอีก ก็ทำใจยอมรับชดใช้หนี้กรรมไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ปัจจุบันก็ทำเหตุดีไปเรื่อย ๆ เช่นกัน เมื่อปัจจุบันเราหยุดทำความชั่วได้ ต่อไปก็จะไม่ต้องไปรับผลชั่วอีก เมื่อเราทำแต่ความดี วันหนึ่ง ผลดีก็จะปรากฏขึ้นมาให้เห็นเอง
    .
    จึงสมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ว่า ให้ละชั่ว ทำดี ทำใจให้สงบผ่องใสและบริสุทธิ์ จึงไม่ควรมีเหตุผลอันใดเลยแม้เพียงขณะจิตเดียว ที่จะส่งเสริมให้ใจเรา คิดชั่ว ทำชั่ว พูดชั่ว อันเป็นเหตุทำให้ใจเรา ไม่สงบ ไม่ผ่องใสและไม่มีทางถึงความบริสุทธิ์พ้นทุกข์ได้เลย
    :- https://www.doisaengdham.org/สายธารธรรม-โดยเจ้าอาวาส/สุขใดเสมอสงบไม่มี.html


     

แชร์หน้านี้

Loading...