ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เมืองโบราณเฟิ่งหวง (凤凰古城) เป็นเมืองโบราณที่ตามหลักฐานพบว่าสร้างขึ้นในช่วงสมัยรางวงศ์ชิง อายุกว่า 400 ปี ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของมณฑลหูหนาน ลักษณะเมืองจะล้อมรอบด้วยภูเขาน้อยใหญ่ และมีแม่น้ำถัวเจียงไหลผ่าน ทำให้เมืองแห่งนี้มีธรรมชาติที่สวยงาม
    .
    ภายในเมืองยังมีโบราณสถานและโบราณวัตถุทางด้านวัฒนธรรม ตกทอดมาจากราชวงศ์หมิงและชิงอยู่หลายร้อยแห่ง และในปัจจุบันเมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่ขึ้นอยู่กับเขตปกครองตนเองชนเผ่าน้อยถูเจีย มีประชาชนอาศัยอยู่ราว 300,000 คน ส่วนใหญ่จะเป็นชาวพื้นเมืองชนเผ่าถูเจียและชาวม้ง และด้วยชื่อ “เฟิ่งหวง” นั่นแปลว่า “หงส์” ทำให้สัญลักษณ์ของเมืองแห่งนี้ คือรูปปั้นหงส์ ที่ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณใจกลางเมืองแห่งนี้
    .
    เมืองโบราณเฟิ่งหวง เป็นเมืองขนาดเล็ก ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก็เดินได้ทั่ว แบ่งเป็นเมืองเก่ากับเมืองใหม่ เมืองเก่าสร้างขึ้นตามเชิงเขาและมีลำน้ำถัวเจียงไหลผ่าน มีถนนที่ปูด้วยหินสีเขียว 20 กว่าสาย มีกำแพงเมืองโบราณตั้งอยู่ริมน้ำ ซึ่งแม้กาลเวลาจะผ่านมานานหลายร้อยปีแล้ว แต่เมืองแห่งนี้ยังคงรักษาเอกลักษณ์ความเป็นพื้นเมืองผสมผสานกับยุคปัจจุบันเอาไว้ได้อย่างลงตัว เช่น วิถีชีวิตของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นี่ ในตอนเช้าๆ เราจะได้เห็นชาวบ้านนำเสื้อผ้ามานั่งซักที่ริมแม่น้ำ หรือแม้กระทั่งเรือทุกลำ โดยเฉพาะเรือนำเที่ยว ยังคงเป็นเรือโบราณที่ใช้การพายแทนการใช้เครื่องยนต์ ทำให้สภาพอากาศของเมืองแห่งนี้ ปลอดโปร่งบริสุทธิ์มาก
    .
    อย่างไรก็ตาม แม้เมืองโบราณเฟิ่งหวง จะมีอายุหลายร้อยปีมาแล้ว แต่ก็มีการพัฒนาตามยุคสมัยเรื่อยมา ภายในเมืองมีร้านค้า ร้านกาแฟและร้านขายของที่ระลึกมากมาย ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกชมและซื้อกลับไปเป็นของฝาก ซึ่งเมืองแห่งนี้เน้นการพัฒนาไปพร้อมกับการรักษาความสมบูรณ์ทางธรรมชาติเอาไว้เป็นอย่างดี
    .
    และสำหรับท่านใดที่มีโอกาสเยือนเมืองแห่งนี้ ก็อย่าพลาดอาหารขึ้นชื่อ ของอร่อยประจำเมืองแห่งนี้ ที่หาที่ไหนไม่ได้เลยอย่างเช่น หมูรมควัน ไก่อบดินที่เอาไก่ทั้งตัวเข้าไปในดินแล้วเผา หรือลูกอมขิง เป็นต้น และสำหรับยามค่ำคืน เมืองแห่งนี้จะแตกต่างจากช่วงกลางวันอย่างมาก เพราะเมืองถูกประดับไปด้วยไฟสีสันต่าง ๆ ตามอาคารเก่าแก่ ซึ่งสร้างความสวยงามอีกแบบหนึ่งทีเดียวล่ะครับ
    #ChinaStory #เที่ยวจีน #ท่องเที่ยวจีน #เมืองโบราณเฟิ่งหวง #เรื่องจีนจีน #สถานที่ท่องเที่ยวจีน #เล่าเรื่องจีน

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (Feb 24) วัคซีนโควิด-19 ของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันผ่านด่านแรกของ FDA สหรัฐ : รายงานของเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ระบุว่า วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ของบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย และเข้าเกณฑ์ที่จะได้รับการอนุมัติเป็นกรณีฉุกเฉิน

    รายงานดังกล่าวเป็นการส่งสัญญาณว่า FDA จะให้การอนุมัติอย่างเป็นทางการต่อวัคซีนต้านโควิด-19 ของบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน


    ทางด้านคณะกรรมการที่ปรึกษาของ FDA ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก จะจัดการประชุมในวันศุกร์ เพื่อพิจารณาและลงมติต่อการอนุมัติการใช้วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ของบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เป็นกรณีฉุกเฉิน

    หากคณะกรรมการที่ปรึกษาของ FDA ให้การอนุมัติวัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ก็จะเป็นการปูทางให้ FDA ชุดใหญ่ให้การอนุมัติอย่างเป็นทางการต่อไป

    หาก FDA ให้การอนุมัติวัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ก็จะทำให้สหรัฐสามารถใช้วัคซีนโควิด-19 จาก 3 บริษัท ซึ่งได้แก่ ไฟเซอร์, โมเดอร์นา และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน

    อย่างไรก็ดี จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันระบุว่าวัคซีนของบริษัทฉีดเพียงโดสเดียวก็มีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสโควิด-19 ซึ่งแตกต่างจากวัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นา ซึ่งจำเป็นต้องฉีด 2 โดส

    Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ
    https://www.ryt9.com/s/iq38/3203046

    เพิ่มเติม
    - FDA staff endorses J&J’s single-shot Covid vaccine for emergency use — clearing way for third vaccine in U.S. https://cnb.cx/3uuHYcA



    PSX_20210225_073109.jpg
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (Feb 24) โควิดทำฮีทโธรว์ขาดทุนกว่า84,000ล้านบาท: สนามบินฮีทโธรว์ ชานกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ขาดทุนประกอบการรายปี 2,000 ล้านปอนด์อังกฤษ (84,476 ล้านบาท) เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารเดินทางผ่านเข้าออก ลดลงสู่ระดับต่ำสุด เท่าที่เคยเห็นในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 จากผลพวงการระบาดของไวรัสโควิด-19

    สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 24 ก.พ. ว่า คณะผู้บริหารท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ เรียกร้องต่อรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ให้ตกลงและปฏิบัติตาม มาตรฐานร่วมการเดินทางระหว่างประเทศ เพื่ออนุญาตให้ผู้โดยสารเริ่มเดินทางได้อีกครั้ง ในช่วงฤดูร้อน และระงับภาษีที่เก็บจากสนามบิน เพื่อช่วยให้รอดพ้นจากวิกฤติโควิด-19

    สนามบินฮีทโธรว์ ซึ่งตั้งอยู่ชานกรุงลอนดอน ฟากตะวันตก คาดหวังว่าตลาดการเดินทาง จะเริ่มเปิดใหม่ตั้งแต่กลางเดือน พ.ค.ที่จะถึง หลังจากรัฐบาลประกาศ ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ เมื่อวันจันทร์

    ฮีทโธรว์ยังคงเป็นสนามบินขนาดใหญ่ และหนาแน่นที่สุดของสหราชอาณาจักร เมื่อปีที่แล้วสูญเสียตำแหน่งสนามบินหนาแน่นที่สุดของยุโรป ให้กับสนามบินกรุงปารีส ฝรั่งเศส เนื่องจากเที่ยวบินตามตาราง ลดลงมากกว่า

    แถลงการณ์ของสนามบินฮีทโธรว์ เมื่อวันพุธ กล่าวว่า ตลอดปี พ.ศ. 2563 จำนวนผู้โดยสารเดินทางผ่าน ลดลง 73 % เหลือ 22 ล้านคน โดยครึ่งหนึ่งของจำนวนดังกล่าว เดินทางระหว่างเดือน ม.ค. - ก.พ. ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่โควิด-19 จะตัดขาดการเดินทางระหว่างประเทศ

    สนามบินฮีทโธรว์ขนาดทุนประกอบการ 2,000 ล้านปอนด์ ก่อนหักภาษี หรือรายได้รวมลดลง 62 % อยู่ที่ 1,180 ล้านปอนด์ แต่มีเงินหมุนในมือ 3,900 ล้านปอนด์ (164,730 ล้านบาท) ซึ่งจะทำให้ดำเนินกิจการต่อไปได้จนถึงปี พ.ศ. 2566

    เจ้าของผู้ถือหุ้นใหญ่สนามบินฮีทโธรว์ เป็นต่างชาติ 3 บริษัทคือ Ferrovial ของสเปน สำนักงานการลงทุน Qatar Investment Authority ของรัฐบาลกาตาร์ และบริษัท China Investment Corp. หรือ ซีไอซี ของจีน

    Source: เดลินิวส์ออนไลน์
    https://www.dailynews.co.th/foreign/827446

    เพิ่มเติม
    - London Heathrow Airport’s passenger levels haven’t been this low since the 1970s : https://qz.com/1976514/londons-heathrow-airport-lost-2-8-billion-in-2020/



    PSX_20210225_073250.jpg
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รวมแจกเงินเยียวยาโควิด-10-768x432.jpg

    (Feb 24) สำรวจมาตรการเยียวยาโควิดฯ แจกแล้ว 6 แสนล้านบาท : จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 อย่างรุนแรงไปทั่วโลก ทำให้รัฐบาลต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักรในช่วงต้นปี 2563 ตามมาด้วยคำสั่งปิดสถานประกอบการหลายประเภทที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อโรคเป็นการชั่วคราว เช่น สถานบันเทิง สนามกีฬา มวย โรงมหรสพ นวดแผนโบราณ สปา ฟิตเนส เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อโรคได้กระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจและสังคมครั้งใหญ่ มีลูกจ้างแรงงานจำนวนมากถูกลดเงินเดือน ตกงาน เดินทางกลับภูมิลำเนาเดิม รัฐบาลต้องระดมเม็ดเงินงบประมาณจำนวนมากมาผสมกับเงินกู้อีก 1 ล้านล้านบาท จัดทำมาตรการเยียวยาประชาชนหลายสิบล้านคนที่ได้รับผลกระทบจากโควิดฯตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม 2563 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

    มาตรการเยียวยาโควิดฯ เฟสแรก “เราไม่ทิ้งกัน”
    เริ่มจาก มาตรการเยียวยาโควิดฯ เฟสแรก “เราไม่ทิ้งกัน” พุ่งเป้าไปที่กลุ่มอาชีพอิสระจำนวน 16 ล้านคน ซึ่งรวมไปถึงสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ, ผู้ที่มีชื่ออยู่ในฐานข้อมูลเกษตรกรแต่ประกอบอาชีพอิสระเป็นหลัก และผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 39 และ 40 แต่ไม่นับรวมผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ซึ่งได้รับเงินชดเชยกรณีว่างงานจากสำนักงานประกันสังคม กลุ่มนี้จะรับเงินชดเชยรายได้จากรัฐบาล คนละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน รวมแล้วได้รับเงินเยียวยาคนละ 15,000 บาท ต่อมาได้มีการขยายความช่วยเหลือไปยังกลุ่มเกษตรกรอีก 10 ล้านคน รวมเยียวยาเฟสแรกมีกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด 26 ล้านคน ใช้งบฯ ช่วยเหลือเยียวยา 390,000 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินจากงบกลางรายการสำรองจ่ายฉุกเฉินหรือจำเป็นของปี 2563 ประมาณ 70,000 และ พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท อีก 320,000 ล้านบาท

    เก็บตกเยียวยาโควิดฯอีก 7.9 ล้านคน
    จากนั้นก็มีการขยายมาตรการเยียวยาออกช่วยเหลือผู้ที่ได้ผลกระทบจากโควิดฯ อีก 2 กลุ่ม คือ กลุ่มเปราะบาง ประกอบด้วย เด็กแรกเกิดอายุ 0-6 ปี จำนวน 1.39 ล้านคน, ผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพคนชรา 4.06 ล้านคน และผู้ที่มีบัตรคนพิการอีก 1.33 ล้านคน รวมทั้งสิ้น 6.78 ล้านคน จะได้รับเงินเยียวยาคนละ 1,000 บาท 3 เดือน รวมได้รับเงินคนละ 3,000 บาท ใช้แหล่งเงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้ฯ ไม่เกิน 20,346 ล้านบาท และกลุ่มสุดท้าย คือ ผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ยังไม่ได้รับเงินเยียวยาใดๆ จากรัฐบาลอีก 1.16 ล้านคน ใช้เงินกู้อีก 3,493 ล้านบาท

    รวมเยียวยาโควิดฯ เฟสแรก รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายที่จะจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ที่ได้รับผกระทบจากโควิดฯ รวมทั้งสิ้น 33.94 ล้านคน ภายใต้วงเงินงบประมาณและเงินกู้ฯ รวม 4.14 แสนล้านบาท

    รอบแรกเบิกเงินกู้ 3 แสนล้าน แจกเยียวยา 30 ล้านคน
    ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 รัฐบาลได้ดำเนินการแจกเงินเยียวยาให้กับผู้มีสิทธิ์ 4 กลุ่ม รวมทั้งสิ้น 30.52 ล้านราย คิดเป็นสัดส่วน 89.92% ของกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด 33.94 ล้านคน เบิกจ่ายจาก พ.ร.ก.เงินกู้ฯ ไปทั้งสิ้น 295,965 ล้านบาท ประกอบด้วย

    1. กลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระและลูกจ้าง วงเงิน 240,000 ล้านบาท สำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้จ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้มีสิทธิ์ คนละ 15,000 บาท ไปประมาณ 15.27 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 95.43% ของกลุ่มเป้าหมาย 16 ล้านคน เบิกจ่ายจาก พ.ร.ก.เงินกู้ฯ 159,583.94 ล้านบาท (ยังไม่รวมส่วนที่เบิกจากงบกลางปี 2563 ที่กันเอาไว้ 70,000 ล้านบาท)
    2. กลุ่มเกษตรกร วงเงิน 150,000 ล้านบาท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้จ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้มีสิทธิ์ คนละ 15,000 บาท ไปประมาณ 7.57 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 75.66 ของกลุ่มเป้าหมาย เบิกจ่ายเงินจาก พ.ร.บ.เงินกู้ฯ ไปทั้งสิ้น 113,304.40 ล้านบาท

    3. กลุ่มเปราะบาง วงเงิน 20,346 ล้านบาท กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้จ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้มีสิทธิ์ไปทั้งสิ้น 6.66 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 98.25% ของกลุ่มเป้าหมาย เบิกจ่ายจาก พ.ร.ก.เงินกู้ฯ 19,988.98 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 98.25% ของวงเงินกู้ที่ได้รับการจัดสรร 20,346 ล้านบาท

    4. กลุ่มผู้มีมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ยังไม่ได้รับเงินเยียวยาใดๆ จากรัฐบาล วงเงินกู้ 3,492.67 ล้านบาท สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้จ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้มีสิทธิ์ไปประมาณ 1.03 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 88.17% ของกลุ่มเป้าหมาย เบิกจ่ายจาก พ.ร.ก.เงินกู้ฯ 3,087.59 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 88.40% ของวงเงินกู้ที่ได้รับการจัดสรร 3,492.67 ล้านบาท

    กู้ 73,422 ล้าน “คนละครึ่ง” เพิ่มกำลังซื้อประชาชน 29 ล้านคน
    การแพร่ระบาดของโควิดฯ ที่ลุกลามไปทั่วโลก ยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง ช่วงเดือนกันยายน 2563 ธนาคารแห่งประเทศไทย คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2563 จะติดลบ 7.8% ทำให้รัฐบาลมีความจำเป็นที่จะต้องออกมาตรการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นการกำลังซื้อของประชาชน เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 ที่ประชุม ครม. จึงมีมติเห็นชอบมาตรการเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชน 2 โครงการ คือ

    1. โครงการ “คนละครึ่ง” เฟสแรก มีกลุ่มเป้าหมาย 10 ล้านคน เบิกจ่ายจาก พ.ร.ก.เงินกู้ฯ แผนงานที่ 3.3 วงเงินไม่เกิน 30,000 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังจะโอนเงินให้ผู้มีสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เพื่อนำไปชำระค่าอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าทั่วไป โดยรัฐบาลจะช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ 50% แต่ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน สูงสุดไม่เกิน 3,000 บาท/คน เป็นระยะเวลา 3 เดือน (เริ่มใช้จ่ายเงินได้ตั้งแต่ 23 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2563)

    2. โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีกลุ่มเป้าหมาย 14 ล้านคน เบิกจ่ายจาก พ.ร.ก.เงินกู้ฯ แผนงานที่ 2.1 วงเงินไม่เกิน 20,922.78 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังจะเพิ่มเงินในการซื้อสินค้าให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอีกคนละ 500 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม 2563 โดยผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้ 30,000-100,000 บาทต่อปี เดิมเคยได้รับวงเงินซื้อสินค้าเดือนละ 200 บาท ก็จะเพิ่มเป็น 700 บาทต่อเดือน ส่วนผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี เดิมเคยได้วงเงินช่วยเหลือเดือนละ 300 บาท ก็จะปรับเพิ่มเป็น 800 บาทต่อเดือน

    ก่อนโครงการคนละครึ่งเฟสแรกจะสิ้นสุด วันที่ 8 ธันวาคม 2563 ที่ประชุม ครม. ก็มีมติเห็นชอบ “คนละครึ่ง” เฟส 2 ขยายกลุ่มเป้าหมายเป็น 15 ล้านคน ประกอบไปด้วยกลุ่มผู้ที่ได้รับสิทธิเดิม (เฟสแรก) ไม่เกิน 10 ล้านคน และกลุ่มใหม่ที่เปิดให้ลงทะเบียนรับสมัครเพิ่มอีกไม่เกิน 5 ล้านคน ใช้แหล่งเงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้ฯ แผนงานที่ 3.3 วงเงินไม่เกิน 22,500 ล้านบาท สำหรับผู้ที่ได้รับสิทธิคนละครึ่งเดิม 10 ล้านคน กระทรวงการคลังจะเติมเงินชำระค่าสินค้าให้คนละ 500 บาท ส่วนผู้ได้รับสิทธิ์คนละครึ่งรายใหม่จำนวน 5 ล้านคน จะได้รับวงเงินในการชำระค่าอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าทั่วไป คนละ 3,500 บาทโดยมีรัฐบาลช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ 50% แต่ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน เป็นระยะเวลา 3 เดือน เริ่มใช้จ่ายเงินได้ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมกราคม – 31 มีนาคม 2564

    นอกจากนี้ทางกระทรวงการคลังยังไปรวบรวมผู้ที่ไม่ได้ใช้สิทธิ์คนละครึ่ง ทั้งเฟสที่ 1 และเฟสที่ 2 จำนวน 1.34 ล้านสิทธิ์ มาเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนในรอบเก็บตกครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2564 เริ่มเปิดลงทะเบียน 6 โมง ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที ก็ได้ผู้มีสิทธิคนละครึ่งครบตามจำนวน

    รวมมาตรการเพิ่มกำลังซื้อผ่านโครงการคนละครึ่ง เฟส 1-2 และเติมเงินให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รอบนี้มีกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลทั้งสิ้น 29 ล้านคน ใช้แหล่งเงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้ฯ ภายใต้วงเงิน 73,422.78 ล้านบาท

    คลังปลื้ม ปชช. แห่ใช้สิทธิ์ “คนละครึ่ง” 14 ล้านคน เงินสะพัด 6.7 หมื่นล้าน
    สำหรับผลการดำเนินงานของโครงการ “คนละครึ่ง” ล่าสุด นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 จนถึงวันที่ 18 มกราคม 2564 มีประชาชนมาใช้สิทธิ “คนละครึ่ง” ผ่านแอปฯ “เป๋าตัง” แล้ว 13.66 ล้านคน โดยมียอดการใช้จ่ายสะสมรวมทั้งสิ้น 66,967 ล้านบาท แบ่งเป็น ประชาชนใช้จ่ายเงิน 34,261 ล้านบาท และรัฐบาลช่วยจ่าย 32,706 ล้านบาท โดยมีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการกว่า 1.12 ร้านค้า ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเรียบร้อยแล้ว 750,353 ร้านค้า

    ต่อมาเกิดการแพร่ระบาดของโควิดฯ รอบ 2 ที่ วันที่ 19 มกราคม 2564 ที่ประชุม ครม. จึงมีมติเห็นชอบ โครงการ “เราชนะ” ภายใต้วงเงินกู้วงเงิน 210,200 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้ในการลดภาระค่าใช้จ่ายในการชำระค่าสินค้าอุปโภคและบริโภค รวมทั้งค่าโดยสารสาธารณะให้กับประชาชน 31.1 ล้านคน โดยคนกลุ่มนี้จะได้รับวงเงินช่วยเหลือผ่านแอปฯ “เป๋าตัง” คนละ 3,500 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 2 เดือน รวมได้รับวงเงินคนละ 7,000 บาท โดยผู้ที่จะได้รับสิทธิจะต้องที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป แต่ไม่นับรวมเจ้าหน้าที่ของรัฐ, ข้าราชการ, ผู้รับบำเหน็จบำนาญ, ผู้ประกันตน ตามมาตรา 33, กลุ่มคนที่มีเงินฝากรวมทุกบัญชีไม่เกิน 5 แสนบาท และกลุ่มที่มีเงินได้พึงประเมินไม่เกิน 300,000 บาท ดังนั้น กลุ่มเป้าหมายของ “เราชนะ” ทั้ง 31.1 ล้านคนจึงครอบคลุมเกือบทุกสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอาชีพอิสระ หาบเร่ แผงลอย รับจ้าง และเกษตรกร

    ส่วนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 14 ล้านคน ในรอบนี้ก็จะได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเราชนะผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐด้วยเช่นกัน แต่ได้ไม่ถึง 7,000 บาท เพราะต้องหักเงินเยียวยาที่เคยได้รับไปแล้วก่อนหน้านี้ ดังนั้น การจ่ายเงินเยียวยาผู้ถือบัตรฯ ในรอบนี้จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก ผู้ถือบัตรฯ ที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี เดิมได้รับเงินช่วยเหลือเดือนละ 800 บาทอยู่ก่อนแล้ว ก็จะได้เงินเพิ่มอีกสัปดาห์ละ 675 บาท หรือเดือนละ 2,700 บาท รวม 2 เดือน จะได้รับเงินช่วยเหลือเพิ่มอีก 5,400 บาท กลุ่มที่ 2 ผู้ถือบัตรฯ ที่มีรายได้เกิน 30,000 แต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี ได้รับเงินอยู่แล้วเดือนละ 700 บาท ก็จะได้วงเงินช่วยเหลือเพิ่มอีกคนละ 700 บาทต่อสัปดาห์ หรือเดือนละ 2,800 บาท รวม 2 เดือนจะได้รับเงินช่วยเหลือเพิ่มอีก 5,600 บาท

    ระบาดรอบ 2 กู้ 2.5 แสนล้าน “ม.33 เรารักกัน” เยียวยา 40 ล้านคน
    จากนั้นเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ประชุม ครม. ก็มีมติเห็นชอบโครงการ “ม.33 เรารักกัน” ตามที่สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงานนำเสนอ โดยรัฐบาลจะจัดวงเงินช่วยเหลือผู้ประกันตน ตามมาตรา 33 จำนวน 9.27 ล้านคน ได้รับวงเงินช่วยเหลือ เพื่อนำไปชำระค่าสินค้าอุปโภคบริโภค ผ่านแอปฯ “เป๋าตัง” คนละ 4,000 บาท โดยใช้วงเงินกู้ไม่เกิน 37,100 ล้านบาท เปิดลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ – 7 มีนาคม 2564 เริ่มใช้สิทธิที่มีตราสัญลักษณ์ของร้านธงฟ้าประชารัฐ,คนละครึ่งและเราชนะได้ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม – พฤษภาคม 2564 สำหรับผู้ที่จะได้รับสิทธิ “ม.33 เรารักกัน” จะต้องเป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย แรงงานต่างด้าวไม่ได้ และจะต้องเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33, ไม่เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ,ไม่ได้รับสิทธิเราชนะ, มีบัญชีเงินฝากรวมทุกบัญชีไม่เกิน 5 แสนบาท

    รวบเยียวยาโควิดฯ ระบาดรอบ 2 มีกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับความช่วยเหลือทั้งสิ้น 40.35 ล้านคน ใช้แหล่งเงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้ฯ ตามแผนงานที่ 2.1 ภายใต้วงเงิน 247,300 ล้านบาท

    โยก 45,000 ล้าน โปะเยียวยาประชาชน 6 แสนล้าน
    แต่ก่อนที่ ครม. จะมีมติอนุมัติโครงการ “ม.33 เรารักกัน” ก็ต้องเคลียร์ปัญหาเทคนิคทางด้านกฎหมาย กล่าวคือ ในบัญชีแนบท้าย พ.ร.ก.เงินกู้ฯ 1 ล้านล้านบาท ได้กำหนดแผนการใช้จ่ายเงินกู้ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ใช้ทางด้านสาธารณสุขและป้องกันการแพรระบาดของโควิด-19 วงเงินไม่เกิน 45,000 ล้านบาท กลุ่มที่ 2 ใช้เพื่อการเยียวยาประชาชนวงเงินไม่เกิน 555,000 ล้านบาท และกลุ่มที่ 3 ใช้เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ 400,000 ล้านบาท

    ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2564 ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติโครงการ “เราชนะ” ก็มีมติโยกวงเงินกู้จากแผนงาน หรือโครงการกลุ่มที่ 3 จำนวน 10,000 ล้านบาท มาใช้ในแผนงาน หรือโครงการกลุ่มที่ 2 จากเดิมมีวงเงินอยู่ที่ 555,000 ล้านบาท ก็เพิ่มเป็น 565,000 ล้านบาท

    ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 มีโครงการที่ผ่านการอนุมัติวงเงินจาก ครม. ให้ใช้วงเงินกู้ภายใต้แผนงานหรือโครงการกลุ่มที่ 2 แล้ว 8 โครงการ คิดเป็นวงเงินรวมทั้งสิ้น 558,753.21 ล้านบาท คงเหลือวงเงินกู้ที่จะใช้ได้แค่ 6,246.79 ล้านบาท ขณะที่สำนักงานประกันสังคมทำเรื่องขอใช้เงินกู้ เพื่อนำไปเยียวยาผู้ประกันตน 37,100 ล้านบาท เงินยังขาดอยู่อีก 30,853.21 ล้านบาท

    ดังนั้น เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 ครม.มีมติอนุมัติโครงการ “ม.33 เรารักกัน” ก็มีการอนุมัติโยกวงเงินกู้จากแผนงานกลุ่มที่ 3 จำนวน 35,000 ล้านบาท มาใช้ในแผนงานกลุ่มที่ 2 เพื่อเตรียมไว้ใช้ในการจ่ายเงินเยียวยาผู้ประกันตน คนละ 4,000 บาท ทำให้วงเงินกู้ตามแผนกลุ่มที่ 2 เดิมมีวงเงิน 565,000 ล้านบาท เพิ่มเป็น 600,000 ล้านบาท ส่วนวงเงินกู้เพื่อใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ตามแผนงานกลุ่มที่ 3 ปรับตัวลดลง จาก 390,000 ล้านบาท เหลือ 355,000 ล้านบาท ซึ่งตามบทบัญญัติของ พ.ร.ก.เงินกู้ฯ มาตรา 6 วรรค 3 เปิดช่องให้รัฐบาลดำเนินการโยกวงเงินจากแผนงานกลุ่มที่ 3 มาใช้ในแผนงานกลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่ 2 ได้ กรณีที่มีความจำเป็น ซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

    สรุป ภาพรวมการใช้จ่ายเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ณ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 มีโครงการที่ผ่านการอนุมัติจาก ครม. แล้ว 256 โครงการ คิดเป็นวงเงินรวมทั้งสิ้น 748,666 ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่เตรียมไว้ใช้ในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโควิดฯ และฟื้นฟูเศรษฐกิจอีก 251,334 ล้านบาท และล่าสุดนี้ก็ได้มีการเบิกจ่ายเงินออกไปแล้ว 395,773 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 55.59% ของวงเงินกู้ที่ผ่านการอนุมัติจาก ครม. แล้ว โดยการเบิกจ่ายเงินส่วนใหญ่จะเป็นการแจกเงินเยียวยาประชาชน 404,632 ล้านบาท

    Source: ThaiPublica
    https://thaipublica.org/2021/02/include-money-giveaway-measures-fight-covid-19/
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    *** ไม่ระบาดในวงกว้าง ก็คงแปลก !!! .... เตือนหน่วยงานรัฐส่วนกลางไปหลายรอบเรื่องหลายแล้ว รวมถึง "ต้องให้กักตัวแบบจริงจังหลังการตรวจเชื้อทุกคน" ซึ่งทางส่วนกลางตัองให้แนวทางที่เหมือนกันทั้งประเทศ มีกฎหมายบังคับใช้ได้จริง ส่วนนึงเพราะ

    #PCRผลตรวจแล้วไม่เจอเชื้อไม่สามารถสรุปได้ว่าไม่ติดเชื้อไม่ว่าจะทำไปกี่ครั้งก็ตาม

    #PCRแม้ติดเชื้อแล้วตรวจไวไปช้าไปก็ไม่เจอเชื้อ

    #PCRแม้ตรวจแล้วไม่พบเชื้อถ้ามีความเสี่ยงก็ต้องกักตัว

    #PCRแม้ตรวจแล้วไม่พบเชื้อไม่ติดเชื้อแต่ก็สามารถไปติดเชื้อมาได้

    เพราะการตรวจ PCR ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อ หรือป้องกันการแพร่เชื้อได้

    @ แม้ในตอนตรวจหาเชื้อ ก็ติดเชื้อได้

    @ แม้พาญาติไปตรวจที่ รพ. ก็ติดเชื้อได้

    @ แม้ตรวจหาเชื้อแล้วรอผล แต่ไม่กักตัวแยกเดี่ยว ก็ติดเชื้อจากคนในครอบครัว หรือติดจากไปทำงาน ไปกินข้าวกับเพื่อนได้

    .............

    ได้แต่เตือนว่า หน่วยงานรัฐส่วนกลางที่คุมนโยบายทั้งกระทรวง ศบค รัฐบาลต้องเอาจริงเอาจังในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องกันการระบาด แต่ก็ยังประมาทกันเรื่อยๆ จนคุมระบาดไม่ได้

    แต่กลับมาใช้วิธีการ "ตรวจน้อยเพื่อเจอน้อย" เพื่อคุมตัวเลขผู้ติดเชื้อให้ดูว่า "คุมได้" ซึ่ง

    #การเจอผู้ติดเชื้อน้อยจึงไม่ได้หมายความว่าคุมการระบาดได้ ... รัฐต้องอธิบายให้ ปชช เข้าใจด้วย

    .......

    #11ขั้นตอนการป้องกันการระบาดCovid19ที่ทำพลาดไปแล้ว

    และยังจะพลาดซ้ำๆ ถ้าทำแบบนี้ อนาคตเจอไวรัสที่่กลายพันธ์ที่แพร่ง่าย หรือแรงขึ้น ไทยมีปัญหาแน่ๆ !!

    ........

    1. ในเรื่องสำคัญที่สุดในการป้องกันการระบาดในประเทศในระยะสั้น กลาง และยาว คือ "มาส์ก" ก็ปล่อยสะเปะสะปะ ... จน ปชช การ์ดตกมาตลอดทางด้วยนโยบาย 0 ต่อเนื่อง เพื่อสร้างภาพลักษณ์ ภาพฝันจะเปิดประเทศรับนักท่องเที่นวโดยไม่ดูความจริงที่ชายแดน

    จนท้ายที่สุด ก็ระบาดหนัก เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวไม่ได้ เพราะไม่รับความจริงกัน หน่วยงานรัฐโดนทีม 0 ต่อเนื่องพากันไปประมาทกันหมด ประเทศเสียหายอีกมหาศาล

    #นโยบายดีๆทำไม่ยากกลับไม่ทำ

    2. ในเรื่องสำคัญที่สุดในการป้องกันการระบาดจากประเทศในระยะสั้น กลาง และยาว คือ

    #การควบคุมที่ชายแดนก็ปล่อยปละละเลยมากเกินไป

    มัวแต่คุมที่สนามบินทั้งๆ ที่รู้ว่าความเสี่ยงที่ชายแดนมากกว่าเป็น 100 เท่า 1000 เท่า

    3. ในช่วง 0 ต่อเนื่อง มีแรงงานต่างชาติเข้าออกประเทศมากมายโดยไม่ควบคุมอย่างเคร่งครัด จนมีผู้ติดเหลุดชื้อเข้ามาตลอดหลายเดือนจนมีระบาดเงียบอยู่ตั้งนานในพื้นที่ที่มีแรงงานต่างชาติอยู่

    #ไม่มีการสุ่มตรวจเชิงรุกในแรงงานต่างชาติเพียงพอ ในช่วง 0 ต่อเนื่อง

    เพราะกลัวเจอตัวเลขติดเชื้อในช่วง 0 ต่อเนื่อง จนพบอีกที เวฟ 2 ก็จะระบาดทั่วสมุทรสาครและหลายจังหวัดเสี่ยงไปแล้ว

    4. พอระบาดเวฟ 2 ช่วงแรก ก็ไม่ได้รีบตาม Contact Tracing เพื่อหยุดการระบาดแบบจริงจัง

    ตั้งแต่เคสดีเจเคสแรกจนกลุ่มท่าขี้เหล็กที่

    #กลับตามContactTraingไม่เจอเคสรับเชื้อได้สักเคส

    ซึ่งเป็นไปไม่ได้ แต่เพียงเพราะปิดข่าว ปิดข้อมูล รักาาภาพลักษณ์ว่าดีว่าเก่ง แต่กลับปล่อยระบาดเงียบจนเคสระเบิดในระยะยาว สมุทสาครที่ตรวจเชิงรุกกีีติดเชื้อกันสูงถึง 20 กว่า %

    5. App หลาย App. ก็โดนเขาเปิดความลับว่า แทรกแซงและทำไปเพื่อควบคุมตัวเลข ไม่ใช่ควบคุมการระบาด

    6. การตรวจหาเชื้อในโรงพยาบาล ก็ทำระบบให้รับการตรวจยาก เพราะความเสี่ยงมีในทุกพื้นที่ไปตั้งนานแล้ว กลับทำระบบให้ไม่ได้รับการตรวจจนเคสหลุดไปแพร่เชื้อกันอีก

    #ยิ่งรับการตรวจยากยิ่งปล่อยแพร่เชื้อจนระบาดยิ่งต้องตรวจเพิ่มอีก10เท่า

    7. ตรวจเชิงรุกในคนไทยก็ทำช้า และทำน้อยไป จนควบคุมการระบาดไม่อยู่ มาตรวจเอาตอนระบาดหนัก ตรวจยังไงก็คุมไม่ได้แล้ว

    8. ไม่มีระบบกักกันคน และพื้นที่ที่ดีพอ กว่าจะมาทำในสมุทรสาคร เคสติดเชื้อก็กระจายไปทั่วประเทศไปแล้ว

    #ไม่กักกันให้ทันท่วงทีแบบเวียดนามสิงคโปร์ก็ปล่อยระบาดหนักแบบพม่า

    9. ระบบกักตัวก็ทำแบบไม่จริงจัง เคสที่มีความเสี่ยงติดเชื้อก็ปล่อยเขาไปเสี่ยงแพร่เชื้อ ** แบบในเคสนี้ และเคสก่อนหน้า

    #ไม่กักตัวผู้เสี่ยงสัมผัสเชื้อตอนรอผลตรวจก็เหมือนปล่อยให้มีการระบาด

    เคสที่มีความเสี่ยงจะติดเชื้อ ผลการตรวจไม่สำคัญเท่ากับการตรวจ เพราะ PCR มีผลลบลวงในอัตราสูง ผลอกมาไม่ติดเชื้อนี่ ตรวจครั้งเดียวแทบไม่ช่วยแปลผลอะไรเลย

    จึงสำคัญที่การกักตัวให้ถูกวิธีมากกว้า

    พอไม่กักตัวจริงจัง บางคนเห็นตรวจแล้ว ผล Negative 1-2 ครั้ง ไม่มีอาการ ก็นึกว่าปลอดภัย กลับไปแพร่เชื้อให้คนในครอบครัว คนในที่ทำงาน

    10. การไม่บอกข้อมูลจริงกับ ปชช โดยอ้างกลัวตื่นตระหนก จนทำให้ควบคุมการระบาดไม่ได้ เศรษฐกิจเสียหายหลายแสนล้าน

    #เหตุผลนี้ใช้ได้แค่ช่วงเวฟแรกแค่นั้น ไม่ควรนำมาใช้ในระยะยาว เพราะคนรับรู้ปัญหสกันมามากพอแล้ว

    #บอกข้อมูลไม่ครบก็คือปล่อยระบาด

    "การปิดข้อมูลจริงหรือบอกไม่ครบ" เพื่อสร้างภาพลักษณ์ว่า "ควบคุมการระบาดได้ทั้งที่ควบคุมไม่ได้จริง" กลายเป็นดาบ 2 คม คนไม่รู้ความเสี่ยงจริง ไม่ใส่มาส์ก หรือมีอาการก็ไม่ไปตรวจเพราะนึกว่า จังหวัดนั้นๆ ยัง 0 ต่อเนื่องอยู่ และก็แพร่เชื้อในพื้นที่ตลาด โรงงาน ครอบครัว มหาวิทยาลัย และอื่นๆ

    11. ต้องรีบบอก ปชช ห้เข้าใจทั่วถึงว่าวัคซีนไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ทุกคนที่ฉีด ได้ผลแค่ระยะเวลาเดียว ได้ผลไม่ครอบคลุมทุกสายพันธ์

    จึงต้องใส่มาส์กกันต่อ แม้จะฉีดวัคซีนกันหมดประเทศแล้วก็ตาม

    ถ้าไม่เข้าใจ ฉีดวัคซีนแล้วไม่ใส่มาส์ก ก็ติดเชื้อแพร่เชื้อได้

    False Sense of Security ระดับประเทศได้อีกตัว

    ........

    เปิดไทม์ไลน์ผู้ป่วยรายล่าสุด "มหาสารคาม" พบเคยตรวจหาโควิด 2 ครั้งไม่พบ

    18 ก.พ. 2564
    https://www.springnews.co.th/society/806193

    ......

    เปิดไทม์ไลน์ชาวมหาสารคามวัย 63 ติด 'โควิด' ห่วงรวมญาติตรุษจีนทำแพร่เชื้อ

    17 ก.พ. 2564

    https://www.khaosod.co.th/covid-19/news_5969408

    .

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อาจเป็นลูกไฟดาวตก

    ระทึกกลางเวหา!เครื่องบินโดยสารสหรัฐฯหวิดปะทะวัตถุปริศนา คาดอาจเป็นขีปนาวุธร่อน

    นักบินเที่ยวบินหนึ่งของสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ส จากซินซินเนติ สู่ ฟินิกซ์ แจ้งเหตุเกือบปะทะกับ "วัตถุทรงกระบอกเรียวยาว" ณ ความรูงระดับ 37,000 ฟุต และความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือมันอาจเป็นขีปนาวุธร่อน

    เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเที่ยวบิน 2292 ของสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ส เกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์(21ก.พ.) โดยเครื่องบินแอร์บัส A320 กำลังบินที่ความเร็ว 406 ไมล์ต่อชั่วโมง(ราว 653 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) เหนือพื้นที่ห่างไกลทางตะวันตกของเมืองดิมอยน์ รัฐไอโอวา สหรัฐฯ

    สตีฟ ดักลาส ซึ่งมีประสบการณ์ด้านดักฟังวิทยุ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว The Drive ว่าเขาได้ยินการติดต่อสื่อสารประหลาดๆของนักบิน ระหว่างใช้เครื่องดักสัญญาณบันทึกเสียงการสนทนา โดยนักบินแจ้งหอควบคุมการบินในแอลบูเคอร์คี รัฐนิวเม็กซิโก เกี่ยวกับวัตถุลึกลับ

    "คุณมีเครื่องบินลำไหนอยู่แถวนี้บ้างไหม? เราเพิ่งมีบางอย่างพุ่งผ่านด้านบนของเราไป" นักบินกล่าว "ผมไม่อยากพูดเลย แต่มันดูเหมือนเป็นวัตถุทรงกระบอกยาวเรียว ซึ่งแทบจะเหมือนกับขีปนาวุธร่อน ที่เคลื่อนผ่านเหนือเราไปด้วยความเร็วสูงมาก"

    ดักลาส เขียนเล่าบนบล็อกส่วนตัวว่า "ไม่มีคำตอบกลับมาจากศูนย์แอลบูเคอร์คี เนื่องจากหอควบคุมการบินท้องถิ่น(อามาริลโล) เป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้" ทั้งนี้รายงานข่าวระบุว่าเที่ยวบิน 2292 กำลังบินอยู่ที่ระดับ 37,000 ฟุต ตอนแจ้งเหตุพบเห็นวัตถุปริศนา

    ทั้งนี้ ดัลลาส เล่าอีกว่า ณ ตอนนั้น ไม่มีรายงานเกี่ยวกับการปรากฏตัวของเครื่องบินทหารใดๆในพื้นที่ดังกล่าว

    สำนักข่าว The Drive เน้นว่าเหตุการณ์นี้คล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นในพื้นที่เดียวกันเกือบ 3 ปีก่อน โดยคราวนั้นเลียร์เจ็ตลำหนึ่ง(อากาศยานส่วนบุคคลขนาดกลาง) และเครื่องบินโดยสารลำหนึ่ง ต่างหวิดปะทะกับวัตถุหนึ่งซึ่งไม่ทราบเอกลักษณ์

    นอกจากนี้แล้วทาง The Drive ยังอ้างอีกว่านักบินของกองทัพเรือสหรัฐฯ เคยรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์หวิดปะทะแบบเดียวกัน บริเวณชายฝั่งทะเลทางตะวันออกของประเทศ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

    พื้นที่ปฏิบัติการทหารภูเขาโดรา ตั้งอยู่ใกล้กับจุดที่นักบินของสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ส สังเกตเห็นวัตถุปริศนา แต่ The Drive ระบุว่าพวกนักบินจะได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้าก่อนเสมอเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวใดๆในน่านฟ้าหวงห้ามดังกล่าว

    สำนักข่าว The Drive อ้างว่าได้ติดต่อสอบถามไปยังสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐฯ (FAA) และสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ส เพื่อขอความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ลึกลับล่าสุด แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้รับคำตอบ

    (ที่มา:นิวยอร์กโพสต์)

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แสงสว่าง!เคสใหม่โควิดทั่วโลกลดลง6สัปดาห์ติด วัคซีนCOVAXถึงมือกานาเป็นชาติแรก

    เคสผู้ติดเชื้อใหม่โควิด-19 ลดลง 11% ในสัปดาห์ถึงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ถือเป็นการลดลง 6 สัปดาห์ติดต่อกัน อย่างไรก็ตามอีกด้านหนึ่งการส่งมอบวัคซีนภายใต้โครงการโคแว็กซ์ที่นำโดยองค์การอนามัยโลกเพิ่งส่งมอบถึงมือกานาเป็นชาติแรกในวันพุธ(24ก.พ.)

    องค์การอนามยโลกระบุเมื่อวันอังคาร(23ก.พ.) ได้รับรายงานผู้ติดเชื้อใหม่ทั่วโลก 2.4 ล้านคนและเสียชีวิตเพิ่มเติม 66,000 คน ในสัปดาห์ถึงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ลดลง 11% และผู้เสียชีวิตใหม่ลดลง 20% จาหหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้

    ข้อมูลนี้ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกเพิ่มเป็น 110.7 ล้านคนและเสียชีวิตมากกว่า 2.4 ล้านคน นับตั้งแต่โรคระบาดใหญ่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เริ่มต้นขึ้น

    สหรัฐฯยังคงเป็นชาติทีมีผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงที่สุดในโลก ตามด้วยบราซิล ฝรั่งเศส รัสเซียและอินเดีย อย่างไรก็ตามองค์การอนามัยโลกเน้นว่าหลายประเทศแจ้งว่าเคสไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่โดยรวมลดลง แม้มีรายงานพบเห็นการแพร่ระบาดของตัวกลายพันธุ์เพิ่มมากขึ้น

    องค์การอนามัยโลกระบุว่าตัวกลายพันธุ์ B.1.1.7 ที่พบครั้งแรกในสหราชอาณาจักร เวลานี้พบใน 101 ประเทศทั่วโลก ส่วนตัวกลายพันธุ์ B.1.351 ที่พบครั้งแรกในแอฟริกาใต้ เวลานี้พบใน 51 ประเทศ ส่วนตัวกลายพันธุ์ B.1.1.28.1 ที่แพร่ระบาดน้อยกว่าและถูกพบครั้งแรกในบราซิลกับญี่ปุ่น เวลานี้พบใน 29 ประเทศ

    คำแถลงเกี่ยวกับภาพรวมการแพร่ระบาดล่าสุด มีขึ้นในขณะที่กานากลายเป็นประเทศแรกที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 ผ่านโครงการโคแว็กซ์ขององค์การอนามัยโลกในวันพุธ(24ก.พ.) ตามคำแถลงร่วมที่เผยแพร่โดยยูนิเซฟประจำกานาและองค์การอนามัยโลกประจำกานา

    สินค้าซึ่งประกอบด้วยวัคซีนของแอสตราเซเนกา 600,000 โดส เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติโคโตกา ในกรุงอักกรา เมืองหลวงของกานา ด้วยเที่ยวบินของสายการบินเอมิเรตส์ ตอนเวลา 7.00น.ของวันพุธ(24ก.พ.)

    วัคซีนชุดดังกล่าวผลิตโดยสถาบันเซรัมแห่งอินเดีย และเป็นส่วนหนึ่งของวัคซีนโควิด-19 ชุดแรกๆภายใต้โครงการโคแว็กซ์ ที่มุ่งหน้าสู่เหล่าประเทศที่มีรายได้ต่ำถึงปานกลาง ถ้อยแถลงร่วมระบุ

    โคแว็กซ์คือพันธมิตรนานาชาติที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อมอบการเข้าถึงวัคซีนอย่างเท่าเทียมกันทุกประเทศ ด้วยที่ผ่านมา เหล่าประเทศร่ำรวยทั้งหลายถูกกล่าวหาว่ากว้านซื้อวัคซีนและทิ้งบรรดาชาติต่างๆในทวีปแอฟริกาอยู่ในลำดับท้ายๆในโครงการฉีดวัคซีน ทั้งนี้หากเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ ประเทศต่างๆในแอฟริกาเริ่มต้นโครงการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ค่อนข้างช้า โดยมีแค่ไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่เริ่มโครงการไปแล้ว

    เทดรอส แอดฮานอม เกรเบเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก ระบุว่า "เราไม่อาจหยุดโรคระบาดใหญ่ที่ไหนๆได้ จนกว่าเราจะหยุดมันในทุกหนทุกแห่ง วันนี้เป็นก้าวย่างแรกที่สำคัญ ในการทำให้วิสัยทัศน์ของเราด้านการเข้าถึงวัคซีนอย่างเท่าเทียมมุ่งหน้าสู่ความเป็นจริง แต่มันเพิ่งเริ่มต้น"

    "เรายังคงมีงานมากมายที่ต้องทำร่วมกับรัฐบาลต่างๆและบรรดาผู้ผลิตทั้งหลาย เพื่อรับประกันว่าวัคซีนสำหรับบุคลากรด้านการแพทย์และคนสูงวัย กำลังมุ่งหน้าไปในทุกประเทศภายใน 100 วันแรกของปีนี้" เขากล่าว

    (ที่มา:ซีเอ็นเอ็น)

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข่าวดี!พบวัคซีนโควิดโดสเดียว'จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน'มีประสิทธิภาพสูง ใกล้อนุมัติใช้ฉุกเฉิน

    วัคซีนโควิด-19 โดสเดียวของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ดูมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพระหว่างการทดลอง จากข้อมูลของสำนักงานอาหารและยาแห่งสหรัฐฯ(เอฟดีเอ) ในวันพุธ(24ก.พ.) เปิดทางสำหรับอนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉินอย่างเร็วที่สุดในสัปดาห์นี้

    ในเอกสารที่เผยแพร่ออกมา ก่อนหน้าคณะผู้เชี่ยวชาญอิสระ ซึ่งมีหน้าที่ให้คำปรึกษาหน่วยงานแห่งนี้ด้านการอนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉิน จะประชุมกันในวันศุกร์(26ก.พ.) ทางสำนักงานอาหารและยาแห่งสหรัฐฯระบุว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพ 66% สำหรับปกป้องการติดเชื้อโควิด-19 อาการปานกลางไปจนถึงรุนแรง ในอาสาสมัคร 44,000 คนทั่วโลก

    ข้อมูลใหม่ที่ทางจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน มอบให้เอฟดีเอ ยังเผยให้เห็นด้วยว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพ 64% ในการหยุดเคสเคสติดเชื้อโควิด-19 อาการปานกลางไปจนถึงรุนแรง หลังการฉีดวัคซีน 28 วัน ในอาสาสมัครหลายพันคนในแอฟริกาใต้ ดินแดนที่มีคสามกังวลเกี่ยวกับตัวกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งกำลังแพร่ระบาดทั่วประเทศ

    ในภาพรวม วัคซีนมีประสิทธิภาพ 100% สำหรับหยุดการติดเชื้ออาการรุนแรงถึงขั้นต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล 28 วันหลังได้รับวัคซีน แต่ถ้าอยู่ในระยะ 14 วัน ประสิทธิภาพของวัคซีนจะลดลงมาอยู่ที่ 85% และไม่พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในหมู่อาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนตัวนี้

    จอห์นสันแอนด์จอห์นสันระบุข้อมูลจากการทดลองยังบ่งชี้ด้วยว่าวัคซีนของทางบริษัทช่วยลดการติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการ ซึ่งบรรดาผู้เชี่ยวชาญบอกว่าเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่วัคซีนโควิด-19 อาจสามารถช่วยหยุดการแพร่เชื้อได้อย่างแท้จริง

    แม้เอฟดีเอไม่มีข้อผูกมัดที่ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของบรรดาผู้เชี่ยวชาญ แต่ที่ผ่านมา พวกเขาอนุมัติวัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นา หนึ่งวันหลังจากคณะกรรมการที่ปรึกษาประชุมกัน

    สหรัฐฯ ชาติที่โควิด-19 คร่าชีวิตประชาชนไปแล้วกว่าครึ่งล้านราย พยายามดิ้นรนยกระดับโครงการวัคซีน เนื่องจากตอนนี้ประสบปัญหาอุปทานวัคซีนของไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทคและโมเดอร์นามีอย่างจำกัด

    เวลานี้ทั่วโลก พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 แล้วมากกว่า 112 ล้านและเสียชีวิตแล้วกว่า 2.5 ล้านราย ขณะที่รัฐบาลชาติต่างๆกำลังแย่งชิงกันเพื่อเข้าถึงวัคซีนตัวใดก็ตามที่มีประสิทธิภาพต่อสู้กับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

    จอห์นสันแอนด์จอห์นสันเปิดเผยเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ คาดหมายว่าจะพร้อมส่งมอบวัคซีน 4 ล้านโดส ทันทีที่ได้รับไฟเขียวจากเอฟดีเอ และจะสามารถส่งมอบวัคซีน 20 ล้านโดสในช่วงสิ้นเดือนมีนาคม ทั้งนี้ทางบริษัทสัญญาว่าจะส่งมอบวัคซีนแก่สหรัฐฯ 100 ล้านโดสในช่วงสิ้นเดือนมิถุนายน

    วัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสันเป็นวัคซีนแบบโดสเดียว และสามารถจัดเก็บไว้ในตูุ้เย็นธรรมดาทั่วไป ต่างจากวัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นา ซึ่งต้องใช้ในปริมาณ 2 โดส และต้องเก็บรักษาในอุณหภูมิเย็นสุดขั้ว

    ในเอกสารที่จอห์นสันแอนด์จอห์นสันยื่นต่อเอฟดีเอ ระบุผลวิเคราะห์เบื้องต้นจากการทดลอง พบเคสผู้ติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการ 26 เคสในกลุ่มที่ใช้ยาหลอก ขณะที่กลุ่มอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนจริง พบเคสติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการ 2 ราย หรือมีอัตราประสิทธิภาพอยู่ที่ 88%

    แม้ว่าการต่อสู้กับการติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการไม่ใช่เป้าหมายหลักของการทดลอง ซึ่งศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีนในการหยุดยั้งการติดเชื้อโควิด-19 อาการปานกลางไปจนถึงรุนแรง แต่ผลการทดลองที่พบว่ามันลดเคสติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการเช่นกัน นั่นหมายความว่าวัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน สามารถตัดวงจรการแพร่เชื้อได้อีกด้วย

    "ข้อมูลนี้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ว่าวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ทั้งหลาย ในนั้นรวมถึงวัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน มีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการแพร่เชื้อโดยไม่แสดงอาการ" อาเมช อาดัลจาผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อและนักวิชาการอาวุโสจากศูนย์ความมั่นคงทางสุขภาพ มหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮ็อปกินส์ อย่างไรก็ตามบอกว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขบางส่วนอาจรอดูข้อมูลที่หนักแน่นกว่านี้ก่อนปักใจเชื่อ

    ประสิทธิภาพวัคซีนโดสเดียวของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน คละกันแตกต่างกันออกไป โดยในบราซิล ซึ่งมีการแพร่ระบาดของตัวกลายพันธุ์เช่นเดียวกับในแอฟริกาใต้ วัคซีนมีประสิทธิภาพ 66% หลังฉีดวัคซีนไปแล้ว 14 วันและเพิ่มเป็น 68% หลังผ่าน 28 วัน แต่ในสหรัฐฯ ประสิทธิภาพ 14 วันหลังฉีดอยู่ที่ 74% แต่ลดลงมาเหลือ 72% ในอีก 2 สัปดาห์ต่อมา

    รวมแล้วมีอาสาสมัครผู้เข้ารับวัคซีนเพียง 2 คนที่มีอาการติดเชื้อโควิด-19 รุนแรงถึงขั้นจำเป็นต้องเข้าแทรกแซงทางการแพทย์ หลังได้รับวัคซีน 14 วัน และลดลงเป็นศูนย์หลังผ่าน 28 วัน

    จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ระบุพวกเขาเห็นภูมิคุ้มกันจากวัคซีนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนถึงอย่างน้อย 28 วันหลังจากฉีด พร้อมคาดหมายว่าประสิทธิภาพป้องกันของวัคซีนจะทรงตัวหรือแม้กระทั่งดีขึ้นเมื่อเวลาล่วงเลยไป

    มีอาสาสมัคร 3 คนที่ได้รับวัคซีน มีอาการข้างเคียงรุนแรงระหว่างทดลองและมีความเป็นไปได้ว่ามันอาจเกี่ยวข้องกับวัคซีน แต่ทางเอฟดีเอระบุว่าจากการวิเคราะห์ของพวกเขามันไม่ได้ก่อความกังวลด้านความปลอดภัยเป็นพิเศษใดๆ ที่จะขัดขวางการอนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉิน

    เอฟดีเอ บอกว่าอาการทั่วไปที่พบบ่อยที่สุดคือรู้สึกเจ็บปวดบริเวณฉีด 48.6% ปวดศีรษะ 39% เหยื่อยล้า 38.2% และปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ 33.2% นอกจากนี้ผลข้างเคียงอื่นๆ ก็มีอาการไข้ 9% และไข้สูง 0.2%

    (ที่มา:รอยเตอร์ส)

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผู้คุมกฎUSสั่งตรวจโบอิ้ง777ทันทีก่อนขึ้นบิน หลังพบความล้าโลหะอาจทำเครื่องยนต์ขัดข้อง

    ผู้คุมกฎด้านการบินพลเรือนสหรัฐฯ (เอฟเอเอ) ออกคำสั่งในวันอังคาร (23 ก.พ.) ให้เครื่องบินทุกลำที่ใช้เครื่องยนต์พีดับเบิลยู4000 ของแพรตต์ แอนด์ วิทนีย์ แบบเดียวกับในโบอิ้ง 777 ลำที่เกิดไฟลุกไหม้กลางอากาศไม่นานหลังะทยานขึ้นจากเดนเวอร์เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ดำนินการตรวจสอบกันทันทีก่อนกลับขึ้นบินอีกครั้ง ทั้งนี้หลังจากพบว่า ความล้าของโลหะใบพัดไททาเนียมที่อยู่ด้านหน้าของเครื่องยนต์อาจเป็นสาเหตุสำคัญของอุบัติเหตุดังกล่าว

    ในวันจันทร์ (22) คณะกรรมการความปลอดภัยด้านการขนส่งแห่งชาติของสหรัฐฯ (เอ็นทีเอสบี) เผยว่า รอยแตกที่ใบพัดของเครื่องยนต์รุ่นดังกล่าว ซึ่งติดตั้งอยู่บริเวณปีกด้านขวาของเครื่องบินโบอิ้ง 777 สายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลนส์ ซึ่งใช้อยู่ในเที่ยวบินยูเอ 328 ที่เกิดไฟลุกไหม้ สอดคล้องกับอาการความล้าของโลหะ

    วันต่อมา (23) สำนักงานบริหารการบินของรัฐบาลสหรัฐฯ (เอฟเอเอ) จึงออกคำสั่งดังกล่าว พร้อมแถลงว่าอาจทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง โดยกำหนดช่วงระยะห่างระหว่างการตรวจสอบคราวล่าสุดนี้กับครั้งต่อๆ ไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลตรวจสอบเบื้องต้น รวมทั้งข้อมูลอื่นๆ ที่ได้รับจากการสืบสวนที่ยังคงดำเนินการต่อเนื่อง

    ทั้งนี้ วันเสาร์ (20) ที่ผ่านมา เกิดเหตุเครื่องยนต์พีดับเบิลยู4000 บนเครื่องบินโบอิ้ง 777 ที่ใช้งานมา 26 ปีขัดข้องและไฟลุกไหม้กลางอากาศ ทำให้มีชิ้นส่วนจำนวนหนึ่งหลุดกระจัดกระจายตกลงในชุมชนแถบชานเมือง หลังจากเพิ่งออกจากท่าอากาศยานนานาชาติเดนเวอร์ ซึ่งแม้ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ แต่ทำให้มีการสั่งระงับใช้เครื่องบินโบอิ้งรุ่นนี้เป็นการชั่วคราว

    ปัจจุบันยังมีเครื่องยนต์รุ่นนี้ติดตั้งอยู่ในโบอิ้ง 777 จำนวน 128 ลำ หรือไม่ถึง 10% ของจำนวนโบอิ้ง 777 แบบลำตัวกว้างที่มีการส่งมอบทั่วโลกกว่า 1,600 ลำ

    เมื่อปี 2018 เครื่องยนต์พีดับเบิลยู4000 ในเครื่องบินลำหนึ่งของยูไนเต็ดก็เคยเกิดปัญหาขัดข้องจากความล้าของโลหะใบพัด ส่งผลให้ในเดือนมีนาคม 2019 เอฟเอเอสั่งตรวจสอบเครื่องยนต์รุ่นนี้ทุกๆ การใช้งาน 6,500 รอบ โดย 1 รอบหมายถึงการบินขึ้นและลงจอด 1 ครั้ง

    นอกจากยูไนเต็ด แอร์ไลนส์ แล้ว สายการบินที่ได้รับผลกระทบจากปัญหานี้ยังรวมถึงเจแปน แอร์ไลนส์ และออล นิปปอนของญี่ปุ่น ตลอดจนเอเชียนา แอร์ไลนส์ และโคเรียนแอร์ของเกาหลีใต้

    ทางด้านกระทรวงคมนาคมเกาหลีใต้เปิดเผยเมื่อวันอังคารว่า ได้สั่งการให้สายการบินในประเทศตรวจสอบใบพัดทุก 1,000 รอบตามคำแนะนำของแพรต แอนด์ วิทนีย์ หลังเกิดอุบัติเหตุครั้งล่าสุดกับยูไนเต็ด อย่างไรก็ดี ในวันพุธ (24) กระทรวงออกคำสั่งใหม่ให้หยุดบิน โบอิ้ง 777 ที่ใช้เครื่องยนต์ พีดับเบิลยู4000 ทุกลำของสายการบินในประเทศ รวมทั้งจะห้ามสายการบินต่างประเทศซึ่งใช้เครื่องบินรุ่นนี้เข้าน่านฟ้าของตนตั้งแต่วันพฤหัสบดี (25)

    ส่วนโบอิ้งแถลงว่า จะปฏิบัติตามคำแนะนำล่าสุดของเอฟเอเอด้วยการตรวจสอบใบพัดของเครื่องยนต์พีดับเบิลยู4000 โดยใช้เทคโนโลยี Thermal Acoustic Imaging (ทีเอไอ) ที่สามารถตรวจหารอยแตกบนพื้นผิวด้านในของใบพัดหรือบริเวณที่ไม่สามารถตรวจสอบด้วยสายตาได้ ทั้งนี้ เพื่อตรวจสอบยืนยันความสมควรเดินอากาศ

    ก่อนหน้านี้โบอิ้งได้แนะนำให้สายการบินต่างๆ ระงับใช้เครื่องบินที่ติดตั้งเครื่องยนต์พีดับเบิลยู4000 ขณะที่ญี่ปุ่นสั่งระงับใช้เครื่องบินที่ติดตั้งเครื่องยนต์รุ่นดังกล่าวชั่วคราวหลังอุบัติเหตุของยูไนเต็ดเมื่อวันเสาร์

    วันพุธ (24) กระทรวงคมนาคมญี่ปุ่นแถลงว่า กำลังตรวจสอบคำสั่งของเอฟเอเอและยังไม่ได้ตัดสินใจว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อไป

    แหล่งข่าวเผยว่า เอฟเอเอใช้เวลาตลอดสองวันที่ผ่านมาหารือเกี่ยวกับขอบเขตการตรวจสอบ โดยยอมรับเมื่อวันจันทร์ว่า ได้พิจารณายกระดับการตรวจสอบใบพัดเครื่องยนต์ ภายหลังเกิดกรณีเครื่องยนต์ในเครื่องบินของเจแปน แอร์ไลน์ (เจเอแอล) ขัดข้องเมื่อเดือนธันวาคม

    อย่างไรก็ดี ทางด้านเอ็นทีเอสบีระบุว่า ยังเร็วเกินไปที่จะรู้ว่า ปัญหาที่เกิดในเดนเวอร์เป็นปัญหาเดียวกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับเจเอแอลหรือไม่

    ส่วนยูไนเต็ดระงับใช้เครื่องบินที่ติดตั้งเครื่องยนต์พีดับเบิลยู4000 ก่อนที่เอฟเอเอจะประกาศ และเปิดเผยเมื่อวันอังคารว่า จะปฏิบัติตามคำสั่งความสมควรเดินอากาศอย่างเคร่งครัด

    #บรรยายภาพ
    เครื่อบินโบอิ้ง 777-200 ของสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลนส์ ลำที่ใช้เป็นเที่ยวบิน 328 และเครื่องยนต์ตรงปีกด้านขวาเกิดไฟไหม้กลางอากาศ จอดอยู่ในโรงเก็บที่ท่าอากาศยานเมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด วันจันทร์ (21 ก.พ.) เพื่อให้เจ้าหน้าที่วินิจฉัย

    #บรรยายภาพ
    เที่ยวบิน UA328 ของสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลนส์ ซึ่งกำลังนำผู้โดยสาร 231 คนและลูกเรือ 10 คน ต้องเลี้ยงกลับไปยังสนามบินเมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด เมื่อเครื่องยนต์ด้านขวาเกิดไฟลุกไหม้ เหตุเกิดในวันเสาร์ (20 ก.พ.)

    #บรรยายภาพ
    เที่ยวบินของเจแปนแอร์ไลนส์ ซึ่งฝาครอบเครื่องยนต์เกิดความเสียหายขณะบินอยู่กลางอากาศ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2020 (ภาพถ่ายจากคลิปวิดีโอเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดีย)

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ‘รมว.ต่างปท.พม่า-อิเหนา’ดอดถกในไทย ขณะเพื่อนบ้านอาเซียนหาทางช่วยคลี่คลายวิกฤต

    <b>โฆษกกระทรวงการต่างประเทศไทยยืนยันรัฐมนตรีต่างประเทศที่กองทัพพม่าแต่งตั้งบินมากรุงเทพฯ เมื่อวันพุธ (24 ก.พ.) และได้หารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย </b>

    นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของไทย เปิดเผยผ่านแอปรับส่งข้อความว่า วันนา หม่อง ละวิน รัฐมนตรีต่างประเทศของพม่าเดินทางถึงไทยเมื่อวันพุธและได้หารือกับเร็ตโน มาร์สุดี รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ

    ก่อนหน้านี้สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวในรัฐบาลไทยว่า วันนา หม่อง ละวินเดินทางมาไทยเพื่อหารือเกี่ยวกับความพยายามทางการทูตของสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) รวมทั้งจะเข้าพบนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย

    อินโดนีเซียกำลังเป็นผู้ผลักดันความพยายามแก้ไขวิกฤตการเมืองในพม่าโดยได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนสมาชิกในอาเซียน แต่ดูเหมือนแผนการของจาการ์ตามีอันต้องสะดุดลง โดยมีการออกคำแถลงเมื่อเช้าวันพุธแล้ว มาร์ซูตีได้ยกเลิกการเดินทางไปเยือนพม่า โดยกระทรวการงต่างประเทศอิเหนาระบุว่า หลังจากประเมินสถานการณ์ปัจจุบันและข้อมูลที่ได้รับจากสมาชิกชาติอื่นๆ ทำให้ตัดสินใจว่า ขณะนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการเดินทางเยือนพม่า

    สำนักข่าวต่างประเทศระบุว่า อินโดนีเซียเสนอให้สมาชิกอาเซียนส่งคณะผู้แทนไปยังพม่า เพื่อให้แน่ใจว่า บรรดานายพลจะปฏิบัติตามคำสัญญาในการจัดการเลือกตั้ง ซึ่งแม้ไม่ได้ระบุกรอบเวลาแน่นอน แต่กองทัพประกาศตอนที่ยึดอำนาจว่า จะบังคับใช้สถานการณ์ฉุกเฉินนาน 1 ปี

    ทว่า พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ของอองซานซูจีที่ชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน และกองทัพกล่าวหาว่า มีการโกงการเลือกตั้งนั้น ต้องการให้กองทัพยอมรับชัยชนะของพรรค

    ฟิวเจอร์ เนชัน อัลไลแอนซ์ กลุ่มเคลื่อนไหวในพม่า แถลงก่อนหน้านี้ว่า การเยือนของเร็ตโนอาจเท่ากับเป็นการยอมรับความชอบธรรมของรัฐบาลทหารพม่า พร้อมเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่จากประเทศต่างๆ หารือกับ ทิน ลิง อ่อง สมาชิกคณะกรรมาธิการที่เป็นตัวแทนสมาชิกรัฐสภาที่ถูกทหารปลดออก ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่ด้านกิจการต่างประเทศแต่เพียงผู้เดียว

    อย่างไรก็ตาม โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซียแถลงยืนยันว่า จาการ์ตาไม่ได้สนับสนุนการเลือกตั้งใหม่ในพม่า

    สัปดาหนี้ชาวพม่าตามเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ ได้ออกไปชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ โดยที่ผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติในเรื่องสถานการณ์พม่าระบุว่ามีจำนวนถึงล้านคน นอกจากนั้นยังมีผู้ผละงานเพื่อประณามการรัฐประหารและเรียกร้องให้ปล่อยตัวซูจี ตามการรณรงค์ซึ่งใช้ชื่อว่าขบวนการตอารยะขัดขืน ถึงแม้กองทัพเตือนว่า อาจมีผู้คนล้มตายหากเกิดการเผชิญหน้าก็ตาม

    ในวันพุธ ผู้ประท้วงจากชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยต่างๆ ตลอดจนข้าราชการกระทรวงแรงงาน ไปชุมนุมในย่านธุรกิจของย่างกุ้ง นอกจากนี้ยังมีการประท้วงในมัณฑะเลย์ เมืองใหญ่อันดับ 2 ท่ามกลางความกังวลว่า การประท้วงและอารยะขัดขืนกำลังสร้างผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจของประเทศ

    วิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นตอกย้ำคำครหาที่ว่า พม่าคือตัวปัญหาของอาเซียน และกระตุ้นความกังวลของนานาชาติ

    เมื่อวันอังคาร (23) บรรดารัฐมนตรีต่างประเทศกลุ่มจี7 ออกคำแถลงประณามกองทัพพม่าที่ใช้กำลังปราบปรามผู้ประท้วงที่ต่อต้านการรัฐประหาร

    ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน (22) อเมริกาประกาศแซงก์ชันสมาชิกสำคัญของรัฐบาลทหารพม่าอีก 2 คน และเตือนว่า อาจดำเนินมาตรการลงโทษเพิ่มเติม และสหภาพยุโรป (อียู) เผยว่า กำลังพิจารณาแซงก์ชันธุรกิจของกองทัพพม่า

    ด้านจีนระบุว่า การดำเนินการของนานาชาติควรส่งเสริมให้เกิดเสถียรภาพและความปรองดอง รวมทั้งหลีกเลี่ยงการทำให้สถานการณ์ในพม่าซับซ้อนวุ่นวายมากขึ้น

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รมว.อินโดนีเซียบอก เจรจาอย่างจริงจังกับทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายถูกโค่นล้ม เพื่อหาทางคลี่คลายวิกฤตการณ์พม่า

    <b>อินโดนีเซียกำลังเจรจาอย่างจริงจังกับทั้งฝ่ายทหารของพม่าและตัวแทนของรัฐบาลจากเลือกตั้งที่ถูกโค่นล้ม ในความพยายามที่จะยุติวิกฤตการณ์จากการก่อรัฐประหารยึดอำนาจของกองทัพเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซียแถลงในวันพุธ (24 ก.พ.) </b>

    อินโดนีเซียกำลังแสดงตัวเป็นผู้นำภายในสมาคมอาเซียน ในความพยายามที่จะแก้ไขคลี่คลายความปั่นป่วนวุ่นวายในพม่า ทั้งนี้รัฐมนตรีต่างประเทศ เร็ตโน มาร์ซูดี ของแดนอิเหนา ได้พบหารือกับ วันนา หม่อง ละวิน ผู้ซึ่งคณะทหารพม่าแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ที่กรุงเทพฯ ในวันพุธ ก่อนหน้าที่เธอจะออกมาแถลงข่าว

    กองทัพพม่าได้เข้ายึดอำนาจภายหลังกล่าวหาว่ามีการทุจริตคดโกงใหญ่โตในการเลือกตั้งที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 8 พ.ย.ปีที่แล้ว ซึ่งพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ของนางอองซานซูจี ได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลาย เวลานี้ทั้งซูจีและพวกผู้นำจำนวนมากของ NLD ถูกฝ่ายทหารควบคุมตัวเอาไว้

    ทางฝ่ายผู้คัดค้านการรัฐประหารได้จัดการชุมนุมเดินขบวนตามเมืองใหญ่น้อยทั่วพม่ามาเป็นเวลากว่า 2 สัปดาห์ต่อเนื่องกัน และมีผู้ประท้วงอย่างน้อย 4 คนและตำรวจ 1 คนเสียชีวิต จากความรุนแรงที่เกิดขึ้น

    คตวามพยายามของอินโดนีเซียที่จะคลี่คลายวิกฤตคราวนี้ ได้ก่อให้เกิดความระแวงสงสัยขึ้นในหมู่นักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยของพม่า ผู้ซึ่งหวาดกลัวว่าการทำความตกลงกับคณะทหารจะกลายเป็นการให้ฐานะความชอบธรรมแก่พวกผู้ทำรัฐประหารเหล่านี้ รวมทั้งกลายเป็นการยอมรับความพยายามของฝ่ายทหารที่จะยกเลิกการเลือกตั้งเดือน พ.ย. ทั้งนี้พวกเขายืนยันว่าต้องเคารพยอมรับผลการเลือกตั้ง

    เร็ตโน ซึ่งพูดกับพวกผู้สื่อข่าวในกรุงเทพฯ กล่าวว่า ความผาสุกของประชาชนชาวพม่าคือสิ่งที่ต้องถือเป็นความสำคัญอันดับหนึ่ง

    “เราขอให้ทุกๆ คนใช้ความอดทนอดกลั้น และไม่หันไปหาความรุนแรง ... เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายและการนองเลือด” เร็ตโน กล่าว ภายหลังจากเธอพูดจากับรัฐมนตรีของพม่า และรัฐมนตรีต่างประเทศ ดอน ปรมัตถ์วินัย ของไทย

    รัฐมนตรีต่างประเทศแดนอิเหนา บอกว่าเธอมีการติดต่อสื่อสาร “อย่างเข้มข้นจริงจัง” กับทั้งสองฝ่าย ซึ่งก็รวมไปถึงพวกสมาชิกรัฐสภาที่ถูกขับออกมาจากรัฐสภาหลังการยึดอำนาจ ที่เรียกกันในชื่อภาษาพม่าว่า “ปยูดองซู ลุตตอ” (Pyidaungsu Hluttaw) ทั้งนี้รยยเตอร์ยังไม่สามารถขอความเห็นในทันทีเกี่ยวกับเรื่องที่รัฐมนตรีอินโดนีเซียพูดถึงนี้ จากทาง คณะกรรมการตัวแทนของ ปยูดองซู ลุตตอ (Committee Representing Pyidaungsu Hluttaw ใช้อักษรย่อว่า CRPH)

    ในรายงานชิ้นหนึ่งของรอยเตอร์ที่เผยแพร่ในสัปดาห์นี้ ได้อ้างอิงแหล่งข่าวหลายรายกล่าวว่า อินโดนีเซียกำลังเสนอให้เหล่าสมาชิกสมาคมอาเซียน ส่งผู้ติดตามดูแลไปทำให้แน่ใจได้ว่าพวกนายพลพม่าจะยึดมั่นทำตามคำสัญญาของพวกเขาในเรื่องที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่อย่างยุติธรรม เรื่องนี้กลายเป็นการเพิ่มความระแวงสัยในหมู่นักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยบางรายว่า การเข้ามาแทรกแซงของอินโดนเซียอาจเป็นการบ่อนทำลายข้อเรียกร้องของพวกเขาที่ให้ยืนยันผลการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว

    ฝ่ายทหารไม่ได้ให้กรอบเวลาชัดเจนว่าจะจัดเลือกตั้งใหม่ที่พวกเขาสัญญาไว้กันเมื่อใด ถึงแม้เมื่อตอนยึดอำนาจนั้นพวกเขาได้ประกาศใช้ภาวะฉุกเฉินเป็นเวลา 1 ปี

    ในวันพุธ ยังมีผู้ประท้วงหลายสิบคนไปชุมนุมกันที่ด้านนอกสถานเอกอัครราชทูตไทยในนครย่างกุ้ง เมืองหลวงเก่าและเมืองใหญ่ที่สุดของพม่า โดยพวกเขาชูแผ่นป้ายเขียนข้อความอย่างเช่น “เคารพการออกเสียงของเขา” และ “เราโหวตให้ NLD”

    “รัฐมนตรีต่างประเทศของเราคือ อองซานซูจี” พวกผู้ประท้วงตะโกน เป็นการอ้างอิงถึงตำแหน่งที่เธอครองอยู่ในคณะรัฐบาล ตั้งแต่ที่เธอนำพรรค NLD คว้าชัยชนะท่วมท้นในการเลือกตั้งเมื่อปี 2015

    เร็ตโนไม่ได้เอ่ยถึงประเด็นเรื่องการเลือกตั้ง แต่กล่าวว่า อินโดนีเซียขอเน้นย้ำถึง “ความสำคัญของกระบวนการเปลี่ยนผ่านแบบประชาธิปไตยที่ต้อนรับฝ่ายต่างๆ ให้เข้ามีส่วนร่วม”

    “เราจำเป็นต้องมีเงื่อนไขที่จะมีส่วนช่วย ... ในรูปแบบของการสนทนากัน, การปรองดอง, และการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ” เธอบอก “อินโดนีเซียจะอยู่กับประชาชนชาวพม่า”

    ก่อนหน้านี้ เป็นที่คาดหมายกันว่า เร็ตโน จะเดินทางจากกรุงเทพฯต่อไปยังพม่าในช่วงเช้าวันพุธ (24) แต่แผนการนี้ได้ถูกยกเลิกไป กระทรวงของเธอแถลง

    ต่อมาในวันเดียวกัน ประเทศไทยแถลงว่า วันนา หม่อง ละวิน ได้เดินทางมาถึงไทย ซึ่งถือเป็นการเดินทางสู่ต่างประเทศทริปแรกของสมาชิกรายหนึ่งในคณะรัฐบาลทหารชุดใหม่ของพม่า

    แหล่งข่าวชาวไทยคนหนึ่งบอกว่า รัฐมนตรีพม่าผู้นี้ยังมีกำหนดการที่จะเข้าพบนายกรัฐมนตรีไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นอดีตผู้บัญชาการทหารบกที่ก่อรัฐประหารยึดอำนาจในไทยเมื่อปี 2014 อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ปฏิเสธที่จะยืนยันว่าเขาได้พบกับรัฐมนตรีพม่าผู้นี้หรือไม่

    “บางครั้งบางเรื่องก็เป็นเรื่องที่ไม่เป็นทางการ ขอให้เข้าใจด้วย สื่ออย่าถามทุกเรื่อง เรื่องนี้เป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการอยู่แล้ว” เขากล่าวกับพวกผู้สื่อข่าว

    “เราในฐานะมิตรประเทศก็ต้องรับฟังซึ่งกันและกัน ก็สุดแล้วแต่จะเป็นอย่างไร ทั้งนี้เราก็เป็นกำลังใจในฐานะประเทศหนึ่งในอาเซียนที่ต้องทำให้เกิดความร่วมมือ รวมทั้งส่งกำลังใจให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบร้อยแค่นั้นพอแล้ว”

    ก่อนหน้านี้ “ฟิวเจอร์ เนชัน อัลไลแอนซ์” (Future Nation Alliance) กลุ่มเคลื่อนไหวในพม่า แถลงว่า การไปเยือนพม่าของเร็ตโนจะเท่ากับเป็นการยอมรับความชอบธรรมของรัฐบาลทหารพม่า พร้อมเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่จากประเทศต่างๆ หารือกับ ทิน ลิน อ่อง สมาชิกของ CRPH ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่รับผิดชอบด้านกิจการต่างประเทศแต่เพียงผู้เดียว

    (ที่มา: รอยเตอร์, เอเจนซีส์)

    #บรรยายภาพ
    รัฐมนตรีต่างประเทศ เร็ตโน มาร์ซูดี ของอินโดนีเซีย (ซ้าย) พูดกับ วันนา หม่อง ละวิน (ขวา) ที่คณะทหารพม่าตั้งให้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ โดยมีรัฐมนตรีต่างประเทศ ดอน ปรมัตถ์วินัย (กลาง) รับฟัง ระหว่างการพบปะกันในกรุงเทพฯ วันพุธ (24 ก.พ.) (ภาพนี้เผยแพร่โดยกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซีย)

    #บรรยายภาพ
    พวกผู้ประท้วงไปชุมนุมกันที่ด้านหน้าของสถานเอกอัครราชทูตอินโดนีเซีย ในนครย่างกุ้ง เมื่อวันพุธ (24 ก.พ.) โดยป้ายที่พวกเขาถือ นอกจากมีข้อเรียกร้องคัดค้านเผด็จการทหาร และเรียกร้องให้ปล่อยอองซานซูจี แล้ว ยังมีข้อความที่ไม่เห็นด้วยกับการจัดเลือกตั้งใหม่ ตามที่ถูกระบุว่าเป็นข้อเสนอของอินโดนีเซีย

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สัญญาณในดวงจันทร์ ความผิดเพี้ยนของบรรยากาศ?
    FB_IMG_1614215079515.jpg
    "ฉันไม่เคยเห็นดวงจันทร์มีรูปร่างแบบนี้ และคิดว่าเลนส์ของฉันแตก ไม่เคยได้ยินเรื่องความผิดเพี้ยนของบรรยากาศ จนกระทั่งเพื่อนคนหนึ่งอธิบายให้ฉันฟัง" บาร์บาร่า มาร์เทนส์ผู้ซึ่งถ่ายภาพดวงจันทร์เหล่านี้เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2021 ในชุดสีแดงกล่าว Hook - บรูคลิน นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

    ทั้ง 4 รูปที่ https://spaceweathergallery.com/indiv_upload.php?upload_id=172550

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ภาพเพิ่มเติมของการบุกรุกที่น่ากลัวของตั๊กแตน ในเคนยา แอฟริกา

    ผู้คนเรียกการบุกรุกนี้ว่าสันทรายตามสัดส่วนและพวกเขากล่าวว่าพวกเขาไม่เคยเห็นการบุกรุกที่รุนแรงเช่นนี้

    ฉันขอเชิญคุณติดตามฉันหากคุณต้องการรับรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก
    เฟซบุ๊ก (JUAN ENRIQUE SANTILLANA)

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #เคนยา | 24.02.2021
    ✔️เคนยาต่อสู้กับภัยพิบัติจากตั๊กแตนทะเลทราย

    ตั๊กแตนทะเลทรายที่บุกเข้ามาในเก้าประเทศในแอฟริกาตะวันออกตั้งแต่กลางปี 2019 (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเคนยา เอธิโอเปีย และโซมาเลีย) เคลื่อนย้ายฝูงแมลงหลายล้านตัวที่เดินทางได้ไกลถึง 150 กม. ต่อวันทำลายพืชผลทุกประเภท

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #ประมวลข่าว (24 ก.พ.) แอดกลับเข้าสู่ลูปงานท่วมอีกแล้วนะคะชาวเพจ( ´ཫ`) อยากไปนอนเฉย ๆ ดูดน้ำมะพร้าว ริมหาดทรายขาว ( ̄¬ ̄).。o0O○《

    #วัคซีนโควิด
    (1) สรุปผลวัคซีนไฟเซอร์ตลอด 1 สัปดาห์ในญี่ปุ่น (17-22 ก.พ.)
    จำนวนฉีด: 11,934 ราย
    ผลข้างเคียงที่คาดว่าน่าจะเกิดจากวัคซีน 3 ราย
    - เกิดผื่นในปากและตามผิวหนัง
    - หนาวสั่น
    - ยกขาไม่ขึ้น หมดแรง ไข้ขึ้น

    ⚠️ระวัง: ผลข้างเคียงจากความเครียดก่อนฉีดวัคซีน

    มีสส. พรรคจิมินโต (下村政務調整会長) พูดว่า “ควรพิจารณาการฉีดวัคซีนแค่คนละ 1 ครั้ง” เผื่อกรณีได้รับจำนวนวัคซีนเข้ามาไม่ตามที่คาด

    ✒️โชคดีที่ทะมุระ รมต. สาธารณสุขกับลุงโคโนะ รมต. วัคซีนไม่เอาด้วย ยืนยันที่ 2 ครั้ง

    วัคซีนพาสปอร์ต: ลุงโคโนะบอกว่าคงไม่นำมาใช้ในประเทศ เพราะจะมีคนที่ฉีดไม่ได้เนื่องจากแพ้ยา แต่ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ระหว่างประเทศก็อาจจะพิจารณามาใช้ได้

    ✼••┈┈┈┈••✼••┈┈┈┈••✼

    #ไฟป่า
    (2) ไฟป่าที่เมือง อาชิคากะ จ. โทจิกิยังคงไหม้อย่างต่อเนื่อง ต้องทำการอพยพชาวบ้านบางส่วนออกจากพื้นที่
    ✼••┈┈┈┈••✼••┈┈┈┈••✼

    #การเมือง
    ❌(3) Update : หลังข่าวกินข้าวมื้อหรูกับลูกชายคนโตนายกสุงะ เจ้าหน้าที่จากกระทรวงกิจการภายในประเทศ 12 ราย โดนสั่งลงโทษทางวินัยแล้ว (หักเงินเดือน)
    รวมของฝากแล้วเป็นเงินกว่า 534,000 เยน

    ✒️ลูกชายทำงาน บ. เอกชนนะคะ ความผิดก็คงเป็นที่ บ. ตัดสิน

    ✼••┈┈┈┈••✼••┈┈┈┈••✼

    #โควิด
    (4) ยอดผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มวันนี้:
    ยอดเพิ่มวันนี้ +917 ราย รวมสะสม 428,372 ราย
    เสียชีวิตเพิ่ม +69 ราย รวมสะสม 7,672 ราย
    คนอาการหนัก 487 ราย (-4)
    หายแล้วสะสม 403,381 ราย

    จังหวัดที่เกินร้อย
    โตเกียว 213 ราย
    ชิบะ 127 ราย

    ✼••┈┈┈┈••✼••┈┈┈┈••✼

    #ภาพส่งท้าย Fruit cake จากร้านแถวบ้านค่ะ คือ วันนี้ซื้อ strawberry short cake มาอร่อยมากกกกกกกกกก เลยเอาภาพมาฝากชาวเพจนะคะ

    ครีมคือ เบา เนียน หอม

    วันหลังไว้ลองฟรุตเค้กในภาพบ้างค่ะ


    เครดิต:
    NHK https://www3.nhk.or.jp/news/special/coronavirus/data/

    ワクチン接種1週間 副反応疑い3例 “ストレス関連反応”も注意 https://www3.nhk.or.jp/news/html/20210224/k10012882621000.html



    #กิ๊ฟจังนั่งเล่า #ข่าวญี่ปุ่น

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ... "ทหารพม่ายึดอำนาจกระทบการค้าอเมริกาและตะวันตกอย่างไร?"

    ... ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า การรัฐประหารพม่าอาจกระตุ้นให้บริษัทในอเมริกาบางแห่งลดการนำเข้าหรือถอนการลงทุนจากพม่าไป

    ... การรัฐประหารในพม่าคาดว่าจะลดความสนใจของ บริษัทจากอเมริกาและประเทศตะวันตกอื่น ๆ ในการลงทุนในประเทศและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอาจกระตุ้นให้ บริษัทยักษ์ใหญ่บางแห่งในอเมริกาต้องถอนตัวออกไป, ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าและนักวิเคราะห์ให้ความเห็น

    ... การค้ารวมสินค้าระหว่างพม่าและอเมริกามีมูลค่าเกือบ 1.3 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2020 เพิ่มขึ้น 1.2 พันล้านดอลลาร์ จากในปี 2019

    ... "เครื่องแต่งกายและรองเท้า" คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 41 ของการนำเข้าสินค้าทั้งหมดของอเมริกาตามด้วย "กระเป๋าเดินทาง" ซึ่งคิดเป็นเกือบร้อยละ 30 และ "ปลา" ซึ่งคิดเป็นเพียงร้อยละ 4 ( พม่าปลาเยอะสมบูรณ์มาก )

    ... ผู้ผลิตกระเป๋าเดินทางชื่อ Samsonite และผู้ผลิตเครื่องแต่งกายของเอกชน LL Bean เป็นหนึ่งใน "ผู้นำเข้ารายใหญ่" ของอเมริกาซึ่งมีแหล่งที่มาจาก "พม่า" พร้อมกับผู้ค้าปลีก H&M และ Adidas ด้วย

    ... การนำเข้าของอเมริกาเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งเนื่องจาก "สงครามภาษีสินค้ากับจีน" แต่พม่ายังคงอยู่ในอันดับที่ 84 ในรายชื่อซัพพลายเออร์สินค้าให้อเมริกัน

    ... 'ธนาคารโลก' รายงานว่าด้าน 'การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ' ในพม่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 33 เป็น 5.5 พันล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2019-2020 ที่นำโดยนักลงทุนจาก 'สิงคโปร์และฮ่องกง' เป็นอันดับหนึ่งและสอง แต่ว่าแนวโน้มยังไม่แน่นอนเนื่องจาก "การระบาดของโควิด19และการพัฒนาของตลาดเองด้วย"

    ... เมื่อปลายปี 2020 ที่แล้วมา "จีน" ยืนหยัดแซงฮ่องกงเป็น 'นักลงทุนรายใหญ่อันดับสอง' ของ 'พม่า รองจาก 'สิงคโปร์' ด้วยเงินทุนต่างประเทศที่ได้รับอนุมัติ 21.5 พันล้านดอลลาร์ ปักกิ่งยังมี 'สัดส่วนการค้าประมาณหนึ่งในสาม' ของการค้าทั้งหมดของพม่าซึ่งมากกว่า 'อเมริกา ประมาณ 10 เท่า

    ... การรัฐประหารจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง พม่า - อเมริกา ทวีความรุนแรงขึ้นตามมาตรการคว่ำบาตรของวอชิงตันในเดือนธันวาคม 2019 และจะทำให้ 'ความสัมพันธ์ทางการค้า' ซับซ้อนขึ้น

    ... ด้านการค้าสถานการณ์ 'โรฮิงญาและเรื่องสิทธิมนุษยชน' ที่มีปัญหาของพม่าทำให้การลงทุนไม่น่าสนใจสำหรับบริษัทตะวันตกเมื่อเทียบกับจีน ที่ไม่สนใจนัก

    ... บริษัทจากอเมริกาสามารถเลือกที่จะ 'ถอนการลงทุนออกจากพม่า' ที่จะถูกกดดันให้พัฒนาสิ่งเหล่านั้น เช่น สิทธิมนุษยชนขึ้น

    ... ในขณะที่ บริษัทจากอเมริกาบางแห่งย้ายโรงงานจากจีนไปยังพม่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเพื่อใช้ประโยชน์จาก 'ค่าแรงที่ต่ำ' แต่โครงสร้างพื้นฐานของประเทศพม่ายังไม่ดีพอ ทำให้การลงทุนไม่เฟื่องฟูเท่าที่ควร

    ... งานจากบริษัทอเมริกาในพม่าส่วนใหญ่อยู่ใน 'อุตสาหกรรมที่ใช้เงินทุนค่อนข้างต่ำ' และสามารถย้ายที่ตั้งได้ค่อนข้างง่ายแม้ว่าการดำเนินการดังกล่าวจะต้องใช้เวลาก็ตาม

    ... "มันไม่ใช่การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ โรงงานเหล่านี้ตั้งได้ค่อนข้างง่าย”

    ... นักลงทุนอเมริกาบอกว่า "เราเรียกร้องให้ฟื้นฟูสิทธิและสถาบันในระบอบประชาธิปไตยอย่างเต็มที่และทันที”

    ... “หัวใจและคำอธิษฐานของเราอยู่ร่วมกับชาวพม่าเพื่อการแก้ไขวิกฤตนี้อย่างรวดเร็วสันติและเป็นประชาธิปไตย - สิ่งที่ไม่ทำให้ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของคนที่ทำงานหนักในพม่าหายไป"

    ... โฆษกของบริษัทเสื้อผ้า H&M กล่าวว่า บริษัทกำลังติดตามเหตุการณ์และติดต่ออย่างใกล้ชิดกับซัพพลายเออร์ในพม่า แต่ไม่มีแผนที่จะเปลี่ยนกลยุทธ์การจัดหาสินค้าในทันที

    ( ... แต่เรื่องการลงทุนพลังงานน้ำมัน แก๊ส ในทะเลพม่า บริษัทในตะวันตกและอเมริกาทำมานานตั้งแต่รัฐบาลทหารเป็นเผด็จการอย่างเต็มตัวและไม่มีการเลือกตั้งมานานกว่า 20 กว่าปีแล้ว )

    .
    ... https://www.aljazeera.com/economy/2021/2/2/myanmar-coup-may-hit-western-business-interest-there

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ใครๆก็สามารถเป็นหัวหน้าได้ หากมีขั้นตอนของการจ้างคน มีการสอนงาน หรือมีลูกทีมที่ต้องดูแล แต่การจะเป็นหัวหน้าที่ลูกน้องเคารพและอยากทำงานด้วยนั้นไม่ใช่ใครๆก็ทำได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่สั่งสมมาจากประสบการณ์ มาจากการสังเกต และมาจากความเชื่อใจที่คนอื่นมีต่อคุณ
    .
    แน่นอนว่าการจะเป็นหัวหน้าที่ลูกน้องไว้วางใจ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะความน่าเชื่อถือไม่ใช่ตำแหน่งที่สามารถแต่งตั้งให้ตัวเองได้ แต่มันเกิดจากการกระทำ มาจากผลงานที่คุณทำและความรู้สึกของคนอื่นที่มีต่อคุณ มันไม่ใช่การที่คุณต้องเป็นคนที่เก่งที่สุดหรือทำงานเยอะที่สุด แต่ต้องมีความรับผิดชอบมากที่สุด ไม่ใช่แค่รับผิดชอบคนในทีม หรือรับผิดชอบงานของตัวเองเท่านั้น แต่รับผิดชอบการกระทำและคำพูดของตัวเองด้วยเช่นกัน เพราะนั่นคือคุณสมบัติที่ทำให้ใครๆก็ไว้ใจและอยากทำงานด้วย ซึ่งพอจะมีแนวทางที่ควรรู้ ดังนี้
    .
    #มีวิสัยทัศน์และสามารถทำให้เกิดขึ้นจริง
    การมีวิสัยทัศน์หรือไอเดียมากมายนั้นเป็นสิ่งดี แต่หากไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นจริงได้สักอย่าง คนที่ทำงานร่วมกับคุณก็จะรู้สึกเหนื่อย และรู้สึกว่าสิ่งที่ลงแรงทำไปนั้นไร้ความหมาย เพราะไม่สามารถใช้ได้จริง หัวหน้าที่ดีจึงต้องทำให้วิสัยทัศน์ของตัวเองเกิดขึ้นได้จริงด้วย นั่นคือมีทั้ง Vision และ Mission เมื่อลูกน้องเห็นว่าหัวหน้าพูดจริง ทำจริง ก็จะมั่นใจมากขึ้นว่านี่ไม่ใช่แค่วิสัยทัศน์ลอยๆ เพราะหัวหน้าย่อมทำให้มันเกิดขึ้นได้แน่ๆ ไม่ว่าโปรเจกต์ต่อไปจะเป็นอะไร ลูกน้องก็พร้อมที่จะร่วมมือและให้ความช่วยเหลือคุณด้วยความเชื่อใจ
    .
    #รับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำและคำพูดของตัวเอง
    คุณจะยิ่งเป็นหัวหน้าที่ลูกน้องให้ความเชื่อถือมากขึ้นหากสามารถรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับคนในทีมได้ แม้มันอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่นักหากคุณไม่สามารถทำได้ตามที่รับปาก และลูกน้องของคุณก็คงไม่ถือโทษหรือบังคับอะไรคุณ แต่ในขณะเดียวกัน คุณก็ได้สูญเสียความน่าเชื่อถือที่ลูกน้องมีต่อคุณไปแล้ว และการสูญเสียความน่าเชื่อถือไปนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมีอะไรมาทดแทนได้
    .
    #เป็นคนที่สื่อสารให้คนอื่นเข้าใจได้ง่ายๆ
    การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญมากหากต้องทำงานร่วมกับคน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นผู้นำ การสื่อสารที่ดีนั้นไม่ใช่การเป็นคนพูดเก่ง แต่มันคือการฟังเก่ง รู้จังหวะในการพูด และสื่อสารให้ตรงประเด็น ถ้าคุณเป็นหัวหน้าที่พูดเยอะ แต่คำพูดนั้นเต็มไปด้วยน้ำ ไม่มีเนื้อเลย ยากที่จะจับใจความได้ มันก็ทำให้คนอื่นไม่ค่อยอยากฟัง การสื่อสารที่ดีนั้นควรจะตรงประเด็น ชัดเจน ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจความหมายของคำตอบ โดยที่ไม่ต้องตีความ ไม่ต้องอ้อมค้อมและไม่ต้องใช้เวลามาก เพราะการสื่อสารในการทำงานไม่ใช่การคุยกันเรื่อยเปื่อยที่ไม่ต้องมีประเด็นก็ได้
    .
    #มีศิลปะในการมอบหมายงาน
    การมอบหมายงานอย่างถูกต้องไม่ใช่แค่การแบ่งงานกันทำตามหน้าที่เฉยๆ ผู้นำที่ดีควรทำให้การมอบหมายงานนั้นเคลียร์ก่อนว่า ต้องการให้พนักงานทำอะไร Make sure ว่าพนักงานเข้าใจหน้าที่และความรับผิดชอบที่ต้องทำ สามารถมีคำแนะนำที่จะ Guide พนักงานได้ว่างานที่ต้องการนั้นควรจะเป็นแบบไหน อะไรคือความคาดหวังของคุณ และสิ่งนั้นจะส่งผลต่อเป้าหมายองค์กรอย่างไร หากการมอบหมายงานเป็นไปอย่างชัดเจน เคลียร์และง่าย ก็ส่งผลให้คนอื่นอยากจะร่วมงานกับคุณต่อไป และไว้ใจในการบริหารงานของคุณ
    .
    #มีความฉลาดทางอารมณ์
    เป็นทักษะที่ผู้นำทุกคนควรมีนั่นคือการรู้จักจุดอ่อน จุดแข็งของตัวเองเป็นอย่างดี รู้ Value ของตัวเองหรือคุณค่าที่ตัวเองยึดถือ เข้าใจ Passion ของตัวเอง ซึ่งถ้าผู้นำไม่มี Self – Awareness ก็จะไม่สามารถบริหารงานหรือเข้าใจตัวเองได้เลย เช่น ผู้นำบางคนรู้ว่าตัวเองทำงานช้า ก็ต้องวางแผนทำงานให้ล่วงหน้าก่อนจะถึงวัน Deadline ซึ่งเป็นวิธีที่จะสร้างการตระหนักรู้ ทำให้รู้ว่า เราทำไปเพื่ออะไร และกำลังนำพาทีมงานไปในทิศทางไหน เป็นการใช้จุดแข็งของตัวเองให้เป็นประโยชน์ได้ และยังสามารถทำให้มีอารมณ์ขันในการล้อเลียนจุดด้อยของตัวเองอีกด้วย
    .
    แน่นอนว่าใครๆก็สามารถเป็นหัวหน้าได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นหัวหน้าที่น่าเชื่อถือ สิ่งเหล่านี้มันเกิดจากการกระทำและความสม่ำเสมอ ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ส่งเสริมให้เป็นหัวหน้าที่น่าเชื่อถือหรือเป็นคนที่ใครๆก็อยากทำงานด้วย ที่สำคัญก็คือคุณต้องมีใจที่จะเรียนรู้ ยอมรับในตัวเอง และพร้อมจะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
    .
    .
    ที่มา : https://www.thebalancecareers.com/how-to-become-a-manager-employees-want-to-follow-1918777
    https://www.thebalancecareers.com/what-employees-most-want-from-their-bosses-4117080

    (Content : Thanisorn Boonchote)
    .
    .
    HR NOTE.asia เราเชื่อว่า “คน” คือหัวใจสำคัญขององค์กร
    #HRNOTE

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    23.10 น. หนุ่มวัยประมาณ 35-40 ปี เครียดหลายเรื่อง แถมตกงานด้วย โดดลงแม่น้ำปิง / ที่สะพานจันทร์สม ใกล้ตลาดต้นลำไย กลางเมืองเชียงใหม่ / ผู้คนช่วยนำขึ้นมาได้ ขึ้นมานั่งบนฝั่งแล้ว /
    ขณะนี้ 23.40 น. เจ้าหน้าที่กำลังกล่อมให้ผ่อนคลายอยู่

    ไม่พลาดข่าวเพจนี้ CM108
    การตั้งค่าการติดตาม
    - รายการโปรด
    คุณจะเห็นโพสต์แสดงอยู่สูงกว่าในฟีดข่าวของคุณ
    รับรองไม่พลาดเรื่องราว-ข่าวสารจากเพจนี้
    ---------
    • ข่าวย้อนหลัง : CM108.com
    • กลุ่มเฟซบุ๊ก CM108 : https://www.facebook.com/groups/cm108/
    • LINE CM108 : line.me/ti/g2/OGUXX9M6K3
    • Instagram : instagram.com/chiangmai108/
    • YouTube : youtube.com/channel/UCCPu1rZLTp9Y0eMlrTStULQ/
    • Tiktok : www.tiktok.com/@cm108.com

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    คนดื้อ ไม่มีเหตุผล เอาแต่ใจตัวเอง ชอบเอาชนะคนอื่น คนประเภทนี้มาได้หลากหลายรูปแบบไม่จำกัดเพศ อายุ หรือตำแหน่งหน้าที่การงาน และส่วนใหญ่แล้วคนประเภทนี้ก็มีอยู่แทบทุกองค์กร
    .
    มันคงไม่ยากนักหากคุณเป็นผู้นำองค์กรที่ต้องรับมือกับคนประเภทนี้ในที่ทำงาน หากเพียงแค่ตำหนิหรือปะทะกลับไปด้วยอารมณ์ แต่นั่นก็จะทำให้คุณเสียพลังงานและเวลาโดยใช่เหตุ และไม่อาจทำให้คนประเภทนี้เลิกนิสัยนี้ได้อย่างเด็ดขาด เพราะเขาก็ยังคงไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนอย่างไรอยู่ดี
    .
    คนดื้อมักเข้าใจว่าตัวเองมีเหตุผล แม้นั่นจะเป็นเหตุผลสำหรับตัวเอง เหตุผลที่มีไว้ป้องกันตัวเองจากความผิดพลาด และบ่อยครั้งพวกเขามักคิดว่าตัวเองมีความพยายามและจะไม่ยอมแพ้ที่จะเอาชนะผู้อื่น แม้นั่นจะเป็นความพยายามที่ไม่มีประโยชน์เลยก็ตาม
    .
    การมีเหตุผลสำหรับตัวเองนั้นเป็นสิ่งดีที่จะได้เข้าใจความต้องการของตัวเอง แต่เมื่อต้องร่วมงานกับผู้อื่นในที่ทำงาน เหตุผลสำหรับตัวเองมันก็เวิร์คสำหรับตัวเองเท่านั้น แท้จริงแล้วจุดประสงค์ของการมีเหตุผลคือทำให้การสื่อสารระหว่างกันเป็นไปได้ง่ายๆ เข้าใจกันง่ายๆ และลดความขัดแย้งระหว่างกัน หากมีเหตุผลเพียงเพื่อปกป้องตัวเอง หรือเพื่อขัดแย้งกับคนอื่น นั่นไม่ได้แปลว่าเป็นคนที่มีเหตุผล
    .
    ในขณะที่คนที่มีความพยายามไม่จำเป็นต้องใส่ใจว่าเหตุผลสำหรับตัวเองคืออะไร เพราะสิ่งที่คนมีความพยายามมีคือรับรู้ถึงความต้องการและเหตุผลของคนอื่นดีพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องใส่ใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับตัวเอง เอาเวลาและพลังงานไปทุ่มเทกับสิ่งที่จะก่อให้เกิดพลลัพธ์จริงดีกว่าเสียเวลาไปกับการแก้ต่างให้ตัวเอง เพราะฉะนั้นคนที่มีความพยายามส่วนมากแล้วมักไม่ค่อยชอบแก้ตัว หรือพยายามโต้เถียง แต่ให้คนอื่นได้เห็นผลจากการกระทำซึ่งเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้จริงมากกว่าคำพูดและคำอธิบาย
    .
    ซึ่งวิธีรับมือกับคนที่ดื้อ เอาแต่ใจตัวเองในที่ทำงานนั้นไม่ควรใช้วิธีแสดงออกหรือการกระทำแบบเดียวกันกับคนประเภทนี้ แต่ควรใช้วิธีอื่นที่ไม่ต้องใช้พลังงานและเวลาในการสื่อสารด้วยมากนัก ซึ่งมีแนวทางที่ควรรู้ ดังนี้
    .
    .
    1. ใช้หลักการ S.T.O.P
    .
    S (Stop responding) : หยุดโต้ตอบกลับสักพัก เพราะการโต้ตอบกลับทันทีนั้นทำให้การสื่อสารเต็มไปด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล และต่อให้มีเหตุผลก็เป็นเหตุผลที่เจือไปด้วยอคติ หยุดโต้ตอบสักพักเพื่อให้อารมณ์คลายลง และค่อยกลับมาสื่อสารกันด้วยเหตุผลและการแก้ปัญหาใหม่อีกครั้ง
    .
    T (Take the reigns) : บ่อยครั้งการสื่อสารกับคนดื้อคือพวกเขามักอธิบายเหตุผลของตัวเองเป็นหลักและพยายามบอกคุณว่าเหตุผลของพวกเขานั้นถูกต้องเพียงใด หน้าที่ของผู้นำคือแยกแยะสถานการณ์และเหตุผลให้ออก และพยายามหาทางออกที่เป็นผลดีที่สุดโดยไม่ได้ต่อว่าหรือทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าตัวเองผิด วิธีนี้จะทำให้คนดื้อค่อยๆเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะรับรู้ว่าหัวหน้ารับรู้เหตุผล ต่อไปก็มีแนวโน้มที่เขาจะยอมรับฟังคุณมากขึ้น
    .
    O (Observe the feeling) : สังเกตอารมณ์ของตัวเองและประเด็นที่พูดคุย หากเรื่องที่คุยกันอยู่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไม่ได้กระทบการงานหรือเป้าหมายองค์กร ก็ไม่จำเป็นต้องเสียแรงและเวลา เพราะยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่สำคัญ บางครั้งคนดื้ออาจทำไปเพราะจิตใจว่างเปล่าหรือแค่ต้องการได้รับความสนใจบางอย่างก็ได้ เพราะฉะนั้นหัวหน้าจึงควรทำหน้าที่รับฟังและพยายามเข้าใจให้ได้มากที่สุด
    .
    P (Proceed with compassion) : คนดื้อก็คือคนที่ค่อนข้างมีอีโก้ประมาณหนึ่ง และวิธีรับมือกับคนที่มีอีโก้ที่ดีที่สุดก็คือใช้ความเมตตา เข้าใจสภาพจิตใจว่าทำไมหรืออะไรที่เป็นสาเหตุให้เขาแสดงพฤติกรรมแบบนี้ การแสดงออกเช่นนั้นอาจเป็นไปเพื่อต้องการให้มีคนยอมรับในตัวเขาก็ได้ หรืออยากเสริมสร้างความมั่นใจว่าตัวเองเป็นคนสำคัญคนหนึ่ง ซึ่งหากคุณเป็นหัวหน้าก็ต้องแสดงภาวะผู้นำออกมา ยอมรับและเข้าใจเขาให้มากขึ้น ใช้เมตตา รับฟัง และพยายามทำให้เขาเห็นในสิ่งที่เหมาะสม เป็นตัวอย่างที่ดี ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนอีโก้ให้ลดลงได้
    .
    .
    2. อารม์ขันช่วยได้
    .
    อารมณ์ขันนั้นเป็นยารักษาความขัดแย้งและเรื่องยากๆให้ง่ายลงได้ ทั้งนี้ก็ต้องเป็นอารมณ์ขันที่ถูกจังหวะและสถานการณ์ด้วย ไม่ควรใช้อารมณ์ขันพร่ำเพรื่อเพราะมันอาจแสดงถึงความไม่ใส่ใจได้ แต่หากอารมณ์ขันได้ถูกจังหวะเวลา ประเด็นยากๆทั้งหมดที่เคยเข้าใจผิด หรืออารมณ์ตึงเครียดที่มีก็จะเจือจางและหายไปได้ ทำให้การพูดคุยกันอีกครั้งหรือการตัดสินใจใดๆนั้นง่ายขึ้นมาก
    .
    .
    3. Be Professional
    .
    ความเป็นมืออาชีพคือสามารถแยกแยะประเด็นที่พูดคุยกับคนที่พูดด้วยได้ บางครั้งสิ่งที่เขาพูดอาจไม่ได้หมายความว่าเขามีเจตนาไม่ดี แต่เป็นเพราะลักษณะการสื่อสารและวิธีในการคิดของเขาแค่เป็นเช่นนั้น หัวหน้าที่มีความเป็นมืออาชีพคือคนที่สามารถเคารพความคิดเห็นของคนประเภทนี้ได้ ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเห็นด้วยเสมอไป แต่เป็นการแสดงความคิดเห็นที่เคารพซึ่งกันและกัน ไม่ได้ตั้งแง่หรือต่อว่า ด้วยวิธีนี้ต่อไปก็มีแนวโน้มว่าคนที่มีนิสัยดื้อรั้นจะรับฟังคุณมากขึ้นและพยายามเข้าใจเหตุผลของคนอื่นมากขึ้นด้วยเช่นกัน
    .
    .
    ที่มา : https://www.lifehack.org/articles/c...stubborn-people-and-convince-them-listen.html
    https://www.harishsaras.com/stress-management/how-to-deal-with-difficult-people-at-work/

    (Content : Thanisorn Boonchote)
    .
    .
    HR NOTE.asia เราเชื่อว่า “คน” คือหัวใจสำคัญขององค์กร
    #HRNOTE

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    UNDERWATER: ผงะ! ขาวประมงอินโดจับได้ฉลามหน้าตาสุดแปลกดูเหมือนคน เชื่อลูกฉลามตัวนี้จะนำโชคลาภมาให้
    .
    มีรายงานการพบฉลามที่หน้าตาเหมือนคนในประเทศอินโดนีเซีย Abdullah Nuren ชาวประมงวัย 48 ปี เป็นคนพบฉลามตัวนี้ ในขณะที่กำลังทำการประมงนอกชายฝั่ง
    .
    Nuren กล่าวว่า “ในตอนแรกเขาได้พบฉลามตัวแม่ที่ติดอวนมา รุ่งขึ้นเขาได้ผ่าท้องมันออกเพื่อตรวจสอบดูข้างในจึงพบลูกฉลามถึงสามตัวในท้องของแม่ฉลามตัวนี้แต่มีเพียงตัวเดียวที่หน้าตาคล้ายคน”
    .
    เขายังเล่าอีกว่า เมื่อพบ เขานำมันกลับมาไว้กับครอบครัวของเขา มีคนมาติดต่อ ขอซื้อเจ้าฉลามน้อยสุดแปลกตัวนี้ แต่เขาปฎิเสธ เนื่องจากเขาเชื่อว่าฉลามตัวนี้จะนำความโชคดีมาแก่เขา
    .
    การที่เจ้าฉลามสุดแปลกตัวนี้นั้น มีหน้าตาเช่นนี้
    คงเป็นการกลายพันธุ์ เกิดมามีความผิดปกติของโครงสร้างตัวอ่อนในครรภ์ หรือการพัฒนาที่ยังไม่สมบรูณ์ จึงทำให้ตาทั้งสองข้าง ไม่อยู่ในตำแหน่งปกติ
    .
    ซึ่งถ้าเกิดคนที่พบฉลามเป็นบ้านเราแล้วล่ะก็
    คงมีคนเดินทางมาขอเลขเด็ดกันอย่างล้นหลามเป็นแน่
    .
    SOURCE :

    https://www.dailymail.co.uk/news/ar...e-baby-shark-Mutant-fish-born-human-face.html



    เรียบเรียงโดย : Pichchakorn

     

แชร์หน้านี้

Loading...