ติดตามสถานะการณ์

แม้จะยังไม่ได้พัฒนาออกมาให้เห็นเป็นผลงานอย่างชัดเจน แต่ทีมผู้พัฒนาหุ่นยนต์ TIGER ได้เผยให้เห็นแนวคิดของการสร้างหุ่นยนต์ 4 ขา ขับเคลื่อนด้วยล้อว่าสามารถเข้าถึงพื้นที่ได้หลายลักษณะ และที่สำคัญคือการเชื่อมต่อกับ Drone ได้ จึงทำให้สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลาย และพร้อมเผยโฉมในระยะเวลา 5 ปี
.
หุ่นยนต์ TIGER (Transforming Intelligent Ground Excursion Robot) เป็นผลงานการพัฒนาของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเกาหลี โดยมีฐานการวิจัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เปิดเผยถึงความสามารถของหุ่นยนต์ที่สามารถทำงานได้โดยปราศจากการควบคุมของมนุษย์ และเดินทางได้หลากหลายภูมิประเทศ
.
TIGER เป็นหุ่นยนต์ 4 ขา ขับเคลื่อนด้วยล้อเลื่อน มีช่องสำหรับเก็บสินค้า สามารถเคลื่อนไหวได้ 360 องศา มีระบบเซ็นเซอร์ช่วยในการควบคุมจากระยะไกล หุ่นยนต์สามารถเดินทางเข้าถึงพื้นที่ที่หลากหลาย ตั้งแต่ทางเรียบไปจนถึงพื้นที่ขรุขระ และพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก โดยหุ่นยนต์จะปรับเปลี่ยนการเดินทางให้เข้ากับพื้นที่ ด้วยการเปลี่ยนการเคลื่อนไหวด้วยล้อเลื่อนให้เป็นการก้าวเดิน ไม่ว่าลักษณะภูมิประเทศจะยากลำบากขนาดไหน TIGER ก็เข้าไปถึงได้โดยไม่มีอุปสรรค
.
ผู้พัฒนาได้วางแผนในการผลักดันให้หุ่นยนต์ TIGER เป็นตัวช่วยสำคัญในการพัฒนาการขนส่งให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถขนส่งสินค้าได้ในทุกพื้นที่บนพื้นโลก ไปจนถึงการเดินทางสำรวจบนดวงจันทร์ โดยในระยะเริ่มต้น หุ่นยนต์จะถูกนำไปใช้เพื่อการขนส่งสินค้า อุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น การขนส่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ นอกจากนี้ ขนาดที่ไม่ใหญ่จนเกินไปของหุ่นยนต์ ทำให้เชื่อมต่อกับอากาศยานไร้คนขับ (Drone) เพื่อช่วยให้การเคลื่อนย้ายทางอากาศมีความสะดวกมากขึ้น
.
หุ่นยนต์ TIGER ที่ขับเคลื่อนด้วยล้อเลื่อน 4 ขานี้ เกิดจากการพัฒนาต่อยอดจากหุ่นยนต์รุ่นก่อนหน้า โดยเปลี่ยนจากการเคลื่อนย้ายผู้โดยสารมาเป็นการพัฒนาเพื่อขนส่งสินค้าแบบไร้คนขับ และเข้าถึงพื้นที่หลากหลายรูปแบบแทน
.
การพัฒนาหุ่นยนต์ TIGER ยังอยู่ในขั้นตอนการเตรียมการ โดยจะใช้เวลา 2 ปีแรกในการแก้ปัญหาทางด้านเทคนิคต่าง ๆ เพื่อให้เข้ากับการออกแบบเพื่อการใช้งานที่วางแผนไว้ และทำให้แนวคิดที่จัดเตรียมไว้ออกมาเป็นรูปร่างได้เร็วที่สุด จากนั้นจึงเริ่มทำการทดสอบ และนำออกมาใช้งานจริงต่อไป
.
--------------------------
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ #ThaiPBSSciAndTech #ThaiPBS

 

เปิดจองล่วงหน้าอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม
.
บริษัทเอกชนรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกาผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมเปิดให้ผู้สนใจใช้บริการทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยสามารถสั่งจองล่วงหน้าบริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมผ่านทางเว็บไซต์ในราคาประมาณ 99 ดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 3,000 บาท เตรียมเปิดให้บริการในช่วงปลายปี พ.ศ. 2564 ถึงต้นปี พ.ศ. 2565 เชื่อมต่อผู้ใช้งานในเมืองและพื้นที่ห่างไกลด้วยอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านดาวเทียม
.
เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียมของบริษัทเอกชนแห่งนี้ใช้ดาวเทียมประมาณ 1,600-12,000 ดวงโคจรรอบโลกที่ระดับความสูงประมาณ 500 กิโลเมตร ในวงโคจรต่ำของโลกเพื่อปล่อยสัญญาณอินเตอร์เน็ตแตกต่างจากการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตข้ามประเทศในปัจจุบันที่ใช้เครือข่ายสายใยแก้วนำแสงใต้สมุทร (Submarine Fiber Optic Cable) รวมไปถึงการใช้เสาสัญญาณอินเทอร์เน็ตเพื่อให้บริการในพื้นที่ต่าง ๆ
.
ดาวเทียมปล่อยสัญญาณอินเทอร์เน็ตติดตั้งระบบขับเคลื่อนปรับตำแหน่งของดาวเทียมด้วยระบบขับเคลื่อนไอออน (Ion Propulsion Systems) ระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ เมื่อดาวเทียมหมดอายุการใช้งานจะถูกทำลายในชั้นบรรยากาศโลกและบริษัทจะส่งดาวเทียมดวงใหม่ขึ้นไปแทนที่ ปัจจุบันดาวเทียมบางส่วนถูกส่งขึ้นสู่อวกาศและเริ่มทดสอบปล่อยสัญญาณอินเทอร์เน็ตครอบคลุมพื้นที่ในประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ผู้ใช้บริการเพียงติดตั้งจานรับสัญญาณอินเทอร์เน็ตขนาดเล็กเพื่อเชื่อมต่อสัญญาณเข้ากับดาวเทียม
.
ปัจจุบันแม้ว่าจะมีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างแพร่หลายแต่มากกว่า 50% ของประชากรโลกยังไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต เนื่องจากปัญหาในด้านของเครือข่ายการสื่อสารที่ไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ห่างไกล สภาพภูมิประเทศไม่เอื้ออำนวยแต่ด้วยเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมสามารถทะลายข้อจำกัดดังกล่าว ดาวเทียมสามารถปล่อยสัญญาณอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไปได้ทุกที่บนโลก แม้ในช่วงเวลาที่สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย
.
อย่างไรก็ตามล่าสุดสำนักงาน กสทช. ได้ออกประกาศชี้แจงเกี่ยวกับเงื่อนไขการให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมในประเทศไทยจะต้องได้รับอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมและการอนุญาตใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมต่างประเทศเสียก่อนซึ่งบริษัทเอกชนดังกล่าวยังไม่ได้ยื่นเอกสารขออนุญาติเปิดให้บริการมายังสำนักงาน กสทช. ดังนั้นหากมีประชาชนที่สนใจสั่งจองล่วงหน้าบริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมจากบริษัทเอกชนแห่งนี้จะต้องศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบเสียก่อน
.
--------------------------
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ #ThaiPBSSciAndTech #ThaiPBS See Less

 

สิงคโปร์, อินโดนีเซียว่า อาเซียนสามารถมีบทบาทในเมียนมา
.
สิงคโปร์ 18 ก.พ. – นายวิเวียน บาลากริชนัน รัฐมนตรีต่างประเทศของสิงคโปร์ กล่าววันนี้ว่า สิงคโปร์และอินโดนีเซียเชื่อว่า สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน สามารถมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เกิดการเจรจาและนำความปกติสุขกลับคืนมายังเมียนมา ซึ่งเป็นสมาชิกอาเซียนเช่นกัน
.
กระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ออกแถลงการณ์หลังจากที่นายบาลากริชนันได้พบกับนางเรตโน มาร์ซูดี รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซียที่สิงคโปร์ในวันนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศทั้งสองได้หารือเกี่ยวกับก้าวต่อไปของอาเซียนในการรับมือกับสถานการณ์ในเมียนมา ที่รัฐบาลพลเรือนของนางอองซาน ซูจี ถูกยึดอำนาจในการก่อรัฐประหารของกองทัพไปเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
.
แถลงการณ์ของกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ระบุว่าทั้งสองต่างแสดงท่าทีสนับสนุนข้อเสนอในการจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีของอาเซียนเพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ในเมียนมา โดยต้องการให้มีการจัดการประชุมโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนทัศนะอย่างสร้างสรรค์และวางแนวทางที่เป็นไปได้ในการหาทางออกในเมียนมา
.
แถลงการณ์ฉบับนี้ ยังระบุด้วยการ การหารือในวันนี้ยังมีประเด็นเรื่องที่ว่า อาเซียนจะเดินหน้าเจรจากับผู้ที่มีส่วนร่วมสำคัญในเรื่องนี้อย่างไร ซึ่งรวมถึงหุ้นส่วนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกอาเซียนด้วย
.
นางเรตโน เดินทางเยือนสิงคโปร์วันนี้ หลังจากที่เธอได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านฮัสซานัล โบลเกียห์ แห่งบรูไน เมื่อวานนี้ เพื่อขอให้บรูไน ซึ่งเป็นประธานหมุนเวียนของอาเซียนในปีนี้ สนับสนุนการเจรจาระหว่างประเทศสมาชิกในเรื่องเมียนมา
.
มาเลเซียได้เรียกร้องก่อนหน้านี้ให้จัดประชุมวาระพิเศษในเรื่องนี้ การจัดการประชุมดังกล่าวถือเป็นเรื่องท้าทายเป็นอย่างยิง เนื่องจากอาเซียนยึดถือนโยบายไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศสมาชิก.

 

ผลไม้ไทยถือว่าเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่คนต่างชาติให้การยอมรับในแง่ของคุณภาพ และรสชาติมาก ล่าสุดวันนี้ ได้มีการเปิดเผยข้อมูล การส่งออกผลไม้ไทยไปยังจีนในปี 2020 จาก ข้อมูลกรมประชาสัมพันธ์ (PRD) ระบุว่า
.
การส่งออกผลไม้ไทย ไปสู่ประเทศจีนนั้นมีอัตราการเติมโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 39.43 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อยู่ที่ 2.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือราว ๆ 8.7 หมื่นล้านบาท) ถึงแม้ว่าในปีที่ผ่านมานั้นจะมีวิกฤตการระบาดของไวรัสโควิด แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกผลไม้ไทยเลย
.
โดยเฉพาะผลไม้ยอดฮิตอย่างทุเรียน ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงมาก โดยข้อมูลการส่งออกทุเรียนไปยังประเทศจีนนั้น มีมูลค่าร่วมกว่า 1.51 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือราว ๆ 4.5 หมื่นล้านบาท) ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมาก เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึงร้อยละ 77.57 เลยทีเดียว
.
นอกจากนี้ กรมประชาสัมพันธ์ยังได้ระบุว่า กรณีนี้จะช่วยการกระตุ้นส่งออกผลไม้ของไทยได้ดียิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะผลไม้สุด ทั้งนี้ การส่งออกสินค้าทั้งหมดของไทยไปจีนนั้นก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 ในปี 2020

-------------------------------
แหล่งข่าว

https://www.xinhuathai.com/eco/178621_20210218
-------------------------------
ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
Website : http://www.thailandvision.co
Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
Youtube : https://www.youtube.com/c/Thailandvision

 

นอนหลับฝันดีครับ

ซาอุดีอาระเบีย : หิมะเริ่มตกในบางพื้นที่ในเขตที่ราบสูงทางตะวันตกเฉียงเหนือ ซาอุดีอาระเบียโดยเฉพาะใน Tabuk คาดว่าอุณหภูมิจะลดลงถึง -7 C

 

#ประมวลข่าว (18 ก.พ.)
#ดราม่าโอลิมปิก
(1) ข่าวแรงมากที่สุดในญี่ปุ่นตอนนี้ก็คือ การเลือก รมต. ฮาชิโมโตะมาแทนลุงโมริ นั่งปธ. จัดงานโอลิมปิกญี่ปุ่นท่ามกลางกระแสข่าวซุบซิบ sexual harassment นักกีฬาชาย จะยังไงต่อลุ้นต่อไปนะคะ



รายละเอียด >> https://www.facebook.com/100044158223129/posts/278235623658376/
#วัคซีนโควิด
(2) ญี่ปุ่นเริ่มฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการแพทย์แล้วเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ยอดจำนวนผู้ได้รับฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในญี่ปุ่นตอนนี้



- 16 สถานพยาบาล/ที่ฉีด
- ได้รับวัคซีนแล้ว 611 คน (ทุกคนเป็นวัคซีนครั้งแรก)
ค่อย ๆ เพิ่มนะคะ เมื่อวาน 125 คน เพราะต้องการดูผลข้างเคียงก่อน
#ไวรัสกลายพันธุ์
(3) พบไวรัสโควิดสายกลายพันธุ์ชนิดใหม่ในญี่ปุ่น



ชื่อ E484K
มีบางส่วนคล้ายสายพันธุ์แอฟริกาใต้และบราซิล
ความสามารถในการระบาดไม่สูงขึ้นเหมือนสายพันธุ์อังกฤษ / แอฟริกาใต้ และบราซิล
แต่น่าจะมีความสามารถในการหลบเลี่ยงแอนตี้บอดี้ของร่างกาย ทำให้ทำงานได้ยากขึ้น 三(((ヾ(･ω･`ﾉ
คนที่เป็นไม่เคยมีประวัติไปต่างประเทศ
เราจะได้สายพันธุ์ญี่ปุ่นเร็ว ๆ นี้ไหมคะ
✼••┈┈┈┈••✼••┈┈┈┈••✼
#โควิด
(4) ยอดผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มวันนี้:



ยอดเพิ่มวันนี้ +1,537 ราย รวมสะสม 422,036 ราย
เสียชีวิตเพิ่ม +76 ราย รวมสะสม 7,299 ราย
คนอาการหนัก 564 ราย (-43)
หายแล้วสะสม 393,494 ราย
จังหวัดที่เกินร้อย
โตเกียว 445 ราย
ไซตามะ 210 ราย
ชิบะ 149 ราย
คานางาวะ 142 ราย
ฟุกุโอกะ 101 ราย
✼••┈┈┈┈••✼••┈┈┈┈••✼
———
เครดิต:
NHK　https://www3.nhk.or.jp/news/special/coronavirus/data/



別の変異ウイルス確認 “抗体の働き弱くなる可能性” https://www3.nhk.or.jp/news/html/20...icSroVhdxuYKNmLgCZ1uUJaB2-D8viBI2JWmaEN5dCmRw

TV: NNN
#กิ๊ฟจังนั่งเล่า #ข่าวญี่ปุ่น

 

นาซาประกาศความสำเร็จ ยาน "เพอร์เซเวียแรนซ์" ลงจอดบนดาวอังคารแล้วเมื่อเช้าวันนี้ (19 ก.พ. 64) เตรียมเริ่มภารกิจสำรวจหาร่องรอยของสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร
.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทีมงานของสำนักงานบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (นาซา) แสดงความยินดีเมื่อได้รับการยืนยันว่า ยานเพอร์เซเวียแรนซ์ ลงจอดบนพื้นผิวดาวอังคารได้สำเร็จ หลังออกเดินทางจากโลกเมื่อ 7 เดือนก่อน ภารกิจหลักของยานลำนี้ คือ การสำรวจพื้นผิวดาวอังคาร พร้อมเก็บหินและดิน 30 ตัวอย่าง ส่งกลับมายังโลกมนุษย์เพื่อใช้ในการตรวจหาร่องรอยของสิ่งมีชีวิต
.
การนำยานลงจอดในครั้งนี้ ถือเป็นภารกิจที่ท้าทายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของการสำรวจอวกาศ เนื่องจากยานพุ่งเข้าสู่ชั้นดาวอังคารด้วยความเร็ว 20,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และต้องลงจอดในแอ่งหลุมอุกกาบาต หากการลงจอดพลาดเป้าหมาย ตัวยานอาจกระแทกเข้ากับขอบของแอ่งหลุมจนทำให้เกิดความเสียหาย หรือหลุดออกไปจนไม่สามารถปีนกลับเข้าไปในแอ่งหลุมได้
.
ขณะที่กฤษดา รุจิรานุกูล เจ้าหน้าที่สารสนเทศดาราศาสตร์ สดร. ได้เรียบเรียงข้อมูลอ้างอิงจากนาซา ระบุว่า การเลือกหลุมอุกกาบาตเจซีโรเป็นสถานที่ลงจอดของรถสำรวจเพอร์เซเวียแรนซ์ เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ตั้งของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโบราณที่เคยมีแม่น้ำไหลผ่านในอดีต หากศึกษาตะกอนที่ถูกน้ำพัดมาสะสมบริเวณนี้จะสามารถบอกเล่าเรื่องราวของน้ำบนดาวอังคารเมื่อ 3,500 ล้านปีก่อน และมีความเป็นไปได้ที่จะพบร่องรอยของสิ่งมีชีวิตประเภทจุลินทรีย์อยู่บริเวณนี้ โดยรถสำรวจเพอร์เซเวียแรนส์และเฮลิคอปเตอร์อินเจนูอิตี ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 63 ที่ผ่านมา และจะเดินทางถึงดาวอังคารวันที่ 19 ก.พ. 64 เวลา 03.55 น. ตามเวลาประเทศไทย
.
--------------------------
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ #ThaiPBSSciAndTech #ThaiPBS

 

AI ประเมินความเสี่ยง “มะเร็งผิวหนัง” ด้วยการวิเคราะห์จากภาพถ่าย
.
การทำกิจกรรมในที่โล่งแจ้ง และต้องเผชิญกับแสงแดดหรือรังสีอยู่ตลอดเวลา เป็นปัจจัยที่ทำให้ผิวหนังถูกทำร้าย และกลายเป็นมะเร็งผิวหนังโดยไม่รู้ตัว การสังเกตการเปลี่ยนแปลงบนผิวหนังเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แม้แต่แพทย์ผิวหนังที่มีความเชี่ยวชาญก็อาจให้คำตอบไม่ได้ในทันที ระบบ AI ประเมินความเสี่ยงการเกิดมะเร็งผิวหนังจึงได้เกิดขึ้น เพื่อช่วยวิเคราะห์ความผิดปรกติที่อาจเกิดขึ้นกับคนไข้
.
ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยโกเธนเบิร์ก ในประเทศสวีเดน ได้พัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อนำมาใช้วิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งผิวหนัง จากเดิมที่ต้องอาศัยการสังเกตด้วยตาเปล่า หรือวินิจฉัยด้วยความเชี่ยวชาญของแพทย์ผิวหนังที่มีประสบการณ์ ระบบ AI จะเข้ามาช่วยประเมินความเสี่ยงเบื้องต้นว่าผิวหนังของผู้ป่วยอยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งผิวหนังหรือไม่
.
ระบบ AI ได้กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือช่วยตรวจและประเมินการเกิดมะเร็งผิวหนัง ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ โดยผลลัพธ์ที่ได้นั้นไม่ต่างจากการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญ แต่ยังต้องปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
.
ทีมพัฒนาได้สร้างระบบการเรียนรู้จากโครงข่ายประสาทเทียม (Convolutional Neural Network: CNN) เพื่อให้ AI ได้จดจำภาพมะเร็งผิวหนังในรูปแบบต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับของสีผิว รูปร่างและความผิดปกติที่เกิดขึ้นบนผิวหนังของผู้ป่วย ซึ่งภาพที่ถูกนำมาให้ระบบปัญญาประดิษฐ์ได้เรียนรู้นั้นมีมากกว่า 900 ภาพ โดยได้รวบรวมมาจากเครื่องมือช่วยตรวจผิวหนัง
.
จากนั้นได้ทำการทดสอบระบบด้วยเคสการรักษาที่ผ่านการวินิจฉัยจากแพทย์ผิวหนัง ผลการทดสอบที่ได้ เมื่อนำมาเปรียบเทียบแล้ว ทำให้เห็นว่าการวิเคราะห์ของแพทย์กับระบบ AI ไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก แต่ยังต้องมีการพัฒนาเพื่อให้ระบบสามารถทำงานได้ดีขึ้นก่อนจะนำไปใช้งานจริงในคลินิกต่อไป
.
แม้ว่าระบบ AI ช่วยประเมินความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนังนี้ จะยังไม่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่อย่างน้อยได้กลายเป็นตัวช่วยของแพทย์ผิวหนังในการช่วยวินิจฉัยเบื้องต้น เพื่อให้แพทย์สามารถทำการรักษาได้ทันเวลา ก่อนจะกลายเป็นโรคร้ายเกินกว่าแพทย์จะทำการรักษาได้
.
--------------------------
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ #ThaiPBSSciAndTech #ThaiPBS

 

#มอร์มูฟเป็นข่าว ความโควิดไม่ทันหาย ความอีโบลาก็เข้ามาแทรก!!! เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ยืนยันการตรวจพบการระบาดครั้งใหม่ของไวรัสอีโบลาในเขตบูเทมโบ เมืองคีวู ประเทศคองโก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการระบาดของไวรัสอีโบลารุนแรงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก และการระบาดนั้นได้ยุติลงอย่างเป็นทางการเมื่อเดือน มิ.ย.ในปีที่ผ่านมา ล่าสุดทาง WHO ยืนยันว่ากำลังเร่งส่งวัคซีนไปยังพื้นที่ของเมืองที่อยู่ห่างไกลนี้โดยเร็วที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดการระบาดเป็นวงกว้าง พร้อมเตือนให้ประชาชนใน 6 ประเทศที่มีพรมแดนเชื่อมต่อกันซึ่งประกอบไปด้วย ไลบีเรีย เซเนกัล กินี มาลี ไอวอรีโคสต์ และเซียร์ราลีโอนเฝ้าระวังในระดับสูง ขณะที่มีการรายงานว่าเริ่มมีการฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขแล้วในประเทศคองโก

** ทางการของประเทศกินีเปิดเผยว่า มีการระบาดของเชื้ออีโบลาเกิดขึ้นในเมืองเอ็นเซเรกอเร ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 3 ราย และมีผู้ติดเชื้อที่กำลังป่วยอยู่อีก 4 คน ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเซียร์ราลีโอนและไลบีเรียก็ประกาศเตือนประชาชนให้เฝ้าระวังในระดับสูง

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ หรือ CDC ชี้ว่า ไวรัสอีโบลาเป็นไวรัสที่สามารถติดต่อจากสัตว์สู่คน จากนั้นจะติดต่อระหว่างคนสู่คนในผู้ที่ป่วยและแสดงอาการแล้วอย่างเห็นได้ชัด โดยเชื้อจะติดต่อผ่านทางเลือดหรือของเหลวจากร่างกาย และอาจติดต่อได้จากศพผู้เสียชีวิตจากไวรัสอีโบลา ขณะที่ WHO ชี้ว่าอัตราการเสียชีวิตจากไวรัสอีโบลานั้นสูงถึง 50%.
----------------------------------
อ่านต่อ : https://www.voicetv.co.th/read/lzOQzRqA-...

 

เข้าใจความรู้สึก

#ชาวบ้านโคราชทุ่มสุดตัว ลงทุนควักเงิน 2,700 บาท ซื้อสมาร์ทโฟน เพื่อลงทะเบียน ‘เราชนะ’
.
เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ นายสมหมาย ผิผ่วนนอก ผู้สูงอายุ บ้านหนองตาโล ตำบลโนนแดง อำเภอโนนแดง จังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า มีชาวบ้านจำนวนมากเข้าร่วมลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล โครงการ “เราชนะ” ผ่านแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง” แต่ระหว่างขั้นตอนการยืนยันตัวตนที่ชาวบ้านต้องถ่ายบัตรประชาชน และสแกนใบหน้า พบว่าต่างประสบปัญหาไม่สามารถยืนยันตัวตนได้ แม้จะพยายามลงทะเบียนเท่าไร ก็ไม่ผ่านสักที ทำให้ต้องไปใช้บริการยืนยันตัวตนที่ธนาคารกรุงไทยกันจนแน่น และมีชาวบ้านบางส่วนที่ไม่มีโทรศัพท์สมาร์ทโฟนใช้ ทำให้ต้องไปต่อคิวใช้บริการลงทะเบียนที่ธนาคารกรุงไทยกันเป็นจำนวนมาก และหลายรายไม่สะดวกเข้ารับบริการ
.
ซึ่งตนเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น เนื่องจากโทรศัพท์มือถือที่มีอยู่เป็นโทรศัพท์รุ่นเก่า ไม่สามารถใช้ระบบสแกนใบหน้าได้ ถ้าจะเดินทางไปใช้บริการที่ธนาคารกรุงไทย ก็เกรงว่าจะไปไม่ทันเข้าคิว เพราะต้องไปใช้บริการธนาคารกรุงไทยที่อยู่ต่างอำเภอ ห่างออกไปประมาณ 30 กิโลเมตร จึงตัดสินใจซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ ในราคา 2,700 บาท เพื่อให้ได้เข้าร่วมโครงการเราชนะได้รับเงินช่วยเหลือค่าครองชีพจากภาครัฐ ซึ่งตนมองว่าเป็นเงินจำนวนมากพอที่จะนำมาใช้ยังชีพในช่วงโควิด-19 ที่ยังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้

--------------------------------------------
เครดิต : มติชน

 

นักเคลื่อนไหวแฉ ‘ประเทศร่ำรวย’ กักตุนวัคซีนโควิด-19 เกินความจำเป็นกว่า ‘1 พันล้านโดส’
.
นักเคลื่อนไหวเผยกลุ่มประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจร่ำรวยแห่สั่งซื้อวัคซีนป้องกันโควิด-19 เกินความจำเป็นกว่า 1,000 ล้านโดส ในขณะที่ประเทศยากจนยังคงเผชิญข้อจำกัดในการเข้าถึงวัคซีนซึ่งจะช่วยให้โลกก้าวพ้นวิกฤตโรคระบาดใหญ่
.
One Campaign ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่รณรงค์ต่อต้านปัญหาความยากจนและโรคที่สามารถป้องกันได้ มีการเผยแพร่บทวิเคราะห์สัญญาสั่งซื้อวัคซีนโควิด-19 ของประเทศต่างๆ โดยระบุว่า ประเทศร่ำรวยอย่าง “สหรัฐอเมริกา” และ “อังกฤษ” ควรที่จะแบ่งปันวัคซีนซึ่งสั่งซื้อเกินความจำเป็น เพื่อสนับสนุนการต่อสู้โรคระบาดในระดับสากล และหากยังคงมีการ “กักตุน” วัคซีนเช่นนี้ต่อไปก็เท่ากับปิดกั้นโอกาสของประชากรโลกอีกหลายพันล้านคนในการได้รับวัคซีน ซึ่งจะทำให้วิกฤตโรคระบาดใหญ่ครั้งนี้ยืดเยื้อยาวนานออกไปอีก
.
นักเคลื่อนไหวกลุ่มนี้ได้ศึกษาข้อมูลการสั่งซื้อวัคซีนจาก 5 ผู้ผลิตรายใหญ่ ได้แก่ ไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค, โมเดอร์นา, อ็อกซ์ฟอร์ด/แอสตราเซเนกา, จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน และโนวาแว็กซ์ และพบว่าจนถึงขณะนี้ สหรัฐอเมริกา, สหภาพยุโรป, อังกฤษ, ออสเตรเลีย, แคนาดา และญี่ปุ่น ได้สั่งซื้อวัคซีนรวมกันทั้งหมดกว่า 3,000 ล้านโดส โดยเป็นวัคซีนส่วนเกินกว่า 1,000 ล้านโดส จากจำนวน 2,060 ล้านโดสที่เพียงพอสำหรับการฉีดให้แก่ประชากรทุกคน คนละ 2 โดส
.
“คำสั่งซื้อส่วนเกินนี้เป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงลัทธิชาตินิยมในด้านวัคซีน (vaccine nationalism)” เจนนี อ็อตเทนฮอฟฟ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายนโยบายของ One Campaign ระบุ “แนวทางแก้ไขที่ครอบคลุมคือสิ่งจำเป็น หากเราต้องการจะปกป้องประชากรอีกหลายพันล้านคนทั่วโลก”
.
บทวิเคราะห์ชิ้นนี้ยังระบุด้วยว่า นอกจากวัคซีนโควิด-19 ที่จัดซื้อผ่านโครงการ COVAX ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่มุ่งกระจายวัคซีนให้แก่ประเทศต่างๆ อย่างเป็นธรรม รวมถึงคำสั่งซื้อแบบทวิภาคีแล้ว วัคซีนส่วนเกินที่ประเทศร่ำรวยกักตุนไว้ก็จะมีส่วนช่วยปกป้องพลเมืองของประเทศยากจนได้อีกมากมาย โดยช่วยลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตจากโควิด-19 และลดโอกาสในการเกิดเชื้อกลายพันธุ์ใหม่ๆ ซึ่งจะทำให้โรคระบาดยุติลงได้เร็วยิ่งขึ้น
.
องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกมาระบุวานนี้ (18) ว่าประเทศต่างๆ ไม่ควรนำวัคซีนไปแบ่งปันให้แก่ชาติอื่นเอง แต่ควรบริจาคผ่านโครงการ COVAX ซึ่งจะรับประกันได้ว่าวัคซีนเหล่านี้จะถูกจัดสรรให้แก่ทุกประเทศอย่างเป็นธรรม
.
ที่มา: รอยเตอร์

 

เทกซัสหนาวสุดขั้ว! ดับกว่า 30 ไฟฟ้าไม่มีประปาไม่ไหล เกือบ 7 ล้านถูกสั่งให้ “ต้มน้ำ” สว.ครูซหอบครอบครัวหนีไปเม็กซิโก
.
.
.
.
เอเจนซีส์/เอเอฟพี/เอพี – ประชาชนเกือบ 7 ล้านคนในรัฐเทกซัสถูกสั่งให้ต้มน้ำก่อนบริโภคหลังจากเกิดพายุฤดูหนาวครั้งร้ายแรงทำให้เกิดไฟฟ้าดับเป็นวงกว้างกระทบโรงพยาบาลต่างๆ ยอดดับล่าสุดกว่า 30 ราย สว.รัฐเทกซัสชื่อดัง เท็ด ครูซ หนีหนาวพาครอบครัวไปตากอากาศอบอุ่นที่แคนคูน ของเม็กซิโก
.
บีบีซี สื่ออังกฤษ รายงานวันนี้(18 ก.พ)ว่า พายุหิมะทำให้กระแสไฟฟ้าดับเป็นวงกว้างและกระทบไปถึงระบบน้ำประปาในรัฐเทกซัส ทางใต้ของสหรัฐฯ พบว่าเจ้าหน้าที่ได้ออกคำสั่งให้ประชาชนภายในรัฐที่มีจำนวนเกือบ 7 ล้านหรือราว 1 ใน 4 ของจำนวนประชากรของรัฐทั้งหมดต้องต้มน้ำก่อนบริโภค
.
ระบบไฟฟ้าของรัฐต้องแบกรับภาระการจ่ายไฟตามความต้องการเป็นจำนวนมากเนื่องมาจากสภาพอากาศที่หนาวจัดที่สุดในรอบ 30 ปี โดยต้นสัปดาห์นี้อากาศหนาวถึง – 18องศาเซลเซียส
.
อ้างอิงจากอินไซเดอร์พบว่า โรงพยาบาลในพื้นที่เขตออสตินได้ออกคำเตือนฉุกเฉินเกี่ยวกับปัญหาน้ำประปาของทางโรงพยาบาลวันพุธ(17)
.
โรงพยาบาลเซนต์ เดวิด เซาท์ ออสติน เมดิคอลเซนเตอร์ เซนต์ (St. David's South Austin Medical Center) ได้สูญเสียแรงดันน้ำในวันพุธ(17)ส่งผลทำให้ต้องส่งคนไข้บางส่วนไปยังโรงพยาบาลอื่นๆใกล้เคียงและได้สั่งให้คนไข้อีกหลายคนกลับบ้าน
.
ซึ่งในเวลานี้ทางโรงพยาบาลมีคนไข้ต่ำกว่า 300 คน การที่ทางโรงพยาบาลไม่มีน้ำอุ่นเนื่องมาจากปกติจะต้องมีน้ำส่งป้อนเข้าเครื่องต้มน้ำเพื่อทำน้ำอุ่น ซึ่งทางเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลพบครั้งแรกและได้แจ้งให้ทางโรงพยาบาลทราบถึงปัญหาการไม่มีน้ำใช้
.
และโรงพยาบาล แอสเซนชัน เซตัน(Ascension Seton)อีกแห่งในเมืองออสตินได้ประกาศถึงปัญหาการไม่มีน้ำใช้ในวันพุธ(17)
.
เอพีรายงานล่าสุดว่าปัญหาไฟฟ้าดับเช้าวันพฤหัสบดีนั้นต่ำกว่า 1 ล้านคนแล้ว ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 4 วัน แต่ยังคงมีเป็นจำนวนมากที่ไม่มีไฟฟ้าหรือน้ำประปาใช้หลังจากพายุฤดูหนาวสร้างความเสียหายแก่ระบบไฟฟ้าและประปาอย่างหนัก
.
พายุหิมะตกหนักและน้ำแข็งวันนี้(18)คาดว่าจะเคลื่อนตัวไปทางตะวันออกแถบเทือกเขาแอปพาเลเชียน (Appalachian Mountains) ทางเหนือของรัฐแมรีแลนด์ และทางใต้รัฐเฟนซิลเวเนีย ก่อนที่พายุฤดูหนาวจะมุ่งไปทางตะวันออกเฉียงเหนือก่อนพระอาทิตย์ตก
.
อย่างไรก็ตามในรัฐเทกซัสวันพฤหัสบดี(18)บ้านเรือนและธุรกิจกว่า 600,000 แห่งยังคงอยู่โดยไม่มีไฟฟ้าใช้ต่อไปในตอนเช้า เป็นตัวเลขที่ต่ำกว่า 1 วันก่อนหน้าที่ 3 ล้านคน ซึ่งผลจากสภาพวะอากาศหนาวเย็นจัดส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิตล่าสุดไปแล้วกว่า 30 คน เอพีชี้
.
ซึ่งในจำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ในพื้นที่เมืองฮูสตันมีครอบครัวชาวอเมริกันที่มีแม่และลูกสาวว 1 คนเสียชีวิตจากก๊าซคาร์บอนมอนน็อกไซด์ระหว่างนั่งอยู่ภายในรถภายในโรงเก็บรถของพวกเขา และคุณย่าพร้อมกับหลานอีก 3 คนเสียชีวิตจากเปลวไฟที่ออกมาจากเตาผิงที่พวกเขาจุดเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
.
เอเอฟพีรายงานว่า ทีมประสานงานโควิด-19ของทำเนียบขาวได้ชี้ว่า พายุฤดูหนาวเป็นอุปสรรคต่อการขนส่งและการแจกจ่ายวัคซีน
.
ฟ็อกซ์นิวส์เบย์แอเรียรายงานว่า กลายเป็นที่กล่าวขวัญเมื่อมีคนสามารถจับภาพ เท็ด ครูซ สว.รัฐเทกซัสชื่อดัง ผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ เจ. ทรัมป์. อยู่บนเครื่องพาครอบครัวหนีวิกฤตพายุฤดูหนาวรอบ 30 ปีของรัฐ



เตือนชาวเทกซัสรับมือ “หายนะในความหายนะ” ไม่มีทั้งไฟฟ้า-ประปา ต้องฝ่าอากาศหนาวสุดขั้วในความมืดอีกหลายวัน
เจ้าหน้าที่ในรัฐเทกซัสเตือนภัยประชาชนให้รับมือกับ “หายนะภายในความหายนะ” สืบเนื่องจากอากาศหนาวสุดขั้วครั้งประวัติการณ์ ทำให้ผู้คนหลายล้านไม่มีไฟฟ้าใช้และเครื่องทำความอุ่นก็ทำงานไม่ได้เป็นวันที่ 3 ติดต่อกันในวันพุธ (17 ก.พ.) โดยกว่าที่สถานการณ์เรื่องกระแสไฟฟ้าจะกลับมาดีได้คงต้องรอถึงสุดสัปดาห์นี้
ประชาชนที่พำนักอยู่ในกว่า 100 เทศมณฑลของเทกซัส ได้รับคำแนะนำให้ต้มน้ำประปาที่จะนำมาดื่มเสียก่อน เนื่องจากพวกโรงงานประปายังคงเจอปัญหาไฟฟ้าดับ เจ้าหน้าที่หลายรายบอก ขณะที่ผู้คนอาจจะมากถึง 12 ล้านคนทีเดียว ในรัฐใหญ่อันดับ 2 ของประเทศแห่งนี้ซึ่งมีประชากรทั้งหมดราวๆ 29 ล้านคน ต้องประสบปัญหาน้ำประปาในบ้านไม่ไหล หรือมีน้ำประปาให้ใช้ได้เป็นพักๆ เท่านั้น
พวกเจ้าหน้าที่ระบุว่า ครัวเรือนราว 2.7 ล้านครัวเรือนยังคงไม่มีกระแสไฟฟ้า และเนื่องจากคาดหมายกันว่าอุณหภูมิจะยังคงหนาวจัดต่อไปจนถึงตลอดสุดสัปดาห์นี้ การแก้ไขเรื่องขาดแคลนสาธารณูปโภคสำคัญยิ่งนี้จึงจะดำเนินไปได้ช้ามาก โดยที่ในเวลานี้เทกซัสอยู่ในภาวะสูญเสียความสามารถในการผลิตไฟฟ้าของตนไปถึงราว 40% ขณะที่พวกบ่อแก๊สธรรมชาติและสายท่อส่ง ตลอดจนกังหันใช้ผลิตไฟฟ้าจากพลังลม ล้วนแต่ปิดตายจากสภาพอากาศเยือกแข็ง
โรงพยาบาลต่างๆ ในเมืองฮิวสตัน ซึ่งเป็นนครใหญ่ที่สุดของรัฐ รวมทั้งตามที่อื่นๆ ในเทกซัส ต่างรายงานว่าพวกเขาไม่มีน้ำใช้ มีรายงานผู้เสียชีวิตกว่า 30 คนแล้วสืบเนื่องจากอากาศหนาวสุดขั้วคราวนี้ โดยพวกเจ้าหน้าที่สงสัยว่าน่าจะมีจำนวนมากกว่านี้อีก ทว่ายังไม่เจอร่างไร้ชีวิตของพวกเขาเท่านั้น
ในคืนวันพุธ (17) พวกเจ้าหน้าที่บอกประชาชนในส่วนต่างๆ ซึ่งมีประชากรอาศัยกันมากที่สุดของรัฐ ให้เตรียมพร้อมรับมือกับฝนและหิมะหนาวยะเยือกอีกระลอกภายในช่วง 24 ชั่วโมงข้างหน้า
อากาศซึ่งหนาวสุดๆ บังคับให้ชาวบ้านชาวเมืองบางรายต้องตัดสินใจเลือก ระหว่างการอยู่ในบ้านที่มืดมิดและหนาวเหน็บ โดยที่บางรายยังเจอกับน้ำในท่อประปากลายเป็นน้ำแข็งหรือไม่ก็ท่อแตกใช้การไม่ได้ หรือว่าจะไปพำนักตามศูนย์บรรเทาทุกข์ในท้องถิ่นซึ่งเสี่ยงต่อการสัมผัสกับเชื้อโรคโควิด-19
“นี่คือในหลายๆ ด้านแล้ว มันเป็นหายนะหลายๆ อย่างภายในความหายนะใหญ่” เป็นคำพูดของ ผู้พิพากษา ลิยา ฮิดัลโก เจ้าหน้าที่สูงสุดซึ่งได้รับการเลือกตั้ง ในเทศมณฑลแฮร์ริส ที่มีพื้นที่ครอบคลุมเมืองฮิวสตัน “ผลกระทบอย่างต่อเนื่องเป็นชั้นๆ จะยังไม่หายสูญไปไหน”
ทางด้านผู้ว่าการรัฐ เกร็ก แอ็บบอตต์ บอกกับที่ประชุมแถลงข่าวว่า เขาคาดหมายว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งที่ตั้งตอนทางใต้ของเทกซัสจะกลับมาทำงานได้ใหม่ในคืนวันพุธ ซึ่งเมื่อบวกกับโรงไฟฟ้าถ่านหินอีกจำนวนหนึ่งที่เดินเครื่องกันได้อีก ก็ควรมีไฟฟ้าเพียงพอใช้สำหรับบ้านเรือน 400,000 หลัง
แอ็บบอตต์ ซึ่งสังกัดพรรครีพับลิกัน ได้เรียกร้องให้จัดการสอบสวนการบริหารจัดการของสหกรณ์ที่ใช้ชื่อว่า สภาไฟฟ้าที่ไว้วางใจได้แห่งเทกซัส ( Electric Reliability Council of Texas หรือ ERCOT) ซึ่งเป็นผู้ดูแลโครงข่ายไฟฟ้าราว 90% ของรัฐแห่งนี้
สหกรณ์ ERCOT กำลังถูกโจมตีหนักว่าไม่รับฟังคำเตือนต่างๆ ของทางรัฐบาลกลาง ให้ดำเนินการเพื่อทำให้โรงสร้างด้านไฟฟ้าของเทกซัส ซึ่งอาศัยแก๊สธรรมชาติเป็นพลังงานสำคัญที่สุด สามารถรับมือกับอากาศหนาวจัดได้ หลังจากเคยเจอไฟฟ้าดับในวงกว้างจากอากาศหนาวทำนองนี้เมื่อปี 2011 มาแล้ว
ลอรา โนเวลล์ คุณแม่ลูกสี่ วัย 45 ปี ในเมืองวาโก รัฐเทกซัส เผยว่าครอบครัวของเธอไม่มีไฟฟ้าใช้มาตั้งแต่ช่วงรุ่งสางของวันจันทร์ (15) และพยายามรักษาความอุ่นด้วยการอยู่รวมกลุ่มกัน วิ่ง หรือไม่ก็เข้าไปนั่งในรถเป็นเวลาสั้นๆ
“เราไม่เคยเจออากาศหนาวขนาดนี้มาก่อน มีน้ำแข็งอยู่ทุกหนทุกแห่ง” โนเวลล์กล่าว พร้อมบอกว่ารู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้รับการสื่อสารแจ้งข่าวใดๆ เกี่ยวกับการดับไฟฟ้าผลัดกันเป็นเขตๆ เพื่อรักษาโครงข่ายไฟฟ้าเอาไว้ “บอกฉันหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเงียบกันจัง”
เทกซัส ซึ่งเวลานี้เป็นตลาดพลังงานไฟฟ้าที่ผ่านกระบวนการตัดทอนลดเลิกระเบียบควบคุมแล้ว กลายเป็นตลาดที่แทบไม่สร้างแรงจูงใจทางการเงิน ให้พวกผู้ประกอบกิจการจ่ายไฟฟ้าลงมือเตรียมการสำหรับรับมืออากาศหนาวจัด ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นน้อยครั้งมากในรัฐแห่งนี้ แม้ปัญหานี้ได้ถูกพวกนักวิจารณ์ชี้ออกมาให้เห็นกันเป็นแรมปีแล้ว
ทางด้านERCOT ซึ่งใช้นโยบายดับไฟฟ้าในบางพื้นที่ มาเป็นวิธีแก้ไขอย่างหนึ่งเมื่อความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงขึ้นพรวดพราดในบางระยะ ได้ออกมาขอให้ประชาชนโฟกัสที่การแก้ปัญหาซึ่งเกิดขึ้น ก่อนที่จะกล่าวโทษประณามใคร พร้อมกับแสดงความหวังว่าอีกไม่นานพวกลูกค้าจะต้องรับมือกับสถานการณ์ที่แต่ละเขตผลัดกันดับไฟฟ้ากันเพียงช่วงสั้นๆ อย่างเช่นดับกันครั้งละประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง
สำหรับสภาพอากาศ สำนักงานพยากรณ์อากาศแห่งชาติบอกในวันพุธว่า สภาพอากาศเลวร้ายผ่านพ้นพื้นที่เมืองฟอร์ตเวิร์ต รัฐเทกซัส ไปแล้ว แต่ยังคงคำเตือนด้านพายุไปจนถึง 20.00 น. ในพื้นที่ทางตะวันออกของรัฐ และเตือนว่าอุณหภูมิจะต่ำผิดปกติเช่นนี้ต่อไปอีกหลายวัน
นอกจากนี้แล้ว สำนักงานพยากรณ์อากาศแห่งชาติ ระบุว่า หิมะและฝนเยือกแข็งที่เล่นงานภูมิภาคแถบนี้กำลังเคลื่อนไปทางตะวันออก และคาดหมายว่าจะเกิดการสะสมของหิมะและน้ำแข็งหนาหลายนิ้วในหลายพื้นที่ของรัฐเทกซัส รัฐลุยเซียนา และรัฐมิสซิสซิปปี ก่อนพายุจะเคลื่อนเข้าสู่แถบตอนกลางของแอตแลนติก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือในวันพฤหัสบดี (18 ก.พ.)
(ที่มา: รอยเตอร์, เอพี)
#บรรยายภาพ หลังจากเห็นโพสต์บนเฟซบุ๊ก ลาดอนนา (ไม่ได้ให้นามสกุลไว้) จึงขับรถจากเทศมณฑลจอห์นสัน รัฐเทกซัส มาเก็บรวบรวมไอสกรีมซึ่งซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่ง ในเมืองอาร์ลิงตัน รัฐเทกซัส นำมาทิ้งไว้เต็มถังขยะ เมื่อวันพุธ (17 ก.พ.) ทั้งนี้มาตรการดับไฟฟ้าผลัดกันไปเป็นเขตๆ ทำให้ธุรกิจหลายแห่งต้องเคลียร์สินค้าซึ่งจำเป็นต้องแช่เย็น
#บรรยายภาพ คนเข้าแถวกันในเมืองฮิวสตัน รัฐเทกซัส เมื่อวันพุธ (17 ก.พ.) เพื่อซื้อแก๊สเติมถังของตน สำหรับนำไปใช้ทำความอบอุ่นภายในบ้าน ตลอดจนหุงต้มทำอาหาร โดยเฉพาะในยามที่อากาศหนาวจัดและไฟฟ้าดับ ทั้งนี้ลูกค้าเหล่านี้ต้องเข้าแถวรอกันอยู่ชั่วโมงกว่าท่ามกลางฝนยะเยือกซึ่งตกลงมา
#บรรยายภาพ ผู้คนจำนวนมากเรียงแถวนำยานพาหนะของพวกตนเข้าไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวแห่งหนึ่งในเมืองแกลเวสตัน รัฐเทกซัส เมื่อคืนวันพุธ (17 ก.พ.) ภายหลังอากาศหนาวจัดสุดขั้วกระหน่ำใส่ ขณะที่ไฟฟ้าก็ดับในพื้นที่จำนวนมากจนต้องอยู่กันในความมืดแถมเปิดเครื่องทำความอุ่นไม่ได้ แล้วน้ำประปาก็ยังมีปัญหา




‘เทกซัส’ กู้โรงไฟฟ้าสำเร็จ แต่ 325,000 ครัวเรือนยัง ‘ไฟดับ’ ท่ามกลางสภาพอากาศหนาวสุดขั้ว
.
เกร็ก แอบบ็อตต์ ผู้ว่าการรัฐเทกซัส ระบุวานนี้ (18 ก.พ.) ว่าโรงไฟฟ้าทุกแห่งในรัฐสามารถกลับมาจ่ายไฟได้ตามปกติแล้ว ทว่ายังคงมีบ้านเรือนกว่า 3 แสนหลังที่เผชิญปัญหาไฟดับเนื่องจากเสาไฟฟ้าหักโค่นหรือข้อจำกัดอื่นๆ หลังเกิดพายุฤดูหนาวครั้งรุนแรงที่ทำให้อุณหภูมิลดต่ำถึงขั้นติดลบ
.
ขณะเดียวกัน ผู้นำคนอื่นๆ ในรัฐเทกซัสก็ออกมาเตือนว่า ระบบจ่ายไฟฟ้าของรัฐแห่งนี้จะยังอยู่ในสภาวะ “เปราะบาง” อย่างยิ่งต่อไปอีกอย่างน้อย 2-3 วัน เนื่องจากสภาพอากาศจะยังหนาวจัดต่อเนื่องไปจนถึงสุดสัปดาห์นี้
.
จำนวนบ้านเรือนที่ปราศจากไฟฟ้าใช้ลดลงจาก 2.7 ล้านหลังในวันพุธ (17) เหลือเพียง 325,000 หลังเมื่อวานนี้ ขณะที่ชาวเทกซัสมากกว่า 13 ล้านคนยังคงเผชิญปัญหาน้ำประปาไม่ไหล
.
สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่ล้มเหลวหลังพายุฤดูหนาวซัดกระหน่ำรัฐตอนใต้แห่งนี้เมื่อ 4 วันก่อน ส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าและผู้นำรัฐ ซึ่งรวมถึงตัว แอบบ็อตต์ เอง ถูกประชาชนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
.
แอบบ็อตต์ ยืนยันว่าตนได้ขอให้สมาชิกสภานิติบัญญัติเร่งออกกฎหมายบังคับให้โรงไฟฟ้าทุกแห่งของเทกซัสต้องปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้สามารถทนอากาศหนาวได้ เหมือนกับในรัฐอื่นๆ ที่มีสภาพอากาศหนาวเย็นกว่า เพื่อไม่ให้วิกฤตการณ์ไฟดับเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำอีกในอนาคต
.
“สิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวเทกซัสในสัปดาห์นี้เป็นอะไรที่รับไม่ได้อย่างสิ้นเชิง และมันจะต้องไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก” แอบบ็อตต์ ระบุในงานแถลงข่าว พร้อมทั้งตำหนิบริษัทไม่แสวงผลกำไร Electric Reliability Council of Texas (ERCOT) ซึ่งรับผิดชอบดูแลระบบไฟฟ้าถึง 90% ในรัฐแห่งนี้ เนื่องจากทางบริษัทได้แจ้งยืนยันกับเจ้าหน้าที่ก่อนที่จะเกิดพายุหิมะว่า ระบบจ่ายไฟได้รับการปรับปรุงให้พร้อมรับสภาพอากาศหนาวแล้ว
.
ไฟฟ้าดับยังทำให้ประชาชนหลายล้านคนไม่มีน้ำประปาใช้ตามไปด้วย และส่งผลกระทบต่อโรงพยาบาลต่างๆ ที่ต้องดูแลรักษาคนไข้ในช่วงโควิด-19 ระบาด ขณะที่ชุมชนบางแห่งถูกตัดขาดเนื่องจากถนนยังถูกหิมะปกคลุมจนไม่สามารถสัญจรผ่านได้
.
คณะกรรมการคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งเทกซัส (Texas Commission on Environmental Quality) แถลงข้อมูลเมื่อช่วงบ่ายวันพฤหัสบดี (18) ว่า ยังมีโรงประปา 797 แห่งที่ประสบปัญหาเรื่องการจ่ายน้ำ ซึ่งกระทบต่อผู้บริโภคราว 13.2 ล้านคน โดยทางการได้ออกคำเตือนให้ประชาชนต้มน้ำประปาก่อนที่จะนำมาดื่ม
.
สำนักงานจัดการภาวะฉุกเฉินกลางแห่งสหรัฐฯ (Emergency Management Agency – FEMA) ระบุว่า อุณหภูมิที่หนาวเยือกแข็งเป็นประวัติการณ์นี้ยังทำให้การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ต้องหยุดชะงัก เนื่องจากศูนย์ฉีดวัคซีนกว่า 2,000 แห่งยังคงเผชิญปัญหาไฟฟ้าดับ
.
ล่าสุด มีรายงานผู้เสียชีวิตจากพายุฤดูหนาวแล้วเกือบ 20 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่คาดว่าตัวเลขที่แท้จริงน่าจะสูงกว่านี้ เนื่องจากอาจมีผู้เสียชีวิตบางรายที่ยังไม่ถูกพบ
.
ที่มา: รอยเตอร์

 

สวดยับ‘เฟซบุ๊ก’หลังบล็อกเพจข่าวออสเตรเลีย “#ทิ้งแพล็ตฟอร์มโซเชียลดัง”ติดเทรนด์ทวิตเตอร์



ผู้นำออสซี่ตราหน้าเฟซบุ๊ก “ยะโส” หลังแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียชื่อก้องรายนี้บล็อกผู้ใช้ในออสเตรเลียไม่ให้แชร์ข่าว เพื่อตอบโต้ที่ทางการแคนเบอร์ราเตรียมผ่านกฎหมายบังคับจ่ายค่าคอนเทนต์ข่าว แต่กลับส่งผลให้หน้าบริการฉุกเฉินและมูลนิธิต่างๆ ปลิวไปด้วย ขณะที่หน้าข่าวปลอมที่สร้างความเข้าใจผิดยังเข้าดูได้ตามปกติ ความเคลื่อนไหวนี้ยังทำให้แฮชแท็กรณรงค์เลิกใช้เฟซบุ๊ก ติดเทรนด์ทวิตเตอร์
นับจากช่วงเช้ามืดวันพฤหัสบดี (18 ก.พ.) ผู้ใช้เฟซบุ๊กในออสเตรเลียไม่สามารถโพสต์ลิงก์ข่าวหรือดูหน้าข่าวบนเฟซบุ๊ก ขณะที่ผู้ใช้ในประเทศอื่นๆ ทั่วโลกไม่สามารถดูหน้าข่าวจากออสเตรเลียได้
อย่างไรก็ตาม ด้วยเงื่อนไขทางเทคนิคทำให้เพจของมูลนิธิต่างๆ สายด่วนแจ้งเหตุรุนแรงภายในบ้าน บริการด้านสุขภาพ สภาพอากาศ และบริการฉุกเฉินมากมายในออสเตรเลียถูกบล็อกไปด้วย และทำให้ยักษ์ใหญ่โซเชียลมีเดียจากอเมริกาแห่งนี้ถูกรุมประณามอย่างกว้างขวาง
นายกรัฐมนตรีสก็อตต์ มอร์ริสันของออสเตรเลีย วิจารณ์ว่า การตัดสินใจล่าสุดของเฟซบุ๊กเท่ากับเป็นการ “เลิกเป็นเพื่อน” กับออสเตรเลีย พร้อมประกาศว่า จะผลักดันร่างกฎหมายเก็บค่าเนื้อหาข่าวต่อ และประณามเฟซบุ๊กว่า การปิดหน้าบริการข้อมูลสำคัญด้านสุขภาพและบริการฉุกเฉินต่างๆ มากมายในออสเตรเลีย เป็น “ความยะโสและน่าผิดหวังอย่างมาก”
ชนวนความขัดแย้งนี้มาจากร่างกฎหมายของออสเตรเลียที่กำลังถูกจับตาทั่วโลก เนื่องจากจะอนุญาตให้สำนักข่าวหรือบริษัทสื่อในออสเตรเลียสามารถเก็บค่าเนื้อหาข่าวที่มีการนำไปแชร์บนแพลตฟอร์มของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ต่างๆ
ทางด้านโฆษกเฟซบุ๊กชี้แจงว่า หน้าอย่างเป็นทางการของรัฐบาลออสเตรเลีย ซึ่งรวมถึงการแจ้งเตือนการระบาดของโควิด-19 ไฟป่า และพายุไซโคลน ไม่ใช่เป้าหมายการดำเนินการของบริษัท แต่เนื่องจากกฎหมายไม่มีคำแนะนำที่ชัดเจนเกี่ยวกับคำจำกัดความของเนื้อหาข่าว บริษัทจึงจำเป็นต้องดำเนินการโดยอิงกับคำจำกัดความที่ครอบคลุม
แม้หน้าซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับข่าวบางส่วน เริ่มกลับมาดูได้อีกครั้งในช่วงบ่าย แต่ชาวออสซี่ยังคงไม่พอใจอย่างมากกับการตัดสินใจของเฟซบุ๊ก และส่งผลให้แฮชแท็ก #facebooknewsban และ #DeleteFacebook ติดเทรนด์บนทวิตเตอร์
ปีเตอร์ ลูอิส ผู้อำนวยการศูนย์เพื่อเทคโนโลยีที่มีความรับผิดชอบ โจมตีว่า การตัดสินใจของเฟซบุ๊กเป็นการทำลายใบอนุญาตทางสังคมของบริษัทเอง และว่า เมื่อไม่มีข่าวที่อิงกับข้อเท็จจริง เฟซบุ๊กก็เป็นแค่ลูกแมวบ้องแบ๊วและเพจทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดเท่านั้น
“ถ้าเฟซบุ๊กตัดสินใจปฏิบัติกับคนออสเตรเลียแบบนี้ เราก็ควรตอบโต้ด้วยการเลิกใช้เฟซบุ๊กและหาแพล็ตฟอร์มอื่นเพื่อเชื่อมต่อออนไลน์แทน”
อีเลน เพียร์สัน ผู้อำนวยการฮิวแมน ไรต์ส วอต์ช ออสเตรเลีย ชี้ว่า การตัดการเข้าถึงข้อมูลสำคัญของคนทั้งประเทศในตอนกลางดึก ถือเป็นการกระทำที่ขาดจิตสำนึก
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคนที่เตือนว่า เฟซบุ๊กลบข้อมูลและข่าวอย่างเป็นทางการจากนักข่าวที่เชื่อถือได้ แต่กลับปล่อยให้มีการเผยแพร่ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดและข้อมูลที่สร้างความเข้าใจผิดและเป็นอันตรายโดยไม่มีการตรวจสอบ
กรณีนี้ถือเป็นเหตุการณ์ความขัดแย้งล่าสุดระหว่างภาครัฐกับพวกบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ซึ่งกำลังถูกตรวจสอบเข้มงวดขึ้นในแง่การสร้างผลกระทบทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม
มอร์ริสันสำทับว่า ขณะนี้หลายประเทศกำลังกังวลกับพฤติกรรมของเหล่าบิ๊กเทคที่คิดว่า ตัวเองใหญ่กว่ารัฐบาลและไม่ควรถูกควบคุมภายใต้กฎใดๆ
“พวกเขาอาจเปลี่ยนแปลงโลก แต่ไม่ได้หมายความว่า จะครองโลกได้”
ความเคลื่อนไหวของเฟซบุ๊กเกิดขึ้นหลังจากที่รัฐมนตรีคลังออสเตรเลียทวิตว่า ได้พูดคุยอย่างสร้างสรรค์กับมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เกี่ยวกับกฎหมายควบคุมบริษัทไฮเทคที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา
ทางด้านวิลเลียม อีสตัน ผู้จัดการเฟซบุ๊กประจำออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ คัดค้านร่างกฎหมายดังกล่าวสุดลิ่มโดยระบุว่า เป็นการเข้าใจอย่างผิดๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างแพลตฟอร์มของบริษัทกับผู้เผยแพร่ที่ใช้เฟซบุ๊กแบ่งปันเนื้อหาข่าว และทำให้บริษัทมีทางเลือกเพียงสองทางคือ พยายามปฏิบัติตามกฎหมายที่ละเลยข้อเท็จจริงของความสัมพันธ์นี้ หรือหยุดการเผยแพร่เนื้อหาข่าวบนเฟซบุ๊กในออสเตรเลีย ซึ่งเฟซบุ๊กจำใจต้องเลือกอย่างหลัง
อีสตันสำทับว่า เฟซบุ๊กสร้างรายได้หลายร้อยล้านดอลลาร์ให้องค์กรสื่อในออสเตรเลีย
ทว่า หน่วยงานตรวจสอบการแข่งขันแดนจิงโจ้ยืนยันว่า รายได้ทุก 100 ดอลลาร์จากค่าโฆษณาออนไลน์เป็นของกูเกิล 53 ดอลลาร์, เฟซบุ๊ก 28 ดอลลาร์ และที่เหลือจึงแบ่งกันระหว่างองค์กรสื่อที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ การตอบโต้อย่างรุนแรงของเฟซบุ๊กตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับกูเกิลที่เลือกทำข้อตกลงกับบริษัทสื่อ ซึ่งรวมถึงนิวส์ คอร์ปของรูเพิร์ต เมอร์ด็อก

 

สิงคโปร์ออกแคมเปญดึงดูด “นักธุรกิจต่างชาติ” จองโรงแรมประชุมสัมนาปลอดโควิด-19
.
.
.
.
เอเอฟพี/เอเจนซีส์ – สิงคโปร์เตรียมเปิดประเทศอีกครั้งล่าสุดวันพฤหัสบดี(18 ก.พ) เริ่มแคมเปญโรงแรมจัดสัมนาสุดหรูระดับ 4 ดาวปลอดโควิด-19 ให้นักธุรกิจต่างชาติเข้าพักไม่ต้องติดกักตัว 14 วัน คุยสื่อสารผ่านเครื่องอินเตอร์คอมผ่านแผ่นกระจกใส
.
เอเอฟพีรายงานวันนี้(18 ก.พ) เป็นความพยายามอีกครั้งสำหรับรัฐบาลสิงคโปร์ที่จะทำให้สิงคโปร์กลับมาเป็นฮับทางด้านธุรกิจของภูมิภาค โดยล่าสุดสิงคโปร์วันพฤหัสบดี(18)ได้เปิดโครงการโรงแรมสัมนาธุรกิจระดับนานาชาติการันตีปลอดภัยจากโรคโควิด-19
.
โดยนักเดินทางจะต้องเข้าพักที่โรงแรม Connect@Changi ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสนามบินนานาชาติชางฮี โดยภายในถูกตกแต่งอย่างหรูหรา อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์สเตรทไทม์สของสิงคโปร์ พบว่าโรงแรมถูกออกแบบมาให้กับบรรดานักธุรกิจต่างชาติเข้าพักเพื่อการสัมนาทางธุรกิจโดยไม่ต้องติดปัญหาการกักตัวตามมาตรการโควิด-19เข้าประเทศแต่อย่างใดในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้
.
ตัวโรงแรมมีห้องประชุมสัมนาทั้งหมด 40 ห้อง ห้องสัมนาเล็กสุดสามารถจุได้ 4 คน และห้องที่ใหญ่สุดจุได้ 20 คน
.
ซึ่งโรงแรมระดับ 4 ดาวแห่งนี้จะเปิดให้บริการอย่างเต็มตัวภายในปีนี้ โรงแรมสามารถรองรับแขกได้ทั้งหมด 1,300 คน โดยแขกนักธุรกิจต่างชาติที่เข้าพักนอกจากจะไม่ต้องถูกกักตัวแล้ว ยังได้รับบริการตรวจหาเชื้อโควิด-19ระหว่างการพักตามมาตรฐานทางด้านความปลอดภัย
.
ซึ่งผู้ที่มีผลการตรวจเป็นลบจะสามารถได้รับอนุญาตให้พบกับนักธุรกิจท้องถิ่นและนักธุรกิจต่างชาติที่มีกระจกกั้นและมาตรการรักษาระยะห่างด้านความปลอดภัย
.
โซนที่นักธุรกิจท้องถิ่นและนักธุรกิจต่างชาติสามารถเข้าได้นั้นถูกแยกกันโดยเด็ดขาด และยังมีระบบระบายอากาศแยก อาหารจะถูกเสิร์ฟบนชั้นวางหน้าห้องพักเพื่อเลี่ยงการสัมผัส
.
อย่างไรก็ตามระหว่างการเข้าพักของแขกจะไม่มีแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดเหมือนเช่นโรงแรมอื่นตามปกติแต่จะเข้ามาทำความสะอาดในชุดปกป้องทางชีวภาพก็ต่อเมื่อแขกได้เช็กเอาท์ไปแล้ว โดยสนนราคาการเข้าพักโรงแรมแห่งนี้ที่ถือเป็นแห่งแรกของโลก สเตรทไทม์สสิงคโปร์รายงานว่าเริ่มต้นที่ 384 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือราว 8,677 บาท
.
รองนายกสิงคโปร์ Heng Swee Keat กล่าวถึงโครงการโรมแรมสัมนาปลอดโควิด-19ว่า “การกลับมาอีกครั้งของธุรกิจท่องเที่ยวและการประชุมระหว่างประเทศถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเร่งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ และภูมิภาค”
.
และเขากล่าวว่า “มันจะช่วยยังคงรักษาบทบาทของเราในฐานะฮับทางธุรกิจระดับโลกต่อไป” เขากล่าวระหว่างการเปิดโรงแรมที่จะสามารถเริ่มรับแขกนักธุรกิจชุดแรกได้ในเดือนหน้าซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มรับได้ครั้งแรก 150 คน และภายหลังจะขยายเป็น 660 คน
.
ซึ่งเมื่อนักธุรกิจเดินทางมาถึงท่าอากาศยานชางฮีจะได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด-19ก่อนที่จะถูกนำส่งไปยังโรงแรม Connect@Changi
.
ซึ่งไฟแดงสัญญาณหน้าห้องพักจะเปิดจนกว่าผลการตรวจจะกลับมา และหากว่ามีผลการตรวจเป็นลบนักธุรกิจต่างชาติจะสามารถเดินออกนอกห้องพักไปยังสถานที่การประชุมหรือที่ต่างๆภายในตัวโรงแรมได้

 

กลุ่มสิทธิมนุษยชนสับรัฐบาลเขมรใช้เกตเวย์อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือกำจัดฝ่ายค้าน
.
.
.
รอยเตอร์ - กลุ่มสิทธิมนุษยชนประณามการจัดตั้งเกตเวย์อินเทอร์เน็ตสไตล์จีนในสัปดาห์นี้ของรัฐบาลกัมพูชา ที่จะอนุญาตให้การใช้งานอินเทอร์เน็ตทั้งหมดถูกควบคุมและถูกตรวจสอบ โดยกลุ่มสิทธิฯ ระบุว่าสิ่งนี้จะเป็นเครื่องมือใหม่สำหรับฮุนเซนในการปราบปรามฝ่ายค้าน
.
“นายกรัฐมนตรีฮุนเซนได้โจมตีเสรีภาพทางอินเทอร์เน็ตและอีคอมเมิร์ซในกัมพูชา ด้วยการขยายการควบคุมของรัฐบาลกับอินเทอร์เน็ตของประเทศ” ฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการฮิวแมนไรท์วอทช์ ภูมิภาคเอเชีย กล่าว
.
“เกตเวย์อินเทอร์เน็ตแห่งชาติของกัมพูชาเป็นเครื่องมือที่ขาดหายไปในกล่องเครื่องมือของรัฐบาลสำหรับการปราบปรามทางออนไลน์” โรเบิร์ตสัน ระบุในคำแถลง
.
ในกฤษฎีกาความยาว 11 หน้าที่ประกาศเมื่อวันพุธ (17) กำหนดให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตต้องเปลี่ยนเส้นทางบริการผ่านเกตเวย์อินเทอร์เน็ตแห่งชาติภายในระยะเวลา 12 เดือน ก่อนเดือนก.พ. 2565
.
เกตเวย์ของกัมพูชาคล้ายกับของจีน พันธมิตรทางเศรษฐกิจที่สำคัญของกัมพูชา ขณะที่ความสัมพันธ์ของกัมพูชากับสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปย่ำแย่ลงในช่วงหลายปีมานี้
.
นอกจากนี้ กฤษฎีกายังกำหนดให้ผู้ให้บริการต้องให้ผู้ใช้งานกรอกแบบฟอร์มออนไลน์ด้วยข้อมูลประจำตัวที่ถูกต้อง และระบุว่าหากผู้ให้บริการล้มเหลวที่จะเชื่อมต่อเครือข่ายกับเกตเวย์ จะส่งผลให้ใบอนุญาตดำเนินการถูกระงับและบัญชีธนาคารถูกระงับ
.
พาย สีพัน โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า การตั้งเกตเวย์อินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากกัมพูชายังไม่มีคำสั่งเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต และกล่าวเสริมว่ากฎข้อบังคับยังก้าวก่ายน้อยกว่าในสหรัฐฯ และอังกฤษ
.
ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากรัฐบาลฮุนเซนเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติเกี่ยวกับการปราบปรามที่ทำลายภาคประชาสังคมและฝ่ายค้านทางการเมือง ที่เป็นผลให้พรรคของเขาผูกขาดอำนาจ รวมทั้งมีการตั้งข้อหาและจำคุกคู่แข่งหลายคน
.
เอเมอร์ลีน จิล จากองค์การนิรโทษกรรมสากล เรียกเกตเวย์ใหม่ของกัมพูชาว่าเป็นหายนะสำหรับสิทธิมนุษยชน
.
“จากบริบทของการปราบปรามผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชนที่เพิ่มขึ้น การดำเนินคดีกับผู้สนับสนุนฝ่ายค้านจำนวนมาก และจำนวนนักโทษทางความคิดที่เพิ่มสูง ทำให้สถานการณ์นี้เป็นเรื่องที่น่าตกใจเป็นพิเศษ” เอเมอร์ลีน จิล.
.
.
https://mgronline.com/indochina/detail/9640000016449

 

สุนัขพิการจรจัดในไทยกำลังเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบาก

 

#UPDATE สถานการณ์โควิด-19 (19 ก.พ. 2564)
• พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 130 คน ยอดสะสม 25,241 คน
• รักษาหายเพิ่ม 124 คน ยอดสะสม 24,070 คน
• อยู่ระหว่างรักษาเพิ่มขึ้น 6 คน ยอดสะสมในรพ. 1,088 คน
• เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 1 คน ยอดสะสม 83 คน

ผู้ป่วยรายใหม่ 130 คน
• ผู้ป่วยรายใหม่จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ 61 คน
• ค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 55 คน
• เดินทางมากจากต่างประเทศเเละกักตัวใน SQ จำนวน 14 คน

#workpointTODAY
#สาระความรู้เพื่อวันนี้
ติดตาม workpointTODAY ทาง YouTube https://bit.ly/2YDfyiK

 

รัฐ #เท็กซัส ใน #สหรัฐ หนาวยะเยือกเป็นประวัติการณ์ ระบบไฟฟ้ารับไม่ไหวทำให้ไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง ประชาชนต้องทนหนาวอุณหภูมิติดลบ 19 องศา อาศัยไม้ฟืนก่อไฟ บ้านที่ไม่มีไม้ฟืนจำต้องเอาของเล่นไม้ของลูกมาเผาทำเชื้อเพลิง ภัยหนาวทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 36 คนแล้ว❄️

 

วัคซีนจาก 2 บริษัท กำลังจะถึงฮ่องกง

ผู้ผลิตวัคซีนจาก SinoVac ได้เผยวานนี้ว่าวัคซีนโควิดล็อตแรก 1 ล้านโดส จะมาถึงฮ่องกงในวันศุกร์นี้ โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มใช้งานได้ปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้

คณะกรรมการวิทยาศาสตร์ ภายใต้ศูนย์ป้องกันสุขภาพ (CHP) จะมีการประชุมในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ เพื่อตัดสินใจลำดับความสำคัญของกลุ่มที่จะได้รับการฉีดวัคซีนก่อน โดยจะคำนึงถึงอายุและหมวดหมู่

ทางด้านวัคซีนจาก BioNTech จะมาถึงฮ่องกงสัปดาห์หน้า และคาดจะพร้อมใช้งานเดือนมีนาคม

ในส่วนข้อมูลวัคซีนระยะที่ 3 นั้น อัตราประสิทธิภาพโดยรวมของวัคซีน Sinovac สำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 60 ปีคือ 50.66% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ 50% และหลังจากฉีดวัคซีนครั้งที่สองในอีก 28 วันต่อมา อัตราประสิทธิภาพจะเท่ากับ 62.3%

ส่วนรายงานของสื่อเผยว่าอัตราประสิทธิภาพของวัคซีน Sinovac สำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีอยู่ที่ประมาณ 50% เท่านั้น ในขณะเดียวกันวัคซีน BioNTech มีอัตราประสิทธิภาพโดยรวมมากกว่า 90%

***ติดตามอัพเดทสรุปประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับไวรัสโคโรน่าในฮ่องกงได้ที่กระทู้ปักหมุด***


Source : https://asiatimes.com/2021/02/two-covid-vaccines-set-to-arrive-in-hong-kong/?

#ข่าวฮ่องกง #khaohongkong

 

Tattoo สมัยประถม เด็กๆเคยมีเพื่อนเขียนแบบนี้ที่แก้ม รู้แต่ว่าแก้โรคคางทูม แต่ไม่เข้าใจความหมาย เพิ่งรู้วันนี้ เป็นความเชื่อของคนจีน ว่าโรคคางทูมเกิดจากปีศาจหมู ทำให้แก้มบวมคล้ายหมู ต้องใช้เสือปราบปีศาจหมูให้หนีไปจึงเขียนคำว่าเสือด้วยหมึกจีนบนแก้มของเด็ก ใครเคยเขียนไปโรงเรียนบ้าง มันดูเท่ๆดีนะ เหมือนจอมยุทธจีน (ยุคนั้นติดหนังจีนกำลังภายใน) ไม่รู้ปัจจุบันยังมีคนทำแบบนี้มั้ย
------------------------
ดูบอลสดแบบฟรีๆระดับ HD มีทุกคู่ มีทุกลีก ชอบดูบอลต้องแอดไลน์ IDduball365 หรือคลิก > http://bit.ly/2tVxBmN