ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #ข่าวสั้น (17 ก.พ.) ญี่ปุ่นเริ่มฉีดวัคซีนโควิดกลุ่มแรกแล้ววันนี้ 

    1f489.png วัคซีนของไฟเซอร์
    1f489.png ฉีดแบบเข้ากล้ามเนื้อ ปักตรง ๆ (เห็นหมอบอกว่า เจ็บน้อยกว่าไข้หวัดใหญ่ที่บีบเนื้อมาฉีด)
    1f489.png ภาพนี้ จากศูนย์การแพทย์ ที่เขตเมกุโระ จ. โตเกียว
    1f489.png เว้นระยะห่างเข็มหนึ่งกับเข็มสอง = 3 สัปดาห์

    1f534.png ตารางการฉีด 1f489.png

    1f4c6.png 17 ก.พ. เริ่มฉีดครั้งที่ 1 บุคลากรทางการแพทย์ 4 หมื่นคน
    * 100 สถานพยาบาล
    * ติดตามสุขภาพครึ่งนึงเพื่อเก็บข้อมูล (2 หมื่นคน)

    อาทิตย์หน้า : 2708.png วัคซีนล็อตสองมาถึงจากเบลเยี่ยม

    10 มีนา เป็นต้นไป: ฉีดครั้งที่ 2 (กลุ่มแรก 4 หมื่นคน)

    กลางเดือนมีนา: เริ่มฉีด บุคลากรทางการแพทย์ 3.7 ล้านคน

    4 เมษา: เริ่มฉีดผู้สูงอายุเกิน 65 ปีขึ้นไป (36 ล้านคน)

    หลังจากนั้น :
    คนมีโรคประจำตัว 8.2 ล้านคน
    คนทำงานบ้านพักคนชราต่าง ๆ 2 ล้านคน

    ———-

    2712.png ส่วนคนทั่วไป ไม่มีโรคประจำตัวนั้น สามารถลองคำนวณได้ตามที่แอดโพสต์ไปวันก่อนนะคะว่าจะได้ฉีดเมื่อไหร่ https://www.facebook.com/100044158223129/posts/276667270481878/

    #กิ๊ฟจังนั่งเล่า #ข่าวญี่ปุ่น#วัคซีนโควิด

    ภาพข่าว: ANN
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    1 > อาสนวิหารน็อทร์-ดาม แห่งปารีสถูกไฟไหม้ไปเมื่อปี 2561 ส่วนยอดหลังคาสร้างขึ้นจากไม้โบราณที่มีอายุหลายร้อยปี ตัวหลังคาเองก็มีอายุหลายร้อยปีเช่นกัน เมื่อถูกเผาจนวอดมันจึงเป็นความสูญเสียใหญ่หลวงทั้งทางประวัติศาสตร์ศิลปะและประวัติศาสตร์ธรรมชาติ

    2 > ส่วนหลังคาของอาสนวิหารมีคานไม้จำนวนมากจนเรียกกันว่าว่า la forêt (ป่า) ส่วนรองรับของหลังคาประกอบด้วยโครงสร้างรูปสามเหลี่ยม 25 โครงสูง 10 เมตรและกว้าง 14 เมตรตั้งอยู่เหนือหลังคากรุหินของตัววิหาร ส่วนนี้ที่ไฟเผาทำลายไปและพังถล่มลงมาทำให้ส่วนโค้งที่ก่อจากหินพังลงมาด้วย

    3 > แต่มีข่าวว่าการบูรณะยอดหลังคาความสูง 96 เมตรอาจจะใช้วิธีการดั้งเดิมเเหมือนยุคกอธิกนั่นคือจะต้องใช้ต้นไม้มากถึง 1,000 ต้นที่มีอายุระหว่าง 150 ถึง 200 ปีมาก่อยอดหลังคาขึ้นมาใหม่ โดยเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีของฝรั่งเศสได้ประกาศว่าจะมีการสร้างหลังคาและยอดแหลมขึ้นใหม่เหมือนเดิม

    4 > ถ้าทำตามคำพูดของผู้นำประเทศหมายความว่ามันต้องใช้วิธีการเดิมแน่ๆ คาดว่าจะต้องจะโค่นต้นโอ๊คมากถึง 1,000 ต้นที่มีอายุระหว่าง 150 ถึง 200 ปี ต้นไม้ต้องตรงเส้นผ่านศูนย์กลาง 50-90 ซม. และสูงระหว่าง 8 ถึง 14 เมตร

    5 > เมื่อได้ต้นไม้ที่เล็งๆ เอาไว้แล้วจะต้องโค่นพวกมันลงภายในสิ้นเดือนมีนาคมปีนี้ก่อนที่มันจะมียาง (หรือภายในฤดูใบไม้ผลิ) มิฉะนั้นไม้จะชื้นเกินไป ซุงที่ตัดมาจะถูกปล่อยให้แห้งนานถึง 18 เดือน ก่อนที่จะเลื่อยเป็นคานสำหรับประกอบหลังคา

    6 > รวมๆ แล้วผู้เชี่ยวชาญด้านช่างไม้ กล่าวว่าการสร้างอาสนวิหารน็อทร์-ดาม ขึ้นมาใหม่จะต้องใช้ไม้ 2,000 ลูกบาศก์เมตรโดยต้องตัดไม้โอ๊คประมาณ 1,500 ต้น แน่นอนว่าต้องเป็นโอ๊คโบราณด้วย คำถามคือมันจะไปหามาจากไหน? ถ้าหากฝรั่งเศสจะไปหามาจากสหรัฐอเมริกาที่มีพื้นที่กว้างใหญ่กว่า ที่นั่นก็ยังมีต้นโอ๊คขาวที่เหมาะๆ เหลือแค่ 34,000 ต้น

    7 > ดอมินีค เดอ วิลเลอบอนน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานป่าไม้แห่งชาติของฝรั่งเศส กล่าวกับสื่อฝรั่งเศส Le Parisien ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับมรดกป่าไม้โบราณ "ไม่ใช่ต้นไม้อายุ 20 ปี แต่เป็นต้นไม้ที่มีอายุมาก รวมถึงพื้นที่เพาะปลูกที่กษัตริย์ในอดีตสั่งให้สร้างเรือรบและรับรองความยิ่งใหญ่ของกองเรือฝรั่งเศส"

    8 > ตามปราสาทและพระราชวังบางแห่งของฝรั่งเศสมีส่วนป่าหรืออุทยานโบราณที่ปลูกไม้หลายร้อยปีเพื่อการพักผ่อนของคนชั้นสูง แต่มันคุ้มหรือไม่ที่จะทำลายป่าประวัติศาสตร์เพื่อเติมเต็มประวัติศาสตร์ใหม่?

    9 > มีเจ้าของป่าส่วนตัวจำนวนหนึ่งได้เสนอที่จะบริจาคต้นไม้ให้กับโครงการบูรณะ บางคนบอกว่ามันจะเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจถ้าต้นไม้บางส่วนของพวกเขาถูกนำมาใช้เพื่อซ่อมอาสนวิหารน็อทร์-ดาม

    10 > แต่การตัดต้นไม้ไม่ว่าจะเป็นส่วนป่าอนุรักษ์แห่งชาติหรือป่าเอกชนต้องเป็นประเด็นแน่ๆ ดังนั้นเมื่อหลีกเลี่ยงการทำลายป่าไม้ เมื่อ 2 ปีที่แล้วมีบริษัทเอกชนที่ประเทศกานาซึ่งได้รับสัมปทานให้ตัดไม้ที่จมลงเหนือเขื่อนโวลตามาตั้งแต่ปี 2508 จึงเสนอตัวที่จะตัดไม้ที่ยืนต้นตายพวกนี้ไปช่วยซ่อมอาสนวิหารน็อทร์-ดาม

    11 > พวกเขาบอกว่าใช้ไม้พวกนี้อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมดีกว่าไปทำลายป่าใหม่ พวกเขายังบอกว่าไม้ที่จมในเขื่อนเหล่านี้และเพิ่มจะโผล่พ้นขึ้นมามีความแข็งแกร่งเพราะถูกเก็บรักษาเอาไว้ตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม บางคนบอกว่าแผนนี้มันเยี่ยมมาก แต่บางคนก็เตือนว่าแผนนี้ก็อาจทำลายระบบนิเวศอย่างใหญ่หลวงเหมือนกัน

    12 > สรุปก็คือไม่ว่าจะใช้ไม้ตายหรือไม้เป็น หากการซ่อมอาสนวิหารน็อทร์-ดาม ยังต้องใช้ไม้จริงๆ มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ยิ่งน่าเสียดายหากพวกเขายังยืนยันว่าต้องการไม้โบราณ เพราะไม้อายุมากมีศักยภาพสูงในการดูดซับคาร์บอนได้มากกว่าไม้ใหม่หลายเท่าตัว

    13 > จากรายงานของสถาบันพฤกษศาสตร์ The Morton Arboretum และ IUCN พบว่าประมาณ 31% ของพันธุ์ไม้โอ๊ค 430 ชนิดทั่วโลกที่ถูกคุกคามจนเสี่ยงสูญพันธุ์ อีกประมาณ 41% ของสายพันธุ์โอ๊คมีสถานะที่น่ากังวล

    อ้างอิง
    • Kim Willsher. (16 Febuary 2021). "France on hunt for centuries-old oaks to rebuild spire of Notre Dame". The Guardian.
    • Aaron Akinyemi. (5 October 2019). "Notre-Dame: How an underwater forest in Ghana could help rebuild a Paris icon". BBC Africa
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยารักษาโรคเป็นสารเคมีประเภทหนึ่งที่ใช้รักษาอาการเจ็บป่วย เชื่อว่าผู้ป่วยหลายคนหยุดทานยาเมื่ออาการดีขึ้นหรือเมื่อหายป่วย ทำให้เกิดยาตกค้าง และเมื่อทิ้งไว้นานยาเหล่านั้นก็หมดอายุ ซึ่งคนส่วนใหญ่นำยาไปในถังขยะ หรือโยนลงในน้ำทำให้เกิดการตกค้างปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อมโดยไม่รู้ตัว
    .
    จากการศึกษาเกี่ยวกับการตกค้างของยาในสิ่งแวดล้อมล้อมทั้งใน และต่างประเทศ พบว่า ยาที่ตกค้างยาวนานในสิ่งแวดล้อมล้อมโดยเฉพาะในแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาฆ่าเชื้อ ยาแก้โรคซึมเศร้า ยาลดความดัน ยากดภูมิคุ้มกัน ยารักษาโรคมะเร็ง และฮอร์โมน เป็นต้น
    .
    กลุ่มยาดังกล่าวทำให้แบคทีเรียในน้ำและดินมีภูมิต้านทานต่อฤทธิ์ยา ผลกระทบของยาตกค้างในธรรมชาติที่ชัดเจน คือ การทำลายระบบนิเวศของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยในธรรมชาติและสัตว์น้ำบางประเภท ซึ่งสามารถส่งผลกระทบที่เป็นลูกโซ่มายังมนุษย์ได้ อาจเกิดการปนเปื้อนสู่คนผ่านการหมุนเวียนน้ำมาใช้ในการผลิตน้ำประปาสำหรับอุปโภคบริโภค และเกิดปัญหาเชื้อโรคดื้อยาในคน
    .
    ทั้งนี้ เมื่อตรวจสอบแล้วว่ายาหมดอายุ หรือเสื่อมสภาพเราสามารถรวบรวมลงภาชนะปิดมิดชิด เขียนป้ายไว้ว่าเป็นยาหมดอายุหรือยาเหลือใช้ แล้วนำไปส่งให้โรงพยาบาลใกล้บ้านที่มีหน่วยรับ หรือทิ้งลงถังขยะอันตรายเพื่อให้เจ้าหน้าที่นำไปกำจัดต่ออย่างถูกวิธี
    .
    การกำจัดยาที่ถูกต้องตามมาตรฐานนั้น ถ้าเป็นยาทั่วไปจะต้องเผาที่อุณหภูมิ 850 องศาเซลเซียส พร้อมขยะติดเชื้อ ส่วนยาที่มีฤทธิ์ตกค้างยาวนานในสิ่งแวดล้อมจะถูกเผาที่อุณหภูมิสูงกว่า 1,200 องศาเซลเซียส

    ที่มา: https://bit.ly/3dpAGRc
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โลกจะเขียวขึ้นเล็กน้อยเมื่อตึกเอ็มไพร์สเตทในนครนิวยอร์ก และอาคารสำนักงานอื่นๆ ในเครือ อีก 13 แห่ง ถูกขับเคลื่อนด้วยพลังงานลม 100%
    .
    Empire State Realty Trust, Inc. เจ้าของเอ็มไพร์สเตทตึกระฟ้าสูง 102 ชั้น ลงนามในสัญญา 3 ปีซื้อพลังงานลมจาก Green Mountain Energy และ Direct Energy ทำให้กลายเป็นผู้ใช้พลังงานทดแทนรายใหญ่ที่สุดในประเทศ
    .
    สัญญาสามปีนี้เริ่มในวันที่ 1 มกราคม จ่ายพลังงานลมประมาณ 300 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง เพียงพอที่จะครอบคลุมการใช้งานทั้งหมดของตึกและอาคารสำนักงานอื่นๆ ในเครือ หรือเพียงพอที่จะให้แสงสว่างทุกบ้านในรัฐนิวยอร์กเป็นเวลาหนึ่งเดือน
    .
    2 ใน 3 ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในนิวยอร์กเกิดจากปริมาณการใช้พลังงานของตึกอาคารในนิวยอร์ก ดังนั้นการปรับมาใช้พลังงานลมของเอ็มไพร์สเตทจึงเป็นก้าวสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในนครนิวยอร์ก
    .
    ตึกเอ็มไพร์สเตทเริ่มใช้พลังงานหมุนเวียน ตั้งแต่ 2554 สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 40% ซึ่งการหันมาใช้พลังงานทดแทนเต็มรูปแบบในครั้งนี้จะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เท่ากับการนำรถแท็กซี่ในเมืองนิวยอร์กทั้งหมดออกจากถนนตลอดระยะเวลา 1 ปี
    .
    ถึงแม้การซื้อพลังงานสะอาดมีค่าใช้จ่ายมากกว่าการซื้อพลังงานจากสาธารณูปโภคในท้องถิ่นเล็กน้อย แต่ถือว่าเป็นการคัดผู้เช่าพื้นที่ในอาคารด้วย มีผู้เช่าหลายรายยอมจ่ายค่าเช่าเพิ่มเพื่อที่จะเป็นหนึ่งในการใช้พลังงานสะอาด และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
    .
    ลมเป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่มีการใช้มากที่สุดในสหรัฐอเมริกาตามข้อมูลของ Energy Information Administration ซึ่งผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 9% ของประเทศในปีที่แล้ว

    ที่มา: “The Empire State Building and its related buildings are now powered by wind”. The Washington Post, 3 Feb. 2021.
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นกตะกรามถือเป็นนกกระสาขนาดใหญ่ที่เคยมีถิ่นกระจายพันธุ์ทั่วเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นหนึ่งในนกที่ใกล้สูญพันธุ์ในระดับโลก โดยปัจจุบันประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย โดยในบ้านเราแทบไม่พบเห็นแล้ว แต่ที่อินเดียสามารถอนุรักษ์ไว้ได้กว่า 200 รัง
    .
    นกตะกราม (Greater Adjutant) ชื่อวิทยาศาสตร์ Leptoptilos dubius ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะคล้ายกัน บนหัวและคอเป็นหนังสีชมพูปนน้ำตาล มีขนประปรายไม่กี่เส้น ด้านข้างของคอจะมีสีดำคล้ายหนังตกกระ มีขนปุยสีขาวขึ้นรอบคอและไหล่ลักษณะคล้ายพวงมาลัย ขนปีกและหางสีดำ ขนใต้คอ และอกสีขาว ลักษณะเด่นชัดของนกตะกรามคือมีถุงลมคล้ายลูกโป่งห้อยอยู่ที่หน้าอก ถุงนี้ยืดหดได้ ถือเป็นหนึ่งในนกที่ใกล้สูญพันธุ์ในระดับโลก
    .
    ตั้งแต่ปี 2550 นักวิทยาศาสตร์หญิงชาวอินเดีย Dr. Purnima Devi Barman ได้เริ่มเก็บข้อมูลเกี่ยวกับนกตะกรามในรัฐอัสสัม และพบว่าประชากรของนกตะกรามลดลงไปมากเมื่อเทียบกับสมัยที่เธอยังเด็ก โดยสาเหตุหลักมาจากการสูญเสียพื้นที่ทำรังวางไข่ เพราะต้นไม้ใหญ่ถูกตัดทิ้งเพื่อขยายพื้นที่เมือง
    .
    อีกทั้งนกตะกรามยังมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีในสายตาของคนท้องถิ่น เพราะเชื่อว่าเป็นนกที่สกปรก เนื่องจากนกตะกรามชอบกินซากสัตว์และเศษอาหารตามบ่อขยะ เมื่อมาทำรังบนต้นไม้ใหญ่ในบ้านก็ทำให้มีกลิ่นเหม็น และอึเรี่ยราดจนบริเวณบ้านสกปรก จึงไม่อยากให้มีนกตะกรามอาศัยอยู่ใกล้บ้าน
    .
    จุดเปลี่ยนที่ทำให้ Dr. Barman หันมาต่อสู้เพื่อนกตะรามอย่างจริงจัง เกิดขึ้นเมื่อเธอพบว่าหนึ่งในต้นไม้ที่นกตะกรามใช้ทำรังกำลังถูกโค่นลง ทั้งที่ยังมีลูกนกอาศัยอยู่ในนั้น เพียงเพราะเจ้าของพื้นที่ไม่อยากให้นกตะกรามเข้ามาสร้างความสกปรก จึงตัดสินใจโค่นต้นไม้ทิ้ง แม้ว่าเธอจะพยายามเข้าไปเจรจาเท่าใดก็ไม่มีใครเข้าใจและเห็นด้วยกับเธอ หนำซ้ำยังหัวเราะดูถูกเธออีกด้วย
    .
    ตั้งแต่นั้น Dr. Barman จึงเข้าใจว่าการจะอนุรักษ์นกตะกรามได้นั้นต้องมีการปรับภาพลักษณ์ครั้งใหญ่สำหรับนกชนิดนี้ โดยเธอวางกลยุทธในการทำงานว่าจะต้องมีการสื่อสารให้คนทั่วไปเข้าใจถึงประโยชน์ของนกตะกราม ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้กำจัดซากในระบบนิเวศ และรักษาต้นไม้ใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งทำรังหลักของนกชนิดนี้ โดยต้นไม้ใหญ่ส่วนมากมักอยู่ในพื้นที่ส่วนบุคคล
    .
    เธอจึงเริ่มทำงานผ่านเครือข่ายผู้หญิงในชุมชน เนื่องจากผู้หญิงมักเป็นฝ่ายที่อยู่เฝ้าบ้านและทำงานบ้าน การจะเข้าไปในพื้นที่บ้านของแต่ละคนได้ จึงต้องอาศัยการทำงานกับผู้หญิง
    .
    ตอนนี้เธอมีเครือข่ายของอาสาสมัครผู้หญิงกว่า 400 คน ที่ช่วยกันอนุรักษ์นกตะกรามในชุมชนของตัวเอง เครือข่ายอนุรักษ์นี้มีชื่อเรียกว่า Hargila Army หรือ "กองทัพนกตะกราม" ทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับนกตะกราม เพื่อลบภาพลักษณ์ "นกสกปรก" และรณรงค์ให้รักษาต้นไม้ใหญ่ภายในบ้านเพื่อเป็นแหล่งทำรังของนกตะกราม
    .
    รวมถึงดูแลรักษาลูกนกตะกรามที่กำพร้าหรือตกจากรัง เพื่อให้มีชีวิตรอดกลับคืนสู่ธรรมชาติได้ ปัจจุบันจำนวนรังของนกตะกรามในพื้นที่ศึกษาของ Dr. Barman เพิ่มขึ้นจาก 28 รัง ในปี 2007 มาเป็นกว่า 200 รัง เป็นตัวชี้วัดถึงความสำเร็จของงานอนุรักษ์ของเธอเป็นอย่างมาก และมุมมองที่คนทั่วไปมีต่อนกตะกรามก็ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้อนาคตของนกชนิดนี้กลับมาดูสดใสขึ้นอีกครั้ง
    .
    สำหรับบ้านเราเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2557 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่าพบนกตะกราม สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ของโลกบริเวณหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ซับสะเดา อุทยานแห่งชาติทับลาน โดยคาดว่าอพยพมาจากกัมพูชา ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยมีรายงานพบซากนกตะกรามถูกยิงตายบริเวณอ่างเก็บน้ำใน จ.บุรีรัมย์ เมื่อ 9 ปีก่อน และล่าสุดมีการรายงานว่าพบนกตะกรามที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าห้วยจระเข้มาก อ.เมือง จ.บุรีรัมย์

    ที่มา : Bird Conservation Society of Thailand (BCST)
    #นกตะกราม #สัตว์ใกล้สูญพันธุ์
    ภาพ : Gerrit Vyn
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    1 > กำแพงสีเขียวแห่งแอฟริกา (Great Green Wall) เป็นอภิมหาโปรเจกต์ที่อาศัยเรี่ยวแรงของคนตัวเล็กๆ ในการช่วยกันปลูกแนวป่าความยาว 8,000 กิโลเมตร เพื่อป้องกันการรุกล้ำของทะเลทรายสะฮาราลงมาทางตอนใต้ที่เป็นทุ่งหญ้าซาวันน่าและลงไปถึงผืนป่าฝนซึ่งจะกระทบต่อชีวิตผู้คนหลายล้านคน

    2 > แผนการนี้มีคนเสนอมาตั้งแต่ 70 ปีที่แล้ว แต่สหภาพแอฟริกา (African Union) เพิ่งจะผลักดันกันจนคลอดแผนได้สำเร็จเมื่อปี 2550 นี่เองใช้ต้นแบบจากการปลูกแนวต้นไม้ป้องกันทะเลทรายของจีนหรือ "กำแพงเมืองจีนสีเขียว" (https://www.facebook.com/igreenstory/posts/2604225033226727)

    3 > แต่โครงการกำแพงสีเขียวแห่งแอฟริกาท้าทายกว่ามาก เพราะมันต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของหลายประเทศที่ยากจน แต่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องป้องกันการรุกล้ำของทะเลทรายที่รุนแรงขึ้นทุกปี เพราะในแต่ละปีทั่วโลกเสียพื้นที่เพาะปลูกให้กับทะเลทรายไปถึง 75 ล้านไร่ใ

    4 > จุดที่จะต้องปลูกแนวกำแพงสีเขียวแห่งแอฟริกา 8,000 กิโลเมตร กว้าง 15 กิโลเมตรคือจุดเสี่ยงที่สุดมันถูกเรียกว่า "แถบแห่งความหิวโหย" (Hunger Belt) ที่พบกับภัยแล้งชั่วนาตาปีและยังถูกทรายเข้ากินพื้นที่อาศัยและทำมาหากินทุกปี แต่ประชากรแถบนี้กลับจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในปี 2582 ดังนั้นการสร้างกำแพงสีเขียวจึงเป็นภารกิจเร่งด่วน

    5 > โครงการนี้จึงเป็นโครงการระดับนำโครงการแรกของเป้าหมายทศวรรษการฟื้นคืนระบบนิเวศของสหประชาชาติ (UN) ระหว่างปี 2021 – 2030 ไม่ใช่แค่การปลูกกำแพงแนวป่า แต่ยังต้องฟื้นคืนดินแดนที่ถูกทะเลทรายล้ำเข้ามา และต้องกำจัดความยากจนไปพร้อมๆ กัน และเป้าหมายต้องทำให้สำเร็จภายในปี 2030 (พ.ศ. 2573)

    6 > หลังจากเริ่มโครงการประเทศที่เข้าร่วมก็ปลูกต้นไม้กันจริงจัง ปลูกกันหลายล้านต้น เป็นแรงขับเคลื่อนพลังสีเขียวที่ยิ่งใหญ่มากในแอฟริกา ตัวอย่างเช่น เอธิโอเปียที่เมื่อเร็วๆ นี้เริ่มโครงการปลูกต้นไม้ 5,000 ล้านต้นเมื่อปีที่แล้ว แต่มันยังไม่พอ เพราะประเมินแล้วคืบหน้าไปแค่ 15% ส่วนงบประมาณที่ต้องใช้ก็สูงถึง 30,000 ล้านดอลลาร์ ล่าสุดปีนี้เพิ่งได้มา 14,000 ล้านดอลลาร์จากประเทศร่ำรวยที่นำโดยฝรั่งเศส

    7 > เงินเป็นเรื่องสำคัญ เอลวิส พอล แทนเจม ผู้ประสานงานโครงการบอกกับ Science ว่า คุณสามารถปลูกต้นไม้ได้ในราคา 1 ดอลลาร์ แต่คุณไม่สามารถทำให้ต้นไม้โตได้ในราคา 1 ดอลลาร์ เพราะต้นไม้หนึ่งต้นมีต้นทุนสูงในการดูแลรักษา และโครงการนี้มีต้นไม้หลักพันล้านต้น เงินที่จะใช้จึงต้องมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

    8 > ผู้เชี่ยญบางคนบอกเลยว่า “นี่เป็นวิธีที่โง่เขลาในการฟื้นฟูที่ดินในสะฮารา” เช่น เดนนิส การ์ริตี นักวิจัยอาวุโสของศูนย์วนเกษตรโลกที่บอกก Smithsonian Magazine ในขณะที่คริส เรจ แห่งสถาบันทรัพยากรน้ำโลกบอกว่า “ถ้าต้นไม้ทั้งหมดที่ปลูกในซาฮาราตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980 รอดชีวิตมาได้มันจะดูเหมือนป่าแอมะซอนไปแล้ว"

    9 > พวกเขาไม่ได้ต่อต้านโครงการนี้ แต่ไม่เห็นด้วยกับการปลูกต้นไม้ที่ได้รับคำสั่งจากส่วนกลางที่ปลูกแล้วปลูกเลยแล้วรอให้พวกมันตายไปถึง 80% ในบางครั้ง กฎหมายบางประเทศเป็นตัวขัดขวางด้วย เช่น บางประเทศถือว่าต้นไม้ทุกต้นบนแผ่นดินเป็นของรัฐประชาชนจึงใช้ประโยชน์ไม่ได้ ทำให้คนท้องถิ่นจึงไม่ปลูกมันไปเลยเพื่อเลี่ยงปัญหา

    10 > พวกเขารู้ว่าเกษตรกรในประเทศในแถบแห่งความหิวโหย เช่น ไนเจอร์และบูร์กินาฟาโซได้ค้นพบวิธีที่มีประสิทธิภาพและราคาถูกกว่าในการทวงคืนผืนดินจากทะเลทราย พวกเขาทำได้โดยใช้เทคนิคการหาแหล่งน้ำอย่างง่ายๆ และปกป้องต้นไม้ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในฟาร์มของพวกเขา

    11 > เคล็ดลับความสำเร็จก็คือการปลูกต้นไม้ร่วมกับพื้นที่เกษตร และใช้ประโยชน์จากต้นไม้เช่นเดียวกันฟาร์มเกษตร ทำให้มันเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชุมชน ผู้คนจะรู้สึกว่าการปลูกป่าให้ประโยชน์มากกว่าการปลูกแล้วปล่อยทิ้งเป็นกำแพงเขียว และที่สำคัญต้องเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคอย่างการห้ามประชาชนใช้ประโยชน์จากต้นไม้

    12 > ทีละน้อยๆ โครงการกำแพงสีเขียวที่ผลักดันโดยรัฐบาลที่สนใจแต่การปลูกป่าหลักล้านต้น กลายมาเป็นโครงการชุมชนคนท้องถิ่นที่ปลูกป่าอย่างยั่งยืน พื้นที่แห้งผากกลายเป็นสีเขียวจนนักวิจัยต้องตกตะลึง มันยั่งยืนเพราะพวกเขาปลูกและดูแลมันในฐานะส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต

    13 > ปรากฎว่าโครงการกำแพงสีเขียวที่ทำท่าจะไปไม่ไหวก็เดินหน้าไปได้ด้วยเน้นที่พลังคนท้องถิ่น พวกเขาทำให้โครงการที่มีเป้าหมายที่แทบจะทำให้สำเร็จไม่ได้ ให้กลายเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้จริง เป็นเรื่องที่สร้างความหวังมากกว่าข่าวที่โครงการนี้ได้รับเงินหมื่นล้านซะอีก

    14 > จากข้อมูลของนักวิจัยพบว่าภายในปี 2554 มีการฟื้นคืนผืนดินจากทะเลทรายได้มากกว่า 30 ล้านไร่ในประเทศไนเจอร์เพียงแห่งเดียว และมีการกู้คืนมากกว่า 3 ล้านไร่ในประเทศมาลี ทั้งสองประเทศนี้ถูกทะเลทรายรุกรานอย่างหนักที่สุดแห่งหนึ่ง ทั้งหมดนี้มาจากการลงมือของคนท้องถิ่นด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น

    15 > นอกจากนี้มันยังสอดคล้องกับโครงการระดับประชาสังคมที่มีอยู่ก่อนแล้ว เช่น โครงการของวันการี มาทาไอ ซึ่งเป็นผู้หญิงแอฟริกันคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ในปี 2520 เธอริเริ่มขบวนการแถบสีเขียว (Green Belt Movement) ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มที่ปลูกต้นไม้มากกว่า 30 ล้านต้นในประเทศเคนยาบ้านเกิดของเธอเพื่อสร้างผืนป่าใหม่และลดความยากจน เฉพาะโครงการนี้มีต้นไม้ปลูกไปแล้วถึง 51 ล้านต้น

    16 > ตามเป้าหมายทางการโครงการนี้มีจะฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรม 625 ล้านไร่ สร้างงานสีเขียว 10 ล้านตำแหน่ง และกำจัดคาร์บอนเทียบเท่าน้ำหนัก 250 ล้านตัน เมื่อสร้างเสร็จแล้วกำแพงสีเขียวจะเป็นโครงสร้างสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยมีขนาด 3 เท่าของแนวปะการังเกรทแบริเออร์รีฟเลยทีเดียว

    17 > อย่างไรก็ตาม ซูซาน การ์ดเนอร์ ผู้อำนวยการแผนกระบบนิเวศของ UNEP กล่าวว่า ปี 2564 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของทศวรรษแห่งการฟื้นฟูระบบนิเวศ และกำแพงสีเขียวเป็นตัวอย่างที่สร้างแรงบันดาลใจในการฟื้นฟูระบบนิเวศที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะนำมาซึ่งการเพิ่มความมั่นคงด้านอาหาร สร้างงานและหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งสันติภาพ

    อ้างอิง
    • Jim Morrison. (August 23, 2016). "The “Great Green Wall” Didn’t Stop Desertification, but it Evolved Into Something That Might". Smithsonian Magazine
    • UN (13 Jan 2021) "Good news for Africa’s Great Green Wall"
    https://www.facebook.com/igreenstory/posts/2604225033226727
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 มีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติก ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 - 2565) เพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกภายใต้ Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561 - 2573 ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในช่วง 3 ปีแรก (ปี 2563 - 2565) และก้าวสู่การจัดการพลาสติกที่ยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจหมุนเวียน
    .
    เป้าหมายที่ 1 การลด เลิกใช้พลาสติกเป้าหมาย 100% ภายในปี 2565 ได้แก่ 1) ถุงพลาสติกหูหิ้ว ความหนาน้อยกว่า 36 ไมครอน 2) กล่องโฟมบรรจุอาหาร ไม่รวมถึงโฟมที่ใช้กันกระแทกในภาคอุตสาหกรรม 3) แก้วพลาสติก ความหนาน้อยกว่า 100 ไมครอน และ 4) หลอดพลาสติก ยกเว้นการใช้กรณีจำเป็น ได้แก่ การใช้ในเด็ก คนชรา ผู้ป่วย เป็นต้น (ในปีฐาน พ.ศ. 2562 รวมการใช้พลาสติก 3 ประเภทอยู่ที่ 384,024 ตัน ส่วนใหญ่เป็นถุงพลาสติกหูหิ้ว)
    .
    เป้าหมายที่ 2 การนำพลาสติกเป้าหมายกลับไปใช้ประโยชน์เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ไม่น้อยกว่า 50% ของพลาสติกเป้าหมายภายในปี 2565 ได้แก่

    1) ถุงพลาสติกหูหิ้ว (HDPE LLDPE LDPE และ PP) 2) บรรจุภัณฑ์ฟิล์มพลาสติกชั้นเดียว (HDPE และ LL/LDPE) 3) ขวดพลาสติก (ทุกชนิด) 4) ฝาขวด 5) แก้วพลาสติก
    6) ถาด/กล่องอาหาร 7) ช้อน/ส้อม/มีด (ในปีฐาน พ.ศ. 2562 รวมการใช้พลาสติก 7 ประเภทอยู่ที่ 1,341,668 ตัน เป้าหมายนำกลับไปใช้ประโยชน์ร้อยละ 50 หรืออยู่ที่ 670,834 ตัน)
    .
    จากร่างฯ แผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติกนี้จะลดปริมาณขยะพลาสติกที่ต้องนำไปกำจัดได้ประมาณ 0.78 ล้านตันต่อปี และประหยัดงบประมาณในการจัดการขยะมูลฝอยได้ประมาณ 3,900 ล้านบาทต่อปี ประหยัดพื้นที่รองรับพื้นที่ฝังกลบและกำจัดขยะมูลฝอยพลาสติก ได้ประมาณ 2,500 ไร่ โดยการคัดแยกและนำขยะพลาสติกกลับมาใช้ใหม่จะสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเทียบเท่าคาร์บอนไดออกไซด์ 1.2 ล้านตัน

    อ่านมติ ครม.ฉบับเต็ม (ข้อ 6) ได้ที่ https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39110
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เดินหน้ารวดเร็ว!อินโดนีเซียเริ่มขั้น 2 โครงการฉีดวัคซีนโควิด-19

    บรรดาเทรดเดอร์ในตลาดหลักทรัพย์ จะเป็นกลุ่มคนชุดแรกๆที่จะได้รับประโยชน์จากโครงการฉีดวัคซีนหมู่ขั้นที่ 2 ของอินโดนีเซีย ต่อต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งเริ่มขึ้นแล้วในวันพุธ(17ก.พ.) ขณะที่รัฐบาลหาทางกอบกู้เศรษฐกิจที่ได้รับความเสียหายจากอย่างหนักจากโรคระบาดใหญ่

    เจ้าหน้าที่แถลงว่าเวลานี้คณะแพทย์มุ่งเน้นไปที่เหล่าคนงานที่ต้องสัมผัสใกล้ชิดกับประชาชน และผู้สูงวัยอายุ 60 ปีขึ้นไป หลังจากในขั้นแรกได้มุ่งเน้นเป้าหมายให้ความสำคัญกับบรรดาเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ซึ่งจากข้อมูลกระทรวงสาธารณสุขพบว่ามีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้รับวัคซีนไปแล้วราวๆ 1.1 ล้านคน

    เศรษฐกิจของอินโดนีเซีย ชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ดำดิ่งสู่ภาวะถดถอยระหว่างการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งมีผู้ติดเชื้อแล้วเกือบ 1.3 ล้านคนและเสียชีวิตมากกว่า 33,000 ราย แต่ด้วยมีอัตราการตรวจเชื้อที่ค่อนข้างต่ำ จึงเชื่อว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อที่แท้จริงน่าจะสูงกว่านี้มาก

    ขั้นใหม่ของโครงการฉีดวัคซีน เริ่มต้นที่การฉีดวัคซีนหมู่ในกับประชาชน ณ ตลาดผ้าตานาห์ อาบัง ของกรุงจาการ์ตา

    "ฉันกังวลเกี่ยวกับวัคซีน แต่รู้สึกดีที่ได้เป็นคนกลุ่มแรกๆที่ได้รับวัคซีน" จอสการ์ คริสยาดี แม่ค้าขายเสื้อผ้าบอกกับเอเอฟพี "ขณะเดียวกัน มีประชาชนหลายล้านคนในจาการ์ตากำลังรอวัคซีนอยู่"

    ในขั้นที่ 2 ของโครงการฉีดวัคซีน จะได้เห็นคนชราและคนงานส่วนใหญ่ในอาชีพเสี่ยง อย่างเช่นเทรดเดอร์ ครู ตำรวจและข้าราชการพลเรือน ได้รับวัคซีนโคโรนาแวคของจีน ซึ่งบางส่วนผลิตภายในอินโดนีเซีย

    บูดี กูนาดี ซาดิกิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของอินโดนีเซียเ กล่าวที่ตลาดในวันพุธ(17ก.พ.) ว่าชาวอินโดนีเซียจำนวนมากยังคงกลัววัคซีน แต่เน้นว่ารองประธานาธิบดีมารูฟ อามิน วัย 77 ปี เข้ารับการฉีดวัคซีนไปแล้วในตอนเช้า "หวังว่า มันจะเป็นแรงจูงใจสำหรับคนอื่นๆ โดยเฉพาะคนชรา ในการรับวัคซีน"

    คาดหมายว่าขั้นที่ 2 ของโครงการฉีดวัคซีนจะแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2021 โดยเข้าถึงประชาชนชาวอินโดนีเซียทั้งสิ้น 38.5 ล้านคน

    ประเทศหมู่เกาะแห่งนี้ ซึ่งมีประชากรเกือบ 270 ล้านคน มีแผนฉีดวัคซีนประชาชนให้ได้ทั้งหมดมากกว่า 180 ล้านคน แต่พวกนักวิเคราะห์คาดหมายว่าคงต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว

    (ที่มา:รอยเตอร์ส)
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วิถีคนรวย!!ซื้อห้องอพาร์ทเมนต์หรูฮ่องกง1,700ล้าน ทุบสถิติแพงสุดในเอเชีย

    ฮ่องกงอาจกำลังอยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบหลายปี แต่ตลาดอสังหาริมทรัยพ์หรูยังคงเฟื่องฟู หลังห้องอพาร์ทเมนต์ห้องหนึ่ง ถูกขายในราคา 59 ล้านดอลาร์(ราว 1,760 ล้านบาท) สร้างสถิติใหม่แพงสุดในเอเชีย สำหรับอัตราการขายต่อตารางนิ้ว

    ในขณะที่มีที่พักอาศัยขายแพงกว่านี้ในฮ่องกง แต่เพนเฮาส์สุดหรูขนาด 3,378 ตารางฟุต(ราว 1,029 ตารางเมตร) ในย่าน Mid-Levels เขตที่พักอาศัยของคนร่ำรวย สร้างสถิติใหม่สำหรับราคาต่อตารางฟุตที่ 17,500 ดอลลาร์(ราว 5.2 แสนบาท) หลังจากสื่อมวลชนท้องถิ่นรายงานเมื่อวันพุธ(17ก.พ.) ว่ามันถูกขายในราคา 495.4 ล้านเหรียญฮ่องกง(ราว 1,760 ล้านบาท)

    ภาวะไร้เสถียรภาพทางการเมืองเมื่อไม่นานที่ผ่านมา และการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ก่อความเสียหายร้ายแรงแก่เศรษฐกิจของฮ่องกง โดยเศรษฐกิจหดตัว 6.1% ในปีที่แล้ว สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนอัตราคนว่างงานในปัจจุบันอยู่ที่ 6.6% สูงสุดในรอบ 16 ปี

    อย่างไรก็ตามยอดขายอสังหาริมทรัพย์หรูที่ยังคงเฟื่องฟู บ่งชี้ว่าพวกมหาเศรษฐีทั้งหลายสามารถยืนหยัดรับมือพายุได้อย่างสบายๆ

    ผู้ซื้อรายหนึ่งซึ่งไม่ระบุตัวตนยอมจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวเพื่อเป็นเจ้าของห้องแห่งนี้บน อาคารอพาร์ทเมนต์หรูที่เพิ่งสร้างใหม่ 21 Borrett Road ทำลายสถิติสูงสุดราคาต่อตารางฟุตเดิมที่เคยจารึกเอาไว้ในปี 2017

    ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้น 1 สัปดาห์ หลังจากห้างหุ้นส่วนแห่งหนึ่งสร้างสถิติใหม่ จ่ายเงิน 935.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(28,000ล้านบาท) หรือ 6,450 ดอลลาร์สหรัฐฯ(190,000บาทต่อตารางฟุต สำหรับเป็นเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่งบน The Peak ภูเขาสูงที่สุดบนเกาะฮ่องกง และยังคงเป็นย่านสันโดษที่สุดของเมือง

    ฮ่องกงคือเมืองที่มีช่องว่างห่างกันโดยสิ้นเชิง โดยในดินแดนแห่งนี้สามารถพบเห็นบรรดาคนชราเดินเก็บกระดาษแข็งไปรีไซเคิลบนท้องถนนที่เต็มไปด้วยซูเปอร์คาร์และห้างสินค้าหรูมากมาย

    ศูนย์กลางทางการเงินแห่งนี้ ครองแชมป์เมืองที่มีราคาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยสูงที่สุดในโลก โดยแม้กระทั่งอพาร์ทเมนต์ที่มีราคาถูกที่สุดก็ยังคงไกลเกินเอื้อมสำหรับแรงงานส่วนใหญ่

    รัฐบาลชุดแล้วชุดเล่าต่างล้มเหลวจัดการปัญหาความเท่าเทียมหรือปัญหาขาดแคลนที่พักอาศัย ความทุกข์ยากที่เติมเชื้อการประท้วงใหญ่ของฝ่ายประชาธิปไตยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

    ในรายงานด้านอสังหาริมทรัพย์ของ CBRE ปี 2019 จัดอันดับให้ ฮ่องกง เป็นเมืองที่มีราคาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยสูงที่สุดในโลก ด้วยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2,091 ดอลลาร์สหรัฐฯ(26,000บาท) ต่อตารางฟุต ซึ่งนั่นทำให้ค่าเฉลี่ยราคาอสังหาทรัพย์ในฮ่องกง อยู่ที่ราวๆ 1.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(ราว 35 ล้านบาท) แพงกว่าอันดับ 2 อย่างสิงคโปร์อย่างมาก โดยสิงคโปร์ มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 874,372 ดอลลาร์สหรัฐฯ(ราว 26 ล้านบาท)

    รายงานของ UBS ในปีเดียวกัน พบว่า "แรงงานที่มีทักษะความสามารถ" จำเป็นต้องใช้เวลา 22 ปี ถึงจะสามารถซื้ออพาร์ทเมนต์ขนาด 60 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นจากทศวรรษก่อน 12 ปี ในขณะที่อัตราเงินเดือนส่วนใหญ่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับเดิมมาตั้งแต่ปี 2008

    อย่างไรก็ตามสำหรับบรรดามหาเศรษฐีนั้น ยังคงพบเห็นทรัพย์สินของพวกเขาพอกพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรายงานสถานการณ์ความมั่งคั่งทั่วโลก(global wealth report) ของ Knight Frank บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ด้านที่อยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์จากสหราชอาณาจักร พบว่ามีจำนวนมหาเศรษฐีในฮ่องกง เพิ่มขึ้นจาก 40 คนในปี 2013 เป็น 71 คนในปี 2019 ส่งผลให้เมืองแห่งนี้มีอัตรามหาเศรษฐีต่อจำนวนประชาชนสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    น้ำโขงเหือด! "จีน" กั๊กระบายออก ซ้ำ "ลาว" ดอดขุดตักทรายสามเหลี่ยมทองคำ

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตายแล้ว21ศพเซ่นพายุฤดูหนาวถล่มสหรัฐฯ ชาวเทกซัสทนอากาศสุดขั้วโดยไม่มีไฟฟ้าใช้
    ชาวเทกซัสต้องเผชิญอากาศหนาวสุดขั้วโดยปราศจากเครื่องทำความร้อนเป็นวันที่ 3 ติดต่อกันในวันพุธ(17ก.พ.) ขณะที่พายุฤดูหนาวครั้งประวัติศาสตร์ที่ทำให้อุณหภูมิลดต่ำลงเป็นประวัติการณ์ คร่าชีวิตชาวบ้านแล้วอย่างน้อย 21 คนในหลายรัฐ
    Electric Reliability Council of Texas (ERCOT) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลโครงข่ายไฟฟ้า 90% ของทางรัฐ และตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนัก หลังประสบปัญหาไฟฟ้าขัดข้องในวงกว้าง ยอมรับว่าเวลานี้มีประชาชนชาว 2.7 ล้านครัวเรือนต้องอยู่โดยปราศจากไฟฟ้าใช้
    ลอรา โนเวลล์ คุณแม่ลูก 4 วัย 45 ปีในเมืองวาโก รัฐเทกซัส เผยว่าครอบครัวของเธอไม่มีไฟฟ้าใช้มาตั้งแต่ช่วงรุ่งสางของวันจันทร์(15ก.พ.) และพยายามคงความอุ่นด้วยการอยู่รวมกลุ่มกัน วิ่งหรือไม่ก็เข้าไปนั่งในรถเป็นเวลาสั้นๆ
    "เราไม่เคยเจออากาศหนาวขนาดนี้มาก่อน มีน้ำแข็งอยู่ทุกหนทุกแห่ง" โนเวลล์กล่าว พร้อมบอกว่ารู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้รับการสื่อสารแจ้งข่าวใดๆเกี่ยวกับปัญหาไฟดับต่อเนื่องยาวนาน "บอกฉันหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเงียบกันจัง"
    สำนักงานพยากรณ์อากาศแห่งชาติบอกว่าสภาพอากาศเลวร้ายผ่านพ้นพื้นที่เมืองฟอร์ตเวิร์ท รัฐเทกซัส ไปแล้ว แต่ยังคงคำเตือนด้านพายุไปจนถึง 20.00น. ในพื้นที่ทางตะวันออกของรัฐ และเตือนว่าอุณหภูมิจะต่ำผิดปกติเช่นนี้ต่อไปอีกหลายวัน
    นอกจากนี้แล้วสำนักงานพยากรณ์อากาศแห่งชาติ ระบุว่าหิมะและฝนเยือกแข็งที่เล่นงานภูมิภาคแถบนี้ กำลังเคลื่อนไทางตะวันออก และคาดหมายว่าจะเกิดการสะสมของหิมะและน้ำแข็งหนาหลายนิ้ว ในหลายพื้นที่ของรัฐเทกซัส รัฐลุยเซียนาและรัฐมิสซิสซิปปี ก่อนพายุจะเคลื่อนเข้าสู่แถบตอนกลางของแอตแลนติกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือในวันพฤหัสบดี(18ก.พ.)
    ลินา ฮิดัลโก ผู้พิพากษาประจำแฮร์ริ เคาน์ตี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในเคาน์ตีที่มีประชากรมากที่สุดของรัฐเทกซัส ระบุเมื่อวันพุธ(17ก.พ.) ว่าพายุไม่ได้ก่อความตึงเครียดแค่เครือข่ายจ่ายไฟฟ้าท้องถิ่นเท่านั้น แต่มันยังจุดชนวนผลกระทบเป็นลูกโซ่ ในนั้นรวมถึงสูญเสียแรงดันน้ำ ก่อมลพิษคาร์บอนมอนอกไซด์ และโครงการฉีดวัคซีนโควิด-19 ต้องหยุดชะงัก
    นอจากนี้ ฮิโดัลโก เผยด้วยว่าศูนย์ฉีดวัคซีนต้องรีบจัดการกับวัคซีนไฟเซอร์ 8,400 โดสที่จำเป็นต้องเก็บในอุณหภูมิติดลบก่อนที่วัคซีนจะเสีย เนื่องจากเครื่องปั่นไฟสำรองใช้การไม่ได้ เจ้าหน้าที่ต้องรีบนำวัคซีนเหล่านี้ไปยังเขตโรคพยาบาลและมหาวิทยาลัยไรซ์เพื่อฉีดให้ผู้ที่พร้อมรับวัคซีนในสถานที่เหล่านั้นและผู้ที่ไม่ต้องเสี่ยงกับการเดินทางบนถนนลื่น
    ฮิดัลโก ระบุเธอไม่เชื่อมั่นว่า ERCOT จะรับมือกับสถานการณ์ได้ และเตือนว่าปัญหาไฟฟ้าดับอาจกินเวลาไปอีกหลายวัน
    ตำรวจและสำนักข่าวท้องถิ่น รายงานว่ามีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 21 คน จากผลกระทบของพายุฤดูหนาวครั้งนี้ ในรัฐเทกซัส, ลุยเซียนา, เคนทักกี และมิสซูรี รวมถึง 4 คนที่ตายในเหตุเพลิงไหม้บ้านที่เมืองชูการ์แลนด์ รัฐเทกซัส
    สำนักงานพยากรณ์อากาศแห่งชาติคาดการณ์ว่าอุณหภูมิจะอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกหลายวัน เฉลี่ยราวๆ -20 ถึง -35 องศาเซลเซียส ในหลายพื้นที่ทางภาคกลางและใต้ของสหรัฐฯ และอาจนำมาซึ่งปริมาณหิมะสะสมเพิ่มเติม
    โทนี แอบบอตต์ ผู้ว่าการรัฐเทกซัส เรียกร้องให้บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรของรัฐ สืบสวน ERCOT และกดดันให้เกิดการปฏิรูป ขณะที่ สตีฟ แอดเลอร์ นายกเทศมนตรีเมืองออสติน ชี้ว่าเหตุไฟฟ้าขัดข้องเกิดขึ้นเพราะขาดการเตรียมพร้อม และเรียกร้องให้ปฏิรูปเช่นกัน
    ทำเนียบขาวกล่าวว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ให้คำรับประกันกับผู้ว่าการรัฐที่ประสบภัย "พายุครั้งประวัติศาสตร์" นี้ว่า รัฐบาลกลางพร้อมที่จะเสนอทรัพยากรฉุกเฉินเพิ่มเติม หลังจากก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีไบเดน อนุมัติประกาศภาวะฉุกเฉินในรัฐเทกซัสไปแล้วเมื่อวันอาทิตย์(14ก.พ.)
    (ที่มา:รอยเตอร์ส)
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    'แก๊สน้ำตา-กระสุนยาง-ระเบิดเสียง'ปลิวว่อน จลาจล2คืนติดในสเปน ประท้วงต้านจับ“แรปเปอร์”หมิ่นกษัตริย์
    ตำรวจยิงแก๊สน้ำตา กระสุนยางและระเบิดเสียง เข้าใส่การประท้วง 2 จุด ซึ่งมีผู้เข้าร่วมหลายพันคนในกรุงมาดริดและบาร์เซโลนา ในวันพุธ(17ก.พ.) การชุมนุม 2 คืนติด ที่มีขึ้นหลังจากแรปเปอร์คนหนึ่งถูกจับกุมตามข้อกล่าวหาแต่งเพลงยกย่องพวกก่อการร้าย และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกษัตริย์
    เบื้องต้นการชุมนุุุมในจัตุรัส พลาซา เดล โซล ใจกลางเมืองหลวง เป็นไปอย่างสันติ ด้วยผู้คนปรบมืออย่างพร้อมเพรียงกันและตะโกนว่า "ไม่เอาแล้วความรุนแรงจากตำรวจ" และ "ปล่อย ปาโบล ฮาเซล" แรปเปอร์ที่ถูกตำรวจเข้าควบคุมตัวที่เมือง Lleida ในแคว้นกาตาลุญญาเมื่อวันอังคาร(16ก.พ.)
    แต่ตำรวจพุ่งเข้าชาร์จฝูงชนด้วยตะบอง หลังผู้ประท้วงบางส่วนเริ่มขว้างปาขวดแก้วและหินที่พวกเขาขุดขึ้นมาจากทางเท้า นอกจากนี้แล้วผู้ชุมนุมบางส่วนยังจุดไฟเผาตู้ขนส่งสินค้า เพื่อสร้างแนวกั้นบนถนนแคบๆของกรุงมาดริด
    ในเมืองบาร์เซโลนา แคว้นกาตาลุญญา พบเห็นฉากความรุนแรงแบบเดียวกัน ตำรวจท้องถิ่นยิงกระสุนยาง แก๊สน้ำตาและระเบิดเสียง เข้าใส่ฝูงชนในวันพุธ(17ก.พ.) ส่งผลให้ผู้สื่อข่าวภาคสนามของรอยเตอร์สคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ
    ทันทีที่พวกผู้ประท้วงในกาตาลุุญญาเริ่มปาข้าวของเข้าใส่รถตู้หุ้มเกราะ ตำรวจตอบโต้ด้วยการยิงกระสุนยางเข้าใส่ โดยเล็งเป้าในระดับใบหน้า ทั้งนี้หลังจากเหตุจลาจลค่อยๆซาลงไป พบเห็นท้องถนนอันทอดยาวใจกลางเมืองบาร์เซโลนา ถูกปกคลุมไปด้วยกลุ่มควันลอยคลุ้งจากถังขยะที่ลุกติดไฟ
    ปาโบล ฮาเซล ซึ่งรู้จักกันดีว่ามีมุมมองซ้ายสุดขั้ว ไม่ยอมมอบตัวต่อตำรวจตามเส้นตายที่ขีดไว้เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว สำหรับเข้ารับโทษจำคุก 8 เดือนตามคำพิพากษาในปี 2018 บทลงโทษที่ก่อความขุ่นเคืองในสเปน และกระตุ้นให้รัฐบาลต้องแถลงว่าจะผ่อนปรนกฎหมายต่างๆ ที่จำกัดสิทธิเสรีภาพการแสดงออก
    เมื่อวันอังคาร(16ก.พ.) ตำรวจหลายสิบนายบุกเข้าไปยังมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมือง Lleida เพื่อจับกุมแรปเปอร์ ปาโบล ฮาเซล หลังจากเขาหลบอยู่ภายในมหาวิทยาลัย จุดชนวนการเดินชบวนและเหตุจลาจลในบาร์เซโลนาและตามเมืองอื่นๆในแคว้นกาตาลุญญาในคืนเดียวกัน
    ตำรวจเปิดเผยในวันพุธ(17ก.พ.) ว่าจับกุมผู้ก่อความไม่สงบได้ทั้งสิ้น 18 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 55 คน ในนั้น 25 คนเป็นเจ้าหน้าที่
    บรรดาแกนนำการประท้วงใช้สื่อสังคมออนไลน์เรียกร้องให้มีการชุมนุมอีกรอบและทั่วประเทศ รวมถึงในกรุงมาดริด ในคืนวันพุธ(17ก.พ.) เพื่อกดดันให้ปล่อยตัว ฮาเซล
    แหลงข่าวกระทรวงมหาดไทยกาตาลุญญาเปิดเผยตำรวจยกระดับคุมเข้มพื้นที่อ่อนไหวทั้งหลาย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดจลาจลซ้ำรอย แต่ปฏิเสธให้รายละเอียดเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามแห่งข่าวตำรวจบอกว่าพวกเขาไม่มีแผนเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยทั่วประเทศ รับมือกับการชุมนุม
    ฮาเซล ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานแต่งเพลง และทวีตข้อความต่างๆ ในนั้นชื่นชม ETA กลุ่มกองกำลังกึ่งทหารแบ่งแยกดินแดนแคว้นบาสก์ เปรียบเทียบพวกผู้พิพากษาสเปนกับนาซี และเรียกอดีตกษัตริย์ฮวน คาร์ลอส ว่าเป็นบอสมาเฟีย
    รัฐบาลฝ่ายซ้ายของสเปนตอบสนองต่อคดีนี้ ระบุเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าจะปฏิรูปกฎหมายลิดรอนเสรีภาพที่บังคับใช้โดยรัฐบาลชุดก่อนในปี 2015 ซึ่งตราขึ้นมาเพื่อป้องกันการเชิดชูกลุ่มติดอาวุธต่างๆ ในนั้นรวมถึง ETA นอกจากนี้แล้วกฎหมายยังห้ามหมิ่นประมาททางศาสนา และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพสถาบันกษัตริย์ด้วย
    ทั้งนี้ รัฐบาลบอกว่าจะปรับแก้กฎหมายให้มีบทลงโทษเบาลง และเล็งเป้าหมายเฉพาะกับพฤติกรรมต่างๆ ที่เสี่ยงต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และอาจปลุกปั่นความรุนแรง และจะยึดมั่นอดทนยอมรับสิทธิการแสดงออกรูปต่างๆ ทั้งด้านศิลปะ วัฒนธรรม และปัญญาประดิษฐ์
    (ที่มา:รอยเตอร์ส)
    ชมคลิปที่นี่: https://mgronline.com/around/detail/9640000016058

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ใจป้ำ!สหรัฐฯเตรียมมอบเงิน$200ล้านสนับสนุนWHO หลังยกเลิกแผนถอนตัว

    แอนโทนี บลินเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯเปิดเผยในวันพุธ(17ก.พ.) อเมริกามีแผนจ่ายเงินอีกกว่า 200 ล้านแก่องค์การอนามัยโลกในช่วงสิ้นเดือนนี้ หลังกลับลำแผนถอนตัวของโดนัลด์ ทรัมป์

    เงินดังกล่าวเป็นจำนวนเดียวกับที่สหรัฐฯเคยให้สัญญาว่าจะมอบให้แก่องค์กรสาธารณสุขโลกแห่งนี้ ซึ่งพวกเขาเคยเป็นผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดมาก่อน

    "นี่คือก้าวอย่างสำคัญในการเดินหน้าเติมเต็มพันธสัญญาทางการเงินของเรา ในฐานะสมาชิกขององค์การอนามัยโลก และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นครั้งใหม่ของเราที่อยากให้คำรับประกันกับองค์การอนามัยโลก ว่าพวกเขาจะไดรับการสนับสนุนที่จำเป็นเพื่อเป็นแกนนำของโลกในการตอบสนองต่อโรคระบาดใหญ่" บลินเคนบอกกับที่ประชุมทางไกลของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ว่าด้วยเรื่องโควิด-19

    "สหรัฐฯจะทำงานในฐานะพันธมิตร เพื่อจัดการกับความท้าทายต่างๆของโลก โรคระบาดใหญ่นี้คือหนึ่งในความท้าทายต่างๆเหล่านั้น และเปิดโอกาสให้เรา ไม่ใช่แค่ฟันฝ่าวิกฤตนี้ แต่มันยังสามารถเป็นการเตรียมพร้อมและมอบความยืดหยุ่น สำหรับรับมือกับวิกฤตในอนาคต"

    นอกจากนี้แล้ว บลินเคน บอกว่าสหรัฐฯจะมอบการสนับสนุนทางการเงินที่สำคัญแก่โครงการโคแว็กซ์ แผนนานาชาติสำหรับแจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 แก่บรรดาประเทศยากจนที่สุด

    ในเจนีวา องค์การอนามัยโลกแสดงความยินดีกับคำแถลงของ บลินเคน ระบุว่าเงินทุนเหล่านี้จะสนับสนุนเป้าหมายของทางองค์กร สำหรับยกระดับสุขภาพผู้คนหลายพันล้านคนภายในปี 2023 "ไม่ใช่แค่ตอบสนองโรคระบาดใหญโควิด-19 แต่ยังรวมถึงสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขอื่นๆทั่วโลก"

    ทรัมป์ ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์จากแนวทางรับมือกับโรคระบาดใหญ่โควิด-19 ในสหรัฐฯ ชาติที่มียอดผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก ประกาศถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก โดบระบุว่าองค์กรแห่งนี้ลำเอียงเข้าข้างจีน และไม่ดำเนินการอย่างเพียงพอเพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

    ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กลับลำในทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง แต่ขณะเดียวกันรัฐบาลของเขายังเดินหน้ากดดันจีน ให้เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมแก่คณะทำงานขององค์การอนามัยโลก ที่กำลังสืบสวนหาต้นตอของไวรัสมรณะชนิดนี้

    "ทุกประเทศควรพร้อมให้ทุกข้อมูลของวันแรกๆที่เกิดการแพร่ระบาด" บลินเคนกลาว "และในอนาคต ทุกประเทศ ควรมีส่วนร่วมในกระบวนการที่โปร่งใสและตรงไปตรงมา เพื่อป้องกันและตอบสนองสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขต่างๆนานา เพื่อที่ทั่วโลกจะสามารถเรียนรู้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้"

    (ที่มา:เอเอฟพี)
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ‘ทรัมป์’แค้นหนักบีบสมาชิกรีพับลิกัน‘เท’ผู้นำในวุฒิสภา ขณะตัวเองโดน‘เดโมแครต’ฟ้อง สมรู้ร่วมคิดปั่นม็อบบุกแคปิตอล
    ทรัมป์เรียกร้องวุฒิสมาชิกรีพับลิกัน “เท” แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาสูง อ้างบุญคุณช่วยแมคคอนเนลล์ให้ได้เข้าสภาในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด พร้อมขู่ใช้อิทธิพลที่ยังมีล้นเหลือในพรรคเขี่ยสมาชิกที่ไม่เข้าข้างตัวเอง ขณะเดียวกันสมาชิกเดโมแครตยื่นฟ้องทรัมป์และจูเลียนี ทนายคู่ใจ รวมถึงกลุ่มขวาจัดอีก 2 กลุ่ม ละเมิดกฎหมายคู คลักซ์ แคลน ด้วยการสนับสนุนม็อบบุกสภาเมื่อต้นปีเพื่อขัดขวางการรับรองชัยชนะของไบเดน
    วันอังคาร (16 ก.พ.) โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกคำแถลงซึ่งถือเป็นการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่ยาวที่สุดนับจากพ้นตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 20 มกราคม โดยในคำแถลงระบุว่า พรรครีพับลิกันไม่อาจเป็นที่เคารพยำเกรงภายใต้ผู้นำอย่างวุฒิสมาชิกมิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภา และสำทับว่า สมาชิกที่ยังอยู่กับแมคคอนเนลล์จะไม่มีวันได้ชัยชนะกลับเข้าสู่สภาอีกครั้ง
    การโจมตีนี้มีสาเหตุมาจากที่แมคคอนเนลล์กล่าวเมื่อวันเสาร์ (13) ว่า แม้ตนเองโหวตให้ทรัมป์พ้นผิดจากการถูกไต่สวนเพื่อถอดถอนกรณีปลุกม็อบบุกสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม แต่อดีตประธานาธิบดีผู้นี้มีความรับผิดชอบทั้งในทางปฏิบัติและศีลธรรมในเหตุการณ์ดังกล่าวที่มีผู้เสียชีวิตถึง 5 คน
    แมคคอนเนลล์เสริมว่า การกระทำของทรัมป์เป็นชนวนให้เหล่าผู้สนับสนุนเดินขบวนและบุกเข้าสู่รัฐสภา “อาชญากรเหล่านั้นชูป้ายและธงทรัมป์ และตะโกนแสดงความจงรักภักดีต่อทรัมป์”
    ในคำแถลงวันอังคาร ทรัมป์ยังกล่าวหาแมคคอนเนลล์ว่า ทำให้รีพับลิกันแพ้ในรัฐจอร์เจียและสูญเสียเสียงข้างมากในวุฒิสภา ทั้งที่ตลอด 4 ปีที่ผ่านมานักการเมืองรุ่นลายครามผู้นี้สามารถควบคุมวุฒิสภาให้เดินไปในแนวทางเดียวกับทรัมป์
    ทรัมป์อ้างว่า ตัวเองเป็นคนที่ทำให้แมคคอนเนลล์ที่ผูกขาดเก้าอี้วุฒิสมาชิกรัฐเคนทักกีมาตั้งแต่ปี 1984 ได้ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด
    อดีตประธานาธิบดีผู้นี้ยังโจมตีอีเลน โจว ภรรยาของแมคคอนเนลล์ซึ่งเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายจีนที่เกิดในไต้หวัน และเคยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมแต่ลาออกหลังเหตุม็อบบุกสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม โดยระบุว่า แมคคอนเนลล์ขาดความน่าเชื่อถือในประเด็นจีนเนื่องจากครอบครัวมีหุ้นในธุรกิจแดนมังกร
    ทรัมป์ยังขู่ว่า จะใช้ฐานเสียงที่ยังสนับสนุนตนอย่างเข้มแข็งหนุนผู้สมัครของรีพับลิกันที่สนับสนุนนโยบายและแนวทางของตนเท่านั้นในการเลือกตั้งปี 2022
    อย่างไรก็ตาม แม้ทรัมป์รอดคดีถอดถอนเนื่องจากเดโมแครตไม่สามารถรวมเสียงได้ถึง 2 ใน 3 ในสภาสูง แต่เหตุการณ์ม็อบบุกสภาจะยังตามรังควาญเขาไปอีกนาน
    ล่าสุดเมื่อวันอังคาร ส.ส.เบนนี ธอมป์สัน สมาชิกพรรคเดโมแครตและประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งมาตุภูมิในสภาผู้แทนราษฎร ได้ยื่นฟ้องต่อศาลสหรัฐฯในกรุงวอชิงตัน กล่าวหาทรัมป์ รวมถึงรูดี้ จูเลียนี ทนายความส่วนตัว และกลุ่มสุดโต่งอีกสองกลุ่มคือ พราวด์ บอยส์ และโอ๊ธ คีปเปอร์ส ละเมิดกฎหมายคู คลักซ์ แคลนปี 1871 ด้วยการสนับสนุนความพยายามของฝูงชนในการขัดขวางไม่ให้รัฐสภารับรองโจ ไบเดน ในตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่
    กฎหมายดังกล่าวให้อำนาจประธานาธิบดีขัดขวางกลุ่มเหยียดเชื้อชาติที่นิยมความรุนแรง เช่น คู คลักซ์ แคลน ที่ก่อตั้งขึ้นหลังสงครามกลางเมืองปี 1861-1865 เพื่อต่อต้านการยินยอมให้คนอเมริกันผิวสีมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน มาตราหนึ่งในกฎหมายนี้ยังห้ามการใช้ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ
    ธอมป์สันกล่าวหาทรัมป์ จูเลียนี และกลุ่มหัวรุนแรง 2 กลุ่มที่กล่าวข้างต้น สมรู้ร่วมคิดโดยการใช้กำลัง ข่มขู่ และคุกคาม เพื่อขัดขวางไม่ให้ตนและสมาชิกรัฐสภาคนอื่นๆ รับรองชัยชนะในการเลือกตั้งของไบเดน
    ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่กลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์บุกสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม นอกจากทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากแล้ว ยังทำให้สภาต้องระงับการดำเนินการเพื่อรับรองชัยชนะของไบเดนชั่วคราว
    ธอมป์สัน ซึ่งเป็นคนผิวดำที่เกิดในมิสซิสซิปปีและเติบโตมาท่ามกลางการคุกคามของลัทธิคู คลักซ์ แคลน เรียกร้องค่าเสียหายที่ไม่ระบุจำนวนเงินสำหรับผลกระทบทางอารมณ์ และค่าเสียหายเชิงลงโทษด้วยการขอให้ศาลบังคับให้ทรัมป์และจำเลยคนอื่นๆ งดเว้นการละเมิดกฎหมายอีกในอนาคต
    ด้าน เจสัน มิลเลอร์ โฆษกของทรัมป์ ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวโดยยืนยันว่า ทรัมป์ไม่ได้วางแผนหรือจัดการให้มีการชุมนุมเมื่อวันที่ 6 มกราคม รวมทั้งไม่ได้ปลุกปั่นหรือสมรู้ร่วมคิดในการก่อความรุนแรงต่อรัฐสภาในวันดังกล่าว

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ‘ไบเดน’ โทรศัพท์พูดคุยกับ‘สี’ เป็นเครื่องหมายแสดงถึงการเริ่มต้นใหม่ ไม่ใช่การย้ำท่าทีเผชิญหน้าแบบยุค‘ทรัมป์’
    โดย เอ็ม เค ภัทรกุมาร
    ทำเนียบขาวแถลงข่าวประธานาธิบดีโจ ไบเดน โทรศัพท์ไปสนทนากับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ครั้งแรก โดยใช้ภาษาที่เคร่งขรึมและประหยัดถ้อยคำ ขณะที่สื่อจีนกลับมองโลกในแง่ดีว่า ว่าการพูดคุยกันเป็นเวลา 2 ชั่วโมงระหว่างผู้นำทั้งสองที่รู้จักคุ้นเคยกันมานานในคราวนี้ จะเป็นผลบวกต่อสายสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ
    สิ่งที่โดดเด่นมากๆ สำหรับคณะบริหารสหรัฐฯชุดใหม่ก็คือ ไม่เคยมีประธานาธิบดีอเมริกันคนไหนอีกแล้วซึ่งมีประสบการณ์ด้านนโยบายการต่างประเทศถึงระดับเฉียดใกล้กับที่ โจ ไบเดน มีอยู่ ประสบการณ์อันยาวนานมากกว่าครึ่งศตวรรษของเขามาจากการสั่งสมเพิ่มพูนต่อเนื่อง ระหว่างดำรงตำแหน่งในวุฒิสภาสหรัฐฯ และในทำเนียบขาว ตั้งแต่ปี 1973 ถึงปี 2016 ตลอดจนภายหลังจากนั้นอีก
    ตัวไบเดนเองพูดทบทวนความหลังเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า “ผมได้ยินคำบอกเล่าพูดกันว่า บางทีผมน่าเป็นคนที่ใช้เวลาอยู่กับ สี จิ้นผิง (ประธานาธิบดีของจีน) มากยิ่งกว่าผู้นำโลกคนไหนๆ”
    ไบเดน เป็นเจ้าภาพต้อนรับ สี ตอนที่เขาไปเยือนสหรัฐฯเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2012 ในฐานะที่เป็นรองประธานาธิบดีของจีน และได้ร่วมอยู่ในคณะตลอดการทัวร์ของ สี ครั้งนั้น ตามการเสนอแนะของตัว สี เอง ทั้งนี้ ไบเดนกำลังตอบแทนท่าทีที่ สี ได้แสดงออกเมื่อปีก่อนหน้านั้น ตอนที่ ไบเดน ไปเยือนจีนในฐานะรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทั้งคู่สั่งสมระยะเวลาแห่งการได้สนทนากันแบบเก็บเป็นความลับไม่เปิดเผยต่อภายนอกยาวนานนับชั่วโมงไม่ถ้วนทีเดียว
    สามารถที่จะกล่าวได้ว่า การที่ ไบเดน โทรศัพท์ไปถึง สี เมื่อวันพฤหัสบดี (11 ก.พ.) ที่ผ่านมา คือความต่อเนื่องของความสัมพันธ์ระดับส่วนบุคคล สีได้ทบทวนย้อนความหลังเอาไว้อย่างคมกริบ ด้วยการพูดเรื่องที่เคยคุยกันในการรับประทานอาหารค่ำเป็นการส่วนตัว ณ ที่ราบสูงทิเบต ระหว่างที่ ไบเดน ไปเยือนเป็นเวลา 4 วันเมื่อปี 2011
    สี ชวนให้ ไบเดน ระลึกถึงตอนหนึ่งในการสนทนากันครั้งนั้น “คุณบอกว่าอเมริกานั้นสามารถที่จะนิยามจำกัดความได้ด้วยคำๆ เดียว คำว่า ความเป็นไปได้ เราก็วาดหวังว่าความเป็นไปได้ที่ว่านี้ในตอนนี้จะชี้ไปที่การปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐ”
    คำพูดแท้ๆ เลย ที่ ไบเดน ได้พูดเอาไว้เมื่อปี 2011 คือ “เราเชื่อว่าอะไรๆ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ถ้าหากเราตั้งใจตั้งความคิดของเราไปที่สิ่งนั้น ไม่เหมือนกับประเทศอื่นๆ ไม่ว่าชาติไหนในโลก” แน่นอนทีเดียว การที่ ไบเดน โทรศัพท์ไปถึง สี เมื่อวันพฤหัสบดี (11 ก.พ.) จำเป็นที่จะต้องชั่งน้ำหนักกันภายใต้ฉากหลังอันโดดเด่นพิเศษเฉพาะและก็สลับซับซ้อน
    ไม่ว่าบันทึกการสนทนาของฝ่ายทำเนียบขาวซึ่งอยู่ในอาการขรึมๆ ประหยัดถ้อยคำ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.whitehouse.gov/.../readout-of-president.../

    ) หรือรายงานข่าวของสำนักข่าวซินหัวที่มีรายละเอียดมากขึ้น (ดูเพิ่มเติมได้ที่ http://www.xinhuanet.com/english/2021-02/11/c_139737284.htm

    ) ต่างก็ไม่สามารถสะท้อนให้เห็นภาพอันชัดเจนยุติธรรมออกมาได้
    ไบเดนได้เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (12 ก.พ.) ระหว่างการพบปะหารือกับพวกวุฒิสมาชิกสหรัฐฯในทำเนียบขาวว่า “เมื่อคืนนี้ ผมพูดคุยทางโทรศัพท์รวดเดียว 2 ชั่วโมงกับ สี จิ้นผิง และพวกคุณทั้งหมดต่างก็ทราบดีพอๆ กับที่ผมรู้ พวกคนที่รู้จักคุ้นเคยกันมานมนานเหล่านี้ – และมันก็เป็นการสนทนากันที่ดี ผมรู้จักเขาเป็นอย่างดี เราเคยใช้เวลาด้วยกันเยอะทีเดียวตลอดเวลาหลายๆ ปีที่ผมยังเป็นรองประธานาธิบดีอยู่”
    ไบเดนพูดต่อไปโดยยกย่องสรรเสริญจีน ในเรื่องที่มี “แผนการความริเริ่มใหม่ขนาดใหญ่ๆ ในเรื่องทางรถไฟ พวกเขาตอนนี้มีทางรถไฟที่วิ่งได้ 225 ไมล์ต่อชั่วโมง (360 กิโลมตรต่อชั่วโมง) ได้อย่างง่ายดายแล้ว พวกเขากำลังทำงาน –พวกเขากำลังทำงานกันหนักมากเพื่อทำสิ่งที่ผมคิดว่าเราก็กำลังจะต้องทำ
    “พวกเขากำลังจะ –พวกเขากำลังทำงานกันหนักมากเพื่อพยายามเข้าไปอยู่ในตำแหน่งซึ่งพวกเขาจะจบลงด้วยการเป็นแหล่งที่มาของ – ของวิธีการใหม่ ในการให้พลังแก่พวกรถยนต์ ซึ่งจะ –พวกเขากำลังจะลงทุนกันเป็นเงินเยอะแยะมากมาย
    “พวกเขากำลังลงทุนกันเป็นหลายหมื่นล้านหลายแสนล้านดอลลาร์ และกำลังจัดการกับประเด็นปัญหาต่างๆ แบบครอบคลุมทั่วทั้งแถบไปเลย ทั้งในด้านการคมนาคมขนส่ง, สิ่งแวดล้อม, และครอบลุมทั่วทั้งหมดในเรื่องอื่นๆ ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องยกระดับขึ้นไป”
    คำพูดเช่นนี้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอย่างฟุ้งๆ ไบเดนนั้นกำลังอยู่ในการประชุมครั้งแรกกับพวกวุฒิสมาชิกกลุ่มหนึ่งที่มาจากทั้งสองพรรคในห้องทำงานของเขาเมื่อวันศุกร์ (12 ก.พ.) เพื่อ “อภิปรายหารือกันถึงความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องดำเนินการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอเมริกันเพื่อให้มีความทันสมัยและยั่งยืน”
    บันทึกการสนทนาของทำเนียบขาว (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.whitehouse.gov/.../readout-of-president.../

    ) พูดถึงการประชุมคราวนี้ เอาไว้ดังนี้:
    “ทำให้เกิดความเข้าใจร่วมกันอย่างมั่นคงขึ้นมาว่า อเมริกาจำเป็นที่จะต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ในตลอดทั่วทั้งพื้นที่เขตเมืองและเขตชนบทต่างๆ และสร้างตำแหน่งงานที่จ่ายค่าตอบแทนดีๆ เป็นล้านๆ ตำแหน่งขึ้นมา ในกระบวนการที่จะสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศตลอดระยะเวลาหลายๆ เดือนและหลายๆ ปีข้างหน้า” และ
    “ทางวุฒิสมาชิกทั้งหลายมีความรู้สึกได้รับแรงกระตุ้นเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของคณะบริหาร ในเรื่องการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มีความยั่งยืน ซึ่งจะสามารถยืนหยัดต้านานผลกระทบต่างๆ ของการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ และเป็นเชื้อเพลิงให้แก่การปฏิวัติด้านพลังงานสะอาดของอเมริกัน ... วิธีการที่คณะบริหารจะนำเอาการก่อสร้าง, การผลิตทางอุตสาหกรรม, งานทางวิศวกรรม, และตำแหน่งงานในแวดวงที่ต้องมีทักษะ –โดยมีทางเลือกที่จะเข้าร่วมในสหภาพแรงงานได้— ตรงเข้าไปถึงชุมชนต่างๆ ซึ่งบ่อยครั้งเกินไปแล้วที่ถูกทอดทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง”
    ไบเดนยังดูเหมือนจะได้เดินหน้าต่อจากประโยคที่ใช้ปิดท้ายในบันทึกการสนทนาของทำเนียบขาวว่าด้วยการสนทนาระหว่างไบเดนกับสี (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.whitehouse.gov/.../readout-of-president.../

    ) เมื่อวันก่อน นั่นคือ “ประธานาธิบดีไบเดนมีความมุ่งมั่นผูกพันที่จะเดินหน้าปฏิสัมพันธ์ต่างๆ ซึ่งมุ่งผลทางปฏิบัติ, และเน้นที่ผลลัพธ์ (กับประเทศจีน) ในเวลาเดียวกับที่เดินหน้าไปเพื่อผลประโยชน์ต่างๆ ของประชาชนชาวอเมริกัน”
    ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไรที่ฝ่ายจีนแสดงน้ำเสียงของการมองโลกในแง่ดี ความคิดเห็นของพวกผู้เชี่ยวชาญของจีนก็คือว่า จังหวะเวลาซึ่งไบเดนโทรศัพท์ไปถึงสีเป็นครั้งแรกในฐานะเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯนั้นคือวันสุกดิบก่อนหน้าวันขึ้นปีใหม่ของจีน เรื่องนี้สมควรได้รับการตีความว่าเป็นท่าทีของความมีไมตรีจิต “เพื่อสร้างความสมดุลให้แก่ข้อความอันแข็งกร้าวต่างๆ ซึ่งคณะบริหารสหรัฐฯชุดใหม่ชุดนี้ได้ส่งออกมาในระยะไม่กี่วันหลังๆ นี้ รวมทั้งก่อให้เกิดการตีความกันอย่างหลายหลากเกี่ยวกับข้อความเหล่านี้”
    ขณะเดียวกับที่ดำเนินการประเมินผลเกี่ยวกับการที่ไบเดนโทรศัพท์พูดคุยกับสี พวกผู้เชี่ยวชาญชาวจีนก็มีการประมาณการด้วยว่า คณะบริหารสหรัฐฯชุดใหม่ชุดนี้กำลัง “อยู่ตรงทางแยกของการหาวิธีการในการบริหารจัดการกันใหม่และในการควบคุม” ความผิดแผกแตกต่างกันทั้งหลายระหว่างจีนกับอเมริกา ตลอดจนการแตกแยกออกไปคนละทางในเชิงยุทธศาสตร์ และส่วนสำคัญที่สุดสำหรับไบเดนก็คือ สหรัฐฯจะต้องดำเนิน “การแข่งขันอย่างสุดฤทธิ์กับจีน แต่ก็จะไม่ยินยอมให้การแข่งขันพัฒนากลายเป็นความขัดแย้ง”
    แน่นอนทีเดียว ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯกำลังกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ยุ่งยากสลับซับซ้อน ดังมีหลักฐานมองเห็นได้จากการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจชุดใหม่ของเพนตากอน (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.axios.com/biden-pentagon-task-force-china...

    ) เมื่อวันพุธ (10 ก.พ.) ให้ทำหน้าที่ทบทวนนโยบายด้านกลาโหมของสหรัฐฯที่ใช้กับจีน โดยที่นโยบายกลาโหมของอเมริกาที่ปฏิบัติต่อจีนนี้ สำหรับฝ่ายทหารสหรัฐฯแล้ว ถือเป็น “การดำเนินการเชิงสถาบันที่ไม่ได้เคยทำกันมาก่อน” และถ้าหากแนวโน้มเช่นนี้ยังคงดำเนินต่อไปแล้ว “มันจะนำมาซึ่งความเสี่ยงต่างๆ ทางยุทธศาสตร์ที่สหรัฐฯไม่สามารถแบกรับได้” ด้วยเหตุนี้ คณะบริหารไบเดนจึงต้องพูดจากับจีนเกี่ยวกับวิธีบริหารจัดการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสอง
    บทวิจารณ์ที่ปรากฏในสื่อจีน (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.globaltimes.cn/page/202102/1215530.shtml

    และ https://www.globaltimes.cn/page/202102/1215521.shtml

    ) มีการตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจเอาไว้ดังนี้:
    **“สิ่งซึ่งมีความสำคัญที่สุดก็คือ จะมองความสัมพันธ์นี้กันอย่างไร ถือว่าเป็นความตึงเครียดระหว่างกันหรือว่าเป็นความร่วมมือกัน และความสมเหตุสมผลในทางยุทธศาสตร์ของทั้งสองฝ่ายจักสามารถขึ้นมาเป็นปัจจัยที่มีน้ำหนักมากกว่าได้หรือไม่ นี่จะกลายเป็นสิ่งที่ตัดสินอนาคตของความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ”
    **การที่ ไบเดน โทรศัพท์ถึง สี สามารถกลายเป็น “ตัวกำหนดทิศทางแนวโน้ม” ขึ้นมาได้ เนื่องจากมันแสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายมีความปรารถนาที่จะผลักดันสายสัมพันธ์ทวิภาคีให้ก้าวไปข้างหน้าในทิศทางซึ่งเป็นบวกเพิ่มขึ้น โดยที่มันก็จะกลายเป็นการ “วางรากฐานสำหรับการติดต่อกันที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า”
    **ต้องยอมรับกันว่า มีแรงต่อต้านจากพวกแนวคิดแข็งกร้าวผู้ซึ่งจะสร้างอุปสรรคเครื่องกีดขวางอันใหญ่โตมหึมาเอาไว้ในเส้นทางแห่งความพยายามซ่อมแซมแก้ไขความสัมพันธ์ที่สหรัฐฯมีอยู่กับจีน ทว่าตรงนั้นแหละที่ “ไบเดนสามารถแสดงออกซึ่งจินตนาการของเขา และนำพาความสัมพันธ์ทวิภาคีนี้ให้กลับเข้าสู่เส้นทางอันถูกต้องแห่งกระบวนการกลับคืนสู่ภาวะปกติ”
    **ไบเดนนั้น “กำลังเผชิญแรงกดดันภายในประเทศให้หลีกเลี่ยงจากการเข้าใกล้ชิดจีนมากเกินไป” กระนั้น เขาก็ยังคงโทรศัพท์ถึง สี อยู่ดี ซึ่งสาธิตให้เห็นถึงความปรารถนาของเขาที่จะปรับปรุงสายสัมพันธ์ และที่จะนำเอาความแตกแยกไปกันคนละทาง เข้ามาอยู่ใต้การควบคุม “มันเป็นสัญญาณที่ดีซึ่งแสดงว่าความสัมพันธ์ทวิภาคีจะไม่เลวร้ายเสื่อมโทรมลงไปอีก และจะปั่นป่วนเคว้างคว้างจนควบคุมกันไม่ได้”
    **อย่างที่สามารถคาดหมายกันได้อยู่แล้ว ไบเดนได้หยิบยกเอาเรื่องฮ่องกง, ไต้หวัน, และซินเจียง ขึ้นมาพูด “ทว่าไม่เหมือนกับผู้ดำรงตำแหน่งคนก่อนหน้าเขา ไบเดนแสดงความปรารถนาที่จะนำเอาความแตกแยกไปกันคนละทางเหล่านี้เข้ามาอยู่ใต้การควบคุม โดยผ่านการสนทนาพูดจากัน แทนที่จะประกาศมาตรการแซงก์ชั่นใส่จีนตามอำเภอใจฝ่ายเดียว นี่แสดงถึงไมตรีจิตของไบเดนเมื่อมาถึงเวลาที่ต้องป้องกันไม่ให้ความสัมพันธ์เสื่อมทรามเลวร้ายลงไปอีก”
    **เพื่อเป็นเครื่องหมายอย่างหนึ่งของไมตรีจิต เมื่อวันอังคาร (9 ก.พ.) ไบเดนได้ยกเลิกคำสั่งฉบับหนึ่งของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กำหนดให้โรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างๆ ของสหรัฐฯต้องรายงานเปิดเผยการที่พวกเขาเข้าเป็นหุ้นส่วนร่วมมือกับสถาบันขงจื๊อ กระนั้นในวันรุ่งขึ้น เขาก็ยังคงสั่งการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจของกระทรวงกลาโหมขึ้นมา เป็นที่ชัดเจนว่า คณะบริหารไบเดนกำลังใช้ยุทธศาสตร์ “วิธีการแบบไม้อ่อนและไม้แข็งผสมผสานกัน” โดยที่ความร่วมมือกันจะขยายตัวไปได้ ทว่าจุดยืนอันแข็งกร้าวต่อจีนก็จะยังมีน้ำหนักมากกว่า
    พิจารณากันเป็นภาพรวม พวกผู้เชี่ยวชาญของฝ่ายจีนกำลังดำเนินการประเมินผลอย่างชนิดสอดคล้องกับความเป็นจริง สี ได้เสนอให้ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันในการต่อสู้กับโรคระบาดใหญ่โควิด-19, การส่งเสริมสนับสนุนให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว, และการธำรงรักษาสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาค
    สี ยังเสนอให้รื้อฟื้นกลไกการสนทนากันที่มีอยู่อย่างหลากหลากระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน จีนยังกำลังเฝ้ามองอย่างใกล้ชิดว่า เมื่อสหรัฐฯเผชิญกับความเสี่ยงด้านภาวะเงินเฟ้อและการขาดดุลงบประมาณอย่างบานเบิกมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ยังไม่ต้องเอ่ยถึงความท้าทายต่างๆ ทางเศรษฐกิจในระยะยาวซึ่งรออยู่ข้างหน้า คณะบริหารไบเดนจะใช้วิธีการเช่นใดจึงจะสามารถระดมเม็ดเงินลงทุนเพิ่มมากขึ้น ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานและในด้านอื่นๆ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดเหลือเกินสำหรับการเติบโตขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา (ดูเพิ่มเติมได้ที่ http://www.xinhuanet.com/english/2021-02/11/c_139738016.htm

    )
    จีนวาดหวังว่า การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันนั้นในที่สุดแล้วย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเป็นการเปิดไปสู่ “ความเป็นได้ต่างๆ” –ถ้าหากจะขอยืนคำพูดของไบเดนมาใช้ คำเตือนเพียงประการเดียวของฝ่ายจีนก็คือ ฝ่ายสหรัฐฯควรต้องเคารพสิ่งที่จีนถือเป็นผลประโยชน์แกนหลักของตน และ “กระทำอย่างสุขุมรอบคอบ” ด้วยความถูกต้องเหมาะสม ทั้งในเรื่องคำถามไต้หวัน และประเด็นปัญหาซึ่งเกี่ยวข้องพัวพันกับฮ่องกง, ซินเจียง, และอื่นๆ ซึ่งถือเป็นกิจการภายในของจีน และให้ความใส่ใจแก่อธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของจีน
    (เก็บความจากเอเชียไทมส์ WWW.asiatimes.com

    )

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ชาวพม่าเรือนแสนลงถนนสู้เผด็จการต่อ UNเตือนอย่าคิดปราบแรงจะบานปลายคุมไม่อยู่
    ผู้คนหลายแสนรวมตัวเดินขบวนในพม่าเมื่อวันพุธ (17 ก.พ.) เป็นการปฏิเสธคำกล่าวอ้างของกองทัพที่ว่าประชาชนสนับสนุนการโค่นล้มรัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้งของนางอองซานซูจี ขณะที่เจ้าหน้าที่ยูเอ็นเตือนว่า หากมีการส่งกำลังทหารเป็นจำนวนมากตามที่เป็นข่าว ก็อาจทำให้สถานการณ์ลุกลามจนไม่สามารถควบคุมได้
    ชาวพม่าออกมาประท้วงอย่างเปิดเผยนับจากที่กองทัพเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลของซูจีเมื่อวันที่ 1 เดือนนี้ พร้อมควบคุมตัวเจ้าของรางวัลโนเบลสันติภาพวัย 75 ปีผู้นี้ และตั้งข้อหาละเมิดกฎหมายควบคุมการนำเข้าและกฎหมายบริหารจัดการภัยพิบัติ
    วันพุธ (17) ประชาชนหลายแสนคนชุมนุมในย่างกุ้ง ขณะผู้ประท้วงบางส่วนนำรถยนต์ไปจอดปิดถนนเพื่อไม่ให้กองกำลังความมั่นคงเคลื่อนกำลังภายในเมืองใหญ่ที่สุดในประเทศแห่งนี้ได้สะดวก
    การชุมนุมในวันพุธเป็นการท้าทายรัฐบาลทหารที่พยายามใช้ความรุนแรงสยบการต่อต้าน หลังจากมีการประท้วงทั่วประเทศ รวมถึงการเรียกร้องให้ข้าราชการอารยะขัดขืนด้วยการผละงานต่อเนื่องมานับจากวันที่ 6
    แม้การประท้วงในช่วงสองวันก่อนหน้านี้บางตาลงอย่างชัดเจน แต่เมื่อคืนวันอังคาร (16) ก่อนที่กองทัพจะปิดอินเทอร์เน็ตติดต่อกันเป็นคืนที่ 3 โซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยข้อความเรียกร้องให้ผู้ประท้วงออกไปแสดงพลัง
    ช่วงเที่ยงวันพุธ ผู้ประท้วงต่อต้านการรัฐประหารชุมนุมกันในเมืองต่างๆ ทั่วประเทศจากรัฐชินบนที่ราบสูงจนถึงเมืองเล็กๆ ลุ่มแม่น้ำอิระวดี และนอกกรุงเนปิดอ ที่มีประชาชนนับหมื่นจากภาคส่วนต่างๆ เช่น วิศวกร แพทย์ และครู เดินขบวนในเมืองปยินมะนา
    ชาวมัณฑะเลย์นับหมื่นออกไปชุมนุมบนถนน บางคนพากันไปปิดเส้นทางรถไฟสำคัญ
    ทอม แอนดรูส์ ผู้จัดทำรายงานพิเศษของสหประชาชาติ เตือนว่า หากกองทัพส่งทหารเข้าไปในย่างกุ้งตามที่เป็นข่าว อาจทำให้สถานการณ์ลุกลามจนไม่สามารถควบคุมได้ พร้อมเรียกร้องให้ประเทศที่มีอิทธิพลต่อนายพลพม่ากดดันไม่ให้มีการใช้ความรุนแรงกับผู้ประท้วง
    อย่างไรก็ดี ในช่วงเช้าวันพุธยังไม่มีสัญญาณว่า มีการเคลื่อนกำลังพลไปยังเมืองหลวงเก่าแต่อย่างใด รวมทั้งไม่มีรายงานข่าวการปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกับกองกำลังความมั่นคง
    ทั้งนี้ ช่วงหลายวันก่อนหน้านี้ ทหารได้ใช้กระสุนยาง แก๊สน้ำตา และแม้แต่หนังสติ๊กเพื่อสลายการชุมนุม โดยหญิงสาวที่ถูกยิงที่ศีรษะระหว่างการประท้วงในเนปิดอสัปดาห์ที่แล้วยังมีอาการวิกฤต ขณะที่กองทัพระบุว่า ตำรวจนายหนึ่งเสียชีวิตระหว่างเผชิญหน้ากับผู้ประท้วงในมัณฑะเลย์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (14)
    กองทัพแถลงว่า ผู้ที่ดำเนินการโดยผิดกฎหมายกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจะถูกจัดการตามที่จำเป็น
    ในวันอังคาร พลจัตวา ซอ มิน ตุน โฆษกของสภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) ซึ่งคณะรัฐประหารจัดตั้งขึ้นมาภายหลังการยึดอำนาจ ได้แถลงข่าวโดยย้ำว่า มีการโกงการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ของซูจีชนะถล่มทลาย และยืนยันว่า การยึดอำนาจเป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกองทัพยังคงมุ่งมั่นในหลักการประชาธิปไตย
    ซอ มิน ตุนสำทับว่า ประชาชน 40 ล้านคน จากทั้งหมด 53 ล้านคนสนับสนุนการดำเนินการของกองทัพ พร้อมให้สัญญาจะจัดการเลือกตั้งและคืนอำนาจให้พรรคการเมืองที่ได้ชัยชนะ และยืนยันว่า ทหารไม่คิดรั้งอำนาจไว้นาน กระนั้น ยังไม่มีการกำหนดกรอบเวลาในการเลือกตั้งแต่อย่างใด และครั้งล่าสุดที่กองทัพพม่าปกครองประเทศกินเวลายาวนานเกือบครึ่งศตวรรษ ก่อนเริ่มปฏิรูปประชาธิปไตยในปี 2011
    วันเดียวกันนั้น ขิ่น หม่อง จอ ทนายความของซูจีเผยว่า ซูจีถูกตั้งข้อหาเพิ่มอีกหนึ่งกระทงคือ ละเมิดกฎหมายบริหารจัดการภัยพิบัติ จากข้อหาเดิมละเมิดกฎหมายนำเข้าวิทยุสื่อสาร โดยนัดไต่สวนครั้งต่อไปคาดว่า น่าจะเป็นวันที่ 1 มีนาคม เช่นเดียวกับประธานาธิบดีวิน มิ้น ที่ถูกข้อหาเดียวกันคือละเมิดกฎหมายบริหารจัดการภัยพิบัติ
    ทั้งอเมริกาและอังกฤษต่างออกแถลงแสดงความไม่พอใจการตั้งข้อหาเพิ่มกับซูจี
    ขณะที่จีน ซึ่งยังไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์การรัฐประหารในพม่า แต่เมื่อวันอังคาร เอกอัครราชทูตประจำพม่าได้ออกมายืนยันว่า สถานการณ์ปัจจุบันในพม่าไม่ใช่สิ่งที่ปักกิ่งอยากเห็น พร้อมปฏิเสธข้อกล่าวหาในการสนับสนุนให้ทหารพม่ายึดอำนาจ
    เวลาเดียวกัน สมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมืองเผยว่า นับจากการรัฐประหารมีผู้ถูกจับกุมแล้วกว่า 450 คน รวมถึงผู้นำอาวุโสของเอ็นแอลดี และหลายคนถูกบุกรวบตัวกลางดึก
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อดีตปธ.ธนาคารกลางยุโรป รับตำแหน่ง “นายกฯอิตาลี” ประกาศกอบกู้ประเทศจากวิกฤตโควิด-19
    .
    .
    .
    .
    เอเอฟพี – นายกรัฐมนตรี มาริโอ ดรากี ที่เพิ่งสาบานตนรับตำแหน่งประกาศเมื่อวานนี้(16 ก.พ) จะใช้ทุกทางเพื่อสู้กับวิกฤตไวรัสโควิด-19ที่ทำลายประเทศ พร้อมชี้โอกาสยังมีในการกลับมาสร้างชาติใหม่เหมือนที่เคยทำเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2
    .
    เอเอฟพีรายงานเมื่อวานนี้(16 ก.พ) ในคำแถลงการณ์ครั้งแรกที่ออกมาจากผู้นำอิตาลีคนใหม่ มาริโอ ดรากี (Mario Draghi) โดยเขาเข้าพิธีสาบานตนวันเสาร์(13)ที่ผ่านมา ดรากีซึ่งเป็นอดีตประธานธนาคารกลางยุโรปได้ประกาศลิสต์เรื่องเร่งด่วนต่างๆที่เขาต้องให้ความสำคัญในเวลานี้
    .
    “รัฐบาลจะทำการปฎิรูปแต่จะต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในเวลาเดียวกัน” ดรากีแถลงต่อสภาสูงอิตาลีที่ได้โหวตเห็นชอบเสียงเกือบเป็นเอกฉันท์สำหรับรัฐบาลสมานฉันท์ชุดใหม่ของอิตาลี
    .
    ดรากีวัย 73 ปีได้รับฉายา “ซุปเปอร์มาริโอ” นับตั้งแต่เขาออกมาให้คำมั่นสัญญาว่าจะทำทุกอย่างเพื่อกอบกู้ค่าสกุลเงินยูโรระหว่างวิกฤตเงินกู้ปี 2012
    .
    วันพุธ์(16) ดรากีแถลงว่าจะใช้ทุกสิ่งที่มีในการต่อสู้วิกฤตโรคโควิด-19ระบาดที่ทำให้ชาวอิตาลีเสียชีวิตไปแล้วกว่า 94,000 คน และทำให้ประเทศตกอยู่ในวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจอิตาลีหดตัวเกือบ 9%
    .
    “วันนี้ที่พวกเราซึ่งเหมือนกับเช่นรัฐบาลฉุกเฉินหลังภาวะสงครามมีความเป็นไปได้ หรืออาจจะพูดว่า เป็นความรับผิดชอบ ในการเริ่มต้นการก่อร่างสร้างประเทศขึ้นใหม่” ดรากีกล่าวในแถลงการณ์ที่มีระยะเวลาเกือบ 1 ชั่วโมง
    .
    เอเอฟพีรายงานว่า รัฐบาลชุดใหม่ของเขานั้นมาจากตั้งแต่พรรคซ้ายจัดไปจนถึง ฟอร์ซา อิตาเลีย (Forza Italia) ของอดีตนายกรัฐมนตรีอิตาลีผู้อื้อฉาว ซิลวิโอ เบอร์ลุสโกนี และพรรคประชานิยมอิตาลี เดอะไฟว์สตาร์มูฟเมนต์ M5S และยังรวมไปถึงพรรคขวาจัด มัตเตโอ ซาลวินี (Matteo Salvini)
    .
    ดรากีกล่าวต่อว่า การสนับสนุนตัวเขาหมายความว่า ต้องสนับสนุนในอุดมการณ์การร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับสหภาพยุโรปมากขึ้นที่จะแสดงออกผ่านความสามารถทางงบประมาณสนับสนุนประเทศต่างในวิกฤตถดถอย
    .
    เขาย้ำว่า “ในวันนี้ ความเป็นหนึ่งเดียวไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นหน้าที่”
    .
    ดรากีเข้าพิธีสาบานตนกลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศสิ้นสุดความโกลาหลทางการเมืองที่เกิดมาจากการล้มอย่างฉับพลันของรัฐบาลผสมอิตาลีของนายกรัฐมนตรีคนก่อน จูเซปเป คอนเต
    .
    รัฐบาลสมานฉันท์แห่งชาติอิตาลีเกิดมาจาก 7 พรรคร่วม พบว่า ลุยอิจี ดี ไมโอ จากพรรค M5S ยังคงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศต่อไป โดยพรรคของเขาได้รับ 4 ที่นั่งในคณะครม. ส่วนพรรคซาลวินีคือ พรรคลีก หรือ เลกา นอร์ด (lega nord) ได้รัฐมนตรีไป 3 ตำแหน่ง เท่ากับพรรคของอดีตนายกฯเบอร์ลุสโกนี
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จรวดตกใส่ฐานทัพอเมริกันในอิรัก ลูกจ้างพลเรือนดับ บททดสอบแรกนโยบายต่างประเทศไบเดน
    .
    .
    .
    .
    เอเจนซีส์ – กยลาเบททดสอบนโยบายการต่างประเทศของผู้นำสหรัฐฯคนใหม่ต่ออิรักเกิดขึ้นหลังจรวดร่วม 14 ลูกตกใส่ฐานทัพอเมริกันในดินแดนเคิร์ดของอิรัก ทำให้ลูกจ้างพลเรือนต่างชาติเสียชีวิต 1 คน และบาดเจ็บอีก 9 คนป็น

    หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษ รายงานเมื่อวานนี้(16 ก.พ)ว่า ช่วงคืนวันจันทร์(15)พบว่า มีจรวดราว 14 ลูกถูกยิงไปฐานที่มั่นกองกำลังสหรัฐฯในเมืองเออร์บิล (Erbil) โดยพยานได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นว่า ดูเหมือนจรวดมาจากทางใต้
    .
    และพบว่าจรวด 3 ลูกขนาด107มิลลิเมตรตกลงภายในฐานทัพ ขณะที่ลูกอื่นๆตกอยู่ในเขตชุมชนข้างเคียง ทำให้เสียชีวิต 1 รายเป็นลูกจ้างพลเรือนต่างชาติที่ไม่ใช่ชาวอเมริกัน ทำให้ทหารสหรัฐฯได้รับบาดเจ็บ 1 นาย รวมไปถึงพลเรือนอิรัก 5 คนได้รับบาดเจ็บเช่นกันซึ่งจากทั้งหมดมี 1 รายอยู่ในขั้นสาหัส
    .
    การโจมตีคืนวันจันทร์(15)ถือเป็นการโจมตีครั้งร้ายแรงที่สุดในระยะเวลาเกือบปีต่อสหรัฐฯซึ่งเป็นแกนนำต่อต้านก่อการร้าย IS ในอิรัก ขณะที่ในสมัยอดีตผู้นำสหรัฐฯคนก่อนมีความตรึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ พันธมิตรแบกแดด กลุ่มกองกำลังเคิร์ด ที่มีต่อกองกำลังติดอาวุธภายใต้การสนับสนุนของเตหะรานในช่วงเวลาที่อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่มแรงกดดันต่ออิหร่าน
    .
    ทั้งนี้นับตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา กองกำลังชาติตะวันตกและที่ตั้งทางการทูตถูกโจมตีด้วยจรวดคัตยูชา( Katyusha) ระเบิดข้างถนน และฝ่ายวอชิงตันได้ออกมาประณามว่าเป็นฝีมือของกองกำลังกึ่งทหารที่สนับสนุนอิหร่าน
    .
    โดยเหตุโจมตีส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่กรุงแบกแดด โดยกลุ่มติดอาวุธชีอะห์ที่เรียกตัวเองว่า ผู้พิทักษ์แห่งเลือด หรือ ซารายา เอาลียา อัล-ดาม (Saraya Awliya al-Dam) ออกมาอ้างความรับผิดชอบการโจมตีเออร์บิลที่น้อยครั้งที่จะเกิด
    .
    เตหะรานในวันอังคาร(16)ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำใดๆที่เป็นปฎิปักษ์ต่อกองกำลังความมั่นคงอิรัก พร้อมกับปฎิเสธคำบ่งชี้ใดๆจากเจ้าหน้าที่อิรักที่ระบุว่า การโจตีมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้พิทักษ์แห่งเลือด
    .
    สื่ออังกฤษชี้ว่า ทรัมป์เคยขีดเส้นตายว่า การเสียชีวิตครั้งใหม่ของพลเรือนสหรัฐฯจะถือเป็นเส้นตายในการลุกคืบของสหรัฐฯในอิรักทำให้การโจมตีฐานทัพสหรัฐฯที่เมืองเออร์บิลล่าสุดทำให้รัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน ตกที่นั่งลำบากในการตัดสินใจ ซึ่งผู้นำสหรัฐฯคนใหม่มาจากพรรคเดโมแครตในเวลานี้กำลังหาทางที่จะฟื้นข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน
    .
    ขณะเดียวกันประธานาธิบดีอิรัก บาร์ฮัม ซาลีห์ (Barham Salih) กล่าวผ่านแถลงการณ์ที่ถูกโพสต์ทางออนไลน์ว่า “เป็นการยกระดับที่น่ากลัว” ส่วนนายกรัฐมนตรีเคอร์ดิสถานออกมาประณามด้วยถ้อยคำที่แรงที่สุด และเจ้าหน้าที่เคอร์ดิสถานออกคำสั่งปิดสนามบินเออร์บิล พร้อมออกคำเตือนประชาชนให้อยู่แต่ในที่พัก
    .
    ทั้งนี้ในเช้าวันอังคาร(16)กลุ่มติดอาวุธซารายา เอาลียา อัล-ดาม แถลงจะเพิ่มการโจมตีต่อกองกำลังสหรัฐฯ “อเมริกันผู้เข้าครอบครองจะไม่มวันปลอดภัยจากการโจมตีของเราในทุกตารางนิ้วของแผ่นดินบ้านเกิด แม้กระทั่งในเคอร์ดิสถานที่ทางเราให้สัญญาจะออกการโจมตีอย่างหนักหน่วงมากขึ้น”
    .
    ด้านผู้เชี่ยวชาญออกมาชี้ว่า กลุ่มติดอาวุธที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีน่าจะเป็น Asa’ib Ahl al-Haq ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน แต่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างสมบูรณ์ พร้อมกับชี้ว่า การโจมตีอาจจะถือเป็นการทดสอบไบเดนจากทางเตหะราน ซึ่งในเวลานี้ทุกฝ่ายกำลังจับจ้องไปที่ทำเนียบขาวชุดใหม่
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    หน่วยข่าวกรองเกาหลีใต้เผย ‘โสมแดง’ แฮกข้อมูลวัคซีนโควิด-19 แต่ปัดยืนยัน ‘ไฟเซอร์’ เป็นเหยื่อ
    .
    หน่วยข่าวกรองเกาหลีใต้ยืนยันวานนี้ (16 ก.พ.) ว่ารัฐบาลเกาหลีเหนือพยายามใช้แฮกเกอร์ล้วงข้อมูลวัคซีนและตัวยารักษาโควิด-19 ของผู้ผลิตต่างชาติ แต่ปฏิเสธคำกล่าวอ้างของ ส.ส.รายหนึ่งที่ระบุว่าวัคซีนของ ไฟเซอร์ อิงค์ ตกเป็นเป้าหมาย
    .
    ฮา แทกึง (Ha Tae-keung) หนึ่งในคณะกรรมาธิการข่าวกรองของสภาผู้แทนราษฎรเกาหลีใต้ ให้สัมภาษณ์นักข่าววานนี้ (16) ว่า ตนและสมาชิกสภาคนอื่นๆ ได้ทราบข้อมูลจากสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ (NIS) ว่าเกาหลีเหนือเคยพยายามแฮกไฟเซอร์เพื่อล้วงเทคโนโลยีในการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19
    .
    อย่างไรก็ตาม หลังจากที่สื่อนำคำพูดของ ฮา ไปรายงานจนเป็นข่าวคึกโครม NIS กลับออกมาปฏิเสธทันควันว่า “ไม่เคยพูดชื่อบริษัทที่ถูกแฮก” อีกทั้งสำนักงานกิจการสาธารณะของ NIS ยังออกมาตำหนิการให้ข้อมูลของ ฮา ว่า “ไม่ถูกต้อง”
    .
    ล่าสุด ส.ส.ผู้นี้ยังคงยืนยันกับสำนักข่าว AP ว่า ได้ทราบข้อมูลมาเช่นนั้นจริงๆ พร้อมทั้งอ้างว่าได้เห็นเอกสารของ NIS ซึ่งมีข้อความระบุชัดเจนว่า “เกาหลีเหนือขโมย (ข้อมูลวัคซีน) ไฟเซอร์ และพยายามขโมย (เทคโนโลยี) จากผู้ผลิตวัคซีนและยาของเกาหลีใต้หลายราย”
    .
    ฮา ยืนยันว่าเอกสารดังกล่าวมีคำว่า “ไฟเซอร์” เขียนไว้ชัดเจน ซึ่งทำให้ตนมั่นใจจนไม่ได้ถามย้ำ แต่เนื่องจาก ส.ส.ทุกคนต้องคืนเอกสารให้กับ NIS ภายหลังรับฟังสรุปข้อมูล จึงไม่สามารถนำมายืนยันได้
    .
    เขามองว่าที่ NIS ออกมาปฏิเสธข้อมูลนี้อาจเป็นเพราะไม่ต้องการยั่วยุให้เกาหลีเหนือโกรธแค้นมากจนเกินไป
    .
    กวอน โบยอง ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของไฟเซอร์ประจำเกาหลีใต้ ระบุว่าตนกำลังติดต่อไปยังสำนักงานใหญ่ไฟเซอร์เพื่อตรวจสอบข้อกล่าวอ้างของ ฮา
    .
    เกาหลีเหนือเคยมีประวัติทำสงครามไซเบอร์กับองค์กรและหน่วยงานต่างชาติมาแล้วหลายครั้ง ตัวอย่างเช่นในปี 2013 ที่แฮกเกอร์โสมแดงโจมตีเซิร์ฟเวอร์ของสถาบันการเงินในเกาหลีใต้ หลังจากนั้นก็แฮกระบบของ โซนี พิคเจอร์ส ในปี 2014 และยังถูกครหาว่าเป็นตัวการปล่อยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ WannaCry ที่ระบาดทั่วโลกเมื่อปี 2017
    .
    การเข้าถึงข้อมูลวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นับว่าจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเกาหลีเหนือ ซึ่งยังมีระบบสาธารณสุขที่ด้อยพัฒนา ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญภายนอกส่วนใหญ่ก็ไม่เชื่อคำกล่าวอ้างของเปียงยางที่ระบุว่ายังไม่พบผู้ป่วยโควิด-19 ในประเทศแม้แต่รายเดียว
    .
    รัฐบาลโสมแดงได้ยื่นคำร้องเมื่อเดือน ม.ค. เพื่อขอรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ผ่านทาง Covax ซึ่งเป็นโครงการจัดหาและแบ่งปันวัคซีนที่มีองค์การอนามัยโลก (WHO) เป็นผู้นำ และมีข้อมูลเบื้องต้นจาก Covax ระบุว่า วัคซีนของแอสตราเซเนกาจำนวน 1.99 ล้านโดสที่ผลิตโดยสถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย (Serum Institure of India) จะถูกส่งไปยังเกาหลีเหนือภายในช่วงครึ่งแรกของปีนี้
    .
    ที่มา: เอพี
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ‘ไบเดน’ เล็งปรับสัมพันธ์ซาอุฯ ขอคุยตรงกับ ‘กษัตริย์ซัลมาน’ ไม่ผ่าน ‘มกุฎราชกุมาร MbS’
    .
    สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี โจ ไบเดน เตรียมปรับรูปแบบความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียใหม่ โดยจะหารือประเด็นทางการทูตกับสมเด็จพระราชาธิบดี ซัลมาน บิน อับดุลอาซิซ โดยตรง แทนที่จะผ่านทางเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารผู้ทรงอิทธิพล
    .
    คำประกาศจาก เจน ซากี โฆษกหญิงทำเนียบขาวเมื่อวานนี้ (16 ก.พ.) ถือเป็นการปรับนโยบายครั้งสำคัญของสหรัฐฯ จากเดิมที่อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เคยผูกสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้าชายโมฮัมเหม็ดผ่านทาง เจเร็ด คุชเนอร์ บุตรเขยและที่ปรึกษาคนสนิท
    .
    “เราได้บอกชัดเจนไปตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะมีการปรับรูปแบบความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียใหม่” ซากี บอกกับสื่อมวลชน
    .
    ในขณะที่ส่งสัญญาณหักหน้ามกุฎราชกุมารซาอุฯ สหรัฐฯ ก็เริ่มที่จะผ่อนคลายบรรยากาศอึมครึมในส่วนของความสัมพันธ์กับ “อิสราเอล” โดยโฆษกทำเนียบขาวยืนยันว่า ไบเดน จะต่อสายตรงเพื่อพูดคุยกับนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู เร็วๆ นี้
    .
    เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน หรือที่คนมักจะเรียกพระนามโดยย่อว่า MbS นั้น ทรงเป็นรัชทายาทลำดับที่ 1 ของสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมานวัย 85 พรรษา และตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็ทรงรับหน้าที่ดูแลกิจการบ้านเมืองเสมือนผู้ปกครองโดยพฤตินัยของซาอุฯ อยู่แล้ว กระทั่งมาเกิดเหตุฆาตกรรมนักหนังสือพิมพ์ชาวซาอุฯ ‘จามาล คาช็อกกี’ เมื่อปี 2018 ซึ่งทำให้พระเกียรติยศเสื่อมถอยลงมากในสายตานานาชาติ
    .
    ทำเนียบขาวในยุคของ ไบเดน พยายามกดดันซาอุฯ ให้แก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชน รวมถึงปล่อยตัวนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีและนักโทษการเมืองอื่นๆ ที่ถูกคุมขัง แตกต่างจากรัฐบาล ทรัมป์ ที่แสวงหาความร่วมมือหลายด้านกับริยาดผ่านทางเจ้าชายพระองค์นี้ ซึ่งรวมถึงการคลี่คลายความบาดหมางระหว่างกาตาร์กับเพื่อนบ้านริมอ่าวเปอร์เซีย
    .
    เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ไบเดน จะยังเจรจากับเจ้าชายโมฮัมเหม็ดอยู่หรือไม่ โฆษกทำเนียบขาวก็ตอบว่า สหรัฐฯ จะใช้รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ “ระหว่างบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งเทียบเท่ากัน (counterpart to counterpart engagement)”
    .
    “ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งเทียบเท่ากับประธานาธิบดีก็คือสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน และดิฉันเชื่อว่าประธานาธิบดีคงจะได้หารือกับพระองค์ในเวลาที่เหมาะสม แต่ยังไม่สามารถให้กรอบเวลาที่ชัดเจนได้”
    .
    ซากี ระบุด้วยว่า ซาอุดีอาระเบียมีความจำเป็นในด้านการป้องกันประเทศสูงมาก และสหรัฐฯ ยังพร้อมที่จะทำงานร่วมกับริยาดในด้านนี้ “แม้จะมีอีกหลายประเด็นที่เราแสดงออกชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยและรู้สึกกังวลก็ตาม”
    .
    โฆษกหญิงทำเนียบขาวยืนยันว่า เนทันยาฮู จะเป็นผู้นำคนแรกในตะวันออกกลางที่ได้รับสายจากไบเดน และการพูดคุยจะมีขึ้นเร็วๆ นี้ หลังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนาหูว่าการที่ ไบเดน ทำเฉยเมยไม่รีบติดต่อ เนทันยาฮู หลังสาบานตนรับตำแหน่ง เท่ากับหักหน้าอิสราเอลซึ่งเป็นชาติพันธมิตรเบอร์หนึ่งของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง
    .
    “แน่นอนว่าอิสราเอลคือพันธมิตรของเรา อิสราเอลเป็นประเทศที่เรามีความสัมพันธ์ในด้านความมั่งคงทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญมาก และทีมงานของเราพร้อมจะมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาอย่างเต็มที่ แม้จะยังไม่ใช่ระดับผู้นำรัฐ แต่ก็จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้แน่นอน”
    .
    ที่มา: รอยเตอร์

     

แชร์หน้านี้

Loading...