ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 มีมติรับทราบหลักเกณฑ์ประกอบการจัดทำแผนงาน/โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง โดยกำหนดแนวทางการแก้ปัญหาตลอดแนวชายฝั่งของประเทศไทย ระยะทาง 3,151 กิโลเมตร ออกเป็น 4 แนวทาง โดยในจำนวนนี้ยังคงการสร้างเขื่อนและกำแพงกันคลื่นสำหรับใช้แก้ปัญหา
    .
    1.การปรับสมดุลชายฝั่งโดยธรรมชาติ ระยะทาง 2,296.70 กิโลเมตร หรือร้อยละ 72.88 ของความยาวชายฝั่งทะเลทั้งประเทศ โดยวิธีการกำหนดพื้นที่ถอยร่น การปลูกป่า และการฟื้นฟูชายหาด เพื่อปล่อยให้ชายฝั่งที่ถูกกัดเซาะได้มีการปรับสมดุลและฟื้นคืนสภาพธรรมชาติด้วยตนเอง รวมทั้งกำหนดไม่ให้มีกิจกรรมของมนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้องหรือรบกวนเสถียรภาพของชายฝั่ง
    .
    2.การฟื้นฟูเสถียรภาพชายฝั่ง ระยะทาง 389.34 กิโลเมตร หรือร้อยละ 12.36 ของความยาวชายฝั่งทะเลทั้งประเทศ โดยวิธีการกำหนดพื้นที่ถอยร่น การปลูกป่า การฟื้นฟูชายหาด และการปักเสาไม้ดักตะกอนเพื่อปลูกป่าชายเลน
    .
    3. การป้องกันปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ระยะทาง 446.67 กิโลเมตร หรือร้อยละ 14.18 ของความยาวชายฝั่งทะเลทั้งประเทศ โดยวิธีการกำหนดพื้นที่ถอยร่น การปลูกป่า การฟื้นฟูชายหาด การปักเสาไม้ดักตะกอนเพื่อปลูกป่าชายเลน เขื่อนกันคลื่นนอกชายฝั่งรอดักทราย เขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเล และกำแพงป้องกันคลื่นริมชายหาด เพื่อป้องกันการกัดเซาะให้มีอัตราลดลง
    .
    4. การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ระยะทาง 18.42 กิโลเมตร หรือร้อยละ 0.58 ของความยาวชายฝั่งทะเลทั้งประเทศ โดยวิธีการกำหนดพื้นที่ถอยร่น การปลูกป่า การฟื้นฟูชายหาด การปักเสาไม้ดักตะกอนเพื่อปลูกป่าชายเลน เขื่อนกันคลื่นนอกชายฝั่งรอดักทราย เขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเล กำแพงป้องกันคลื่นริมชายหาด และการรื้อถอน
    .
    สำหรับแนวทางที่ 4 นี้ เพื่อแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในบริเวณชายฝั่งที่ถูกกัดเซาะ ทั้งการใช้รูปแบบที่สอดคล้องหรือเลียนแบบธรรมชาติหรือโครงสร้างทางวิศวกรรม ตลอดจนการแก้ไขที่ต้นเหตุของปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง มีระยะชายฝั่งที่อยู่ในแนวทาง การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง
    .
    อย่างไรก็ตาม กระทรวง ทส.เสนอว่าปัจจุบันพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลของประเทศไทยยังคงประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร และเกิดความขัดแย้งของประชาชนในพื้นที่
    .
    ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยหลักแนวคิดทางวิชาการ มาตรการที่เหมาะสมกับสภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของแต่ละพื้นที่

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผลการศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science of The Total Environment ระบุว่าสามารถนำหน้ากากอนามัยแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งมาเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับผิวถนนและช่วยลดต้นทุนการก่อสร้างลงได้ด้วย
    .
    การศึกษานี้ดำเนินการโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย RMIT ในเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย วัตถุประสงค์เพื่อค้นหาวิธีใหม่ๆ ในการจัดการขยะหน้ากากอนามัยแบบใช้แล้วทิ้ง เนื่องจากตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 ปริมาณขยะหน้ากากอนามัยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่น่ากังวลสำหรับโลกที่เต็มไปด้วยพลาสติกแบบครั้งเดียวใช้แล้วทิ้ง
    .
    นักวิจัย กล่าวว่า พวกเขาได้นำหน้ากากกนามัยแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งมาย่อยเป็นชิ้นเล็กผสมรวมไปกับคอนกรีตรีไซเคิล (Recycled aggregate concrete) เพื่อใช้ในการสร้างถนน
    .
    ตามการประมาณการ ถนนสองเลนระยะทาง 1 กิโลเมตรจะต้องใช้หน้ากากอนามัยประมาณ 3 ล้านชิ้น หรือ 93.2 ตัน ซึ่งจากจำนวนดังกล่าวใช้ปูถนนได้ 2 ใน 4 ชั้นของถนนทั่วไป
    .
    วิธีแก้ปัญหานี้ไม่เพียงช่วยบรรเทาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมแต่ยังช่วยให้ถนนทำงานได้ดีขึ้นด้วย เพราะการผสมหน้ากากอนามัยกับคอนกรีตรีไซเคิลสามารถเพิ่มความแข็งแรง ความเหนียวและความยืดหยุ่นของถนนได้จริงเมื่อเทียบกับตัวอย่างที่ไม่มีหน้ากากอนามัยในส่วนผสม
    .
    เนื่องด้วยเส้นใยโพลีโพรพีลีนในหน้ากากอนามัยมีส่วนช่วยเสริมการยึดเกาะระหว่างอนุภาคเศษหินหรืออิฐทำให้ผิวถนนมีความทนทานต่อการสึกหรอมากกว่ายางมะตอยแบบเดิม
    .
    ศาสตรจารย์ จี หลี่ ผู้นำการศึกษาครั้งนี้ตั้งข้อสังเกตว่า การขุดแร่ซึ่งเป็นวัสดุบริสุทธิ์จากเหมืองมีราคาประมาณ 50 เหรียญต่อตัน ในขณะที่ราคาคอนกรีตรีไซเคิลอยู่ที่ประมาณ 26 เหรียญ
    .
    และแม้ว่าการเก็บรวบรวมการฆ่าเชื้อโรคและการขนส่งหน้ากากอนามัยที่ใช้แล้วจะดูเหมือนเพิ่มต้นทุน แต่ถ้าเทียบกับค่าใช้จ่ายในการกำจัดหน้ากากอนามัยแล้วอาจถูกและคุ้มค่ากว่าในระยะยาว
    .
    “การใช้หน้ากากอนามัยผสมกับคอนกรีตรีไซเคิลไม่เพียงช่วยลดขยะที่เกิดจากการระบาดของโรค และลดการถลุงแร่บริสุทธิ์ออกมาใช้ แต่ยังช่วยลดต้นทุนการก่อสร้างได้ประมาณ 30%” ศาสตราจารย์หลี่ระบุ

    ที่มา: “Repurposing of COVID-19 single-use face masks for pavements base/subbase.” Science Direct

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #จีน รุกการทูต #วัคซีนโควิด ยุโรป อเมริกาใต้ อาหรับ อาเซียนได้รับวัคซีนและเริ่มใช้แล้ว แม้ชาติตะวันตกกังขาประสิทธิผล
    .
    #ฮังการี เป็นประเทศสหภาพยุโรปประเทศแรกที่ใช้วัคซีนโควิดจากจีน นายกฯ วิกเตอร์ ออบัน ได้สั่งซื้อวัคซีนโควิดจาก #Sinopharm 5 ล้านโดส และวัคซีน Sputnik V จากรัสเซีย 2 ล้านโดส พร้อมประกาศว่าวัคซีนจากจีนได้รับอนุญาตให้ใช้ฉุกเฉินเพื่อยับยั้งการระบาดของโควิด
    .
    ในยุโรป เซอร์เบีย ยูเครน และตุรกี ก็เลือกใช้วัคซีนจากจีน เนื่องจากวัคซีนจากบริษัทไฟเซอร์ BionTech ของเยอรมันต่างถูกประเทศร่ำรวยจองซื้อล่วงหน้าไปจนหมด ❗️
    .
    หลายประเทศที่ได้รับวัคซีนจากจีนทั้งที่สั่งซื้อและได้รับฟรี เช่น เปรู ชิลี บราซิล ตุรกี ปากีสถาน กัมพูชา ลาว พม่า ตุรกี อินโดนีเซีย เป็นต้น
    .
    ประเทศที่เลือกใช้วัคซีนของจีนส่วนใหญ่โควิดระบาดหนักไม่สามารถรอได้อีก นอกจากนี้ยังรวมถึงชาติพันธมิตรของจีนในโครงการ “#หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง
    .
    จีนถูกตั้งข้อสังเกตว่ากำลังใช้ “การทูตวัคซีน” เพื่อสร้างอิทธิพลในนานาชาติ ชาติประชาธิปไตยอ้างว่าประเทศที่ได้รับวัคซีนจีนส่วนใหญ่มีผู้นำอำนาจนิยม เห็นดีเห็นงามกับการปกครองโดยเผด็จการ หรือไม่ก็ยอมเป็น "หนูทดลอง"
    .
    #กัมพูชา ได้รับวัคซีนโควิดจากจีน เป็นการช่วยจากกระทรวงกลาโหมจีน ถึงกระทรวงกลาโหมกัมพูชา สมเด็จฮุนเซนสั่งทีวีถ่ายทอดสดการฉีดวัคซีนเข็มแรก 10 ก.พ. นี้
    .
    #ลาว ได้รับวัคซีนโควิดจากซิโนฟาร์ม 3 แสนโดสฟรี ส่งถึงนครหลวงเวียงจันทน์เมื่อ8 ก.พ.
    .
    ชาติอาหรับอย่าง อียิปต์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และบาห์เรน อนุมัติการใช้งานวัคซีนของ Sinopharm บาห์เรนเปิดให้ประชากรผู้ใหญ่ลงทะเบียนออนไลน์เพื่อรับการฉีดวัคซีนฟรีแล้ว ส่วนอียิปต์วางแผนสั่งซื้อวัคซีนจากจีนถึง 40 ล้านโดส

    วัคซีนของจีนที่ได้รับความนิยมมากกว่าที่คาดไว้ ทำให้สหภาพยุโรปเรียกร้องให้มีการศึกษาวัคซีนจากจีนอย่างจริงจัง กระทรวงสาธารณสุขของเยอรมันระบุว่า ไม่ปฏิเสธการใช้วัคซีนจากจีนและรัสเซียถ้าหากมีประสิทธิผลและปลอดภัย
    .
    วัคซีนจากจากจีนและรัสเซียถูกกีดกันจากชาติตะวันตกที่อ้างเรื่องความปลอดภัย ทั้ง ๆที่ประเภทของวัคซีนต่างกัน สถานการณ์ในแต่ละประเทศก็ต่างกัน

    วัคซีนที่เป็นความหวังช่วยชีวิตมนุษย์กลับถูกใช้เป็นประเด็นทางการเมืองทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว เชื้อไวรัสไม่เลือกประชาธิปไตยหรือเผด็จการ.

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #News1feed : ปตท.สผ.ประสบความสำเร็จในการขุดเจาะหลุมประเมินผล “ลัง เลอบาห์-2” ในโครงการซาราวัก เอสเค 410 บี นอกชายฝั่งประเทศมาเลเซีย โดยค้นพบก๊าซธรรมชาติแหล่งใหญ่ที่สุดและมีปริมาณมากที่สุดเท่าที่ ปตท.สผ.เคยสำรวจพบ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9640000013573
    ......................................................
    ● อีกช่องทางติดตาม NEWS1
    Line : http://nav.cx/4tvbDJ8
    Youtube : youtube.com/c/NEWS1VDO

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #News1feed : ศบค. เปิดเผยข้อมูลผู้เสียชีวิตรายที่ 80 เป็นหญิงไทย อายุ 65 ปี มีโรคประจำตัวมะเร็งที่กล่องเสียง ภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย และไขมันในเลือดสูง ช่วงการรักษามีอาการแทรกซ้อน จนทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตลง พบมีประวัติสัมผัสกับผู้ติดเชื้อในครอบครัวที่มาจากสมุทรสาคร ทั้งนี้ ในสามชิกมีการติดเชื้อมาแล้ว 5 คน จาก 8 คน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9640000013377
    ......................................................
    ● อีกช่องทางติดตาม NEWS1
    Line : http://nav.cx/4tvbDJ8
    Youtube : youtube.com/c/NEWS1VDO

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    การสำรวจของสมาคมการแพทย์แห่ง #ญี่ปุ่น พบการกลั่นแกล้งและเลือกปฏิบัติต่อบุคลากรทางการแพทย์และครอบครัว เช่น ถูกปฏิเสธไม่ให้ใช้บริการรถแท็กซี่ และเข้าร้านต่าง ๆ เนื่องจากทำงานในสถานพยาบาล,ได้รับโทรศัพท์กลั่นแกล้งหรือข้อความคุกคามในสื่อสังคมออนไลน์, เพื่อนบ้านแสดงท่าทีรังเกียจ, แพร่ข่าวเท็จว่ามีการติดเชื้อในสถานที่ทำงาน
    ⛔️
    สถานพยาบาลบางแห่งยังถูกข่มขู่ให้เปิดเผยที่อยู่เจ้าหน้าที่ หรือไม่ให้ปล่อยตัวเจ้าหน้าที่ออกไปข้างนอก โดยอ้างว่าจะแพร่เชื้อไวรัส

    https://mgronline.com/japan/detail/9640000012909

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วงเงินจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่น “เราชนะ” คงเหลือเพียง 8,000 ล้านบาทสุดท้าย จากวงเงินรวม 55,000 ล้านบาท

    วันที่ 10 ก.พ. 2564 นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า ขณะนี้วงเงินจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่น “เราชนะ” คงเหลือเพียง 8,000 ล้านบาทสุดท้าย จากวงเงินรวม 55,000 ล้านบาท

    โดยกระทรวงการคลังจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่น “เราชนะ” จำนวน 2 รุ่น ได้แก่ รุ่นอายุ 5 ปี และ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได (Step Up) เฉลี่ยร้อยละ 2.00 ต่อปี และ 2.50 ต่อปี ตามลำดับ ซึ่งผู้ที่มีบัญชีพันธบัตร (Bond Book) แล้ว สามารถซื้อผ่าน Mobile Banking ที่ท่านมี Bond Book ได้ทันทีแบบไม่จำกัดวงเงิน

    สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามไปยังธนาคารตัวแทนจำหน่ายทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพฯ ธนาคารกรุงไทยฯ ธนาคารกสิกรไทยฯ และธนาคารไทยพาณิชย์ฯ

    ทั้งนี้ สบน. ห่วงใยในสุขภาพของประชาชนจึงขอให้ประชาชนใช้ช่องทางออนไลน์หรือสอบถามธนาคารตัวแทนจำหน่ายอีกครั้งหนึ่ง

    #workpointTODAY
    #สาระความรู้เพื่อวันนี้
    ติดตาม workpointTODAY ทาง YouTube https://bit.ly/2YDfyiK

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แพทย์เผยอาการผู้ว่าฯ สมุทรสาคร เป็นไปฝนทิศทางที่ดีขึ้น เริ่มหายใจด้วยตัวเองเป็นบางครั้งและหยุดยาปฎิชีวนะแล้วโดยพบว่าเอ็กซเรย์ปอดฝ้าขาวเริ่มจางปอดใกล้เคียงกับปกติ

    วันที่ 10 ก.พ. 2564 ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวถึงความคืบหน้าอาการของ นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ว่า อาการ 24 ชั่วโมง ที่ผ่านมา ดีขึ้นตามลำดับ เริ่มหายใจด้วยตัวเองเป็นบางครั้ง ถือว่าเป็นไปในทิศทางที่ดี จากการเอกซเรย์ปอด พบว่า ปอดดีขึ้นใกล้เคียงปกติ โดยฝ้าขาวหายเกือบหมด ระดับการแลกเปลี่ยนแก๊สกระแสเลือดอยู่ในเกณฑ์ดี มีระดับออกซิเจนในเลือดสูงกว่าปกติ การรู้ตัวดีขึ้นสามารถสื่อสารกับทีมผู้รักษา โดยสามารถปฏิบัติตามคำสั่งของนักกายภาพบำบัดและเวชศาสตร์ฟื้นฟูที่เข้าไปให้การดูแล สามารถยกขา ขยับข้อเท้า ตามที่แพทย์บอกได้ แต่ต้องค่อยๆ ฟื้นฟูต่อไป เพราะยังไม่สามารถขยับร่างกายได้ในแนวดิ่ง เนื่องจากนอนพักรักษามานานกว่า 1 เดือน

    ส่วนเรื่องยาปฏิชีวนะนั้น หยุดหมดแล้ว เหลือเพียงยาตัวอื่นๆ ที่จำเป็น แต่เป็นการให้ทางสายยาง ส่วนการให้อาหารได้เพิ่มโปรตีนเข้าไป เพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้ออย่างเต็มที่ ส่วนการขับถ่ายปกติ และเกณฑ์ดี แต่ยังไม่สามารถระบุระยะเวลาออกจากห้องไอซียู หรือ ถอดเครื่องช่วยหายใจออกได้ทันที เนื่องจากอยากให้เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะการกำหนดล่วงหน้า อาจเป็นการกดดันเจ้าหน้าที่ โดยเกณฑ์การออกจากห้องไอซียู ระบบทางเดินหายใจ ผู้ป่วยต้องมีข้อบ่งชี้ว่า สามารถหายใจได้เอง ระบบการไหลเวียนของโลหิต และออกซิเจนในเลือดดี

    #workpointTODAY
    #สาระความรู้เพื่อวันนี้
    ติดตาม workpointTODAY ทาง YouTube https://bit.ly/2YDfyiK

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อาจจะฟังดูเป็นข่าวร้าย แต่ข้อเท็จจริงก็คือ เมืองไทยไม่น่าลงทุนอีกต่อไปแล้วสำหรับชาวต่างชาติ ทั้งการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และการลงทุนระยะยาวในภาคเศรษฐกิจจริง

    ซึ่งนั่นหมายถึงผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทย ที่อาจจะไม่สามารถกลับไปมากเท่าเก่าได้แล้วด้วย

    KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ได้เคยสำรวจข้อมูลเศรษฐกิจไทยเพื่อตอบคำถามว่า ทำไมนักลงทุนต่างชาติจึงทยอยโยกย้ายเงินทุนของตัวเองออกจากตลาดหุ้นไทย และพบว่าในช่วง 7-8 ปีหลังสุด นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยออกโดยสุทธิแทบทุกปี โดยช่วงปี 2013-2019 นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยออกสุทธิไปรวมกันกว่า 8 แสนล้านบาท

    ขณะที่ในปี 2020 ที่เกิดสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เฉพาะในช่วง 6 เดือนแรก นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยออกสุทธิไปอีกรวมกว่า 2.2 แสนล้านบาท

    เรียกได้ว่า นักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทย เทขายหุ้นไปออกไปสุทธิเป็นมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท ในช่วง 7-8 ปีหลังสุด

    คำถามสำคัญจากปรากฏการณ์ข้างต้นคือ นักลงทุนต่างชาติเห็นอะไร จึงได้ทยอยถอนการลงทุนออกจากตลาดหุ้นไทยมากมายขนาดนี้ในช่วง 7-8 ปีหลัง

    เหตุผลแรกที่ชัดเจนที่สุดคือ เพราะตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนน้อยกว่าตลาดหุ้นในประเทศอื่น โดย KKP Research พบว่าในช่วง 7 ปีหลังสุดดัชนีตลาดหุ้นไทยแทบไม่โตขึ้นเลย ในขณะที่ดัชนีของตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียโดยรวมโตขึ้นกว่า 50% ส่วนดัชนีของตลาดหุ้นสหรัฐฯ โตขึ้นกว่า 100%

    ดังนั้นนักลงทุนต่างชาติ ที่ไม่มีข้อจำกัดเรื่องการลงทุนข้ามประเทศ จึงดึงเงินลงทุนออกจากประเทศไทย และไปลงทุนในตลาดหุ้นประเทศอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าแทน

    แต่การจะลงทุนหรือถอนการลงทุนจากประเทศใด การมองเพียงผลตอบแทนในอดีตนั้นยังไม่เพียงพอ แต่ยังต้องมองไปยัง “อนาคต” ของตลาดในประเทศนั้นๆ ด้วย

    แต่ยิ่งมองไปในอนาคตข้างหน้า เรากลับยิ่งมองเห็นข่าวร้ายมากขึ้น เพราะเศรษฐกิจไทยยังมีจุดอ่อนหลายอย่าง ที่น่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ช้าไปอีกหลายปี และยิ่งทำให้การลงทุนในประเทศไทยดูไม่น่าดึงดูดมากขึ้นอีก

    ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยเติบโตช้าลงเรื่อยๆ ในช่วงประมาณ 20 ปีหลังสุด โดยช่วงก่อนเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 1997 นั้น เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยถึงปีละ 7% แต่หลังวิกฤติถึงช่วงประมาณปี 2012 เศรษฐกิจไทยกลับโตช้าลงเหลือเพียง 5% ต่อปี และในช่วง 7 ปีหลังสุดถึงปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยเติบโตที่เพียง 3% ต่อปีเท่านั้น

    โดยสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยโตช้าลงเรื่อยๆ ก็เนื่องมาจาก “การลงทุน” ในประเทศไทยที่ลดลงเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน โดยตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือที่เรียกว่า FDI (Foreign Direct Investment) ที่มาลงทุนสร้างโรงงานหรือเปิดธุรกิจใหม่ๆ ในประเทศไทยนั้น ลดลงเรื่อยๆ มาตลอด โดยในช่วงปี 2001-2005 ไทยเคยได้รับเงินลงทุนส่วนนี้คิดเป็นสัดส่วนกว่า 44% ของเงินลงทุนจากต่างชาติที่มาลงในกลุ่ม 5 ประเทศอาเซียน (ไทย, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย) แต่ในช่วงปี 2016-2018 ไทยได้รับเงินลงทุนส่วนนี้ลดลงเหลือแค่ 14% เท่านั้น น้อยที่สุดในกลุ่ม 5 ชาติอาเซียนข้างต้น

    และไม่ใช่แค่บริษัทต่างชาติเท่านั้น เพราะแม้แต่บริษัทไทยเองก็นิยมหันไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นด้วย โดยตัวเลขการออกไปลงทุนในต่างประเทศของธุรกิจไทย (Thai Direct Investment: TDI) เพิ่มขึ้นจากประมาณ 5,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2015 ไปเป็นกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2018

    พูดง่ายๆ ว่า บริษัทต่างชาติเริ่มไม่อยากมาลงทุนในประเทศไทย ขณะที่ธุรกิจในประเทศไทยเองก็มองหาโอกาสในการเติบโตนอกประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะอาจมองไม่เห็นอนาคตการเติบโตของเศรษฐกิจไทยเหมือนกัน

    ทั้งนี้ ทาง KKP Research ได้สรุปไว้ด้วยว่า รากปัญหาที่ทำให้เศรษฐกิจไทยโตน้อยและโตช้าเช่นนี้เกิดจาก หนึ่ง ตลาดในประเทศไม่โต ทั้งด้วยจากโครงสร้างประชากรที่กำลังกลายเป็นสังคมสูงอายุ และความเหลื่อมล้ำทางรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งทำให้กำลังซื้อของคนส่วนใหญ่ลดลง (เพราะเงินไปกระจุกตัวกับกลุ่มคนรวย)

    สอง เพราะธุรกิจไทยไม่สามารถสร้างสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลกได้ โดยเห็นได้จากการที่ประเทศไทยยังถูกขับเคลื่อนด้วยธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมเก่า และยังไม่เคลื่อนไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยี โดยบริษัทที่มูลค่ามากที่สุดในตลาดหุ้นไทยอันดับต้นๆ ไม่มีบริษัทเทคโนโลยีอยู่เลย ในขณะที่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ บริษัท Top 10 ที่มูลค่ามากที่สุดเป็นบริษัทเทคโนโลยีเกือบทั้งหมด

    สาม คือนโยบายของภาครัฐเอง ที่ไม่ส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรมในตลาด โดยมักเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจรายใหญ่ ทำให้สามารถผูกขาดตลาดได้ต่อไปโดยไม่ต้องพัฒนานวัตกรรม และในขณะเดียวกันก็เป็นการกีดกันผู้เล่นรายใหม่ไม่ให้เกิดขึ้นด้วย นอกจากนั้น การลงทุนของภาครัฐไทยยังมักไม่ใช่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะช่วยให้ภาคเอกชนนำไปต่อยอดทางธุรกิจได้ด้วย ลองนึกถึงโอกาสที่ประเทศไทยเสียไปจากการที่ตอนนี้ยังไม่มีรถไฟความเร็วสูงดูก็ได้

    ทั้งหมดนี้จึงทำให้ตลาดหุ้นไทยไม่น่าลงทุนอีกต่อไปในสายตาของชาวต่างชาติ ทั้งจากผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยเองที่น้อยกว่าตลาดอื่นๆ และจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยเอง ที่มองไปในอนาคตแล้วยังมืดหม่น และน่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยโตน้อยและโตช้าเช่นนี้ไปอีกนาน

    บทความโดย กฤดิกร เผดิมเกื้อกูลพงศ์

    ที่มา https://advicecenter.kkpfg.com/th/m...c-trend/why-foreign-investor-leave-thai-stock

    #workpointTODAY
    #สาระความรู้เพื่อวันนี้
    ติดตาม workpointTODAY ทาง YouTube https://bit.ly/2YDfyiK

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โฆษก ศบค.เผย ผู้เสียชิตเพิ่ม 1 ราย และพบเด็กทารกอายุ 2 วันติดเชื้อโควิด 19 จากสมุทสาคร เป็นรายที่อายุน้อยที่สุด

    วันที่ 10 ก.พ. 2564 นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศวันนี้ว่า พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 157 ราย ประกอบด้วย ผู้ติดเชื้อในประเทศจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ 38 ราย จากค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 106 ราย ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 13 ราย
    ทั้งนี้ จำนวนผู้ป่วยยืนยันสะสมในประเทศล่าสุดอยู่ที่ 23,903 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อภายในประเทศ 7,784 ราย และการตรวจคัดกรองเชิงรุก 13,545 ราย ส่วนผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 2,574 ราย โดยมีผู้ป่วยรักษาหายแล้ว 18,914 ราย เพิ่มขึ้น 548 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย ทำให้ยอดสะสมเพิ่มเป็น 80 ราย

    สำหรับผู้เสียชีวิต เป็นหญิงวัย 65 ปี เป็นโรคประจำตัว คือ มะเร็งกล่องเสียงและไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ไขมันในเลือดสูง มีประวัติสัมผัสผู้ติดเชื้อในครอบครัวใน จ.สมุทรสาคร ซึ่งพบว่าติดเชื้อ 5 ราย จากทั้งหมด 8 ราย โดยในวันที่ 29 ธ.ค.ไปฟอกไตแล้วมีอาหารหนาวสั่นและสงสัยว่าจะติดเชื้อบริเวณที่เจาะคอ รวมทั้งมีประวัติสัมผัสผู้ติดเชื้อในครอบครัว จึงส่งตรวจหาเชื้อโควิด และยืนยันพบติดเชื้อในวันที่ 1 ม.ค.จึงย้ายไปรักษาที่ รพ.ในกทม. พบว่ามีอาการหอบเหนื่อย ปอดอักเสบ จึงใส่ท่อช่วยหายใจ ต่อมาพบว่าการติดเชื้อรุนแรงขึ้นและเกล็ดเลือดต่ำเลือดออกบริเวณที่ต่อท่อช่วยหายใจ รวมถึงอวัยวะภายใน และหัวใจหยุดเต้นไปขณะหนึ่ง พบเชื้อราในกระแสเลือด เมื่อปรับยาหลายอย่างอาหารไม่ดีขึ้น จากนั้นวันที่ 8 ก.พ.หัวใจเต้นช้าลง ความดันโลหิตตก จนกระทั่งเสียชีวิตในคืนนั้น

    ส่วนรายอื่น อยุ่ใน กทม. 8 ราย สมุทรสงคราม 1 ราย มหาสารคาม 1 ราย
    สมุทรสาคร 28 ราย ซึ่งมีผู้ติดเชื้ออายุน้อยที่สุด คือ เด็กหญิงอายุเพียง 2 วันค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 106 ราย สมุทรสงคราม 2 ราย สมุทรสาคร 104 ราย

    #workpointTODAY
    #สาระความรู้เพื่อวันนี้
    ติดตาม workpointTODAY ทาง YouTube https://bit.ly/2YDfyiK

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ยื่นหนังสือถึงองค์การสหประชาชาติ (UN) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยอมรับและคุ้มครองสิทธิของชาวกะเหรี่ยงบางกลอยบน-ใจแผ่นดิน จากกรณี #saveบางกลอย

    โดยเนื้อความในหนังสือระบุว่า เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 64 ชาวกะเหรี่ยงจากบางกลอยล่าง ตำบลห้วยแม่เพรียง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ประมาณ 70 คน ตัดสินใจกลับเข้าป่า มุ่งหน้าไปบางกลอยบน-ใจแผ่นดิน ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งดั้งเดิมของชุมชนชาวกะเหรี่ยง

    ชาวกะเหรี่ยงบางกลอยบน-ใจแผ่นดิน ถูกอพยพออกจากป่ามาอยู่ที่บางกลอยล่างช่วงปี 2539 ซึ่งหน่วยงานรัฐสัญญาว่าจะจัดสรรที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินให้ใหม่ แต่มีชาวกะเหรี่ยงจำนวนหนึ่งไม่ได้รับการจัดสรรที่ดินจึงอพยพกลับไปถิ่นที่อยู่เดิม และถูกบังคับอพยพอีกครั้งช่วงปี 2553-2554 ในการอพยพครั้งหลังนี้มีการใช้กำลังรื้อถอน เผาบ้านและยุ้งข้าวของชาวกะเหรี่ยง ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนและไม่คำนึงถึงวิถีชีวิตตามประเพณีของชุมชน

    จากการสัมภาษณ์ชาวกะเหรี่ยง 30 ครัวเรือน โดยเครือข่ายฯ พบว่ามีแค่ 3 ครอบครัว ที่ได้รับการจัดสรรที่ดินเพื่อการเกษตรและที่อยู่อาศัยประมาณ 20 ไร่ ขณะที่อีก 27 ครอบครัว ไม่รับการจัดสรรที่ดินให้เลย ทั้งที่ทำกินและที่อยู่อาศัย ผู้ไม่ได้รับการจัดสรรที่ดินได้พยายามปรับตัวโดยออกไปทำงานรับจ้างแล้ว แต่รายได้ที่ได้รับไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงดูครอบครัว

    จากเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้แทนชาวกะเหรี่ยง 6 คน ยื่นฟ้องศาลปกครองเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ต่อมาศาลตัดสินให้ชาวบ้านชนะคดี เพราะมีหลักฐานจากกรมแผนที่ทหารพิสูจน์ว่าชุมชนตั้งอยู่มาตั้งแต่ปี 2455 และบัตรประจำตัวประชาชนของปู่โคอี้ มีมิ ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวกะเหรี่ยงใจแผ่นดิน ระบุว่าปู่เกิดปี 2454 หรือเกิดก่อนที่จะมี พ.ร.บ.ป่าไม้ ฉบับแรกถึง 30 ปี และก่อนมี พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ ฉบับแรกถึง 50 ปี

    สภาชนเผ่าพื้นเมืองฯ ระบุว่าการกระทำของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชที่ผ่านมา ถือเป็นการละเมิดข้อบัญญัติในรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน และเมื่อชาวกะเหรี่ยงไม่เคยได้รับการเอาใจใส่จากรัฐและหน่วยงานต่างๆ ทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอพยพกลับไปที่บางกลอยบน-ใจแผ่นดิน ซึ่งเป็นแผ่นดินเกิด

    ชาวกะเหรี่ยงที่อพยพกลับชุมชนดั้งเดิมในครั้งนี้กังวลว่าพวกตนจะประสบเหตุการณ์เช่นเดียวกับในอดีต สภาชนเผ่าพื้นเมืองฯ จึงเรียกร้องให้รัฐบาลไทยรีบหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยให้ความคุ้มครองสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองชาวกะเหรี่ยง ที่ต้องการเดินทางกลับไปอยู่ในถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของตนเองอย่างเร่งด่วน ดังนี้

    1) รับรองสิทธิของชุมชนชนเผ่าพื้นเมืองชาวกะเหรี่ยงตามที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 และเคารพในหลักการและกลไกของพันธกรณีระหว่างประเทศที่ได้ลงนามหรือได้รับรองไปแล้ว เช่น ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง (UNDRIP) อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (CBD) และอนุสัญญาอื่น ๆ อีกหลายฉบับ

    2) รัฐบาลต้องรับรองว่าสมาชิกชุมชนที่เดินทางกลับไปอยู่ที่บางกลอยบน-ใจแผ่นดิน สามารถอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ตามบรรพบุรุษได้ และต้องไม่มีการบังคับอพยพ ข่มขู่คุกคาม หรือดำเนินคดีโดยเด็ดขาด

    3) ขอให้กระบวนการและขั้นตอนการขึ้นทะเบียนมรดกโลกให้สอดคล้องกับหลักการสากล และการรับฟังความคิดเห็นก่อนการตัดสินใจร่วมกันกับชุมชนชนเผ่าพื้นเมืองในเขตพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน

    4) ยอมรับชนเผ่าพื้นเมืองชาวกะเหรี่ยงในฐานะเป็นส่วนสำคัญของระบบนิเวศน์และตระหนักถึงการมีส่วนร่วมของพวกเขาในฐานะผู้พิทักษ์และการดูแลรักษาระบบนิเวศน์

    #workpointTODAY
    #สาระความรู้เพื่อวันนี้
    ติดตาม workpointTODAY ทาง YouTube https://bit.ly/2YDfyiK

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เป็นภาพที่สะเทือนใจกับการจากไปอีก 2 ชีวิตของสามีภรรยาคู่หนึ่ง ที่ติดเชื้อโควิด-19 จับมือกันก่อนที่จะสิ้นลม
    .
    สำนักข่าวเดลี่ เมลล์ รายงานว่า มากาเร็ต และเดเร็ก ฟิตต์ วัย 91 ปี เสียชีวิตที่โรงพยาบาลแทรฟฟอร์ด ประเทศอังกฤษ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทั้งคู่อาศัยอยู่ที่เมืองพาร์ทิงตัน และคบหาดูใจกันมาตั้งแต่อายุ 14 ปี ทั้งคู่แต่งงานกันในปี 2493 และมีลูกด้วยกันทั้งหมด 5 คน ลูกสาวของทั้งคู่บอกว่า พ่อกับแม่จะชอบไปสังสรรค์และเที่ยวเล่นพักผ่อนในวันหยุดมาก
    .
    จนกระทั่งเริ่มล้มป่วย เดิมทีมาร์กาเร็ตป่วยและรักษาตัวอยู่ที่รพ.ไวเธนชอว์ แต่ได้ย้ายมาที่รพ.แทรฟฟอร์ดในภายหลัง หลังจากนั้นเดเร็กผู้เป็นสามีก็ล้มป่วยเช่นกัน จึงเข้ารับการรักษาที่รพ.ไวเธนชอว์เหมือนกัน แต่ก็ย้ายตามมาที่รพ.แทรฟฟอร์ดเพื่อเฝ้าดูภรรยา เนื่องจากแพทย์บอกว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ทั้งสองได้อยู่ด้วยกันและเหมือนมาร์กาเร็ตจะมีอาการดีขึ้น ซึ่งลูกสาวของทั้งคู่บอกว่า แม้ว่าจะเป็นเวลาที่น่าเศร้าแต่ก็รู้สึกดีใจที่ทั้งสองได้อยู่ด้วยกัน
    .
    ต่อมา พบว่าทั้งคู่ติดเชื้อโควิด-19 และยังต้องต่อสู้กับอาการของโรคเนื่องจากมีโรคประจำตัวอยู่ด้วย ทั้งคู่ต่างกันอยู่ใกล้ชิดกันตลอดให้ได้นานที่สุด จับมือกันจนวาระสุดท้าย จนในวันที่ 31 ม.ค.64 เดเร็กผู้เป็นสามีเสียชีวิตและต่อมามาร์กาเร็ตก็เสียชีวิตลงในอีก 3 วันถัดมา
    .
    บาร์บาร่า สมิธ ลูกสาวของทั้งคู่ กล่าวว่า ‘พวกเขารักที่จะสนุกกับตัวเอง และเขาก็ได้ใช้ชีวิตนี้อย่างคุ้มค่าที่สุดแล้ว’

    #โควิด19 #covdi19 #คู่รัก #แมนเชสเตอร์ #อังกฤษ #ข่าวต่างประเทศ #ข่าวโมโน29 #Mono29News #Mono29

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กระทรวงแรงงาน ชง ครม.15 ก.พ. 64 เคาะลดจ่ายเงินสมทบลง 40 % ช่วยผู้ประกันมาตรา 40

    วันที่ 10 ก.พ. 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบแห่งชาติ (คนช.) ครั้งที่ 1/2564 โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมว่า เป็นข่าวดีสำหรับแรงงานนอกระบบที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ซึ่งมีอยู่ประมาณ 3.5 ล้านคน บอร์ดประกันสังคมได้ทบทวนการให้ความช่วยเหลือ โดยลดการจ่ายเงินสมทบลงร้อยละ 40 % ของฐานเงินสมทบที่จ่ายในแต่ละทางเลือก เป็นระยะเวลา 6 เดือน ถ้าจ่าย 100 บาท ก็เหลือจ่ายแค่ 60 บาท ซึ่งจะเข้า ครม.ในวันที่ 15 ก.พ. 2564 พร้อมกับการช่วยเหลือผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่จะจ่ายเยียวยา 4 พันบาท กว่า 9 ล้านคน ที่จะเริ่มลงทะเบียนวันที่ 21 ก.พ.-7 มี.ค. 2564 นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตรได้ให้ประกันสังคมไปดูทางช่วยมาตรา 40 ที่ขาดลงเงินสมทบจนทำให้ขาดสิทธิด้วยว่าจะช่วยอย่างไรให้คงสภาพผู้ประกันตนต่อไป

    #workpointTODAY
    #สาระความรู้เพื่อวันนี้
    ติดตาม workpointTODAY ทาง YouTube https://bit.ly/2YDfyiK

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อนุทิน ยันวัคซีนในไทยไม่ล่าช้า ทุกคนต้องการกำลังใจ ไม่ห้ามม็อบชุมนุมขอแค่สวมหน้ากากและเจลล้างมือ

    วันที่10 ก.พ. 2564 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ทุกยี่ห้อ ทุกใบอนุญาตขึ้นทะเบียนอยู่ภายใต้การใช้ในภาวะฉุกเฉิน โดยรัฐบาลต้องรับผิดชอบและการดำเนินการ เพราะยังไม่มีการขึ้นทะเบียนให้เอกชนนำไปใช้ได้ อย่างไรก็ตาม นโยบายของรัฐชัดเจนว่าคนไทยจะเข้าถึงวัคซีนฟรี ฉะนั้น ไม่เป็นการตัดโอกาสประชาชนหรือเอกชนในเรื่องวัคซีน

    นายอนุทินกล่าวว่า เราไม่ได้แทงม้าตัวเดียว เพราะมีหลายหน่วยงานในไทยกำลังพัฒนาวิจัยวัคซีนโควิดอยู่ในหลายเทคโนโลยี เช่น โอเนทเอเซีย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดังนั้น คนไทยก็จะเป็นเจ้าของคอกม้า ถามว่าแทงม้าตัวเดียวหรือเปล่า จริงๆ แล้วเราแทงม้าเต็ง เพราะเราเห็นว่าม้าจากแอสตร้าเซนเนกาวิ่งนำมาแล้ว เขากล้าสนับสนุนประเทศไทยก่อน ส่วนม้าตัวอื่นบอกว่าจะให้วัคซีนเราเร็วที่สุดใน ก.ย. ของปีนี้ ยังบอกเงื่อนไขไม่ได้ บอกจำนวนไม่ได้
    นายอนุทินยังบอกด้วยว่า วัคซีนที่คนไทยมีอยู่ทุกวันนี้คือ 63 ล้านโดส ส่วนที่บอกว่าช้า ก็ให้เอาประเทศรอบๆ มาดูว่าเขาได้หรือยัง ใกล้เคียงของเราหรือไม่ ไม่ใชเขาได้มา 5 พันโดส 1 หมื่นโดส แล้วมาบอกว่าเราช้า

    ส่วนการวิพากษ์วิจารณ้กี่ยวกับการทำงานของแพทย์นั้น นายอนุทินบอกว่า ถ้าไม่ให้หมอฉีดหรือจะให้ตนฉีดให้แทน วันนี้ตอบคำถามได้หมด แทนที่จะยอมรับ พูดให้ประชาชนเข้าใจว่าไม่ติดใจสงสัยแล้ว แต่กลับพยายามหาประเด็นอื่นขึ้นมา ขณะที่แพทย์ทุกคนทำงานหนัก บางคนอยู่ต่างจังหวัด ในวันหยุดก็เดินทางมาสมุทรสาคร มาช่วยเข้าเวรในโรงพยาบาลสนาม แต่คนวิจารณ์นั่งอยู่ในห้องแอร์ ย้ำทุกคนต้องการขวัญกำลังใจ ต้องการเสียงเชียร์ในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะไม่มีจุดในที่เราคิดถึงตัวเองหรือไม่คิดถึงประชาชน

    เมื่อถามถึงการชุมนุมตีหม้อไล่รัฐบาล โดยอ้างว่าวัคซีนมาช้ากระทบปัญหาปากท้อง นายอนุทินกล่าวว่า ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพอยู่แล้ว แต่ให้สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ในหม้อก็ขอให้ใส่แอลกอฮอล์ล้างมือไปด้วย แต่หากป่วยมาเราก็พร้อมรักษาพยาบาล และย้ำว่า ขอให้เคารพกฎหมายที่ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอยู่ เพราะการระบาดโควิดรอบใหม่เกิดจากคนที่ไม่เคารพกฎหมาย หากเกิดระบาดขึ้นมาอีกก็เกินความสามารถของรัฐบาลแล้ว เพราะเราเตือน เตรียมพร้อมทุกอย่าง ขอร้องแล้วว่าจะทำยังไงให้เกิดความปลอดภัย

    #workpointTODAY
    #สาระความรู้เพื่อวันนี้
    ติดตาม workpointTODAY ทาง YouTube https://bit.ly/2YDfyiK

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ ลงคะแนนเกินกึ่งหนึ่ง เห็นชอบเดินหน้ากระบวนการถอดถอนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ชี้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ

    วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 เว็บไซต์บีบีซีและอัลจาซีรา รายงานความคืบหน้ากระบวนการถอดถอนนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งล่าสุดสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ เพิ่งลงมติด้วยคะแนนเสียง 56 ต่อ 44 เห็นชอบให้กระบวนการถอดถอนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์เดินหน้าต่อไป

    การลงมติครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่สมาชิกวุฒิสภารับฟังข้อมูล รวมถึงคำแก้ต่างของทีมทนายความอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งพยายามโน้มน้าวว่า การถอดถอนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ไม่สามารถทำได้ ทั้งในแง่ผิดกระบวนการถอดถอนและไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ผลการลงมติสะท้อนให้เห็นว่า สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ ส่วนใหญ่มองว่าข้อแก้ต่างของทีมทนายความนายโดนัลด์ ทรัมป์ฟังไม่ขึ้น

    เป็นที่น่าสังเกตว่า มีคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง ทั้งๆ ที่จำนวนที่นั่งในวุฒิสภาสหรัฐฯ ระหว่างพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันมีเท่ากัน ซึ่งก็หมายความว่ามีสมาชิกวุฒิสภาจากพรรครีพับลิกัน พรรคเดียวกับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ร่วมเห็นชอบกระบวนการถอดถอนด้วย หนึ่งในนั้นคือบิล แคสซิดี ที่ออกมายอมรับพร้อมให้ความเห็นว่า สาเหตุที่เห็นชอบเป็นเพราะทีมทนายความของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ไม่สามารถโน้มน้าวการตัดสินใจได้เหมือนความเห็นจากฝ่ายที่สนับสนุนการถอดถอน

    โดยกระบวนการนับจากนี้ ทั้งฝ่ายสนับสนุนการถอดถอนและฝ่ายคัดค้านจะต้องนำเสนอความเห็นของตัวเองอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้เวลานานถึงช่วงสุดสัปดาห์ ก่อนที่สมาชิกวุฒิสภาจะมีโอกาสซักถาม โดยยังไม่มีท่าทีที่ชัดเจนว่า จะมีการยื่นสอบพยานเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้กระบวนการถอดถอนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ยืดออกไปอีกหรือไม่

    โดยในขั้นตอนสุดท้าย จะมีการลงมติว่าจะถอดถอนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์หรือไม่ ต้องการคะแนนเสียงเห็นชอบจากวุฒิสภาสหรัฐฯ มากถึง 2 ใน 3 เพื่อถอดถอน โดยหากถอดถอนจริง อดีตประธานาธิบดีทรัมป์จะไม่มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในสมัยหน้า ซึ่งเขาเคยประกาศจะกลับมาทวงตำแหน่งคืน

    ที่มา https://www.bbc.com/news/world-us-canada-56005458
    https://www.aljazeera.com/news/2021/2/9/second-impeachment-trial-of-donald-trump-set-to-begin-live

    #workpointTODAY
    #สาระความรู้เพื่อวันนี้
    ติดตาม workpointTODAY ทาง YouTube https://bit.ly/2YDfyiK

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รัฐบาลญี่ปุ่นรับอาจจำเป็นต้องทิ้งวัคซีนไฟเซอร์จำนวนหนึ่ง เนื่องจากมีเข็มฉีดยาแบบเฉพาะไม่เพียงพอ

    วันที่ 9 ก.พ. 2564 สำนักข่าว เคียวโดนิวส์พลัส (Kyodo News+) รายงานว่า ประชาชนชาวญี่ปุ่นอาจได้รับวัคซีนน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ในตอนแรก จากปัญหาขาดแคลนเข็มฉีดยาชนิดพิเศษ ทำให้ดูดวัคซีนออกมาจากขวดได้น้อยกว่าที่ประเมินไว้

    โนริฮิสะ ทามูระ รัฐมนตรีสาธารณสุขกล่าวว่า ญี่ปุ่นกำลังขาดแคลนเข็มฉีดยาที่เรียกว่า low dead space syringes ที่ทำให้เหลือยาค้างในเข็มน้อยกว่าเข็มฉีดยาแบบทั่วไป โดยหากใช้เข็มตัวนี้กับขวดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของไฟเซอร์ (Pfizer) จะสามารถดูดตัววัคซีนได้ถึง 6 เข็ม

    แต่เมื่อเข็มฉีดยาชนิดนี้มีไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องใช้เข็มฉีดยาแบบทั่วไปแทน ซึ่งจะทำให้ดูดวัคซีนออกมาได้เพียง 5 โดสต่อขวด หากต้องใช้เข็มฉีดยาทั่วไป จำนวนวัคซีนที่เตรียมไว้สำหรับฉีดให้ประชากร 72 ล้านคน จะลดลงเหลือเพียง 60 ล้านคนเท่านั้น

    นายทามูระเผยว่า เข็มฉีดยาในญี่ปุ่นสามารถดูดวัคซีนออกมาเพียง 5 โดส แม้ว่าตอนนี้ทางสาธารณสุขจะพยายามหาเข็มฉีดยาทั้งหมดที่ดูดได้ 6 โดสมาใช้ แต่ในระยะยาวแล้วมีไม่พออย่างแน่นอน

    เดือนที่แล้วทางสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า สหรัฐอเมริกาและประเทศในสหภาพยุโรปกำลังเร่งหาเข็มฉีดยาแบบ low dead space เข้ามาใช้งานเช่นกัน

    การที่ญี่ปุ่นเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ช้ากว่าหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว ทำให้พวกเขาไม่เหลือทางเลือกมากนัก นอกจากการใช้เข็มฉีดยาที่มีอยู่และยอมทิ้งวัคซีนโดสที่ 6 ในแต่ละขวดไปก่อน โดยคาดว่าจะอนุมัติให้ใช้งานวัคซีนไฟเซอร์ในกรณีฉุกเฉินได้ในวันที่ 15 ก.พ.

    จากนั้นจะเริ่มฉีดให้กับบุคลากรสาธารณสุขในวันที่ 17 ก.พ. ส่วนประชาชนทั่วไปที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป จำนวน 36 ล้านคน น่าจะเริ่มฉีดในเดือนเมษายน

    ที่มา: https://english.kyodonews.net/news/...vaccine-in-japan-due-to-syringe-shortage.html

    https://www.theguardian.com/world/2021/feb/10/japan-pfizer-vaccine-doses-wrong-syringes

    #workpointTODAY
    #สาระความรู้เพื่อวันนี้
    ติดตาม workpointTODAY ทาง YouTube https://bit.ly/2YDfyiK

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    The Economist Intelligence Unit ประเมินการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลก โดยคาดการณ์ว่า ประเทศร่ำรวยอาจเร่งฉีดวัคซีนให้ทั่วถึงประชากรส่วนใหญ่ จนสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ภายในปลายปีนี้ แตกต่างจากประเทศยากจนที่โครงการฉีดวัคซีนให้คนจำนวนมาก อาจล่าช้าไปถึงปี 2566

    รายงานฉบับนี้ The Economist Intelligence Unit ยังประเมินว่าประเทศไทยน่าจะสามารถฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนส่วนใหญ่ได้ภายในปลายปี 2565

    รายงานของ The Economist Intelligence Unit มีรายละเอียดอย่างไร วันนี้ workpointTODAY จะสรุปมาให้อ่านกัน

    1.) The Economist Intelligence Unit ออกรายงานเมื่อวันที่ 22 มกราคมที่ผ่านมา คาดการณ์ระยะเวลาที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก จะสามารถดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ จนสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มคือ

    ⚫️ กลุ่มที่ 1 ประเทศที่จะฉีดวัคซีนทั่วถึงภายในปลายปี 2564
    เช่น สหรัฐฯ และชาติส่วนใหญ่ในยุโรป
    ⚫️ กลุ่มที่ 2 ประเทศที่จะฉีดวัคซีนทั่วถึงภายในกลางปี 2565
    เช่น รัสเซีย ออสเตรเลีย และบางชาติในอเมริกาใต้
    ⚫️ กลุ่มที่ 3 ประเทศที่จะฉีดวัคซีนทั่วถึงภายในปลายปี 2565
    เช่น จีน อินเดีย และไทย
    ⚫️ กลุ่มที่ 4 ประเทศที่จะฉีดวัคซีนทั่วถึงหลังจากปี 2566 เป็นต้นไป
    เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เมียนมา และหลายชาติในแอฟริกา

    2.) The Economist Intelligence Unit ประเมินโดยอาศัยหลายปัจจัย โดยปัจจัยแรกซึ่งอาจถือได้ว่าสำคัญที่สุด คือสถานะการจองวัคซีนโควิด-19 ซึ่งบางประเทศมีการสั่งจองล่วงหน้า ทำให้สามารถเริ่มฉีดวัคซีนกับกลุ่มเสี่ยงได้ก่อน เช่นกรณีของสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และหลายชาติในยุโรป

    โดยกรณีของชาติเหล่านี้ The Economist Intelligence Unit คาดว่า จะดำเนินการฉีดวัคซีนให้กลุ่มเสี่ยงเสร็จเร็วที่สุดภายในเดือนมีนาคมนี้ โดยอาจมีบางชาติที่ล่าช้าไปถึงปลายเดือนนมิถุนายน ทำให้ The Economist Intelligence Unit ประเมินว่า เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเหล่านี้น่าจะเริ่มฟื้นตัวในไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปีนี้ แต่น่าจะยังไม่ถึงขั้นที่เศรษฐกิจจะกลับมาเป็นปกติเหมือนก่อนเกิดโรคระบาด

    3.) ส่วนประเทศที่มีรายได้ปานกลาง ส่วนใหญ่จะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่ 2 คือคาดว่าจะฉีดวัคซีนได้อย่างทั่วถึงภายในกลางปี 2565 โดยข้อสังเกตของกลุ่มนี้คือเป็นประเทศที่มีการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ตั้งแต่แรก เช่นรัสเซีย หรือเป็นประเทศที่อยู่ในกลุ่มทดลองวัคซีนโควิด-19 เช่น บราซิลและหลายชาติในอเมริกาใต้ ซึ่งได้สิทธิ์เข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ก่อน

    4.) สำหรับประเทศไทย The Economist Intelligence Unit จัดให้อยู่ในกลุ่มที่ 3 คือคาดว่า น่าจะฉีดวัคซีนกับประชากร 60-70% ได้ภายในปลายปี 2565 ซึ่งถือว่าอยู่ในกลุ่มเดียวกับประเทศที่มีรายได้ปานกลางส่วนใหญ่

    โดยในกลุ่มนี้ยังรวมจีนและอินเดียไว้ด้วย เนื่องจากว่าแม้ทั้งสองประเทศจะมีศักยภาพผลิตวัคซีนในประเทศได้เอง แต่ด้วยจำนวนประชากรที่มาก ทำให้ใช้เวลาฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ทั่วถึงนานกว่าประเทศอื่นๆ

    5.) ส่วนกลุ่มสุดท้ายคือประเทศที่น่าจะฉีดวัคซีนได้อย่างทั่วถึงหลังจากปี 2566 ไปแล้ว ส่วนใหญ่เป็นประเทศยากจน ที่มีทางเลือกเดียวคือการรอรับวัคซีนจากโครงการโคแวกซ์ (COVAX) ซึ่งมีแผนจัดส่งวัคซีนชุดแรก 2,000 ล้านโดสภายในปี 2564 แต่อาจประสบปัญหาได้รับวัคซีนล่าช้า เพราะการผลิตและจัดส่งวัคซีนโควิด-19 ให้กับประเทศร่ำรวยช้ากว่ากำหนด

    6.) The Economist Intelligence Unit ชี้ว่า การประเมินนี้ทำให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำ เพราะในท้ายที่สุดแล้ว อาจมีประเทศยากจนกว่า 85 ประเทศ ไม่ได้รับวัคซีนโควิด-19 ก่อนปี 2566 สอดคล้องกับข้อกังวลก่อนหน้านี้ของ People’s Vaccine ซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานภาคประชาสังคมระดับโลกที่ทำงานเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียมและสุขภาพ ที่เชื่อว่า ประชากรในเกือบ 70 ประเทศที่มีรายได้ต่ำ อาจมีโอกาสเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 เพียง 10% ของทั้งหมด

    ผู้เชี่ยวชาญยังระบุด้วยว่า ปัญหาการเข้าถึงวัคซีนในประเทศยากจน มีมาตั้งแต่ก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 แล้ว โดยที่ผ่านมาบรรดาประเทศยากจนเข้าไม่ถึงวัคซีน เช่น วัณโรคและโปลิโอ ซึ่งเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อยาวนานมานับสิบปี

    7.) ผู้เชี่ยวชาญยังจับตานโยบายของหลายประเทศ เช่น จีนและรัสเซีย ที่ดำเนินนโยบาย 'การทูตวัคซีน' ซึ่งถูกมองว่าใช้โอกาสในภาวะโรคระบาด เสนอให้วัคซีนโควิด-19 โดยอาจมีเงื่อนไขแอบแฝงหวังผลประโยชน์ตอบแทนในระยะยาว

    ที่มา https://www.eiu.com/n/85-poor-countries-will-not-have-access-to-coronavirus-vaccines/

    #workpointTODAY
    #สาระความรู้เพื่อวันนี้
    ติดตาม workpointTODAY ทาง YouTube https://bit.ly/2YDfyiK

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    องค์การเภสัชกรรมเดินหน้าศึกษาวิจัยทางคลินิกวัคซีนป้องกันโควิด 19 ในมนุษย์ระยะที่ 1 ขณะที่รมว.สาธารณสุย ระบุจะเริ่มทดลองวัคซีนโควิดในมนุษย์เดือน มี.ค.นี้ คาดว่าจะใช้เวลา 8 เดือน

    วันที่ 10 ก.พ.2564 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหารองค์การเภสัชกรรม แถลงความคืบหน้าการทดสอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิดเชื้อตาย ที่พัฒนาโดยองค์การเภสัชกรรม ซึ่งเป็นการทดสอบในมนุษย์ระยะแรกในประเทศไทย

    วัคซีนที่จะทดลองครั้งนี้พัฒนาโดยองค์การเภสัชกรรมร่วมกับคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล และสถาบัน PATH ร่วมกันพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด- 19 ชนิดเชื้อตายที่พักในไข่ไก่ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้กันมานาน และผ่านการทดลองในสัตว์ทดลองแล้ว พบว่ามีประสิทธิภาพในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีและมีความปลอดภัย

    ขณะนี้พร้อมที่จะเดินหน้าทดลองในมนุษย์ระยะที่ 1 ใน เดือนมีนาคมนี้ หากสำเร็จและผ่านการทดลองในมนุษย์ครบ 3 ระยะก็จะขอขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)

    สำหรับการผลิตวัคซีนโควิด-19 ชนิดเชื้อตายขององค์การเภสัชกรรมจะใช้โรงงานผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งมีกำลังการผลิต 25 - 30 ล้านโดสต่อปี ในอนาคตหากวัคซีนได้ผลดีเป็นที่ต้องการมาก เชื่อว่าจะสามารถขยายกำลังการผลิตได้ โดยอาจจะมีภาคีเครือข่ายมาให้การสนับสนุนเพิ่มเติมด้วย

    นายอนุทิน กล่าวว่า ความก้าวหน้านี้สะท้อนว่าไทยไม่ได้ขี่ม้าตัวเดียว แต่มีการพัฒนาถึงขั้นเป็นเจ้าของคอกม้าร่วมกับคนไทยทุกคน โดยมีเป้าหมายจะผลิตวัคซีนเพื่อให้ประเทศปลอดภัย รวมทั้งยังสามารถดูแลประเทศเพื่อนบ้าน หรือประเทศอื่นๆ ที่ต้องการวัคซีนอีกด้วย

    "ขอให้ทุกคนมั่นใจและไว้วางใจกระทรวงสาธารณสุข วัคซีนที่จะนำมาฉีดให้คนไทย ไม่มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น ข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์ทุกคน พยายามทำงานเพื่อประชาชน เพื่อให้การนำวัคซีนเข้ามาถูกต้องตามกฎหมายจึงขอให้ทุกคนมั่นใจและอย่าหลงเชื่อคำวิพากษ์วิจารณ์จากบุคคลที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการจัดหา จัดซื้อ/พัฒนาและให้บริการวัคซีนกับคนไทย" รมว.สาธารณสุข กล่าว

    ด้าน นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ชนิดเชื้อตายนี้ นับว่าเป็นวัคซีนไทยตัวแรกที่มีการทดลองในคน คาดว่าจะใช้เวลา 8 เดือน โดยองค์การเภสัชกรรมมีโรงงานที่ใช้เทคโนโลยีไข่ไก่ฟักอยู่แล้วก็จะนำมาใช้ในการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด- 19

    #workpointTODAY
    #สาระความรู้เพื่อวันนี้
    ติดตาม workpointTODAY ทาง YouTube https://bit.ly/2YDfyiK

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    INNOVATION: เด็กไทยคิดนวัตกรรม ดักจับคาร์บอนในอากาศ! แปลงเป็นเชื้อเพลิง เพื่อเสนอต่ออีลอน มัสก์
    .
    เป็นข่าวดีที่มีเยาวชนไทยของเรา ได้สนใจในการประดิษฐ์เทคโนโลยี เพื่อช่วยแก้ปัญหาโลกร้อน
    .
    ไม่กี่วันที่ผ่านมา อีลอน มัสก์ ได้ประกาศโครงการเงินรางวัล 100 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นรางวัลสำหรับเทคโนโลยีเครื่องดักจับคาร์บอนที่ดีที่สุด
    .
    โครงการนี้ได้รับความสนใจจากหลายภาคส่วนอย่างมาก โดยหนึ่งในนั้นคือ เอนโทนี-ปิยชนม์ ภุมวิภาชน์ อายุ 15 ปี นักเรียนเกรด 9 ที่โรงเรียนนานาชาติเกนส์วิลล์ เชียงราย ที่ได้เสนอไอเดียนวัตกรรมต่ออีลอน มัสก์ ในการดักจับคาร์บอนในบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงมาเป็นเชื้อเพลิงไฮโดรเจน ที่จะช่วยแก้ไขปัญหามลพิษในอากาศที่ภาคเหนือได้ด้วย
    .
    โดยเอนโทนีได้ทำคลิปวิดีโอเผยแพร่ผ่านช่องทาง Youtube เพื่อเป้าหมายเสนอโครงการดังกล่าวเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา โดยในเนื้อหาของวิดีโอกล่าวถึงที่มาของแรงบันดาลใจเรื่องนวัตกรรมเครื่องดักจับคาร์บอนของเขา และพูดถึงปัญหามลพิษในอากาศ และปัญหาไฟป่าในภาคเหนือ
    .
    เขาเผยถึงความดีใจที่อีลอน มัสก์ได้เข้ามาช่วยในภารกิจค้นหาและกู้ภัยถ้ำหลวงเมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา เอนโทนี เผยกับ National Geographic ฉบับภาษาไทยผ่านทางโทรศัพท์ว่า "ผมจึงอยากให้มัสก์ได้เห็นว่า คนไทยสามารถผลิตนวัตกรรมดักจับคาร์บอนได้ ซึ่งเราเห็นความสำคัญของเรื่องมลพิษทางอากาศผ่านปัญหาหมอกควันในภาคเหนือช่วง 2 ปีที่ผ่านมา”
    .
    ในคลิปวิดีโอเอนโทนีได้อธิบายหลักการแปลงคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นก๊าซไฮโดรเจนบริสุทธิ์ และก๊าซออกซิเจน และแปลงเป็นเชื้อเพลิงได้ รวมถึงเครื่องมือนี้ยังสามารถดักจับฝุ่น PM 2.5 ได้อีกด้วย
    .
    อย่างไรก็ตามขณะนี้เครื่องมือนี้กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงและพัฒนา ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างแอนโทนีและคุณลุงผู้เป็นนักประดิษฐ์ เพื่อให้สามารถนำไปใช้งานได้จริงในอนาคต
    .
    โดยทุกท่านสามารถเข้าไปดูวิดีโอของเอนโทนีได้ที่


    และดูข้อมูลฉบับเต็มได้ที่ https://ngthai.com/environment/33745/carbon-capture-technology/
    .
    อีลอน มัสก์ได้ประกาศเปิดตัวโครงการประกวดเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนผ่านองค์กร Xprize เมื่อวันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา และจะเปิดให้ลงทะเบียนสมัคร พร้อมกับจะเผยถึงรายละเอียดต่างๆของโครงการในวันที่ 22 เมษายนนี้ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.xprize.org/prizes/elonmusk
    .
    นอกจากการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แล้ว การดักจับคาร์บอนที่มีอยู่มหาศาลในบรรยากาศจะเป็นอีกทางที่ช่วยบรรเทา และลดผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง
    .
    ขอให้กำลังใจและสนับสนุน น้อง เอนโทนี-ปิยชนม์ ภุมวิภาชน์ นะคะ
    .
    ภาพ: วิดีโอ" The solution to win Elon Musk $100 Million Best Carbon Capture Technology from Anthony Thailand" และ National Geographic ฉบับภาษาไทย
    .
    Source:

    1. https://ngthai.com/environment/33745/carbon-capture-technology/

    2. https://twitter.com/aphiyachon?s=21

    3.

    4.https://www.facebook.com/NationalGeographicThailand/

    เรียบเรียง: Popjaneg
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    SPACE : Growing Plants in Space โครงการการทดลองปลูกพืชในอวกาศของ NASA
    .
    จากข่าวการเก็บเกี่ยวผลแรดิชบนสถานีอวกาศ เรามาทำความรู้จักโครงการการทดลองปลูกพืชบนอวกาศให้มากขึ้นกันเถอะ
    .
    เพราะอาหารคือปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต และในอวกาศก็เช่นกัน เมื่อมนุษย์ออกเดินทางสำรวจไปยังอวกาศอันแสนไกล มันคงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเราจะส่งเสบียงอาหารตามไปเรื่อยๆ และยังให้สารอาหารที่ครบถ้วยมากกว่าอาหารแท่ง นอกจากเหตุผลทางด้านอาหารแล้ว มนุษย์ก็ยังคงมีความต้องการทางด้านจิตวิทยา พืชสีเขียวๆ และดอกไม้กลิ่นหอมช่วยสร้างบรรยากาศที่คล้ายกับโลกและเพิ่มสีสันให้กับนักบินอวกาศ เช่นเดียวกับที่เราต้องการภูเขาและทะเล
    .
    โครงการปลูกพืชบนอวกาศจึงเกิดขึ้น นับตั้งแต่ปี 2014 NASA ก็ได้เริ่มการทดลอง
    .
    “The Veggie” คือชื่อโครงการ Veggie นั้นเป็นชื่อเล่นของ The Vegetable Production System มันคืออุปกรณ์ปลูกพืชที่เป็นเหมือนกับถาดหลุม โดยในหลุมจะบรรจุ “pillow” ซึ่งคือสิ่งที่คล้ายดินเหนียวนุ่มๆ ที่คอยโอบอุ้มเมล็ดพืช Veggie นั้นปลูกโดยใช้สภาพแวดล้อมเดียวกับภายในยานอวกาศ น้ำและสารอาหารจะถูกส่งผ่านสายมายัง pillow มีแสงสังเคราะห์ที่คอยส่องอยู่ด้านบน จะว่าไป Veggie ก็เหมือนกับสำลีชุ่มน้ำที่เราปลูกถั่วงอกกันสมัยประถมนั่นเอง
    .
    การทดลองทั้ง 3 ครั้งตั้งแต่ปี 2014 ถึง 2018 ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ไม่ว่าจะเป็นผักสลัด (Lettuce), กะหล่ำปลีจีน (Chinese cabbage) หรือแม้แต่ดอกไม้ Zinnia ต่างก็สามารถเติบโตได้
    .
    แต่ทั้งนี้ข้อจำกัดของ Veggie คือการที่มันใช้บรรยากาศเดียวกันกับอากาศภายในยาน ทำให้การควบคุมอุณหภูมิ, ความดัน, แสง หรือการแม้แต่เวลาในการดูแลของนักบินอวกาศทำได้ยาก การใช้ Veggie จึงจำกัดอยู่เพียงกับพืชไม่กี่ชนิด เหตุนี้ NASA จึงสร้างห้องปลูกพืชขึ้นมา มันมีชื่อว่า Avanced Plant Habitat เรียกสั้นๆ ว่า APH
    .
    APH นั้นเป็นกล่องควบคุมที่ถูกปิดไว้เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุดในการปลูกพืชแต่ละชนิด ไม่ว่าจะแสง, น้ำ, สารอาหาร และออกซิเจน และอีกข้อดีของมันก็คือ นักบินอวกาศไม่จำเป็นต้องคอยดูแลมันเพราะทั้งหมดนี้มีระบบจัดการอัตโนมัติจากเซนเซอร์ตรวจจับสภาพแวดล้อมที่มากกว่า 180 ตัว และภายในห้องจะถูกตับตาดูจากสถานีภาคพื้นดินตลอด 24 ชั่วโมง ผลการทดลองเป็นที่น่าพอใจมาก (จากข่าวล่าสุดที่นักบินอวกาศเก็บเกี่ยวผลแรดิชจากการปลูกใน APH)
    .
    การทดลองเหล่านี้ทำให้การสำรวจในอวกาศห้วงลึกเข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น หรือแม้แต่การเดินทางไปดาวอังคารในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าที่ต้องใช้เวลาเดินทางจากโลก 2-3 เดือน(ด้วยความเร็วปัจจุบัน) ก็สามารถทำได้ง่ายขึ้น มันช่วยลดต้นทุนในการบรรทุกอาหารจำนวนมาก และใครจะไปอยากกินอาหารแข็งแบบแท่งทุกวันล่ะ จริงไหม?
    .
    นอกจากนี้ ความรู้ในการทดลองเหล่านี้ยังช่วยให้เราสามารถปลูกพืชบนโลกได้ดีขึ้น เพราะเราสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุดได้ ผลกระทบจากภัยแล้ง ภาวะโลกร้อน และสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงปัจจุบันทำให้พืชเจริญเติบโตได้ยากขึ้นทุกวัน อีกทั้งยังเก็บเกี่ยวได้น้อย ประโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศนั้นจึงไม่ได้อยู่แค่เพียงบนอวกาศ มันยังกลับมาช่วยโลกในระยะยาวได้อีกด้วย
    .
    Source :
    https://ntrs.nasa.gov/citations/20160005065
    https://ntrs.nasa.gov/citations/20160006558
    https://www.nasa.gov/content/growing-plants-in-space
    .
    เรียบเรียง : Witit

     

แชร์หน้านี้

Loading...