ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แผ่นดินไหว ขนาด M6.0 - มินดาเนา, ฟิลิปปินส์ - อา. 7 ก.พ. 2564 04:22:56 UTC (12:22 AWST) - 11 นาทีที่แล้ว
    ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.volcanodiscovery.com/ea...ag6quake-Feb-7-2021-Mindanao-Philippines.html
    ผ่านแอพ Volcanoes & Erthquakes - https://play.google.com/store/apps/details?id=com.volcanodiscovery.volcanodiscovery

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ไทยยอมตกขบวน
    ไม่เข้า COVAX
    เรื่องแปลกๆ อีกเรื่องของกระทรวงหมอ
    .
    ณ วันนี้ ใกล้ล่วงเข้าสู่กลางเดือน ก.พ. ก็ยังไม่มีวี่แววว่าไทยจะได้รับวัคซีนเป็นครั้งแรกวันไหน เวลาใด ในขณะที่ทั่วโลก เริ่มฉีดวัคซีนเป็นวงกว้างกันหลายประเทศแล้ว ข้อมูลวันที่ 4 ก.พ. ที่ผ่านมา มีการฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 120 ล้านโดส ประเทศอย่างอิสราเอล ฉีดวัคซีนไปแล้ว 22% ของประชากร และในยุโรป เริ่มฉีดกันแล้วในกลุ่มเสี่ยง ราว 1-2% ของประชากรทั้งประเทศ
    .
    ถามว่าทำไมไทยยังไม่ได้เริ่มฉีดแม้แต่โดสเดียว คำตอบก็คือ ต้อง “รอ” วัคซีน 2 ดีล ที่ไทยสั่งไว้ หนึ่งคือวัคซีนจีน จากบริษัทซิโนแวค ซึ่งเครือซีพี เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เดิมซิโนแวค จะเป็นวัคซีนตัวแรก ที่จะถึงไทยราว 2 แสนโดส ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ แต่เมื่อยังไม่สามารถ ‘หยุด’ การระบาดระลอก 2 ได้ รัฐบาลไทย ได้ขอให้แอสตร้าเซเนก้า อีกหนึ่งวัคซีนสัญชาติอังกฤษ ซึ่งไทยเตรียมผลิตเอง ผ่านบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์เดือนมิถุนายนนี้ ส่งวัคซีนเข้ามาก่อน 5 หมื่นโดส ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข คาดไว้ตอนแรกว่าจะได้ราวกลางเดือน ก.พ.
    .
    แต่จนแล้วจนรอด เมื่อแอสตร้าเซเนก้า ไม่สามารถจัดส่งวัคซีนตามออเดอร์ในยุโรปได้ทัน เกิดการแย่งชิงวัคซีนกันเป็นวงกว้างในยุโรป ดีลวัคซีน 5 หมื่นโดสแรกของไทย ก็มีอันเป็นหมัน และถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีความคืบหน้าว่าจะได้เมื่อไหร่ มีเพียงกรอบเวลากว้างๆ จากกระทรวงสาธารณสุข ว่าน่าจะได้ภายในเดือน ก.พ. เท่านั้น
    .
    ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เมื่อคนไทยจำนวนหนึ่งจะถอยมามอง “ภาพกว้าง” ว่าประเทศข้างเคียงได้รับวัคซีนไปถึงไหน แล้วไทยกำลังทำอะไรอยู่ เพราะ ณ ขณะนี้ รอบบ้านเรา และภูมิภาคนี้ทั้งหมด เริ่มได้รับวัคซีนแล้ว และจำนวนไม่น้อยมาจากโครงการ COVAX ขององค์การอนามัยโลก ซึ่งทำหน้าที่จัดสรรวัคซีน ด้วยหลักการเพื่อให้เกิดความ “เป็นธรรม” และ “เท่าเทียม” เพื่อไม่ให้มีประเทศใดตกหล่น และไม่ให้มีเฉพาะประเทศร่ำรวยเท่านั้น ที่ได้รับวัคซีน
    .
    ข้อมูล ณ วันที่ 3 ก.พ. COVAX เตรียมจัดสรรให้มาเลเซีย 1.62 ล้านโดส อินโดนีเซีย 13.7 ล้านโดส ฟิลิปปินส์ 5 ล้านโดส สิงคโปร์ 2.88 แสนโดส ภายในเดือน มิ.ย. ส่วนไทยปฏิเสธที่จะเข้าร่วมโครงการนี้
    .
    พลันที่ข้อมูลดังกล่าวออกมา กระทรวงสาธารณสุข ก็ “เต้น” โดยเฉพาะเมื่อสำนักข่าวเวิร์คพอยท์ ออกมาบอกว่า ไทย “ตกขบวน” COVAX รัฐบาลก็จำต้องรีบออกมาปฏิเสธว่าไทย ไม่ได้ตกขบวน หากแต่โดดลงจากขบวนแทน.. เพราะ

    1.การจัดซื้อผ่าน COVAX จะทำให้ได้วัคซีนที่แพงกว่า

    2.ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะ “เสียเงินฟรี” หรือไม่

    3.ไม่สามารถเลือกวัคซีนได้เอง

    และ 4.ถึงอย่างไรก็จะได้วัคซีนในเดือน มิ.ย. พร้อมๆ กับวัคซีนของแอสตร้าเซเนก้า ที่ให้สยามไบโอไซเอนซ์ผลิตอยู่ดี
    .
    ทั้งหมดนี้ ฟังดูก็รู้ว่า “ไม่สมเหตุสมผล” ข้อแรก ไทยจะได้วัคซีนแพงกว่าหรือไม่? อันที่จริง หากพอจะอ่านภาษาอังกฤษออกก็จะพบว่า ในโครงการ COVAX นั้น องค์การอนามัยโลก เป็นผู้สนับสนุน วัคซีนหลายตัวที่เข้าร่วม COVAX นั้น จะมีราคาที่ต่ำกว่าจัดซื้อเองชัดเจน เป็นต้นว่า “ไฟเซอร์” นั้น ประกาศขายวัคซีนให้ COVAX ในราคา “เท่าทุน” คืออยู่แถวๆ 19-20 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 600 บาท) ต่อโดส แอสตร้าเซเนก้า ก็จะขายที่ราคาเท่าทุนเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอย่างไร ราคาก็ไม่น่าจะหนีไปไหน
    .
    ส่วนที่ว่า “เลือก” ไม่ได้ และไม่มั่นใจในคุณภาพนั้น อันที่จริง วัคซีนที่ไทยมีดีลด้วยก่อนหน้านี้ ทั้งของแอสตร้าเซเนก้า และของซิโนแวคนั้น เมื่อทำสัญญาสั่งซื้อ กระทั่งทำสัญญาขอรับเทคโนโลยีมาผลิตเอง ก็ไม่มีอะไรการันตี “ผลลัพธ์” เช่นเดียวกัน หากจำกันได้ ช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ที่ “ซิโนแวค” มีผลทดสอบในบราซิลว่ามีประสิทธิภาพ 50.8% นั้น คนในกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมควบคุมโรค ในสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ยังอ้าปากหวอ ถูๆ ไถๆ ไปว่า “น่าจะ” ไม่มีปัญหา เพราะในจีนฉีดไปแล้วหลายแสนหลายล้านคน ทั้งที่ในเวลานั้น จีนก็ยังไม่รับขึ้นทะเบียนซิโนแวค
    .
    ขณะที่ ดีลกับ “แอสตร้าเซเนก้า” ยิ่งแล้วใหญ่ สำนักข่าวประชาไท ไปค้นมติคณะรัฐมนตรี เดือนพฤศจิกายน ที่จองซื้อวัคซีนจากแอสตร้าเซเนก้านั้น ถึงกับระบุชัดในสัญญาว่า "มีโอกาสที่จะได้รับวัคซีนหรือไม่ได้รับวัคซีนดังกล่าว ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับผลการวิจัยพัฒนาหรือเหตุอื่นๆ".. ส่วน COVAX นั้น จะดีจะชั่ว ก็มี “คนกลาง” อย่างองค์การอนามัยโลกที่ช่วยคัดกรองผู้เข้าร่วมโครงการ ซึ่งรายชื่อล่าสุดขณะนี้ ผู้ผลิตวัควีนเจ้าใหญ่ของโลก ทั้ง แอสตร้าเซเนก้า, ไฟเซอร์, โนวาแวกซ์, จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ก็ล้วนอยู่ใน COVAX ทั้งหมด..
    .
    นอกจากนี้ หากตรวจสอบรายละเอียด ก็จะพบว่า COVAX ไม่ใช่โครงการที่มีไว้เพื่อ “สงเคราะห์” ประเทศยากจนเท่านั้น ประเทศพัฒนาแล้ว ประเทศร่ำรวยจำนวนมาก ก็อยู่ในโครงการนี้ ตัวเลขล่าสุดไม่กี่วันก่อน พบว่าทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ มีมากกว่า 190 ประเทศ ที่เข้าร่วมโครงการ มีตั้งแต่ประเทศในภูมิภาคอาเซียนทุกประเทศ (เว้นไทย) ประเทศร่ำรวยอย่างแคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สวีเดน นอร์เวย์ ประเทศในสหภาพยุโรปเกือบทั้งหมด จีนนั้น ตอนแรกก็ตั้งใจไม่เข้าร่วม แต่เปลี่ยนใจทีหลัง พร้อมจัดสรรวัคซีนเข้าโครงการเสร็จสรรพ และสหรัฐอเมริกาเอง ในสมัยประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ปฏิเสธเข้าร่วม แต่เมื่อที่เปลี่ยนผ่านสู่ยุคไบเดน ก็เข้าร่วม COVAX ทันที
    .
    อันที่จริง หลักการของ COVAX ก็คล้ายกับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า นั่นคือทั่วโลก “เฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข” ประเทศมีจ่ายเยอะ ประเทศไม่มีจ่ายน้อย หรือไม่ต้องจ่าย เอาเงินมารวมกัน จัดซื้อวัคซีน แล้วเฉลี่ยไปในแต่ละประเทศตามที่แต่ละประเทศต้องการ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์คือการกระจายวัคซีนให้มากพอจนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่มากพอที่โรคนี้ จะคร่าชีวิตคนน้อยลง หรือมีคนตายให้น้อยที่สุด
    .
    เพราะฉะนั้น ประเทศไทย น่าจะ “เก่ง” ที่สุด ที่สามารถจัดหาวัคซีนผ่านผู้ผลิตโดยตรง หรือผลิตวัคซีนได้เอง ด้วยราคาที่รัฐบาลบอกว่า “เหมาะสม” ไม่จำเป็นต้องสังฆกรรมกับ COVAX รอให้ทั่วโลกเริ่ม “ฉีด” กันถ้วนหน้า แล้วไทยค่อยเริ่มฉีด รอให้คนไทย บ่นมากๆ หรือรอให้วัคซีนลดราคา จึงจัดซื้อเพิ่ม..
    .
    ถึงที่สุดแล้ว กระทรวงสาธารณสุข สถาบันวัคซีนแห่งชาติ อาจตัดสินใจได้ถูกก็ได้ แต่จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา การ “ตัดสินใจ” ที่ช้ากว่าคนอื่น การเริ่มต้นฉีดช้ากว่าคนอื่น แล้วอ้างแก้เกี้ยวว่าจะไม่ยอมให้คนไทยเป็น “หนูทดลอง” นั้น เป็นอะไรที่ “แปลกประหลาด”
    .
    ทั้งหมดนี้ ประกอบเข้าด้วยกัน จึงทำให้ให้ไม่น่าเชื่อใจเท่าไหร่นักว่ายุทธศาสตร์ที่เน้น “รอ” ขณะนี้ จะได้ผล และสุดท้าย การรอผลิตเอง การค่อยๆ เจรจาจัดซื้อ ตามแต่ละผู้ผลิตเป็นรายบริษัท จะทำให้ได้วัคซีนที่ราคาถูก ครอบคลุมประชากร และทั่วถึงได้จริงในระยะเวลาอันใกล้..
    .
    อ้างอิงจาก
    https://www.devex.com/news/covax-releases-country-by-country-vaccine-distribution-figures-99058

    https://www.businesstoday.in/curren...-vaccines-to-covax-alliance/story/428711.html

    https://www.scmp.com/news/china/sci...add-covax-challenge-fair-vaccine-distribution

    https://qz.com/1968256/who-is-getting-the-astrazeneca-vaccine/
    .
    #Gossipสาสุข #วัคซีน #COVAX #สาธารณสุข #COVID19 #โควิด19 #วัคซีนโควิด #วัคซีนโควิด19

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ... "แนวท่อแก๊สพม่า จีน : เส้นทางสายไหมใหม่แห่งอนาคตของ พม่า จีน ที่สร้างขึ้นมาด้วยเลือด"

    ... "แนวท่อส่งน้ำมันซิโน - เมียนมาร์" คือ แนวท่อส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่เชื่อมระหว่างท่าเรือน้ำลึก Kyaukphyu (Sittwe) ของพม่าในอ่าวเบงกอลกับเมืองคุนหมิงในมณฑลยูนนานของจีน

    ... มีการพูดคุยระหว่าง "จีนและเมียนมาร์" เกี่ยวกับความเป็นไปได้ของโครงการนี้ ที่เริ่มขึ้นในปี 2004, และ ในเดือนธันวาคม 2005 PetroChina ได้ลงนามในข้อตกลงกับรัฐบาลเมียนมาร์เพื่อซื้อก๊าซธรรมชาติในช่วง 30 ปี , จากข้อตกลงนี้ บริษัทแม่ของ PetroChina คือ "China National Petroleum Corporation" (CNPC) ได้ลงนามเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2008, ในสัญญากับกลุ่ม บริษัทที่นำโดย Daewoo International เพื่อซื้อก๊าซธรรมชาติจาก "แหล่งก๊าซชเว" Shwe ( Shwe แปลว่า ทอง ในภาษาพม่า ) ใน A-1 นอกชายฝั่งทะเลพม่า

    ... แผนการสร้างท่อส่งน้ำมันและก๊าซได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของจีนในเดือนเมษายน 2007, ในเดือนพฤศจิกายน 2008 จีนและเมียนมาร์ตกลงที่จะสร้างท่อขนส่งน้ำมัน 1.5 พันล้านดอลลาร์และแนวท่อส่งก๊าซธรรมชาติ 1.04 พันล้านดอลลาร์, , ในเดือนมีนาคม 2009 จีนและเมียนมาร์ได้ลงนามในข้อตกลงในการสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาติและในเดือนมิถุนายน 2009 ข้อตกลงในการสร้างท่อขนส่งน้ำมันดิบ พิธีเปิดเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อสร้างจัดขึ้นในวันที่ 31 ตุลาคม 2009 บนเกาะ Maday

    ... ท่อขนส่งน้ำมันซึ่งสิ้นสุดในคุนหมิงซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลยูนนานมีความยาว กิโลเมตร (479 ไมล์) แนวท่อส่งก๊าซธรรมชาติจะขยายจากคุนหมิงไปยัง "กุ้ยโจวและกวางสี" ในประเทศจีนรวมระยะทาง 2,806 กิโลเมตร

    ... ส่วนท่อส่งก๊าซของพม่าแล้วเสร็จในวันที่ 12 มิถุนายน 2013, และก๊าซเริ่มไหลส่งไปยังประเทศจีนในวันที่ 21 ตุลาคม 2013, ท่อส่งน้ำมันแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม 2014

    ... "แนวท่อส่งน้ำมันจีน เมียนมาร์" จะมีกำลังการผลิตน้ำมันดิบ 12 ล้านตันต่อปี จะช่วยกระจายเส้นทางการนำเข้าน้ำมันดิบของจีนจากตะวันออกกลางและแอฟริกาและหลีกเลี่ยงการจราจรทางเรือที่หนาแน่นผ่านช่องแคบมะละกา , "ถังเก็บน้ำมัน" จะถูกสร้างขึ้นบนเกาะใกล้ท่าเรือ Kyaukphyu สำหรับ "การแปรรูปน้ำมัน" จีนจะสร้างโรงกลั่นใน "ฉงชิ่ง- เสฉวน" และใน "ยูนนาน"

    ...การดำเนินโครงการท่อขนส่งน้ำมันดิบจีน - เมียนมาร์สอดคล้องกับแนวความคิด "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" ( เส้นทางสายไหมใหม่)ของจีนซึ่งจะช่วยให้การนำเข้าน้ำมันดิบของจีนสามารถหลีกเลี่ยงช่องแคบมะละกาที่แออัดได้โดยตรงมากขึ้น จีนมีแผนจะก่อสร้างท่อเพิ่มเติมในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

    ... แนวท่อส่งก๊าซดังกล่าวจะช่วยให้สามารถส่งก๊าซธรรมชาติจากแหล่งนอกชายฝั่งของพม่าไปยังประเทศจีนโดยคาดว่าจะมีกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติสูงถึง 12 bcm ต่อปี ท่อจะถูกส่งจากแหล่งน้ำมัน A-1 และ A-3 Shwe จีนจะเริ่มรับก๊าซธรรมชาติจากโครงการ Shwe ของพม่าผ่านท่อในเดือนเมษายน 2013 พื้นที่ Shwe, Shwe-Phyu และ Mya ในกลุ่ม A-1 และ A-3 ซึ่งคาดว่าจะมีก๊าซธรรมชาติทั้งหมด 127–218 bcm ดำเนินการโดยกลุ่มที่นำโดย Daewoo International Corp. กลุ่มผู้ประกอบการยังรวมถึง Myanma Oil and Gas Enterprise, GAIL และ Korea Gas Corporation

    ... แนวท่อเหล่านี้เรียกว่า "ชเว" Shwe , จะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าช่องแคบมะละกาที่มีช่องโหว่ความเสี่ยงมากมายทางยุทธศาสตร์

    ... โครงการท่อส่งน้ำมันทั้งหมดคาดว่าจะมีมูลค่า 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ

    ... ในเดือนกรกฎาคม 2014, CNPC ฉลองครบรอบปีแรกของการเปิดตัว "แนวท่อส่งก๊าซธรรมชาติเมียนมาร์ - จีน" โดยประกาศว่ามีการส่งก๊าซเกือบสองพันล้านลูกบาศก์เมตรจากมหาสมุทรอินเดียเข้าสู่ทวีปเอเชีย

    ... นอกจากแนวท่อส่งแก๊สแล้ว, "ทางรถไฟ" ที่จะเชื่อมต่อ Muse และ Lashio ( ล่าเสี้ยว ) เมืองในรัฐฉานของพม่า, ก็เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ทางรถไฟจะมีความยาว 80 ไมล์และจะมีสะพาน 41 แห่ง, อุโมงค์ 36 แห่งและ 7 สถานีจอด

    ... "การแบ่งปันประโยชน์"
    ... โครงการนี้จะดำเนินการร่วมกันโดย China National Petroleum Corporation (CNPC) และ Myanma Oil and Gas Enterprise (MOGE) , CNPC จะถือหุ้น 50.9% และจัดการโครงการและ MOGE จะเป็นเจ้าของส่วนที่เหลือ

    ... "เรื่องอื้อฉาว"
    ...มีการประท้วงในพม่าและต่างประเทศหลายครั้งเพื่อต่อต้านการสร้างท่อส่งน้ำมัน แนวท่อดังกล่าวได้จุดชนวนให้เกิดการประท้วงในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยและการเตรียม "การชดเชยที่ไม่เพียงพอ" สำหรับชาวบ้านในท้องถิ่น นักวิจารณ์ยังกล่าวอีกว่าควรทบทวนสัญญาซึ่งลงนามภายใต้ระบอบทหารและพม่าไม่ควรส่งออกก๊าซเมื่อประชากรสามในสี่ขาดไฟฟ้า ( กลุ่มผู้ประท้วงมักจะมีตะวันตกที่สกัดจีนหนุนหลัง เช่น เขื่อนจีนในพม่าก็เช่นกัน )

    ... ย้อนไปในปี 2011, "การหยุดยิง" ระหว่างกองทัพเมียนมาและกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์เริ่มล้มเหลว กองทัพเมียนมาทำการรุก ไม่เพียงแต่เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ใน "คะฉิ่นและรัฐฉาน" ทางตอนเหนือเท่านั้น แต่เพื่อให้แน่ใจว่ามี "การสร้างชเว" ( แนวท่อแก๊ส ) ซึ่งเป็นคำของเมียนมาร์ที่แปลว่า "ทองคำ" และในวันปกตินั้นในเดือนกรกฎาคมท่ามกลางสายฝนในฤดูร้อนและเนินเขาเขียวชอุ่มกองกำลังจากกองพันที่ 513 ได้เดินเข้าสู่ Ke See

    ( ... คล้ายๆกองกำลังติดอาวุธ "ไอซิส" ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสกัดแนวท่อแก๊สจากน่านน้ำอิหร่าน อิรัก ซีเรีย เลบานอน ... ตั้งแต่ปี 1948 มีต่างชาติเข้ามาสนับสนุนกองกำลังติดอาวุธของชนเผ่าในพม่ามากมาย ทั้ง อเมริกา จีน อินเดีย ปากีสถาน ออสเตรเลีย เวียตนาม และไทย )

    ... ระหว่างการที่ทหารพม่าเข้าต่อสู้เพื่อครอบครองแนวพื้นที่การสร้างแนวท่อแก๊ส ก็เกิดอาชญากรรมมากมายที่ทางตะวันตกเอามาตีแผ่เพื่อจะสกัดโครงการนี้

    ... เช่น พวกทหารพม่าพาเด็กหญิงอายุ 12 ปีไป ทหารราบข่มขืนเธอต่อหน้าแม่ , ขณะที่ผู้หญิงอีกคนท้อง 9 เดือนถูกข่มขืนข้างๆเธอ ผู้หญิงคนที่สามใน Ke See ถูกจับเปลือยถูกทุบตีและข่มขืนที่ชานเมือง

    ... “ รัฐฉานดินแดนคนไทใหญ่หรือไตตอนเหนือมีความเสี่ยงเป็นพิเศษเนื่องจากท่อส่งน้ำมัน ด้วยการขยายกำลังทหารผู้หญิงต้องทนทุกข์ทรมาน มีการข่มขืนและการล่วงละเมิดทางเพศ” Hseng Moon หัวหน้า Shan Women’s Action Network (Swan) กล่าว

    ... องค์กรได้รวบรวมคดีข่มขืนโดยกองทัพเมียนมาร์ในรัฐมากกว่า 300 คดีตั้งแต่ปี 2002 รวมถึงเหตุการณ์ในหมู่บ้านเค่อเซ ในช่วงสองปีที่ผ่านมา Hseng Moon กล่าวว่า Swan จากรัฐฉานได้รวบรวมคดีมากกว่า 30 คดีสำหรับ หน่วยงาน Women’s League of Burma (WLB) นั้นตั้งอยู่ในกรุงเทพ ประเทศไทย

    ... “การกระทำความรุนแรงทางเพศเหล่านี้สามารถเชื่อมโยงกับการต่อสู้เพื่อโครงการลงทุนเช่นชเว”

    ... แนวท่อแก๊สนี้ ได้เอื้อประโยชน์แก่ "พม่าและจีน" แต่ขณะเดียวกันก็กระทบกับ "การเสียผลประโยชน์" ของ "สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย" ด้วยเช่นกัน

    ( ... ตะวันตกพยายามเอาเรื่องทหารพม่าล่วงละเมิดทางเพศกับชนกลุ่มน้อย มาสกัดแนวท่อนี้ แต่ก็ไม่ได้ผล )

    ... https://en.m.wikipedia.org/wiki/Sino-Myanmar_pipelines
    ... https://en.m.wikipedia.org/wiki/Internal_conflict_in_Myanmar
    ...https://www.bangkokpost.com/print/397720/

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    หรือครบ 1 ปีเต็ม ๆ แล้วที่กลุ่ม “รถทัวร์นำเที่ยว” จอดนิ่งสนิท ไม่มีงานทำ และแน่นอนพนักงานขับรถทั้งหมดอยู่ในโหมด “ตกงาน” ขณะที่เจ้าของธุรกิจก็ต้องแบกรับภาระผ่อนชำระค่างวดรถโดยไม่มีรายได้

    “วสุเชษฐ์ โสภณเสถียร” นายกสมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย (สปข.) ผู้ให้บริการรถทัวร์นำเที่ยว ให้สัมภาษณ์ “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงสถานการณ์ของกลุ่มผู้ประกอบการรถทัวร์นำเที่ยว รวมถึงแนวทางที่สมาคมได้ยื่นขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ ไว้ดังนี้

    อยู่รอดได้ไม่เกินหมื่นคัน
    “วสุเชษฐ์” บอกว่า สถานะของกลุ่มผู้ประกอบการรถทัวร์นำเที่ยวในเวลานี้คือ “ตายสนิท” แล้ว โดยบางส่วนหรือประมาณ 30% ตายไปตั้งแต่ปี 2563 ที่ผ่านมา จากจำนวนรถทั้งหมดราว 4 หมื่นคัน หรือหายไปแล้วกว่า 1 หมื่นคัน และเชื่อว่าในจำนวนที่อยู่รอดมาถึงวันนี้น่าจะล้มหายตายจากไปอีกไม่ต่ำกว่า 50%

    นั่นหมายความว่า ถึงสิ้นปีนี้จำนวนรถทัวร์นำเที่ยวจะล้มหายตายจากไปอีกไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นกว่าคัน โดยคาดการณ์ว่าเมื่อถึงปี 2565 ซึ่งเป็นปีที่ว่ากันว่าภาคธุรกิจท่องเที่ยวน่าจะเริ่มฟื้นกลับมาได้บ้างนั้น จำนวนรถทัวร์นำเที่ยวที่อยู่รอดในตลาดได้ไม่ถึง 1 หมื่นคันแน่นอน หรือเหลือประมาณ 25% ของตลาดรวมเท่านั้น

    รายใหญ่ยังรอด
    สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการนั้น “วสุเชษฐ์” บอกว่า แบ่งออกป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มขนาดใหญ่ มีสัดส่วนประมาณ 20% กลุ่มนี้จะมีรถทัวร์ตั้งแต่ 100 คันขึ้นไป กลุ่มขนาดกลาง กลุ่มนี้มีสัดส่วนประมาณ 40% มีรถตั้งแต่ 20-100 คัน และกลุ่มรายย่อย หรือรายเล็ก อีกประมาณ 40% กลุ่มนี้จะมีรถตั้งแต่ 1 คัน แต่ไม่เกิน 20 คัน

    โดยกลุ่มที่ยังไม่ตายและยังพอมีแรงเหลืออยู่บ้างคือ กลุ่มผู้ประกอบการขนาดใหญ่ เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นกลุ่มทุนต่างชาติ มีธนาคาร หรือสถาบันการเงินสนับสนุน ซึ่งกลุ่มนี้ธนาคารคงไม่ปล่อยให้ตาย


    “เมื่อปีที่แล้วเราขอกู้เงินเพื่อเอามาซ่อมบำรุง รถคันหนึ่งเมื่อจอดนาน ๆ ก่อนนำกลับมาใช้งานก็ต้องทำการซ่อมบำรุง ซึ่งรถคันหนึ่งมีต้นทุนในการซ่อมบำรุงราว 2 แสนบาท ตอนนั้นเจ้าของก็ชั่งใจอยู่ว่าจะใส่เงินหรือไม่ แต่พอมีโครงการ ‘เราเที่ยวด้วยกัน’ ออกมา เริ่มมีดีมานด์การใช้รถบ้างในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ทำให้หลายคนตัดสินใจซ่อมบำรุงรถ เปลี่ยนแบตเตอรี่ เปลี่ยนยาง ฯลฯ ทำงานได้ไม่นานโควิดระลอกใหม่มาเดือนธันวาคม ทุกคนที่ลงทุนไปช็อกกันหมด หวังว่ากู้หนี้ใหม่มาจะทำงานได้เงินไปใช้หนี้เก่าได้บ้าง สุดท้ายต้องกลับมาจอดสนิทกันอีกครั้ง”

    วอนรัฐช่วยอุ้ม
    พร้อมย้ำว่า หากยังไม่มีการช่วยเหลือจากภาครัฐ วันนี้บอกได้คำเดียวคือ “ไม่รอด” แน่นอน

    “วสุเชษฐ์” บอกด้วยว่า ที่ผ่านมาทางสมาคม สปข.ได้นำเสนอมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้ทางกระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน และกระทรวงการคลังให้ความช่วยเหลือไปแล้ว บางส่วนก็ได้รับความช่วยเหลือแล้วแต่ก็มีอีกหลายส่วนที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ

    เช่น กรมขนส่งทางบก (คมนาคม) โดยให้ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือยืดหยุ่น และยกเว้นในเรื่องการต่อทะเบียนรถ ใบอนุญาตประกอบกิจการ ค่าปรับ การตรวจสภาพรถ เป็นต้น

    ส่วนประเด็นที่ต้องขอต่อไปคือ เรื่องเงินชดเชยตกงาน เงินเยียวยา เงินช่วยเหลือ อาทิ ขอเยียวยาให้กลุ่มผู้ประกอบการรถทัวร์นำเที่ยว 5,000 บาทต่อคัน จำนวน 3 เดือน รวมคันละ 15,000 บาท
    รวมถึงขอให้ทางกระทรวงการคลังเจรจากับบริษัทไฟแนนซ์ให้ช่วยยืดเวลาผ่อนชำระ หรือลดดอกเบี้ย หรือพักเงินผ่อนชำระและพักดอกเบี้ย เป็นต้น เนื่องจากเวลานี้ผู้ประกอบการไม่มีรายได้

    เช่นเดียวกับในส่วนของกระทรวงแรงงานนั้น ทางสมาคมก็ได้ขอในเรื่องของเงินช่วยเหลือพนักงานที่ตกงาน เนื่องจากผู้ประกอบการไม่มีศักยภาพในการจ่ายเงินเดือนหรือดูแลพนักงานต่อไปได้แล้ว ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับที่ทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬานำเสนอไปคือ ระบบ co-pay สำหรับดูแลพนักงานเก่าเพื่อรักษาสถานภาพการจ้างงานไว้ รวม 3 เดือน (มกราคม-มีนาคม 2564)

    แนะรัฐตัดสินใจช่วยด่วน
    “วสุเชษฐ์” ยังทิ้งท้ายด้วยว่า แม้ว่าสถานการณ์ในวันนี้รัฐบาลจะประกาศปลดล็อกมาเป็นระยะ แต่สำหรับภาคธุรกิจท่องเที่ยวในห้วงเวลานี้โอกาสแทบจะไม่มี หากภาครัฐไม่เข้ามาช่วยประคับประคอง

    และถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลต้องมีความชัดเจนว่า “ธุรกิจท่องเที่ยว” ยังควรเป็นธุรกิจที่จะต้องช่วยเหลือหรือไม่ หากมองว่าท่องเที่ยวยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจก็ควรต้องดำเนินการให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน อย่าปล่อยให้ผู้ประกอบการตายก่อน เพราะถึงวันนั้นทุกอย่างจะปลุกไม่ขึ้น

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เดียวกันแทบทุกปี (พ.ค.-มิ.ย.) พบว่า ค่าความเค็มสูงสุดที่สถานีสูบน้ำสำแลเทียบกับค่าปริมาณน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาและพระราม 6 ปีนี้สูงที่สุดในช่วง 10 ปีนับจาก 2553

    โดยล่าสุด วันที่ 5 ก.พ. ค่าความเค็มสูงถึง 2.53 กรัมต่อลิตร จากปี 2562 ที่มีค่าความเค็ม 2.19 กรัมต่อลิตร ซึ่งเป็นระดับที่เกินเกณฑ์เฝ้าระวังปกติที่
0.25 กรัมต่อลิตร และสูงกว่าค่ามาตรฐานเพื่อการผลิตน้ำประปา 0.50 กรัมต่อลิตร

    เปิดปม 3 สาเหตุหลัก
    นายทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากการประชุมติดตามสถานการณ์ค่าความเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง พบว่า ความเค็มเกินค่ามาตรฐานมาจาก 3 สาเหตุ

    1) ปริมาณน้ำต้นทุนฤดูแล้ง ปี 2563/64 น้อย

    2) ปริมาณการใช้น้ำมากกว่าแผนที่กำหนดไว้ และ

    3) อิทธิพลจากน้ำทะเลหนุนสูง และจาก storm surge บริเวณอ่าวไทย

    กล่าวคือ วันที่ 2 ก.พ. 2564 ปริมาณน้ำใช้การได้เหลือประมาณ 4,295 ล้าน ลบ.ม. หรือประมาณ 24% ของความจุลดลงจากปีก่อนที่มี 34% และจากแผนจัดสรรน้ำใช้ในฤดูแล้ง ที่วางไว้ 4,000 ล้าน ลบ.ม. ขณะนี้ใช้ไปแล้ว 2,290 ล้าน ลบ.ม. เหลือใช้อีก 1,710 ล้าน ลบ.ม.

    นาปรังเสี่ยงขาดน้ำ
    ขณะนี้สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำในอ่างขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ 447 แห่ง มีปริมาณน้ำ 44,261 ล้าน ลบ.ม. หรือ 58% ของความจุอ่าง เป็นน้ำใช้การได้ 20,331 ล้าน ลบ.ม. หรือ 39% ส่วนปริมาณน้ำไหลลงอ่างและระบาย ช่วงฤดูแล้ง ปี 2563/64 ของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 35 แห่ง ระหว่าง 1 พ.ย. 63-ปัจจุบัน ปริมาณน้ำไหลลงอ่าง 4,718.13 ล้าน ลบ.ม.และระบายจากอ่าง 5,880.91 ล้าน ลบ.ม.


    ขณะที่สถานการณ์การปลูกข้าวนาปรังที่ปลูกไปแล้ว 4.26 ล้านไร่ จากแผน 1.90 ล้านไร่ ซึ่งเฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยาปัจจุบันปลูกไปแล้ว 2.63 ล้านไร่ ส่งผลให้มีความเสี่ยงที่จะขาดแคลนน้ำ

    บริหารจัดการ คือทางออก
    ล่าสุด นายสัญญา แสงพุ่มพงษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมชลประทาน ได้สั่งให้เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ เพื่ออุปโภค-บริโภค บริเวณแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นรายชั่วโมงให้ระบายน้ำเพื่อเจือจางความเค็ม ให้ติดตั้งเครื่องวัดความเค็มแบบเรียลไทม์ 8 แห่งในแม่น้ำท่าจีน

    %B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B9%87%E0%B8%A1.jpg

    พร้อมบริหารจัดการน้ำเพื่อแก้ไขและบรรเทาปัญหาค่าความเค็มไม่ให้เกินเกณฑ์มาตรฐานน้ำประปา และการรักษาระบบนิเวศ ทั้งยังขอให้ทุกภาคส่วนประหยัดน้ำ เพื่อให้เพียงพอใช้ไปถึงต้นฤดูฝนหน้า (ตามกราฟิก)

    https://www.prachachat.net/economy/news-608612
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “ทะเลสาบซีหู” (西湖) หรือ “ทะเลสาบตะวันตก” ตั้งอยู่ในเมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง หรืออีกชื่อหนึ่งคือ “ไข่มุกแห่งหางโจว” หนึ่งในสถานที่มรดกโลกของจีนในชื่อ "ภูมิทัศน์วัฒนธรรมทะเลสาบตะวันตกในหางโจว" และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่หากใครไปเยือนหางโจวแล้ว ถ้าไม่ได้ไปที่ทะเลสาบแห่งนี้ ถือว่าเดินทางมาไม่ถึงเลยทีเดียว
    .
    ทะเลสาบซีหู มีน้ำใสสะอาด ล้อมรอบด้วยภูเขาทั้งสามด้าน มีเขื่อนดินที่เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสี ตัดกับสีเขียวของต้นไม้ ดูงดงามตาน่าชมเป็นอย่างยิ่ง เป็นความงดงามทางธรรมชาติที่สามารถหาชมได้ตลอดทั้งปี เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่มีทัศนียภาพสวยงามเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ทะเลสาบมีความยาวจากทิศใต้ถึงทิศเหนือ 3.3 กิโลเมตร ความกว้างจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก 2.8 กิโลเมตร รอบด้านประกอบด้วยภูเขา 3 ลูก น้ำมีความใสราวกับกระจก และมีสิ่งก่อสร้างทางวัฒนธรรมที่สวยงามอยู่รายรอบทั้งเจดีย์, เก๋งจีน, วัด, สวนแบบจีน, สวนเซ็นญี่ปุ่น, ศาลเจ้า จนถูกขนานนามว่าเป็น "สวรรค์บนดิน"
    .
    นอกจากความงดงามทางธรรมชาติแล้ว ทะเลสาบแห่งนี้ ยังเป็นสถานที่บันทึกเรื่องราวในตำนานอีกหลายอย่างเช่น มาร์โค โปโล นักท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงชาวอิตาลี เคยเดินทางมาชมทะเลสาบซีหู แล้วกล่าวว่า "ตัวอยู่ซีหู เสมือนนั่งอยู่บนสวรรค์" และกวีหลายท่านก็มักจะพรรณนาถึงความงดงามของทะเลสาบซีหู เปรียบดังเป็นนางไซซี หรือนางงามในสมัยนั้น ที่สร้างให้ทะเลสาบซีหูอยู่ในบทกวีที่มีชื่อเสียงมานานนับพันปี
    .
    ในส่วนบริเวณโดยรอบของทะเลสาบซีหูแห่งนี้ มีจุดท่องเที่ยวที่สำคัญอีกมากมายที่หากจะเที่ยวให้ครบก็ควรใช้เวลา 2-3 วัน และจุดท่องเที่ยวที่เป็นแลนด์มาร์คของที่นี้ และ อยู่ใจกลางทะเลสาบแห่งนี้คือ “ซานถานยิ่นเย่ว์” (三潭印月) ที่แปลว่า “สามบึงส่องจันทร์” ที่ตามตำนานเล่าขานว่า ปี ค.ศ.1699 จักรพรรดิคังซีของราชวงศ์ชิงเคยเสด็จถึงวิวจุดนี้ และทรงพระอักษร "ซานถานยิ่นเย่ว์" เอาไว้ และที่สำคัญจุดชมวิวแห่งนี้ ถูกตีพิมพ์ไว้ด้านหลังของธนบัตรจีนราคา 1 หยวนอีกด้วย ทำให้ชื่อเสียงของสถานที่แห่งนี้มีเพิ่มมากขึ้น
    .
    นอกจากนี้ สถานที่ที่สำคัญในการชมทะเลสาบซีหูก็คือ สะพานสะบั้นรัก ซึ่งเป็นที่มาของตำนานซีรีย์จีนที่หลายคนต้องเคยได้ยินอย่างเรื่องนางพญางูขาวกับชายคนรัก และเจดีย์ยอดสายฟ้า หรือที่เรียกว่า “เจดีย์เหลยเฟิงถ่า” ตามตำนานเป็นเจดีย์ที่หลวงจีนฝาไห่ใช้ขังนางพญางูขาวที่เรียกน้ำมาท่วมเมืองหางโจวนั้นเอง
    #ChinaStory #ทะเลสาบซีหู #เที่ยวจีน #เรื่องจีนจีน #เล่าเรื่องจีน #สถานที่ท่องเที่ยวจีน #หางโจว #เจ้อเจียง

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ช่วงนี้เว็บไซต์โพสต์ยากดีแท้ ต้องกดหลายรอบกว่าจะโพสต์ได้ครั้งหนึ่ง เป็นหลังจากที่ได้ยินข่าวว่า server ตาย น่ะ

    Screenshot_25640207_131128.jpg
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ถ้ำมั่วเกา หรือ ถ้ำมั่วเกาแห่งตุนหวง (敦煌莫高窟) สิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์บนภูเขาหมิงซา กลางทะเลทรายของจีน ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองตุนหวง มณฑลกานซู่ ประเทศจีน นอดีตเป็นหนึ่งในจุดค้าขาย และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่สำคัญในเส้นทางสายไหม ภายในถ้ำงดงามด้วยพุทธศิลป์จีนทั้งพระพุทธรูป และจิตรกรรมฝาผนัง ที่มีอายุกว่า 1,000 ปี โดยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ. 1987 และได้รับการยกย่องเป็นแหล่งพุทธศิลป์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีนจนถึงปัจจุบัน
    .
    ถ้ำมั่วเกาสร้างขึ้นตามคติความเชื่อในศาสนาพุทธ นิกายมหายาน โดยการเจาะ,ขุดและแกะสลักหน้าผา เพื่อให้เป็นศาสนสถาน หนึ่งในสามแหล่งปฎิมากรรมพุทธศิลป์ที่ งดงามที่สุดในประเทศจีน ร่วมกับถ้ำอวิ๋นกังและถ้ำหลงเหมิน ภายในภ้ำมั่วเกา เต็มไปด้วยโบราณวัตถุทางศาสนาพุทธที่มากมายที่ยังคงเก็บรักษาไว้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีรูปวาดแกะสลักผนังถ้ำ และ รูปปั้นดิน เป็นจุดหลักที่ทำให้มีชื่อเสียงไปทั่วโลก. และในช่วงระยะเวลาไม่นานมานี้ก็ยังค้นพบ “ถ้ำพระไตรปิฏกของชาวทิเบต-藏经洞) ด้านในมีวัตถุโบราณเก่าแก่มากกว่า 5 หมื่นชิ้น ทำให้ปัจจุบันมีหลักสูตรการเรียนใหม่เกิดขึ้นมาคือ นักโบราณคดีเกี่ยวกับตุนหวง
    .
    หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของถ้ำมั่วเกาอยู่ในสมัย “เฉียนฉินแห่งสิบหกประเทศ – 前秦十六国” ราว ๆ คริสตศักราช 304-439 โดยผู้ริเริ่มการก่อสร้างคือ หลวงจีนเหลอซุ่น โดยใช้วิธีบอกบุญพ่อค้าวาณิชที่เดินทางผ่านเส้นทางไหม และช่วยกันสร้างวัดในถ้ำไว้เป็นที่สักการะบูชาพระพุทธเจ้า ที่บรรจุพุทธประติมากรรม ภาพเขียนพุทธประวัติต่าง ๆ ในอดีตกาล ทั้งพระพุทธรูป พระสังกัจจายน์ เทวดา นิยายพุทธศาสนา ตลอดจนวิถีชีวิตทางสังคมเสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องแต่งกาย รูปแบบการก่อสร้าง ดนตรีระบำ กายกรรม และสิ่งอื่น ๆของชนชาติและชนชั้นต่าง ๆ ในสมัยโบราณ ก่อนจะได้รับการสนับสนุนและสร้างสืบทอดต่อมาเรื่อยมาถึงสมัยราชวงศ์หยวน ราวปีคริสตศักราช 1271 – 1368 ก่อนจะหยุดชะงักไปเพราะผลจากสงคราม
    .
    ต่อมาในปี 1900 สมัยราชวงศ์ชิง นักพรตเต๋าหวังหยวนลู่ได้พบทางเข้าสู่ถ้ำห้องสมุด(ปัจจุบันคือถ้ำหมายเลข 17) โดยบังเอิญ ภายในถ้ำเต็มไปด้วยหนังสือบันทึกโบราณหลายภาษา รวมถึงโบราณวัตถุรวมกว่าหมื่นชิ้น ทำให้ถ้ำนี้เป็นที่สนใจของชาวต่างชาติและเกิดการลักลอบนำวัตถุโบราณต่าง ๆ ของถ้ำออกนอกประเทศไปมากมาย กระทั่งรัฐบาลจีนได้เริ่มเข้ามาจัดการยับยั้งการลักลอบและอนุรักษ์ฟื้นฟูถ้ำในปี 1943 และเริ่มเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกได้ศึกษาประวัติศาสตร์ในที่แห่งนี้ จนถึงปัจจุบัน
    #ChinaStory #เรื่องจีนจีน #ถ้ำมั่วเกา #กานซู่ #เที่ยวจีน #เล่าเรื่องจีน #ประวัติศาสตร์จีน

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    6 ก.พ. 64 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เดอะ แลนเซต (The Lancet) วารสารการแพทย์ชื่อดังที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก ได้เผยแพร่บทความรายงานผลวิเคราะห์เบื้องต้นการทดลองคลินิกระยะที่ 3 จากกลุ่มวิจัยในสหราชอาณาจักร บราซิล และแอฟริกาใต้ ยืนยันวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตราเซนเนกาปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคโควิด-19 ได้ 100% ลดการแพร่กระจายเชื้อได้ถึง 67% สามารถป้องกันโรคได้มากกว่า 70% และจะยิ่งมีประสิทธิผลสูงขึ้นเมื่อยืดระยะเวลาระหว่างการฉีดโดสแรกและโดสที่ 2 ให้นานขึ้น โดยไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงและต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหลังจาก 22 วันนับตั้งแต่ได้รับวัคซีนเข็มแรก

    ผลการวิเคราะห์ระบุว่าหลังจากได้รับโดสแรก วัคซีนปรากฏประสิทธิผลเฉลี่ย 76% (ดัชนีค่าประสิทธิผลอยู่ระหว่าง 59% ถึง 86%) และมีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อได้ยาวนานจนถึงการฉีดวัคซีนโดสที่สอง โดยวัคซีนจะมีประสิทธิผลสูงถึง 82% (ดัชนีค่าประสิทธิผลอยู่ระหว่าง 63% ถึง 92%) เมื่อเว้นระยะเวลาระหว่างการฉีดวัคซีนโดสแรกและโดสที่สองเป็นเวลา 12 สัปดาห์ขึ้นไป

    ผลวิเคราะห์จากการตรวจหาผู้ติดเชื้อในกลุ่มอาสาสมัครที่เข้าร่วมทดลองในอังกฤษ ยังได้แสดงให้เห็นว่าวัคซีนสามารถลดการติดเชื้อไวรัสที่ไม่แสดงอาการได้ ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าหลังจากได้รับวัคซีนโดสแรกแล้ว อัตราตรวจพบการติดเชื้อ (ตามเทคนิค PCR) ลดลง 67% (ค่าดัชนีระหว่าง 49% ถึง 78%) และภายหลังได้รับวัคซีนครบสองโดส อัตราตรวจพบการติดเชื้อลดลงเหลือ 50% (ค่าดัชนีระหว่าง 38% ถึง 59%) ตอกย้ำว่าวัคซีนมีผลในการลดการแพร่เชื้อโควิด-19 อย่างมาก

    ข้อมูลการวิเคราะห์การทดลองคลินิกระยะที่ 3 โดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและแอสตราเซนเนกา มาจากการศึกษาจากกลุ่มอาสาสมัครจำนวน 17,177 ราย โดย 332 รายจากจำนวนดังกล่าวเป็นผู้ป่วยโควิด-19 ที่ร่วมกลุ่มการวิจัยระยะสามในสหราชอาณาจักร (กลุ่ม COV002) บราซิล (กลุ่ม COV003) และแอฟริกาใต้ (กลุ่ม COV003) นับเป็นจำนวนผู้ป่วยซึ่งเพิ่มขึ้นจากรายงานครั้งก่อน 201 ราย

    เซอร์ เมเน่ แพนกาลอส รองประธานบริหารวิจัยและพัฒนาชีวเภสัชภัณฑ์ กล่าวว่า “ผลการวิเคราะห์เบื้องต้นยืนยันว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้ามีประสิทธิภาพในการป้องกันอาการติดเชื้ออย่างรุนแรงและช่วยลดอัตราผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล นอกจากนี้การยืดระยะเวลาระหว่างการให้วัคซีนโดสแรกและโดสที่สองไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิผลของวัคซีนเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มให้ประชาชนอีกส่วนหนึ่งสามารถได้รับวัคซีนอีกด้วย อีกทั้งผลวิเคราะห์ล่าสุดยังระบุว่าวัคซีนสามารถลดการแพร่เชื้อ เราจึงเชื่อว่าวัคซีนนี้จะมีผลสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้อย่างแท้จริง”

    ศาสตราจารย์ แอนดรูว์ โพลลาร์ด หัวหน้าผู้ตรวจสอบการวิจัยวัคซีนออกซ์ฟอร์ดและผู้ร่วมเขียนรายงานวิจัยกล่าวว่า “ผลการวิเคราะห์ชุดใหม่ช่วยยืนยันผลการทดลองขั้นต้นที่รายงานไปก่อนหน้านี้และยังช่วยให้หน่วยงานกำกับดูแลการอนุมัติใช้วัคซีน อาทิ สำนักงานควบคุมยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ (MHRA) ในสหราชอาณาจักรและหน่วยงานกำกับดูแลอื่นๆ ทั่วโลกสามารถอนุมัติการใช้วัคซีนในภาวะฉุกเฉิน นอกจากนี้ ยังสนับสนุนข้อเสนอด้านนโยบายการให้วัคซีนโดยคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการฉีดวัคซีนและการสร้างภูมิคุ้มกัน (JCVI) ที่เสนอให้ระยะเวลาระหว่างการให้วัคซีนโดสแรกและโดสที่สองห่างกัน 12 สัปดาห์ ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวเห็นพ้องว่าเป็นรูปแบบการให้วัคซีนที่เหมาะสมที่สุดและสามารถป้องกันโรคโควิด-19 ได้ตั้งแต่ 22 วันหลังการฉีดวัคซีนโดสแรก”

    การวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลเพิ่มเติมแก่หน่วยงานกำกับดูทั่วโลกจะยังคงดำเนินขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อประกอบการพิจารณาการอนุมัติขึ้นทะเบียนวัคซีนในภาวะฉุกเฉินหรือการรับรองอย่างมีเงื่อนไขในช่วงเกิดวิกฤตการระบาด แอสตร้าเซนเนก้ายังรอการพิจารณาจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ให้ขึ้นทะเบียนวัคซีนสำหรับการใช้ฉุกเฉิน เพื่อเร่งกระบวนการจัดส่งวัคซีนไปยังประเทศที่มีรายได้ต่ำ

    วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตราเซนเนกาสามารถเก็บและจัดส่งที่อุณหภูมิเครื่องแช่เย็นทั่วไปที่มีใช้อยู่แล้วในระบบสาธารณสุข (อุณหภูมิ 2 - 8 องศาเซลเซียส) ได้นานอย่างน้อย 6 เดือนบรรจุภัณฑ์ทางการแพทย์ที่มีอยู่

    แอสตราเซนเนกายังคงทำงานร่วมกับภาครัฐ องค์กรระหว่างประเทศและหน่วยงานต่างๆทั่วโลกอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สนับสนุนให้ประชาชนจำนวนมากในประเทศต่างๆสามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเท่าเทียมกันในราคาต้นทุนและไม่แสวงหาผลกำไรในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19

    นอกเหนือจากการวิจัยซึ่งนำโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดแล้ว แอสตราเซนเนกายังได้ทำศึกษาจากกลุ่มการวิจัยขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและแอสตร้าเซนเนก้าตั้งเป้าจำนวนอาสาสมัครจากทั่วโลกเข้าร่วมการวิจัยมากกว่า 60,000 รายจากทั่วโลก

    วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตราเซนเนกาได้รับอนุมัติให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินในประเทศต่างๆ เกือบ 50 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุม 4 ทวีป รวมถึงกลุ่มสหภาพยุโรป กลุ่มละตินอเมริกา อินเดีย โมร็อคโคและสหราชอาณาจักร

    https://papers.ssrn.com/sol3/papers.cfm?abstract_id=3777268

    #RoundtableThailand
    roundtablethailand.com

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กระทรวงความปลอดภัยอาหารและยาได้อนุมัติยารักษาโควิดที่สกัดจากแอนติบอดีของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของผู้ผลิต Celltrion ไปเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

    โดยตัวยาจะสามารถใช้ได้กับผู้ป่วย COVID-19 ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

    [ขอบเขตการใช้]
    - ใช้กับผู้ป่วยที่มีอายุระหว่าง 18 - 59 ปี ที่มีอาการติดเชื้อโควิด-19 ในระดับปานกลาง
    - ใช้กับผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 60 ปีหรือมีโรคประจำตัว แต่อาการโควิดไม่รุนแรง

    * มีการจัดเงื่อนไขทางคลินิกของผู้ป่วยโควิด-19 เป็นระดับได้แก่ อาการโควิดไม่รุนแรง, อาการขั้นปานกลาง, อาการขั้นรุนแรง, และขั้นวิกฤต
    * ไม่สามารถใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการโควิดรุนแรงได้

    [อนุมัติฉีดวัคซีนแอสตราเซเนก้า] - ผลการประชุมครั้งที่สอง
    ผู้ที่ต้องฉีดวัคซีนจะเป็นกลุ่มคนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป แต่ในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปจำเป็นต้องได้รับการหารืออีกครั้งก่อน

    คณะกรรมการตรวจสอบขั้นสุดท้ายจะตัดสินใจเกี่ยวกับการอนุมัติการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนก้า (AstraZeneca) อย่างละเอียดอีกครั้ง ณ ตอนนี้มีเพียงกำหนดกลุ่มที่จะได้รับ แต่ยังไม่ได้กำหนดกำหนดการอื่นๆ เพิ่มเติมที่แน่นอน

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นอกเขตปริมณฑลเปิดร้านได้ถึง 22.00 น.
    'แต่ซอลลัลนี้ยังห้ามรวมกันเกิน 5 คน'

    เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ หน่วยงานกักกันได้ประกาศแผนการปรับการเว้นระยะห่างทางสังคมใหม่!

    รัฐบาลจะรักษาระดับการเว้นระยะห่างทางสังคมระดับ 2.5 ในเขตมหานครโซลและปริมณฑล ส่วนนอกเหนือจากนั้นจะยังคงอยู่ในระดับ 2 ในพื้นที่ที่ไม่ใช่เมืองหลวงโดยจะเริ่มวันที่ 8 กุมภาพันธ์ลากยาวไปจนถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์

    สิ่งใหม่ที่เพิ่มเติมเข้ามาคือ การขยายเวลาให้บริการตามสถานอำนวยความสะดวกเพิ่ม 1 ชั่วโมง ตามเมืองท้องถิ่นนอกเมืองหลวงและเขตปริมณฑล จากเดิมอนุญาตให้บริการได้ถึง 21:00 น. เพิ่มมาเป็นให้บริการได้จนถึง 22:00 น. (ยกเว้นโซลและปริมณฑลยังคงเหมือนเดิมต้องปิดให้บริการ 21:00 น.)

    นอกจากนี้ยังคงห้ามรวมตัวกันมากกว่า 5 คนในช่วงตรุษเกาหลี (ซอลลัล) แม้จะเป็นการเดินทางไปหาครอบครัวก็ตามขอให้งด

    อย่างไรก็ตามสถานการณ์การระบาดของโควิดกลายพันธุ์ในเกาหลีตอนนี้ยอดเพิ่มมา 12 ราย ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อจากโควิดกลายพันธุ์ในเกาหลีพุ่งเป็น 51 รายแล้ว นั่นจึงส่งผลให้รัฐบาลกังวลว่าจะเกิดการระบาดในช่วงตรุษเกาหลี

    แต่อย่างที่ทราบกันแล้วว่าเกาหลีใต้ได้ผลิตยารักษาโควิดได้แล้ว และตอนนี้มีการผลิตสำรองไว้กว่า 100,000 โดสแม้จะมีสถานการณ์ระบาดแต่รัฐบาลคาดการณ์ไว้ว่าจะสามารถควบคุมได้ตามที่ได้เตรียมกระบวนการรักษาโควิดไว้ล่วงหน้าแล้วนั่นเอง

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เมื่อปีที่แล้วด้วยอิทธิพลของโควิด -19 ทำให้มีการลดลงของจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาเยือนเกาหลีอย่างมาก

    องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลีกล่าวว่าชาวต่างชาติ 2,519,000 คน เดินทางมาเยือนเกาหลีในปีที่แล้วคิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วลดลงกว่า 85.6 % จากปีก่อนหน้า

    แบ่งตามสัญชาติตามนี้
    ชาวไทยลดลง 86.6% (จำนวนผู้มาเยือนเกาหลีในปี 2020: 76,568 คน)
    จีนลดลง 88.6% (686,000)
    ญี่ปุ่นลดลง 86.8% (431,000)
    สหรัฐอเมริกาลดลง 78.9% (220,417)
    ไต้หวันลดลง 86.8% (166,716)
    ฟิลิปปินส์ลดลง 77% (115,696)
    ฮ่องกงลดลง 87.2% (88,878)

    ในอีกด้านชาวเกาหลีกว่า 4,276,000 คนเดินทางไปต่างประเทศคิดเป็นเปอร์เซ็นต์พบลดลง 85.1% จากปีก่อน

    อย่างไรก็ตามการเดินทางเข้าเกาหลีใต้ยังไม่ใช้สิ่งต้องห้ามแต่จำต้องมีการตรวจหาโควิด-19 จากประเทศต้นทางและมีหนังสือรับรองการตรวจโควิดเป็นลบก่อนถึงจะสามารถเดินทางเข้าประเทศเกาหลีใต้ได้

    *ปล. ตอบคำถามหลายคนสอบถามมาทางหลังไมค์
    ชาวไทยที่จะเดินทางเข้าเกาหลี ณ ตอนนี้จำเป็นต้องมีวีซ่าก่อนเท่านั้น ยังไม่มีการเปิดฟรีวีซ่าให้ชาวไทย

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ในอดีต เรารู้จักสมรภูมิสงครามตัวแทน (Proxy war) ในเกาหลี เวียดนาม ซีเรีย และอัฟกานิสถาน ที่มีประเทศมหาอำนาจ ใช้ข้ออ้างต่างๆ นานาเข้าไปก่อสงครามในประเทศเหล่านั้น ไม่ว่าจะเพื่อการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศตัวเอง หรือถ่วงดุลอำนาจประเทศคู่แข่งก็ดี แต่ความเสียหายกลับกลายเป็นพลเมืองของชาตินั้นๆ ที่ต้องอยู่อย่างลำบากยากเย็นหลังสงครามจบ ในกรณีของเมียนมา หลังการรัฐประหารของพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย เริ่มส่อเค้าการงัดข้อของบรรดามหาอำนาจอย่าง จีน/รัสเซีย กับสหรัฐ/อินเดีย ที่เข้าไปมีบทบาทมากมายเหลือเกิน ตั้งแต่ยังไม่มีการเลือกตั้งในเมียนมาเมื่อปลายปีที่ผ่านมา

    น่าสนใจว่า หากหนึ่งปีหลังจากนี้พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ตามที่ประกาศ จะเกิดอะไรขึ้นในเมียนมา ?

    อ่านต่อได้ที่
    https://bit.ly/3tzAkNC

    #RoundtableThailand
    roundtablethailand.com

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ในเวลานี้เชื่อว่าอาจมีผู้เสียชีวิตมากถึง 150 คนเสียชีวิตหลังธารน้ำแข็งภูเขาหิมาลัยเกิดแตกออกและ DW สื่อเยอรมันรายงานวันนี้ (7 ก.พ) ว่า เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่รัฐอุตตราขัณฑ์ทางตอนเหนือของอินเดียในวันอาทิตย์ (7 ก.พ) เจ้าหน้าที่อินเดียออกคำประกาศเตือนภัยหลายเขตทางตอนเหนือในวันนี้ หลังพบว่าธารน้ำแข็งเทือกเขาหิมาลัยเกิดแตกออกมาและไหลทะลังลงด้านล่างทำให้เกิดน้ำท่วมอย่างหนักเป็นวงกว้างในรัฐอุตตราขัณฑ์

    อ่านต่อ..https://sondhitalk.com/detail/9640000012218
    .............................................
    ติดตามคลิป VDO เพิ่มเติมได้ที่
    YoutubeSondhitalk: https://www.youtube.com/c/Sondhitalk
    Website: https://www.sondhitalk.com
    Podcast Sondhitalk: https://sondhitalk.podbean.com/

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผูุ้บัญชาการกองบัญชาการยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ เตือนสงครามนิวเคลียร์กับรัสเซียหรือจีน "มีความเป็นไปได้อย่างแท้จริง" โดยชี้ถึงพฤติกรรมเอาแน่เอานอนไม่ได้ของ 2 คู่อริอเมริกา พร้อมเน้นว่ารัสเซียกำลังปรับปรุงคลังแสงนิวเคลียร์ของตนเองอย่างแข็งขัน ส่วนจีนก็ยังอยู่บนเส้นโคจรแบบเดียวกันกับคู่หูทางยุทธศาสตร์แห่งนี้

    อ่านต่อ..https://sondhitalk.com/detail/9640000012164
    .............................................
    ติดตามคลิป VDO เพิ่มเติมได้ที่
    YoutubeSondhitalk: https://www.youtube.com/c/Sondhitalk
    Website: https://www.sondhitalk.com
    Podcast Sondhitalk: https://sondhitalk.podbean.com/

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Feb 7, 2021 สุดเศร้า! อาจมีผู้เสียชีวิตพุ่งกว่า 150 ราย ธารน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยแตกหัก ไหลถล่มเขื่อนไฟฟ้าพังเสียหาย เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่

    ล่าสุด ทางการอินเดียคาดว่า อาจมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากตั้งแต่ 100-150 ราย ซึ่งเกิดจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อธารน้ำแข็งขนาดใหญ่บนเทือกเขาหิมาลัย ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย แตกหักทำให้เกิดปริมาณน้ำเอ่อล้นจำนวนมาก ไหลบ่าท่วมลงมาจากเทือกเขาดังกล่าว โดยพื้นที่ที่ได้รับคสามเสียหายอยู่บริเวณเชื่อนผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานน้ำ ทำให้ต้องอพยพประชาชนในหมู่บ้านท้ายน้ำออกจากพื้นที่อันตราย

    ด้านนายกรัฐมนตรีอินเดีย นายนเรนทรา โมดิ ทวีตข้อความว่า รัฐบาลกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ขอภาวนาให้ทุกคนปลอดภัย ทั้งนี้ พื้นที่ภัยพิบัติดังกล่าวอยู่เข้าไปในพื้นที่ประสบภัยรัฐอุตตราขัณฑ์ ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงสูงที่จะเกิดน้ำท่วมฉับพลัน และดินถล่มจากเทือกเขาหิมาลัย เมื่อเดือนมิถุนายน 2556 ที่ผ่านมา ได้เกิดปริมาณน้ำฝนมากเป็นประวัติการณ์ ทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรง ส่งผลมีผู้เสียชีวิตเกือบ 6,000 ราย #ธารน้ำแข็ง

    #อุบัติเหตุ #ภัยพิบัติ #หิมาลัย #ภูเขาหิมาลัย #อินเดีย #India #BTimes

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เบื้องหลังความล้มเหลวของเยอรมันและ EU ในการจัดหาวัคซีน COVID-19
    โดย นายแพทย์ ยงค์ศักดิ์ เลียงอุดม
    Published 7/02/21

    ในขณะที่อังกฤษและอเมริกาสามารถระดมจัดหาวัคซีน COVID-19 ได้อย่างเพียงพอ อเมริกาได้จองและจัดหาวัคซีนได้เป็นจำนวน 5 เท่าของจำนวนประชากร 320 ล้านคน จากโครงการ operation wrapped speed ของ Trump ซึ่งได้ทุ่มเงินไปนับพันล้านดอลลาร์ ในขณะที่ EU ใช้เงินจองวัคซีนแค่ 408 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ต้องใช้เงินทั้งหมดอีกนับพันล้านดอลลาร์

    แต่ยุโรปภายใต้การนำของ นายกหญิงเหล็กเยอรมัน นาง Angela Merkel ผู้ที่เคยได้รับการยกย่องในความสามารถแก้วิกฤติต่างๆตลอด 18 ปีที่อยู่ในตำแหน่ง

    แต่การจัดหาวัคซีนให้ยุโรปทำให้การลงจากตำแหน่งของนาง Merkel ไม่สดสวยนัก นายกรัฐมนตรีหญิง มีความเครียดและอารมณ์ฉุนเฉียวมากเมื่อถูกนักข่าวถามถึงความล่าช้าในการจัดหาวัคซีน COVID-19 ให้ EU

    ในช่วงตันของการระบาดของ COVID-19 เยอรมันได้รับคำชมเชยอย่างมากในการจัดการและควบคุมการระบาดของ COVID-19 เนื่องจากจำนวนคนติดเชื้อและอัตราการตายตำ่มากเมื่อเทียบกับยุโรปอื่นๆ เช่น อิตาลี ฝรั่งเศส อังกฤษ ยิ่งเสริมบารมีของนายกหญิง Merkel

    การเมืองก็คือการเมืองไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่เยอรมัน รัฐมนตรีสาธารณสุขเยอรมัน นาย Jens Spahn คนหนุ่มผู้ทะเยอทะยานต้องการสร้างผลงานแข่งรัศมีนาง Merkel ในเดือนมิถุนายน 2020 นาย Spahn ได้พยายามร่วมกับ อิตาลี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ ในการจัดหาวัคซีนล่วงหน้าไว้ให้มากที่สุด

    แต่นายก Merkel มีความไม่เห็นด้วยกับนาย Spahn เพราะเห็นว่าเยอรมันในฐานะของผู้นำใหญ่ของ EU ไม่ควรแยกกลุ่มออกมาจัดหาวัคซีนเอง นายก Merkel จึงปล่อยให้ประธาน EU นาง Von Der Leyen ซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีของรัฐบาลเยอรมัน ทำการจัดหาวัคซีนให้ EU 27 ประเทศ

    แต่นายก Merkel มีความยากลำบากที่จะอธิบายต่อคนเยอรมันถึงความผิดพลาดในการจัดหาวัคซีน และที่สำคัญจะต้องอธิบายว่าเธอทำงานให้เยอรมันหรือ EU

    ประธาน EU นาง Von Der Leyen ทำงานด้วยความเชื่องช้าเพราะเคยเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลเยอรมัน แต่ได้รับเลือกมาเพราะการเมืองภายในระหว่างประเทศใหญ่ใน EU

    ปัญหาก็เกิดขึ้นเมื่อบริษัท ASTRAZENECA มีปัญหาที่โรงงานผลิตในเบลเยียม ทำให้ส่งมอบวัคซีนได้แค่ 60% ที่ตกลงไว้ ทั้งๆที่วางเงินไว้แล้วกว่า 408 ล้านดอลลาร์

    เมื่อมีปัญหากับบริษัท Astrazeneca นาง Von Der Leyen ก็จัดการแก้ไขปัญหาด้วยความวุ่นวาย ทะเลาะกับทั้ง Astrazeneca และ อังกฤษ ทำสิ่งที่ไม่ควรทำในการค้าระหว่างประเทศด้วยการห้ามการส่งออกวัคซีน COVID-19 ออกจากเขต EU นำมาซึ่งความเดือดร้อนต่อไทย เพราะวัคซีน 50,000 dose ที่ไทยสั่งจาก Astrazeneca ผลิตที่อิตาลี แม้แต่ WHO ก็ยังออกมาติงว่าการกระทำของ EU อาจทำให้การระบาดของ COVID-19 ยืดยาวต่อไปอีก

    นาง Von Der Leyen ได้ดำเนินการผิดพลาดโดยการห้ามส่งวัคซีนไปที่ Ireland เหนือ โดยยกเลิกข้อตกลง Brexit เป็นการชั่วคราว ต่อมาได้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเมื่ออังกฤษและ Ireland เหนือออกมาโจมตี

    เรื่อง Ireland เหนือซึ่งเคยเป็นปัญหาใหญ่ในการเจรจา Brexit เพราะเป็นปากประตูที่สินค้ายุโรปจะแอบเข้าสู่อังกฤษได้ EU กลัวว่าวัคซีนจาก Ireland เหนือจะถูกลักลอบนำเข้าอังกฤษ

    ความสับสนวุ่นวายเรื่องวัคซีนในการจัดหาวัคซีนของ EU อย่างน้อยก็แสดงว่าอังกฤษคิดถูก เพราะอังกฤษสามารถจัดหาวัคซีนเอง และฉีดวัคซีนไปแล้วเกิน 11 ล้าน dose สำหรับประชาชน 66 ล้าน ในขณะที่ EU ฉีดวัคซีนไปได้แค่ 3 .3% สำหรับประชาชน 450ล้านคน และยังมีปัญหาเรื่อง supply ของวัคซีนเนื่องจากนาง Von Der Leyen เซ็นสัญญากับบริษัท Astrazeneca ช้ากว่าอังกฤษถึง 3 เดือน

    EUสงสัยว่าบริษัท Astrazeneca ซึ่งเป็นบริษัทอังกฤษแอบเอาวัคซีน Oxfords ที่ผลิตในเยอรมันและเนเธอร์แลนด์ ส่งมอบให้อังกฤษครบตามจำนวนที่ทำสัญญากับอังกฤษ แต่บริษัทกลับไม่ทำตามที่สัญญาที่ทำไว้กับ EU

    การจัดหาวัคซีนของ EU ได้แสดงถึงความด้อยประสิทธิภาพในการจัดการและการเมืองภายใน EU ที่ประกอบด้วยประเทศ 27 ประเทศ

    นาง Von Der Leyen แก้ตัวว่าในความล่าช้าของ EU ว่า EUมีขนาดใหญ่เปรียบเทียบเหมือนเรือบรรทุก Tanker จึงล่าช้ากว่าอังกฤษซึ่งเป็นประเทศเปรียบเทียบอังกฤษเหมือนเรือเร็ว speed boat

    บรรดารัฐมนตรีในรัฐบาลเยอรมันรู้สึกไม่พอในนาง Von Der Leyen ซึ่งเป็นคนเยอรมัน เพราะทำให้เยอรมันเสียชื่อและคนเยอรมันก็ยังได้รับการฉีดวัคซีนด้วยความล่าช้า

    นายกสาธารณรัฐ เช็กโกสโลวะเกีย ซึ่งอยู่ใน EU ทนต่อความล่าช้าในการจัดหาวัคซีนของ EU ไม่ได้ ต้องจัดหาวัคซีนจากรัสเซียเอง

    เรื่องการจัดหาวัคซีนของ EU คงจะพอมองออกถึงอนาคตของ EU ภายหลังยุคหญิงเหล็ก Merkel และตรงเวลากับ Brexit และปัญหาที่ตามมาหลังการระบาดของ COVID-19

    โดย นายแพทย์ ยงค์ศักดิ์ เลียงอุดม
    เป็นความเห็นส่วนตัวไม่เกี่ยวกับองค์กร

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ออกแถลงการณ์ประณาม พันจ่าเอก พิสนุ เชยคิม อายุ 41 ปี สังกัดหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 11 สำนักงานพัฒนาภาค 1 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ซึ่งนำอาวุธเข้าไปล่าสัตว์ในอุทยานแห่งชาติไทรโยค

    หลังเจ้าหน้าที่จับกุมพบซากนกเงือก จำนวน 7 ซาก ซากนกกาเหว่า 2 ซาก ซากนกเขียวคราม 1 ซาก เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งเจ้าหน้าที่ชุดสายตรวจอุทยานแห่งชาติไทรโยค (ส่วนกลาง) พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจับกุมผู้กระทำความผิดฐานลักลอบล่าสัตว์
    .
    เหตุการณ์นี้พบอาวุธปืนเดี่ยวยาวลูกกรด ขนาด .22 LR พร้อมแม็กกาซีน กระสุนขนาด .22 จากการตรวจค้นเพิ่มเติมยังพบอาวุธปืนพกสั้น ขนาด 9 มม. กระสุนปืนขนาด 9 มม. มีดพกสั้นจำนวน 1 เล่ม ยาบ้า จำนวน 4 เม็ดครึ่ง พร้อมอุปกรณ์เสพยา และกัญชาอัดแท่ง
    .
    เจ้าหน้าที่ตรวจค้นรถยนต์พบอาวุธปืนเดี่ยวลูกซองยาว ขนาดเบอร์ 12 จำนวน 1 กระบอก ลูกกระสุนปืนขนาดเบอร์ 12 จำนวน 14 นัด มีดพกสั้นจำนวน 3 เล่ม มีดพล้าโต้ยาว จำนวน 1 เล่ม หม้อแปลงสำหรับช๊อตปลา จำนวน 1 ตัว แร้วดักสัตว์ป่า (แร้วคอม้า) จำนวน 23 อัน แร้วดักสัตว์ป่า (จิก) จำนวน 31 อัน
    .
    ของกลางทั้งหมดอยู่ภายในรถยนต์ใกล้จุดเกิดเหตุ โดยพันจ่าเอกพิสนุ ยอมรับว่าของกลางดังกล่าวเป็นของตนเอง จากพฤติการณ์ และของกลางที่ตรวจพบ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพันจ่าเอกพิสนุ มีความตั้งใจเข้าไปยังอุทยานแห่งชาติไทรโยค เพื่อล่าสัตว์ป่าเป็นการเฉพาะ โดยไม่มีความเกรงกลัวต่อกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น
    .
    มูลนิธิสืบนาคะเสถียรขอประณามการกระทำดังกล่าวซึ่งเป็นการกระทำอันน่าอัปยศที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีกแล้วในยุคสมัยนี้ จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินคดีและดำเนินการลงโทษทางวินัยให้ถึงที่สุด และขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนสิทธิ สร้างมาตรการควบคุมที่เหมาะสม
    .
    และบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดในการพกพาอาวุธปืน เครื่องกระสุน และอาวุธมีดไปในที่สาธารณะ ทั้งข้าราชการและประชาชนทั่วไปว่ามีความจำเป็นและสมควรแก่เหตุหรือไม่ รวมถึงเครื่องมือดักสัตว์ต่างๆหากมีไว้ในครอบครองควรให้เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
    .
    ทั้งนี้ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ชุดสายตรวจอุทยานแห่งชาติไทรโยค (ส่วนกลาง) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง สำหรับการปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด และขอชื่นชมประชาชนผู้หวังดีที่คอยเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่ แจ้งเบาะแสจนนำมาซึ่งการจับกุมผู้กระทำความผิดได้สำเร็จ

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ราคาที่ต้องจ่ายกับการเสียโอกาสครั้งใหญ่ของธุรกิจร้านอาหารในยุคโควิด-19
    .
    หลังจากที่มีการประกาศคลายล็อกดาวน์สถานการณ์โควิด-19 รอบแรก ดูเหมือนว่าธุรกิจร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบเริ่มกลับมาผ่อนคลายมากขึ้น แต่ขณะที่ทุกอย่างกำลังไปได้ดี ก็เกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ส่งผลให้ทุกอย่างกลับมาดูเลวร้ายอีกครั้ง เพราะถึงแม้จะไม่ได้มีคำสั่งล็อกดาวน์เหมือนกับครั้งแรก แต่บรรดาธุรกิจร้านอาหารก็ถูกกลับมาจำกัดด้านเวลาในการให้บริการ และถูกจำกัดจำนวนผู้เข้าใช้บริการ ทำให้ผู้ประกอบการต้องเสียทั้งโอกาส แถมยังต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่ลดหายไปเป็นจำนวนมาก
    .
    จากผลกระทบที่ถาโถมเข้าใส่ธุรกิจร้านอาหารอย่างรุนแรง ส่งผลให้สมาคมภัตตาคารไทยได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี กรณีขอขยายเวลาให้สามารถนั่งรับประทานอาหารที่ร้านจากเดิม 21.00 น. เป็น 23.00 น. หลังพบปัญหาคนเข้าใช้บริการลดน้อยลงไปมากถึง 70% เนื่องจากลูกค้าเองก็มีข้อจำกัดในเรื่องของการเดินทาง บางคนอยู่ไกล หรือบางร้านอาหารอยู่ในย่านที่มีผู้คนกระจุกตัว ทำให้ต้องใช้เวลาในการเดินทางค่อนข้างนาน อีกทั้งยังถูกจำกัดในเรื่องของการเข้าใช้บริการ ทำให้เกิดความไม่สะดวก และเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ตัดสินใจไม่เข้ามานั่งทานที่ร้านอาหาร ซึ่งจุดนี้จะกระทบทั้งยอดขายของร้านอาหาร ตั้งแต่ร้านขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ริมถนน ไปจนถึงร้านขนาดใหญ่ระดับภัตตาคาร และอาจสร้างผลกระทบต่อเนื่องไปถึงลูกจ้างที่เสี่ยงต่อการถูกเลิกจ้าง หรือลดเงินเดือน โดยล่าสุดได้ทาง สบค. ก็ได้ออกแถลงคำสั่งคลายล็อกเรื่องเวลาชุดใหม่ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการตามที่มีการยื่นเรื่องเข้ามา ด้วยการยืดเวลาให้ลูกค้าสามารถนั่งทานในร้านอาหารได้ตามข้อกำหนดเวลาของพื้นที่ 4 โซน ดังนี้
    1. โซนสีเขียว ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
    2. โซนสีเหลือง เปิดได้ถึง 00.00 น.
    3. โซนสีส้ม เปิดได้ถึง 23.00 น.
    4. โซนสีแดง ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด ยังไม่มีการอนุญาตให้นั่งรับประทานอาหารที่ร้านได้
    .
    นอกจากนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังได้คาดการณ์ว่า ธุรกิจร้านอาหารจะมีมูลค่าเหลือเพียง 3.85–3.89 แสนล้านบาท หรือหดตัวประมาณ 9.7%–10.6% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 8 ปี โดยเจ้าของธุรกิจร้านอาหารยังต้องเจอกับโจทย์สุดท้าทายจากการที่ผู้บริโภคเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมระมัดระวังด้านการใช้จ่ายจากเดิมมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีเรื่องของต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากต้นทุนแฝงที่เกิดจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจให้เข้าถึงผู้บริโภคในยุค New Normal ที่นิยมใช้บริการแบบ Delivery มากกว่าการนั่งทานที่ร้าน ในขณะที่มาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ซึ่งผู้ประกอบการต่างต้องแบกรับภาระเหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงยังต้องใช้ความพยายามในการพยุงธุรกิจให้อยู่รอด แถมยังต้องงัดกลยุทธ์บุกสู้ทุกวิถีทาง เพื่อดูแลลูกจ้างให้ยังมีงาน มีรายได้นำไปเลี้ยงปากท้องทั้งของตัวเองและครอบครัวต่อได้อีกด้วย
    .
    ดังนั้นเจ้าของธุรกิจร้านอาหารจำเป็นต้องปรับตัวเข้าหาวิกฤตให้ไว และตามโลกให้ทัน โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีและสื่อโซเชียลมีเดียเข้ามาดิสรัปทุกอย่าง จนกลายเป็นตัวแปรสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค สุดท้ายนี้ทีมงาน BTimes ก็อยากบอกเหมือนเช่นเดิม คือเราขอเป็นกำลังใจเล็กๆ ให้ผู้ประกอบการร้านอาหารทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่สามารถผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก และนำพาธุรกิจก้าวต่อไปได้จนถึงเส้นชัย สู้ๆ นะคะ ด้วยความรักความห่วงใยจากใจทีมงาน BTimes ค่ะ ^^
    .
    #ธุรกิจ #ร้านอาหาร #คลายล็อก #มาตรการควบคุมการแพร่ระบาด #โควิด19 #รายได้ #สภาพคล่อง #เทคโนโลยี #เศรษฐกิจ #NewNormal #การปรับตัว #BTimes

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Feb 7, 2021 ยุ่งล่ะจุฬา! โควิด-19 ติดบุคลากรจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 3 คนแล้ว สั่งดำเนินมาตรการฉุกเฉินควบคุม และป้องกันในมหาวิทยาลัย

    เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา คณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโควิด-19 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า สำนักบริหารระบบกายภาพ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แจ้งมายังคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโควิด-19 ว่ามีบุคลากรเข้ารับการตรวจโดยการเก็บสารคัดหลั่งบริเวณส่วนหลังโพรงจมูกและบริเวณคอหอย ปรากฎว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และขณะนี้บุคลากรคนดังกล่าวได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้วพบผู้ติดเชื้อ โดยระบุว่า เนื่องด้วยวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

    ทั้งนี้ คณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโควิด-19 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงกำหนดมาตรการในดำเนินการควบคุมและป้องกันโรคระบาดโควิด-19 ดังมีรายละเอียดในประกาศตามข้างล่างนี้

    #จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย #จุฬา #มหาวิทยาลัย #กรุงเทพ #โควิด19 #covid19 #BTimes

     

แชร์หน้านี้

Loading...