ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ราคาน้ำมัน WTI ที่ติดลบนั้นผ่านไปอาทิตย์นึงแล้ว... ถึงแม้ว่าผลกระทบต่อผู้ซื้อขายน้ำมันจะจบลงไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว #แต่ผลกระทบต่อกลไกตลาดน้ำมัน นั้นยังคงไหลเข้ามาเป็นระลอกๆ

    การที่ทุกคนตั้งสมมุติฐานไว้ว่าราคาน้ำมันไม่ควรจะติดลบได้มาตลอด และมาเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้า ทำให้ตลาดต้องปรับเปลี่ยนกลไกหลายๆอย่างมาก

    1️⃣ ตลาด Options ต้องรื้อเขียน Model ใหม่หมด

    หลายท่านที่คุ้นเคยกับตลาด Options จะเข้าใจว่ามูลค่าของราคา Put/Call ที่เราซื้อขายกันนั้น จะเป็นเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับ Model ของ Options ที่เรานำมาใช้เขียน แต่เมื่อก่อนนั้น Model ที่เรานำมาเขียนจะมีสมมุติฐานว่าราคาน้ำมันไม่ควรติดลบ ทำให้หลังเกิดเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในครั้งนี้เหล่านักคณิตศาสตร์จึงต้องมาเร่งทำ Model Options ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ! รื้อความเข้าใจเก่าออกใหม่หมดเลย จนทำให้ราคาของ Put นั้นแพงขึ้นกว่าเดิมเพราะผู้ซื้ออาจได้กำไรไปจนถึงแดนราคาติดลบ

    2️⃣ ตลาด Options ใน Nymex เปิดให้ซื้อขาย Strike ที่ติดลบได้

    ลองนึกภาพเป็นหุ้น DW ที่ทุกท่านอาจคุ้นชินมากกว่าซื้อขายในราคา Exercise ติดลบได้ดูซิครับ จะแปลกแค่ไหนถ้าคุณสามารถซื้อ Put Options ของหุ้นตัวนึงที่ราคาติดลบได้ ? ตอนนี้ตลาด Nymex ได้เปิดให้มีการขายประกันของราคาน้ำมันในระดับติดลบด้วยแล้ว ถึงแม้จะราคาจะไม่สูงมากแต่ก็น่าแปลกใจมากๆที่เห็นสิ่งนี้เกิดขึ้น

    3️⃣ ตลาด Nymex ต้องเรียกเก็บค่าประกัน Margin Call สูงขึ้นหลายเท่า

    ทุกๆครั้งที่เราทำการซื้อขายสัญญาน้ำมันดิบนั้น ทางตลาด Exchange จะไม่ได้เก็บเงินเราเต็มๆจากมูลค่าของที่เราซื้อ แต่จะเก็บเงินประกันหรือ Initial Margin ไว้แค่สำหรับส่วนต่างของราคาปัจจุบันกับราคาที่อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ในอนาคตเท่านั้น เพื่อเป็นประกันว่าผู้ซื้อขายจะไม่เบี้ยวเงินจ่าย

    แต่ทุกวันนี้พอราคาไปถึงแดนติดลบได้ โอกาสที่ราคาอาจเปลี่ยนแปลงไปได้ในอนาคตนั้นก็กว้างขึ้นหลายเท่า ทำให้ทางตลาดต้องเก็บเงินค้ำประกันมากขึ้น ทำให้การทำ Leverage Trade ของน้ำมันนั้นมีต้นทุนสูงขึ้นหลายเท่า

    4️⃣ กองทุน US Oil Fund ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เสียหายหลักในคืนนี้ต้องเปลี่ยนระบบของกองทุนใหม่หมด !

    เราเคยอธิบายไปแล้วว่ากองทุนน้ำมัน ETFs เหล่านี้นั้นต้องการที่จะพยายามล้อผลตอบแทนจากการลงทุนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับราคาน้ำมันในปัจจุบันให้มากที่สุด เป็นที่มาให้กองทุนเหล่านี้เข้าซื้อสัญญาล่วงหน้าในเดือนที่ใกล้ที่สุดด้วย (เกิน 90% ของสัญญาที่กองทุนซื้อจะเป็นเดือนต้น) แล้วจะค่อยๆทำการ Roll หรือเปลี่ยนสัญญาออกไปเป็นเดือนถัดไปทุกๆครั้งที่สัญญาซื้อขาย Futures นั้นจะหมดอายุลง

    แต่ด้วยเหตุการณ์ราคาน้ำมันติดลบที่เกิดขึ้น ทำให้กองทุนใหญ่อย่าง US Oil Fund ต้องเปลี่ยนรูปแบบในการลงทุนใหม่หมดทั้งแผงทันที

    1) คือทางกองทุนจะไม่ถือแค่สัญญาเดือนแรกอีกต่อไป แต่จะถือสัญญาเดือนแรกเพียง 30% เท่านั้นและจะกระจายไปในสัญญาเดือนที่ 2-5 เดือนข้างหน้าอีกสัญญาละ 15% และ 10% สุดท้ายจะไปถือสัญญาของปีถัดไปเลย

    2) ทางกองทุนจะทำการ Roll สัญญาออกไปก่อนสัญญาจะหมดอายุอย่างเนิ่นๆ ไม่รอจนถึงวันสุดท้ายอย่างเดียวอีกต่อไป

    การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มากๆสำหรับวงการกองทุน ETFs เพราะแปลว่าต่อไปนี้ผลตอบแทนของกองทุนน้ำมัน US Oil Fund จะไม่ล้อกับราคาน้ำมันดิบในเดือนปัจจุบันแล้ว แต่จะให้ผลตอบแทนตามราคาน้ำมันดิบในระยาวมากกว่า โดยจะลดความผันผวนลงไปได้เยอะจากทั้งราคาขาขึ้นและราคาขาลง ถือว่าเป็นกองทุนน้ำมันต่างชาติกองทุนแรกที่พยายามจะลงทุนโดยไม่ล้อกับราคาที่เราเห็นรายวัน

    บทความนี้อาจจะลงลึกไปในรายระเอียดของกลไกการเทรดซึ่งหลายท่านอาจจะไม่คุ้น แต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้นั้นถือว่าใหญ่สำหรับวงการ Futures น้ำมัน และเชื่อว่ายังจะมีการเปลี่ยนแปลงอื่นๆตามมาอีกเรื่อยๆ

    ⛔️ ท่านใดไม่อยากพลาดข่าวสารในตลาดจากทีมงาน แนะนำให้กด Like ที่โพสต์เรื่อยๆ หรือกดตั้งค่า “เห็นโพสต์ก่อน” หรือ See First ไว้ที่เมนูมุมขวาบนของเพจได้เลยครับ ไม่งั้นทาง Facebook จะไม่ค่อยแสดงโพสต์ของทีมเราที่อัพเดทใหม่ๆครับ

    #OilTradingKP

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ⚠️ ราคาน้ำมัน WTI โดนเทขายลงมา -35% ⚠️ ภายใน 2 วันที่ผ่านมาจาก 17 เหรียญต่อบาร์เรลลงมาเหลือ 10 เหรียญต่อบาร์เรล โดยหากใครไปเปิดหาข่าวก็จะพบว่าเหตุผลนั้นคือเพราะ "กองทุน US Oil Fund ทำการเปลี่ยนระบบในการถือสัญญา Futures WTI เหล่านี้"

    แต่ลองมาวิเคราะห์กันว่า #การเทขายของกองทุนนี้ทำให้ราคาน้ำมันลงจริงๆหรือ ?

    กองทุน US Oil Fund เป็นหนึ่งในผู้เสียหายหลักในคืนที่ราคาน้ำมัน WTI ติดลบจนต้องเปลี่ยนระบบการถือสัญญาของกองทุนใหม่หมด อย่างที่เราได้เคยอธิบายไปว่ากองทุนน้ำมัน ETFs เหล่านี้นั้นต้องการที่จะพยายามล้อผลตอบแทนจากการลงทุนของกองทุนให้ได้ใกล้เคียงกับราคาน้ำมันในปัจจุบันให้มากที่สุด เป็นที่มาให้กองทุนเหล่านี้เข้าซื้อสัญญาล่วงหน้าในเดือนที่ใกล้ที่สุดเป็นส่วนใหญ่ด้วย (เกิน 90% ของสัญญาที่กองทุนซื้อจะเป็นเดือนต้น) แล้วจะค่อยๆทำการ Roll หรือเปลี่ยนสัญญาออกไปเป็นเดือนถัดไปทุกๆครั้งที่สัญญาซื้อขาย Futures นั้นจะหมดอายุลง

    แต่เพราะเหตุการณ์ราคาน้ำมันติดลบที่เกิดขึ้น ทำให้กองทุนใหญ่อย่าง US Oil Fund ต้องเปลี่ยนรูปแบบในการลงทุนใหม่หมดทั้งแผง โดยเริ่มต้นเมื่อวานนี้

    ทางกองทุนจะไม่ถือแค่สัญญาเดือนแรกอีกต่อไป แต่จะถือสัญญาเดือนแรกเพียง 30% ของพอร์ตเท่านั้นและจะกระจายไปถือสัญญาในเดือนส่งมอบที่ 2-4 อีกสัญญาละ 15% และอีก 15% ไปถือในสัญญาสุดท้ายของปี และ 10% สุดท้ายจะไปถือสัญญาที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดของปีหน้าเลย ซึ่งนั้นคือสัญญาเดือน June'21 ในเวลานี้

    ทำให้พอรต์ของ US Oil Fund มีหน้าตาประมาณนี้

    1) 30% ถือสัญญา WTI Jul'20
    2) 15% ถือสัญญา WTI Aug'20
    3) 15% ถือสัญญา WTI Sep'20
    4) 15% ถือสัญญา WTI Oct'20
    5) 15% ถือสัญญา WTI Dec'20
    6) 10% ถือสัญญา WTI Jun'21

    จะเห็นได้ว่าด้วยการกระจายสัญญาของกองทุนออกไปนั้น แปลว่าต่อไปนี้ผลตอบแทนของกองทุนน้ำมัน US Oil Fund จะไม่ล้อกับราคาน้ำมันดิบในเดือนปัจจุบันอีกต่อไปแล้ว แต่จะให้ผลตอบแทนตามราคาน้ำมันดิบในระยาวมากกว่า ผลตอบแทนจะกลายเป็นค่าเฉลี่ยของสัญญาต่างๆในอนาคตที่ปรับตัวขึ้นลง โดยจะลดความผันผวนของผลตอบแทนลงไปเยอะจากทั้งราคาขาขึ้นและราคาขาลง ถือว่าเป็นกองทุนน้ำมันต่างชาติกองทุนแรกที่พยายามจะลงทุนโดยไม่ล้อกับราคาสัญยาแรกที่เราเห็นรายวัน

    นี่เป็นสิ่งที่ดีและควรจะเป็นวิธีที่หลายๆคนควรเริ่ม #เปลี่ยนมามองราคาน้ำมัน ในมุมนี้บ้าง

    มูลค่าของราคาน้ำมันจริงๆนั้นอยู่ที่เท่าไหร่ ? เราเคยเขียนบทความนี้อธิบายออกไปแล้ว (จะลิงค์ในคอมเม้นท์ให้อีกทีนะครับ) ว่าเวลาที่เราพูกถึงราคาน้ำมันกันนั้นเราจะชอบพูดถึงแต่ราคาน้ำมันที่ส่งมอบกันในเดือนแรก แต่ในโลกของความเป็นจริงแล้ว #เราไม่ได้ใช้น้ำมันแค่เดือนนี้เดือนเดียว เรายังต้องใช้อีกยาวๆและตลอดไป

    มูลค่าของน้ำมันที่แท้จริงนั้น เราจึงไม่ควรดูแต่ราคาที่ส่งมอบของกันในเดือนแรกเพียงอย่างเดียว เพราะราคาในเดือนแรกนั้นอาจจะโดนกดดันจากปัจจัยระยะสั้นต่างๆได้มากมาย การที่ราคาน้ำมันถูกลงในวันนี้เพราะไวรัสโควิดไม่ได้หมายความว่าราคาน้ำมันจะถูกไปตลอด และราคาน้ำมันในอนาคตก็ไม่ได้ซื้อขายถูกเหมือนอย่างราคาที่ส่งมอบในวันนี้ด้วย (ราคากำลัง Contango สูงที่สุดในรอบ 20 ปี)

    แต่เมื่อไหร่ที่ราคาน้ำมันสัญญาที่ซื้อขายในอนาคตนั้นโดนเทขายกดลง นั้นจะเป็นเวลาที่ #มูลค่าของน้ำมันจริงๆนั้นลดลง

    นับตั้งแต่ไวัรสโควิดระบาดนั้น ถึงแม้สัญญาส่งมอบน้ำมันต้นๆจะโดนเทขายอย่างหนักแต่ราคาของเดือนส่งมอบไกลๆนั้นยังลงมาไม่มาก อย่างราคาน้ำมัน WTI เดือน Jun'21 ที่ทางกองทุนเลือกที่จะถือนั้นยังอยู่ที่ 32 เหรียญ ! หรือสูงกว่าราคาปัจจุบันถึง 3 เท่า ! เห็นได้ชัดเลยว่าเหตุการณ์ไวรัสโควิดนั้นไม่ได้กระทบต่อการใช้น้ำมันในระยะยาวเท่ากับที่เราอาจรู้สึก

    อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงที่มีข่าวการพัฒนาของพลังงานทดแทน หรือพลังงานแบตเตอรี่ มีการขยายฐานของรถ EV ใหม่ๆ สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่จะเป็นตัวกดมูลค่าราคาน้ำมันที่แท้จริงลง และการเข้ามาของปัจจัยเหล่านี้ต่างหากที่อาจจะทำให้ราคาน้ำมันถูกลงไปอีกนาน

    การเทขายของกองทุนนี้ทำให้ราคาน้ำมันลงจริงๆหรือ ?

    ตอบสั้นๆคือ #ราคาที่ลดลงนั้นเป็นเพียงสัญญาส่งมอบเดือนแรก เพราะมันเป็นสัญญาที่จะโดนเทขายออกไปด้วยความกลัวราคาจะลงไปติดลบเพราะถังล้น และทางกองทุนจะหันไปถือสัญญาและเข้าซื้อสัญญาเดือนหลังๆแทน แต่โดยรวมแล้วถ้ายังไม่มีคนถอนเงินออกจากกองทุน ทางกองทุนก็ยังจะถือปริมาณจำนวนสัญญาขาซื้อ (Long Position) เท่าเดิมอยู่แค่เปลี่ยนไปถือเดือนหลังๆเท่านั้นเอง

    หากแรงเทขายในตลาดมาจากกองทุนเหล่านี้จริงและไม่ได้มาจากผู้เล่นอื่นๆ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือราคาสัญญาในเดือนแรกจะติดลบอย่างที่เราเห็นในวันนี้ แต่สัญญา WTI ในเดือนหลังๆนั้นจะเป็นบวกแม้แต่สัญยาเดือนที่สองอย่าง WTI Jul'20 ก็ยังบวกอยู่กว่า +2.3% ในคืนนี้ (ใครมีราคาเดือนหลังๆลองเปิดดูได้เลย แต่เดี๋ยวเราแนบให้ดูในคอมเม้นท์ด้วย) ราคาในเดือนหลังๆจะมีแรงซื้อเข้ามาจากกองทุนมากขึ้นด้วยซ้ำในช่วงนี้

    จากข่าวที่รายงานออกมาทางกองทุน US oil fund ยังต้องทำการขายราคา WTI June'20 นี้อีกหลายแสนสัญญาจนกว่าจะสามารถปรับพอร์ตเข้าตามสัดส่วนที่ต้องการด้านบนได้ ทำให้ในระยะสั้นนั้นอาจจะมีแรงเทขายสัญญาเหล่านี้และแรงซื้อเดือนไกลๆของตลาดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

    ⛔️ ท่านใดไม่อยากพลาดข่าวสารในตลาดจากทีมงาน แนะนำให้กด Like ที่โพสต์เรื่อยๆ หรือกดตั้งค่า “เห็นโพสต์ก่อน” หรือ See First ไว้ที่เมนูมุมขวาบนของเพจได้เลยครับ ไม่งั้นทาง Facebook จะไม่ค่อยแสดงโพสต์ของทีมเราที่อัพเดทใหม่ๆครับ

    #OilTradingKP

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยอดขายรถยนต์ทั้งโลก ดิ่งหนักมากกว่าครึ่งหนึ่ง เพราะโควิด-19
    .
    #ลงทุนนอกโลก โดยเพจ #ถามอีกกับอิก
    .
    ล่าสุดเมื่อสักครู่นี้ นักวิทยาศาสตร์จีนจาก the Chinese Academy of Medical Sciences บอกว่า เจ้าไวรัสมันจะไม่หายไปไหนง่ายๆ
    .
    "ไวรัสตัวนี้จะอยู่คู่กับมนุษย์ไปอีกนาน" "มันจะมาเป็นฤดูกาลและจะอยู่ในร่างกายมนุษย์" คล้ายๆกับไข้หวัด
    .
    เพราะฉะนั้นเราคงต้องหาทางใช้ชีวิตอยู่กับเจ้าไวรัสตัวนี้ให้ได้ครับ

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #ข่าวเช้าตรู่ส่งถึงมือคุณ! โดยเพจ "ถามอีก กับอิก"
    .
    ========
    .
    1.เมื่ออภิมหาเศรษฐี Bill Gates บอกว่าจะโยกเงินในมูลนิธิไปทุ่มให้กับการต่อสู้โคโรนาไวรัสทั้งหมด
    .
    ต้องบอกว่า เฮีย Bill Gates คือมหาเศรษฐีที่อุทิศตัวเอง ทั้งกำลังกาย กำลังใจ กำลังเงิน และกำลังสมอง อย่างเต็มที่ให้กับการป้องกันโรคระบาด และสาธารณสุขที่ดีของคนทั้งโลก และไม่ได้เพิ่งมาทำครับ ทำมาเป็นสิบๆปีแล้ว
    .
    ตอนนี้ตัวเลขสถิติจะเห็นว่ามูลนิธิ Bill & Melinda Gates มีเม็ดเงินสูงถึง 4 หมื่นล้านเหรียญครับ หรือ 1.2 ล้านล้านบาท
    .
    ”คุณกำลังจะเห็นว่ากิจกรรมเศรษฐกิจ ของทั้งโลกกำลังจะถูกลดบทบาทลงในช่วงหลายปีข้างหน้าครับ” ทั้งนี้โรคระบาดจะทำให้เศรษฐกิจโลกเสียหาย หลายสิบล้านล้านดอลลาร์
    .
    ถ้านับจนถึงตอนนี้ มูลนิธิของ Bill & Melinda Gates ได้ทุ่มเงินไปแล้วกว่า 250 ล้านเหรียญในการช่วยต่อสู้รับมือกับโคโรนาไวรัส และกำลังจะเปลี่ยนเงินส่วนอื่นๆมาทุ่มให้กับการรับมือกับโคโรนาไวรัส
    .
    เฮีย Gates บอกว่า ตอนนี้เงินส่วนหนึ่งของมูลนิธิเน้นไปรับมือกับ HIV มาลาเรีย และ โปลีโอ แต่ตอนนี้กำลังจะทุ่มเงินทั้งหมดมารับมือและป้องกันโรคระบาด เพราะสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล
    .
    นอกจากนี้ยังบอกว่า WHO เป็นองค์กรณ์ที่สำคัญมากๆๆๆๆๆๆๆ และควรจะได้รับเงินสนับสนุนเพื่อที่จะทำหน้าที่ในการรับมือในช่วงโรคระบาด
    .
    รู้เลยว่าหมายถึงใคร ที่กำลังจะถอนเงินสนับสนุน WHO
    .
    ขอบคุณเฮีย Bill Gates นะครับสำหรับความทุ่มเททุกอย่าง ขอให้ประสบความสำเร็จครับ
    .
    ========
    .
    2.สายการบินทั้งโลกกู้เงินรวมกันสูงถึง 1 ล้านล้านบาท เพื่อยื้อกิจการให้ไปต่อได้
    .
    ธุรกิจสายการบินปีนี้หนักจริงๆครับ เพราะเจอแรงกระแทกจากโควิดแบบไม่คาดคิดครับ
    .
    หลักๆแล้วเป็นสายการบินในสหรัฐที่ต้องกู้เงินสูงถึง 6 แสนล้านบาท ในขณะที่สายการบินในยุโรปเองก็เช่นกันครับกู้เงินสูงถึง 2 แสนล้านบาท ส่วนสายการบินในเอเชียกู้เงินแล้วกว่า 1.2 แสนล้านบาท
    .
    ยกตัวอย่างสายการบินที่ตอนนี้กำลังเจอวิกฤตและกำลังได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาล คือ Air France-KLM ที่ได้รับเงินกู้ 4 พันล้านยูโรจาก 6 ธนาคารโดยรัฐบาลจะการันตี 90%
    .
    ส่วนสายการบิน EasyJet ของอังกฤษเองก็เพิ่งกู้เงิน 744 ล้านเหรียญ
    .
    ในขณะที่เอเชียก็เร่งหาเงินกู้อย่างเร่งด่วนครับ เช่น สิงคโปร์แอร์ไลน์ ก็เพิ่งได้รับเงินกู้ 2.8 พันล้านเหรียญจาก DBS Bank
    .
    ส่วนเจ้าอื่นที่กำลังอยู่ในระหว่างการขอกู้ คือ Emirates Airline, ANA Holdings and Iberia, British Airways เป็นต้นครับ
    .
    ========
    .
    3.ดราม่า Luckins Coffee ยังไม่จบเมื่อเจ้าหน้าที่จีนบุกไปสำนักงานเพื่อตรวจสอบความโปร่งใส
    .
    #ถันอี้ #谈亿 #ถามอีกกับอิกเรื่องลงทุนจีน
    .
    เจ้าหน้าที่จีนร่วมกับ กลต. บุกไปตรวจสอบอย่างเต็มรูปแบบ กับอดีตเชนร้านกาแฟจีนที่มาแรงและตั้งใจอยากจะโค่นแชมป์อย่าง starbucks
    .
    “หลักๆแล้วจะเข้าไปดูความโปร่งใสด้านการเงิน และวิธีการบันทึกรายได้” หลังมีกระแสข่าวรั่วว่า Luckin มียอดขายที่สูงเกินความเป็นจริงครึ่งหนึ่ง หรือมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท!
    .
    ส่วนทางด้านผู้บริหาร Luckin ยืนยันว่าให้ความร่วมมือกับการสอบสวนอย่างเต็มที่ครับ และยืนยันว่าการให้บริการร้านกาแฟที่จีน ยังคงให้บริการตามปกติ (ทางทีม ถันอี้ ตรวจสอบแล้วก็เป็นจริงครับ และลูกค้าก็เยอะด้วยครับ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะมีการใช้โปรโมชั่นจัดเต็ม)
    .
    ผลกระทบไม่ได้มีเพียงแค่ Luckin ครับ แต่กำลังกระทบชิ่งไปยังสถาบันการเงินที่ให้เงินกู้ครับ เช่น Morgan Stanley, Credit Suisse, Haitong International และอาจจะต้องบันทึกขาดทุนจากเงินกู้ที่ปล่อยให้กับ Luckin
    .
    นับตั้งแต่เรื่องนี้แดงออกมา ราคาหุ้น Luckin ร่วงมาแล้วกว่า 80% ครับและถูกระงับการซื้อขายชั่วคราวตั้งแต่ วันที่ 7 เมษายน ที่ผ่านมาครับ
    .
    ========
    .
    4.#ถามทันที เศรษฐกิจและผู้ประกอบไทย จะปรับตัวยังไงรับมือโควิด?
    .
    ถามอีก กับคุณกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า (คุยเฉพาะเศรษฐกิจ ไม่อิงการเมืองครับ)
    .

    .
    ========
    .
    5.อัพเดทยอดระดมทุน
    .
    ยอดระดมทุนวันแรกของ โครงการ "ช่วยทันที ฮีโร่ไทยต้านโควิด"
    .
    "210,500 บาท" คิดเป็นสัดส่วน 18% ของเป้าหมายการระดมทุนครับ
    .
    คลิกดูรายละเอียดได้ ตามลิงค์นี้ครับ
    .

    .
    ========
    .
    6.มาอัพเดทตลาดกันหน่อยครับ
    .
    สหรัฐ ฟื้นแรง 1.51%
    .
    เยอรมนี บวกแรง 3.13%
    .
    ทองคำ 1720 เหรียญร่วงหนัก
    .
    น้ำมัน Brent 19.45 หรียญ ร่วงหนัก
    .
    ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก Fox, CNN, Yahoo Finance
    .
    ========
    .
    เริ่มต้นวันนี้ดีที่สุด ขอให้ทุกท่านโชคดีและมีอิสรภาพในการใช้ชีวิต
    .
    อิสรภาพชีวิต !! อยู่ไหนก็ไม่พลาด อย่าลืมกดติดตามนะครับ หรือเพิ่มช่องทางการสื่อสารได้เลย
    .
    ส่งข่าวสารถึงมือผ่าน Line@: http://bit.ly/TAM-EIG_LINE
    คลิกเลย

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่ 27 เมษายน 2020 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นางออดรีย์ วิตล็อก (Audrey Whitlock) แกนนำกลุ่มประท้วง “ReOpen NC” ในสหรัฐฯ เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 และปรากฎว่าผลตรวจเจอเชื้อเป็นบวก แต่เธอยืนยันว่าจะยังคงเดินหน้าการประท้วงต่อไป
    .
    แกนนำกลุ่ม “ReOpen NC” พบว่าตนเองติดเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน หลังจากที่เธอพามวลชนในรัฐนอร์ทแคโรไลนา ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านมาตรการกักกันตนเอง พร้อมกับเรียกร้องให้รัฐบาลท้องถิ่นของรัฐนอร์ทแคโรไลนา ยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ท่ามกลางการแพร่ระบาดอย่างรุนแรง ทั้งในรัฐนอร์ทแคโรไลนา และรัฐอื่นๆ ทั่วประเทศสหรัฐฯ ซึ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อของสหรัฐฯในขณะนี้ มียอดทะลุ 1 ล้านคนไปแล้ว
    .
    ภายหลังจากที่ นางออดรีย์ วิตล็อก พบว่าเธอได้ผลตรวจเชื้อโควิด-19 เป็นบวก เธอถูกบังคับให้ต้องกักกันตนเองตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน จนถึงวันที่ 26 เมษายน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่คนอื่น แต่ไม่มีรายงานว่าเธอได้รับการรักษา เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยที่ติดเชื้อในสหรัฐฯ มีมากจนเกินไป ทำให้บางคนถูกโรงพยาบาลปฏิเสธให้การรักษา และต้องทำการกักกันตนเองแทน เว้นเสียแต่ว่ามีอาการร้ายแรงจนได้รับพิจารณาให้เข้ารับการรักษา
    .
    นางออดรีย์ วิตล็อก เปิดเผยว่า การที่นายรอย คูเปอร์ (Roy Cooper) ผู้ว่าการรัฐนอร์ทแคโรไลนา บังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ และการที่เธอถูกบังคับให้กักกันตนเองหลังพบเชื้อ ทำให้เธอไม่พอใจอย่างมาก ซึ่งเธออ้างว่าการกระทำเหล่านี้ เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของเธอและชาวอเมริกันคนอื่นๆ ซึ่งเป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ ทั้งมาตรา 1, มาตรา 5, และ มาตรา 14
    .
    นางออดรีย์ วิตล็อก ยังได้โพสต์ข้อความในกลุ่มเฟซบุ๊ก “ReOpen NC” ซึ่งเป็นกลุ่มจัดอีเว้นต์ประท้วงที่ยังไม่ถูกเฟซบุ๊กแบน โดยมีใจความสำคัญที่ระบุว่า นอกจากเธอจะถูกบังคับให้กักกันตัวเอง 14 วันแล้ว การที่นายจ้างและรัฐบาลไม่อนุญาตให้ประชาชนเข้าถึงการประกอบอาชีพ และการที่รัฐบาลท้องถิ่นไม่ปกป้องรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอจึงเชิญชวนให้นักเคลื่อนไหวคนอื่นๆ ร่วมกันตอบโต้รัฐบาลท้องถิ่นด้วยการไม่จ่ายภาษี พร้อมกับขอเงินภาษีที่จ่ายไปทั้งหมดคืน และเธอยังได้เชิญชวนให้คนอื่นๆ ออกมาร่วมประท้วงด้วยกันต่อไป แม้ว่าเธอจะติดเชื้อโควิด-19 และแม้ว่าเธออาจจะถูกจับกุมในข้อหาละเมิดมาตรการกักกันตนเองก็ตาม แต่อย่างไรก็ตาม ข้อความนี้ของเธอ ได้ถูกลบออกจากข้อมูลในกลุ่ม “ReOpen NC” เรียบร้อยแล้ว
    .
    ทั้งนี้ มีประชาชนหลายกลุ่มในสหรัฐฯ ที่ออกมาเดินขบวนประท้วงในเมืองหลวงของรัฐต่างๆ ทั่วทั้งสหรัฐฯ ซึ่งมีทั้งกลุ่มขวาจัดสุดโต่ง กลุ่มต่อต้านวัคซีน และกลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิเสรีภาพ โดยที่แต่ละคนไม่เกรงกลัวการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งสหรัฐฯมียอดผู้ติดเชื้อทั่วประเทศมากกว่า 1 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตแล้วไม่ต่ำกว่า 56,000 ราย ในขณะที่ทั่วโลกมียอดผู้ติดเชื้อมากกว่า 3 ล้านคน และเสียชีวิตแล้วไม่ต่ำกว่า 212,000 ราย

    -------------------------------
    แหล่งที่มา

    https://www.cbs17.com/community/hea...leader-says-she-tested-positive-for-covid-19/

    https://www.wsoctv.com/news/local/r...positive-covid-19/AXLVRB7BYFDSDBDSRFQVK2HQ4I/

    https://themindunleashed.com/2020/0...drey-whitlock-tests-positive-coronavirus.html

    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook :
    https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยังคงมีประเด็นร้อนแรงกันอย่างต่อเนื่องระหว่าง สหรัฐฯ และจีน ล่าสุด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่า เขาอาจจะเรียกร้องค่าเสียหายจากจีนที่ปล่อยเชื้อไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดไปทั่วโลก
    .
    โดยทรัมป์ กล่าวกับสื่อมวลชนว่า เขารู้สึกไม่พอใจจีนตลอดจนสถานการณ์โดยรวม และมีความเป็นไปได้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ อาจจะเรียกร้องค่าเสียหายจากจีนกรณีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งมีต้นกำเนิดจากเมืองอู่ฮั่นของจีน เพราะเห็นว่ารัฐบาลจีนไม่ได้ยับยั้งการแพร่ระบาดอย่างทันท่วงที จนทำให้โรคเกิดการแพร่ระบาด และสร้างความเสียหายไปทั่วโลก ถ้ารัฐบาลจีนทำการยับยั้งการแพร่ระบาดอย่างทันท่วงทีสถานการณ์ก็จะไม่เลวร้ายอย่างที่เป็นอยู่
    .
    ขณะเดียวกัน ผู้นำสหรัฐฯ ก็พยายามผ่อนคลายความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐจะกลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ แม้ว่าเวลานี้รัฐบาลจะยังไม่มีคำสั่งให้เปิดเศรษฐกิจทั้งประเทศแต่หลายรัฐก็เริ่มเปิดเศรษฐกิจกันแล้ว ขณะที่รัฐบาลก็พยายามเร่งตรวจหาผู้ติดเชื้อให้ครอบคลุมได้ตามเป้าโดยแต่ละรัฐจะต้องตรวจให้ได้อย่างน้อย 2.6% ของจำนวนประชากรแต่ในรัฐที่มีการแพร่ระบาดรุนแรงจะต้องตรวจให้ได้ถึง 2 เท่าจากปกติ
    .
    ส่วนที่รัฐนิวยอร์กซึ่งเป็นที่แพร่ระบาดรุนแรงที่สุด และเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ นายแอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐ กล่าวว่า จะยังไม่มีมาตรการผ่อนคลายในเวลานี้ และจะใช้มาตรการล็อกดาวน์ต่อไปจนถึงวันที่ 15 เดือนหน้า เนื่องจากยังมีผู้ป่วยโควิด-19 ที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังบอกด้วยว่าอาจขยายเวลาใช้มาตรการล็อกดาวน์ในบางพื้นที่ออกไปอีกหากสถานการณ์ยังไม่น่าไว้วางใจ ขณะที่รัฐนิวยอร์กมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 17,000 คน
    .
    ด้านนายเกวิน นิวซอม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย กล่าวถึงเหตุการณ์ที่มีผู้คนจำนวนมากเดินทางไปพักผ่อนที่ชายหาดฮันติงตันกันอย่างแน่นขนัดเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ทางการท้องถิ่นในพื้นที่ใกล้เคียงต้องประชุมด่วน เพื่อหามาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นอีก
    .
    เมื่อถามถึงกรณีที่ก่อนหน้านี้ มีสื่อของเยอรมนี เรียกร้องให้จีนจ่ายเงินชดเชย 165 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ เพื่อชดเชยความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อเยอรมนี ทรัมป์กล่าวตอบว่า "เรายังไม่ได้ตัดสินใจเกี่ยวกับจำนวนเงินสุดท้าย แต่มันคงต้องเป็นยอดที่เยอะมาก เพราะนี่คือความเสียหายที่ส่งผลกระทบไปทั่ว ซึ่งมันทำให้สหรัฐฯ เสียหาย นั่นคือโลกเสียหายด้วย"

    -------------------------------
    แหล่งข่าว

    https://www.theguardian.com/world/2...ed-covid-19-and-suggests-us-will-seek-damages

    https://www.mcot.net/viewtna/5ea7e0b3e3f8e40af943b622
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    หลังจากมีประเด็นร้อนแรงไม่นานมานี้ เมื่อมีกลุ่มนักวิชาการ 7 ราย ที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ได้แถลงการณ์โดย อ้าง "การวิจัย" โดยเอาตัวเลขฆ่าตัวตายช่วงวิกฤตโควิด-19 ซึ่งอ้างว่าเป็นผลมาจากมาตราการล็อกดาวน์ของภาครัฐฯ ทำให้คนส่วนใหญ่เกิดความเครียด ซึ่งล่าสุด นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ วิป สนช. โพสต์ข้อความวิเคราะห์ประเด็นนี้ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า
    .
    ฟังข่าวอาจารย์มหาวิทยาลัย7คนเสนองานวิจัยที่สรุปว่า ผลวิกฤติโควิดทำให้คนฆ่าตัวตายมากขึ้นด้วยความไม่สบายใจ จริงอยู่ การปิดบ้านปิดเมือง ห้ามค้าขาย ห้ามคนใกล้ชิดกัน ทำให้คนจำนวนมาก ตกงาน ไม่มีรายได้ เป็นสาเหตุหนึ่งที่อาจทำให้คนฆ่าตัวตายได้
    .
    แต่การด่วนสรุป และโยงการฆ่าตัวตายทุกรายในระยะนี้ว่ามีสาเหตุจากการระบาดของโควิดทั้งสิ้นนั้น ส่อถึงเจตนาโยงถึงผลทางการเมืองมากกว่าเป็นงานวิจัยของนักวิชาการ อธิบดีกรมสุขภาพจิตและทีมงานได้วิเคราะห์รายละเอียดของงานวิจัยแล้วสรุปมา 3 ข้อคือ
    ...
    1. งานวิจัยนี้เป็นเพียงบทวิเคราะห์สื่อและการนำเสนอปัจจัยสาเหตุจากมุมมอง
    ของสื่อมวลชน ซึ่งไม่สามารถนำมาใช้เป็นตัวแทนหรือใช้เป็นข้อเท็จจริงที่
    สะท้อนปัญหาการฆ่าตัวตายในสังคมไทยได้ เนื่องจากโดยปกติแล้วงานวิจัย
    ด้านสุขภาพจิตต้องใช้นักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญในการเก็บข้อมูลปัจจัยด้านสุขภาพจิต
    .
    2. การนำเสนอและวิเคราะห์เลือกแสดงข้อมูลเพียงเดือนเมษายนเท่านั้น โดยขาด
    การเปรียบเทียบกับข้อมูลการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายของประชากรในเดือน
    ก่อนหน้านี้ และการนำข้อมูลเปรียบเทียบกับการเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19
    นั้น ก่อให้เกิดการตีความ และความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
    .
    3. การอภิปรายผลการวิจัย โดยขาดการทบทวนวรรณกรรมหรืองานวิจัยสุขภาพจิต
    ที่มีมาก่อนหน้านี้ รวมถึงไม่อยู่บนพื้นฐานทฤษฎีด้านสุขภาพจิต อาจสร้างความเข้าใจ
    ที่คลาดเคลื่อนอย่างมากให้ประชาชน เป็นคำตอบถึงงานวิจัยที่ไม่ได้มาตรฐานชิ้นนี้ คงต้องสอบต่อว่าองค์กรใดเป็นผู้อนุมัติให้ทุนงานวิจัย และต้องการตอบโจทย์ใด
    .
    เมื่อปลายเดือนก่อนมีน้องแพทย์ที่เป็นกรรมการสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย มาหารือถึงสถานการณ์การฆ่าตัวตายในประเทศว่ามีตัวเลขสูงถึงร้อยละ14.4 สูงสุดในอาเซียน เทียบกับสิงคโปร์ที่ 9.9 ลาว 8.6 เมียนมาร์ 7.8 เวียตนาม 7.3 มาเลเซีย 5.5 กัมพูชา 5.3
    อินโดเนเซีย 3.4 และฟิลิปปินส์ 3.2
    .
    อยากให้นำเสนอด้วยการตั้งกระทู้ในสภา เพื่อให้ฝ่ายบริหารเห็นความสำคัญ จะได้ยกระดับปัญหานำมาแก้ไข ผมก็ผลัดไปเพราะประเด็นยังไม่ร้อนพอในขณะนั้น ครั้งนี้คงต้องนำกลับมาทบทวนจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ประกอบกับข้อมูลจากรพ.จิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ จ.ขอนแก่น พบจำนวนผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายไม่ต่ำกว่า 4,000-4,200 รายต่อปี หรือราวๆ 1 รายในทุก 2 ชม. และน่าจะมีงานวิจัยที่ได้มาตรฐานในประเด็นนี้ ศึกษาวิจัยอย่างแท้จริง ทั้งในประเด็นนี้ และผลกระทบทางจิตใจของประชาชนจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปหลังสถานการณ์การระบาดนี้สิ้นสุดลง ครับ

    -------------------------------
    แหล่งที่มา


    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันนี้เฟซบุ๊กของนายแพทย์ชำนาญ ภู่เอี่ยม อดีตที่ปรึกษากระทรวงสาธารณสุข ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับหัวข้อ ข้อสอบการแก้ปัญหาวิกฤตโควิด-19 ภาคปฏิบัติ ของประเทศไทยเอาไว้ว่า
    .
    “ผลการสอบโควิดฯไทยติดอันดับโลก”
    ขณะนี้ ไม่ว่าประเทศใหญ่ ประเทศเล็ก
    ไม่ว่าประเทศมหาอำนาจ ประเทศพัฒนา กำลังพัฒนา หรือ ด้อยพัฒนา ทุกประเทศได้รับข้อสอบเหมือนกันหมด.. “ข้อสอบการแก้ปัญหาโควิด-19 ภาคปฏิบัติ”
    .
    ประเทศไทยภายใต้การนำของนายกลุงตู่ ก็เป็นผู้เข้าสอบหนึ่งในจำนวนนั้น และถูกจัดอยู่ประเภท.... “ม้านอกสายตา” เพียงพอต้นเริ่มสอบ ก็ได้รับการดูแคลนไม่เฉพาะคนนอกประเทศ คนในประเทศก็มีเป็นจำนวนไม่น้อย ทั้งฝ่ายแค้น และ ฝ่ายดูแคลนชาติ...ที่ตั้งตาคอยเอาใจช่วยลุง..(ให้ล้มคว่ำ?)
    .
    เริ่มต้นลุงทำงานยากลำบากมาก ร่างกายผ่ายผอม สีหน้าหมองคล้ำเพราะมีพันธนาการทางการเมือง ทั้งเรื่องของคุณภาพ ความสามารถของคน ความไม่ใส่ใจในการทำงาน การฉกฉวยมุ่งหาผลประโยชน์ใส่ตน ตลอดจนแรงต้านจากนักการเมืองบางฝ่าย ที่สำคัญคือการขาดเอกภาพและความรวดเร็วในการสั่งการ..
    .
    ในช่วงกลางเดือนมีนาคม มีทั้งผู้เชี่ยวชาญ และ ผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญ(แต่อยากจะเชี่ยวชาญ) ต่างดาหน้าออกมาให้ความเห็น พยากรณ์ว่า ผู้ติดเชื้อไทยจะเหยียบหลักหลายหมื่นคนกลางเมษายนอย่างแน่นอนเนื่องจากช่วงนั้นมีแนวโน้มผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง..จึงเกิดกระแสขอให้ลุงปิดบ้าน ปิดเมือง สูงขึ้น...
    .
    ประกอบกับมีเรื่องการฉกฉวยหาผลประโยชน์ของนักการเมืองทุกฝ่าย เป็นที่น่าสังเกตว่า ในสถานการณ์วิกฤติของประเทศชาติทุกครั้ง นักการเมืองอาชีพนอกจากไม่สามารถช่วยประเทศชาติได้แล้ว ยังซ้ำเติมให้สถานการณ์ของชาติเลวลงทุกครั้ง...
    .
    ลุงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาจากกระดาษข้อสอบ แล้วก็ปรึกษาผู้ที่ควรปรึกษา และ ไม่ยอมปรึกษาผู้ที่ไม่ควรปรึกษา.... แล้วลุงก็ประยุกต์แนวคิดของลุง ผสมกับข้อเสนอแนะของผู้รู้จริง ไว้ดังนี้
    ...
    1. ต้องกลับไปสู่คราบเก่า ”นักเผด็จการที่มีคุณธรรม” (งานที่ถนัด) โดย ประกาศ พรบ.ฉุกเฉิน....ฝืนใจเป็นอัศวินม้าขาวต้องบัญชาการรบด้วยตนเอง ความน่ารักของลุงคือ ก่อนจะประกาศใช้ พรบ.ฉุกเฉินฯ ลุงจะเปิดโอกาสให้ประชาชนเตรียมตัวอยู่หลายวัน เพราะกลัวประชาชนจะเดือดร้อน(นับว่าเป็นการใช้ พรบ.ฉุกเฉิน ที่น่ารักอีกแบบหนึ่ง)
    .
    2. ต้องทำการ “กระชับพื้นที่ของโควิด” คือ ปิดบ้าน ปิดเมืองโดยด่วน....โดยการกระชับพื้นที่เป็นรายจังหวัด มอบให้พ่อเมืองรับผิดชอบดูแลตัวเลขผู้ติดเชื้อ โดยลุงถือว่า.. “โรคติดต่อ..ถ้าคนไม่ติดต่อ ก็จะไม่มีการติดต่อ”
    .
    3. ต้องลดขั้นตอนการทำงานให้เหมาะสม (Mean and Lean) เน้นการแก้ปัญหาให้ตรงจุดและรวดเร็ว (Focus and Fast)
    .
    4. ต้องใช้มืออาชีพโดยไม่ผ่านคนกลาง ใช้คนให้เหมาะสมกับงาน ไม่ใช้คนตามมารยาท ต้องสลัดนักการเมืองออกไปชั่วคราว ต้องให้ข้าราชการ และผู้รู้ตัวจริง มีอิสระในการทำงาน อย่างแท้จริง ต้องใช้ทีมแพทย์ และสาธารณสุขที่ทรงคุณค่า รวมทั้ง ใช้อาสาสมัครสาธารณสุขที่มีเครือข่ายทั่วประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต้องตัดการเอาหน้า หาเสียง หาประโยชน์ทางการเมืองออกไปให้หมดทุกกระทรวง (แม้จะทราบว่า นักการเมืองอึดอัด แต่ลุงตู่ก็มุ่งทำเพื่อชาติเหนือสิ่งอื่นใด)
    .
    5. ต้องใช้ความเป็นทหารอาชีพ ซึ่งเคยผ่านหลักสูตรเสนาธิการทหาร ในการวางแผนการรบเพื่อชัยชนะอย่างรัดกุม เป็นขั้นเป็นตอน
    .
    6.เน้นบรรยากาศความร่วมมือ ความมีวินัย และจิตสำนึกต่อส่วนรวมของคนในชาติแบบไทยๆ
    .
    หลังจากได้มีมาตรการใหม่ออกไป มีผู้คนติดตามผลงานของลุงตู่ ซึ่งถ่ายทอดโดยคุณหมอทวีศิลป์ วิษณุโยธิด้วยจิตใจที่จดจ่อ ราวกับดูหนังซีรีย์เป็นประจำทุกวัน ...ผู้คนสนใจตัวเลขผู้ติดเชื้อที่แชร์ออกสื่อแต่ละวัน ทำให้การเก็บตัวอยู่ที่บ้านมีชีวิตชีวา เพราะบางบ้านรับพนันขันต่อกันเล่นๆ แทงตัวเลขผู้ติดเชื้อว่า พรุ่งนี้จะสูงหรือต่ำกว่า 15 เป็นต้น...(นี่คือการเริ่มต้นวิถีชีวิตแบบ Thai New Normal) เพื่อให้การติดตามผลงานของลุงตู่มีความสนุก และ เข้าใจง่ายขึ้น ผมจะขอสรุป(ตามความเข้าใจของผม)ดังนี้....

    .
    - มาตรการของลุง จะเริ่มจากเบาไปหาหนัก...

    - เริ่มต้นช่วงแรก: สถานการณ์ไม่เร่งด่วนนักและมีแรงต่อต้านน้อย ลุงจะเริ่มด้วยการให้วิสัยทัศน์ และ ขอความร่วมมือในวงกว้าง (Visionary Extensive Participation)

    - พอเริ่มมีความเร่งด่วน ลุงจะใช้วิธีการจูงใจ และเจาะกลุ่มบุคคลเป้าหมายเพื่อให้ได้รับความร่วมมือ (Persuasive, Focus Participation)

    - พอเริ่มมีแรงต่อต้านสูงแต่ไม่เร่งด่วนนัก ลุงก็เพิ่มความเข้มข้นในการใช้อำนาจ (Coercive) และพอสถานการณ์ทั้งเร่งด่วนและมีแรงต้านสูง ลุงก็จะใช้ความเด็ดขาดสั่งการ (Dictatorial) ในทันที
    .
    ทั้งนี้ มาตรการของลุงจะผันแปรไปตามปัจจัย ความเร่งด่วน (Urgency) และ แรงต่อต้าน (Resistance).... ความมือของคนร่วมชาติพุ่งกระฉูดขึ้นอย่างรวดเร็ว วินัย และน้ำใจของคนร่วมชาติดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา... บางท่านบอกว่ามาจากความกลัวตายของประชาชน แต่มีจำนวนไม่น้อยบอกว่ามาจากการสื่อสารที่ดีขึ้นของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง... ความสามัคคีก็ดูเหมือนจะดีขึ้นตามไปด้วย..... (ทำให้นึกถึงบรรยากาศตอนน้องหมูป่าติดถ้ำ)
    .
    ประเทศไทย จากม้านอกสายตา กลับกลายเป็น Super Star ของสังคมโลก.... ลุงตู่มี Aura จับเปล่งประกาย
    คำชื่นชมจากทั่วโลกหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย แต่ก็ยังสวนทางกับคำด่าของฝ่ายแค้น และฝ่ายผิดหวัง และ “แกล้งผิดหวัง” จากเงินเยียวยา....ลุงเหนื่อยยากเพียงใด ก็มิเคยปริปาก... ไม่ยอมออกสื่อบ่อยเหมือนเช่นเคย...
    .
    “ผลงานให้โฆษกพูด..ส่วนลุงพูดด้วยผลงาน”
    ลุงได้เลือกโฆษกได้อย่างสุดยอด ประเภท “all in one” ที่เป็นได้ทั้งโฆษก เป็นได้ทั้งแพทย์ เป็นได้ทั้งจิตแพทย์ เป็นได้ทั้งครูสอนสุขศึกษา วินัย และ จิตสำนึกของคนในชาติ จนเดี๋ยวนี้ มีแม่ยกคุณหมออยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ใครไม่รู้จักคุณหมอ ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ถือว่าตกยุค....
    .
    ถ้าดูผลงานภายใต้การนำของลุง ณ.เวลานี้ก็ถือว่าทำได้ดีมากเกินความคาดหมาย ประเมินจากคำชมของสังคมโลก ถือว่าสุดยอด แต่หนังซีรีย์ต้องดูกันยาวๆให้ถึงตอนจบ..ยังต้องเดินทางอีกยาวไกล อุปสรรคขวากหนามข้างหน้ายังอีกเหลือคณานับ...
    .
    การตัดสินใจปลดล็อค คลายล็อคนั้น คือปัญหาใหญ่ของลุง ซึ่งต้องอยู่บนพื้นฐานความปลอดภัยด้านสุขภาพของประชาชนมาเป็นลำดับต้น จะต้องไม่ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันทางเศรษฐกิจ และจะต้องไม่ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันของฝ่ายแค้น หรือ ฝ่ายดูแคลนชาติ เพราะถ้าตัดสินใจผิดแม้แต่เพียงเล็กน้อย อาจจะส่งผลให้ไม่มีโอกาสกลับมาได้อีกเลย อย่าประมาท การ์ดอย่าตก....
    .
    ความปลอดภัยทางสุขภาพก็เป็นเรื่องน่าห่วง ปากท้องของประชาชนก็เป็นเรื่องน่าห่วงไม่น้อยเราเชื่อว่าลุงตู่คงจะสร้างความสมดุลย์ ณ.จุดนี้ได้อย่างเหมาะสม... ผลการสอบข้อสอบโควิดทั่วโลกครั้งนี้ คือ บทพิสูจน์คุณภาพของผู้นำ และ คุณภาพของคนในชาติ.... การแพ้-ชนะโควิด-19 ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการแพทย์ สาธารณสุขแต่เพียงอย่างเดียว
    .
    แต่ปัจจัยที่เป็นกุญแจแห่งความสำเร็จ(Key of Success Factors)ครั้งนี้ คือ การยืนระยะต่อกรกับโควิด อย่างมีวินัย มีน้ำใจ กล้าหาญ อดทนอดกลั้น มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติ และ ภายใต้การนำที่ดีมีคุณภาพ
    .
    สรุป: ช่วงนี้บอกได้คำเดียวว่า ลุงตู่มีบารมี ราศรีจับที่สุด มีผลงานที่จับต้องได้ที่สุด ไม่ใช่แค่ระดับประเทศไทย แต่ไปไกลระดับโลกแล้ว...
    ลุงสอบผ่านข้อสอบข้อนี้ไปได้อย่างสบายระดับเกรด เอ บวก.....
    .

    .. “ความดี คือ เกราะกำบัง ไม่ต้องมานั่งปลุกม็อบ” ....
    .
    (ขอเรียนว่า ที่เขียนมาทั้งหมดนี้มิใช่เพื่อเชียร์ลุงตู่ เพียงแต่ต้องการชื่นชมคนทำดี เหมือนที่สังคมโลกเขาชื่นชมกันเท่านั้น)
    .

    Chamnan._

    นายแพทย์ ชำนาญ ภู่เอี่ยม
    26/04/2563
    13:34
    Thailand

    -------------------------------
    แหล่งที่มา



    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่ 27 เมษายน 2020 สำนักข่าว Reuters รายงานว่า กระทรวงสาธารณสุขออสเตรเลียได้เริ่มใช้ CovidSafe แอปพลิเคชั่นสำหรับติดตามประชาชนชาวออสเตรเลีย เพื่อควบคุมสถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการเฝ้าระวังการแพร่เชื้อ ควบคู่กับการลดระดับมาตรการล็อกดาวน์ ให้ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติทั่วประเทศออสเตรเลีย
    .
    แอปพลิเคชั่น CovidSafe เริ่มเปิดให้ดาวน์โหลดเมื่อวันที่ 26 เมษายน โดยในตอนนี้มีประชากรในออสเตรเลีย ประมาณ 8% ซึ่งไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน ได้ดาวน์โหลดแอปฯ CovidSafe ไว้ในโทรศัพท์สมาร์ตโฟนเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งรัฐบาลออสเตรเลียภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี สกอตต์ มอร์ริสัน (Scott Morrison) ต้องการให้ประชากรในออสเตรเลียอย่างน้อย 40% ดาวน์โหลดแอปฯ CovidSafe ไปใช้ เพื่อความปลอดภัยของชาวออสเตรเลีย และเพื่อความสะดวกในการยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
    .
    หนึ่งในฟังก์ชั่นของแอปฯ CovidSafe คือการใช้ระบบสัญญาณบลูทูธ (Bluetooth) ในการติดตามบันทึกข้อมูลว่า ประชาชนคนไหนที่ยืนใกล้กัน หรือมีการพบปะกับใครบ้าง ซึ่งจะช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์ของออสเตรเลีย สามารถค้นหาบุคคลที่เป็นผู้เริ่มแพร่เชื้อ และบุคคลที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เพื่อยับยั้งการแพร่เชื้อ และเพื่อติดตามผู้ติดเชื้อให้มาเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที
    .
    อย่างไรก็ตาม กลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิเสรีภาพในออสเตรเลีย ได้แสดงความไม่พอใจที่รัฐบาลออสเตรเลีย ใช้แอปฯ CovidSafe ติดตามหรือสอดแนมประชาชน โดยกลุ่มนักเคลื่อนไหวฯกังวลว่า รัฐบาลออสเตรเลียอาจล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัว (privacy) ของชาวออสเตรเลีย แม้ว่าแอปฯ CovidSafe จะมีจุดประสงค์เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาด และเพื่อรักษาผู้ติดเชื้อก็ตาม
    .
    ทั้งนี้ รัฐบาลออสเตรเลียได้ออกแถลงการณ์ ถึงสิ่งที่กลุ่มนักเคลื่อนไหวฯมีความกังวล โดยชี้แจงว่า แอปฯ CovidSafe มิได้เปิดเผยหรือบันทึกตำแหน่งของผู้ใช้โทรศัพท์สมาร์ตโฟน แต่จะบันทึกข้อมูลว่า ผู้ใช้โทรศัพท์สมาร์ตโฟนเคยอยู่ใกล้บุคคลใดหรือเคยพบปะกับใครบ้าง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการค้นหา และยับยั้งการแพร่เชื้อของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยแอปฯ CovidSafe มีต้นแบบมาจากแอปฯ TraceTogether ที่รัฐบาลสิงคโปร์ใช้ เพื่อติดตามและยับยั้งการแพร่เชื้อโควิด-19 เช่นกัน
    .
    -------------------------------
    แหล่งที่มา
    - https://www.reuters.com/article/us-...app-within-hours-of-its-release-idUSKCN22902G
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook :
    https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ล่าสุดกลุ่มผู้เรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกงก็กลับมารวมตัวชุมนุมกันอีกครั้ง เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังจากสถานการณ์โควิด-19 ในฮ่องกงเริ่มคลี่คลาย
    .
    โดยกลุ่มคนที่มารวมตัวประท้วงกันในครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวอายุน้อย มีจำนวนประมาณ 300 คน พวกเขามาชุมนุมกันภายในห้างสรรพสินค้า City Plaza ในย่านไท่กู๋ชิง ทางฝั่งตะวันออกของฮ่องกง โดยบรรดาผู้ประท้วงต้องการให้ปล่อยตัวนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย 15 คน ที่ถูกจับกุมไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จากข้อกล่าวหาเข้าร่วมการประท้วงที่ไม่ได้รับอนุญาตเมื่อปี 2019
    .
    ด้านตำรวจฮ่องกงได้นำกำลังเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มผู้ประท้วง ตามคำสั่งของภาครัฐที่ห้ามมิให้มีการรวมตัวกันเกิน 4 คนในพื้นที่สาธารณะ โดยไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น ซึ่งการชุมนุมครั้งนี้ ทำให้ทางห้างต้องประกาศปิดก่อนเวลา ส่งผลให้ทั้งผู้ประท้วง รวมถึงบุคคลทั่วไปที่เข้าไปจับจ่ายซื้อของต้องออกจากห้างสรรพสินค้าทั้งหมด
    .
    อย่างไรก็ดี ข้อมูลเมื่อวันที่ 26 เมษายน ระบุว่า ฮ่องกงมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวน 1,035 ราย ส่วนผู้เสียชีวิตมีจำนวน 4 ราย

    -------------------------------
    แหล่งที่มา

    https://hongkongfp.com/2020/04/27/i...-shopping-mall-amid-coronavirus-restrictions/

    https://mgronline.com/around/detail/9630000044127
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ไม่นานมานี้รายงานล่าสุดจากสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (SIPRI) ระบุว่า ปัจจุบันทั่วโลกต่างทุ่มงบด้านการทหารมากที่สุดในรอบกว่า10 ปี โดยมีสหรัฐฯ จีนและอินเดียนำโด่ง เป็นประเทศที่เจียดงบกลาโหมมาซื้ออาวุธมากที่สุดในโลก
    .
    โดย SIPRI เปิดเผยว่า งบประมาณด้านการทหารทั่วโลกเพิ่มขึ้น 3.6% เป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 10 ปี คิดเป็นเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นรวมกันทั่วโลกถึง 1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2562 คิดเป็นอัตราการเติบโตต่อปีที่ 3.6% เมื่อเทียบกับปี 2561 และสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2553
    .
    ดร. หนาน เทียน นักวิจัยของ SIPRI กล่าวเพิ่มเติมว่า การใช้จ่ายทางทหารทั่วโลกเพิ่มขึ้น 7.2% ในปี 2562 เมื่อเทียบกับปี 2553 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแนวโน้มการเติบโตของการใช้จ่ายทางทหารได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และนี่คือระดับการใช้จ่ายสูงสุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลกปี 2551 และอาจเป็นระดับการใช้จ่ายสูงสุดครั้งหนึ่งเลยทีเดียว
    .
    การใช้จ่ายด้านการทหารของสหรัฐฯ ขยายตัว 5.3% อยู่ที่ 732,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2562 และคิดเป็น 38% ของการใช้จ่ายทางทหารทั่วโลก การเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายของสหรัฐฯ ในปี 2562 เพียงอย่างเดียวนั้นเทียบเท่ากับค่าใช้จ่ายทางทหารทั้งหมดของเยอรมนีในปีนั้น
    .
    ด้าน ปีเตอร์ ดี. เวเซอแมน นักวิจัยอาวุโสของ SIPRI กล่าวว่า การเติบโตของการใช้จ่ายทางทหารของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา เป็นการสะท้อนให้เห็นว่ามหาอำนาจหันมาสะสมอาวุธกันอีกครั้ง ซึ่งในปี 2562 จีน และอินเดียมีการใช้จ่ายด้านการทหารเป็นอันดับ 2 และ 3 ของโลกตามลำดับ งบประมาณทางทหารของจีนสูงถึง 261,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2562 เพิ่มขึ้น 5.1% เมื่อเทียบกับปี 2561
    .
    ในขณะที่อินเดียเพิ่มขึ้น 6.8% สู่ 71,100 ล้านเหรียญสหรัฐ สาเหตุมาจากความตึงเครียด และการแข่งขันระหว่างอินเดียกับปากีสถานโดยมีจีน (ซึ่งเป็นพันธมิตรของปากีสถาน) เป็นหนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญสำหรับการใช้จ่ายด้านการทหารที่เพิ่มขึ้นของอินเดีย
    .
    นอกจากจีน และอินเดียแล้ว ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ยังเป็นผู้ใช้จ่ายทางทหารรายใหญ่ที่สุดในเอเชีย และโอเชียเนีย โดยญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 47,600 ล้านเหรียญสหรัฐ และเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น 43,900 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยค่าใช้จ่ายทางทหารในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นทุกปีตั้งแต่อย่างน้อยปี 2532 ส่วนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การใช้จ่ายทางทหารเพิ่มขึ้น 4.2% ในปี 2562 อยู่ที่ 40,500 ล้านเหรียญสหรัฐ

    -------------------------------
    แหล่งที่มา

    https://www.sipri.org/media/press-r...rease-decade-says-sipri-reaching-1917-billion

    https://www.sipri.org/sites/default/files/2020-04/fs_2020_04_milex_0.pdf

    https://economictimes.indiatimes.co...top-3-study/articleshow/75404166.cms?from=mdr

    https://www.firstpost.com/india/wor...nd-india-third-in-total-spending-8303201.html

    https://www.posttoday.com/world/621996
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (Apr 28) เกาหลีใต้ให้แบบอย่าง “มาตรการ” ที่เรียกว่า Best Practice ในการต่อสู้กับโควิด-19 :เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา คนอเมริกันติดเชื้อโควิด-19 แล้ว 939,053 ราย หรือ 2,863 รายต่อประชากร 1 ล้านคน และเสียชีวิตไปแล้ว 53,789 คน หรือ 164 คนต่อประชากร 1 ล้านคน นับจากเดือนมีนาคมเป็นต้นมา ทุกเช้าที่คนเมริกันตื่นขึ้นมา จะรู้สึกว่าตัวเองกำลังมีชีวิตอยู่ในประเทศที่มีรัฐล้มเหลว (failed state)

    ในการแพร่ระบาดของโควิด-19 ประเทศต่างๆ จำเป็นที่จะต้องมีมาตรการรับมือแบบรวดเร็ว อิงหลักวิทยาศาสตร์ และมีแผนงานระดับชาติ

    แต่บทความชื่อ We Are Living in a Failed State ในเว็บไซต์ The Atlantic กล่าวว่า สหรัฐอเมริการับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 เหมือนกับประเทศอย่างปากีสถานหรือเบลารุส ที่โครงสร้างพื้นฐานมีสภาพกระท่อนกระแท่น และรัฐบาลทำงานแบบผิดปกติ ผู้นำประเทศไม่สามารถดำเนินการป้องกันไม่ให้ประชาชนประสบความยากลำบาก ประเทศไม่มีแผนงานเป็นเอกภาพ ว่าจะล็อกดาวน์อะไรบ้าง ทั้งหมดปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของครอบครัว โรงเรียน สถานที่ทำงาน หรือท้องถิ่น

    ส่วนเกาหลีใต้ ในวันที่ 15 เมษายน ประชาชนเข้าแถวเพื่อไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติ และคนเกาหลีใต้คงกำลังคิดว่าจะได้กลับมาทำงานในอีกไม่นานนี้แล้ว และมีโอกาสซื้อสินค้าที่มากกว่าอาหารหรือสินค้าอนามัยต่างๆ ก่อนหน้านี้เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นเรื่องคาดคิดไม่ออกว่า เป็นเรื่องเป็นไปได้ที่คนเกาหลีใต้จะออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง

    เกาหลีใต้พบคนติดเชื้อโควิด-19 รายแรกเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2020 ในช่วงแรก จำนวนคนติดเชื้อมีจำนวนไม่มาก แต่ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ คนติดเชื้อพุ่งขึ้นสูงสุดถึง 909 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่น่าตกใจ แต่แล้วจำนวนคนติดเชื้อก็เริ่มลดน้อยลง ปลายเดือนมีนาคม คนติดเชื้อแต่ละวันมีสิบกว่าคน และลดมาเป็นตัวเลขตัวเดียว ดังนั้น ภายในไม่กี่สัปดาห์ เกาหลีใต้สามารถกดให้กราฟคนติดเชื้อต่ำลงเป็นเส้นแบบแนวนอน

    แอปใช้ติดตามตัวบุคคล

    บทความชื่อ South Korea Offers a Lesson in Best Practice ของ Victor Chaผู้เชี่ยวชาญเรื่องเกาหลีของสหรัฐฯ ใน foreignaffairs.comforeignaffairs.com กล่าวว่า ในเรื่องไวรัสโคโรนา เกาหลีใต้ทำให้การติดตามตัวคนติดเชื้อพัฒนาขึ้นมาใหม่ในอีกระดับหนึ่ง ผู้โดยสารที่เดินทางมาถึงสนามบินอินชอน หลังจากผ่านการตรวจอุณหภูมิแล้วจะต้องดาวน์โหลดแอปการตรวจอาการตัวเองที่เป็นของกระทรวงสาธารณสุข

    เมื่อกลับไปที่พักปลายทางแล้ว ในทุกวัน คนที่ผ่านการคัดกรองมาแล้ว จะต้องใช้แอปนี้เพื่อรายงานอาการของโควิด-19 สำหรับคนที่ตรวจเชื้อไวรัสแล้วเป็นบวก จะถูกติดตามการเคลื่อนไหว ส่วนคนที่อยู่ใกล้เคียงกับคนติดเชื้อ จะได้รับแจ้งทางโทรศัพท์ในเรื่องการเว้นระยะห่างทางสังคม

    สำหรับคนอเมริกันที่ยึดถือความสำคัญในเรื่อง สิทธิเสรีภาพและความเป็นส่วนตัว มาตรการติดตามตัวบุคคลของเกาหลีใต้ดังกล่าวจะมองว่าเป็นมาตรการแบบ “ลูกพี่ใหญ่” (Big Brother) แต่หากจะต่อสู้กับโควิด-19 และต้องการเปิดเศรษฐกิจให้เดินเครื่องใหม่ อาจจำเป็นที่จะต้องมองข้ามค่านิยมดังกล่าวเป็นการชั่วคราว

    สหรัฐฯ กับเกาหลีใต้ค้นพบคนติดเชื้อโควิด-19 คนแรก ในเวลาที่ใกล้เคียงกัน แต่ตัวเลขคนติดเชื้อในสหรัฐฯ พุ่งขึ้นมาเป็นตัวเลข 6 หลัก และกำลังจะเกิน 7 หลัก ส่วนจำนวนคนติดเชื้อในเกาหลีใต้ 10,000 กว่าคน และตัวเลขลดลงมาตลอด การตรวจเชื้อต่อประชากรของเกาหลีใต้ มีมากกว่าสหรัฐฯ 3 เท่า ทั้งนี้เพราะส่วนหนึ่งบริษัทเกาหลีใต้ผลิตเครื่องตรวจเชื้อได้ 350,000 ชุดต่อวัน และกำลังจะเพิ่มเป็น 1 ล้านชุดต่อวัน

    Best Practice ที่ต่อสู้กับโควิด-19

    บทความของ foreignaffairs.com กล่าวว่า ระบบการติดตามตัวคนที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เป็นเพียงมาตรการย่อยอย่างหนึ่งของเกาหลีใต้ ในอันที่จะกดให้กราฟจำนวนคนติดเชื้อเป็นเส้นนอนราบ การดำเนินการที่รวดเร็ว การมีนวัตกรรมด้านนโยบาย และบทบาทการประสานงานของรัฐบาลกลาง พิสูจน์ให้เห็นว่า เป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพ ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 และยังให้บทเรียนแก่ประเทศต่างๆ

    ลำดับเหตุการณ์ หรือ timeline การรับมือโควิด-19 ของเกาหลีใต้ สะท้อนประสิทธิภาพในการควบคุมการแพร่ระบาด เกาหลีใต้ไม่ปล่อยให้เสียเวลาในเรื่องนี้ ประเทศนี้พบคนติดเชื้อรายแรกในวันที่ 20 มกราคม 2020 หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เจ้าหน้าที่สาธารณสุขประชุมกับบริษัทด้านการแพทย์ 20 แห่ง เพื่อเร่งการผลิตเครื่องตรวจเชื้อและการอนุญาตเครื่องตรวจ ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2020 รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉิน

    ในปลายเดือนมกราคม ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ (KCDC) และสำนักงานบริการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้ตั้งคอลเซนเตอร์ 1339 ขึ้นมา เพื่อให้ข้อมูลแก่ประชาชน หน่วยงานดูแลความปลอดภัยการทำงานเริ่มแจกจ่ายหน้ากากอนามัยให้แก่สถานที่ทำงาน 7 แสนแห่ง สองสัปดาห์หลังจากค้นพบคนติดเชื้อรายแรก หน่วยงานรัฐได้อนุมัติและแจกจ่ายเครื่องตรวจเชื้อ ที่สามารถรู้ผลภายใน 6 ชั่วโมง ทำให้เกาหลีใต้สามารถตรวจเชื้อได้วันหนึ่งกว่า 2 หมื่นคน

    การมีมาตรการรับมือโควิด-19 อย่างรวดเร็วของเกาหลีใต้ ส่วนหนึ่งมาจากบทเรียนการแพร่ระบาดของโรค MERS ที่เกิดขึ้นในปี 2015 ทำให้เกาหลีใต้มีคนติดเชื้อมากสุดรองจากซาอุดีอาระเบีย สาเหตุเพราะรัฐบาลมีมาตรการรับมือที่ล่าช้า และระบบสาธารณสุขขาดอุปกรณ์ทดสอบ ทำให้เวลาต่อมา เกาหลีใต้ได้ตั้งระบบรับมือฉุกเฉินขึ้นมา ฝึกฝนบุคลากรสำหรับการแพร่ระบาดในอนาคต และปรับปรุงขั้นตอนการอนุมัติระบบตรวจเชื้อ ในช่วงการแพร่ระบาด ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ประเทศนี้ สามารถผลิตเครื่องตรวจเชื้อโควิด-19 ได้อย่างรวดเร็ว นอกเหนือจากการมีอุตสาหกรรมไบโอเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า

    เทคโนโลยีติดตามตัว

    เกาหลีใต้ได้รับความชื่นชมจากทั่วโลก ถึงความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยอาศัยกลยุทธ์ที่เรียกว่า “ตรวจหาเชื้อ ตรวจหาเชื้อ และตรวจหาเชื้อ” แต่ความสำเร็จที่ไม่มีการรายงานข่าวคือ เกาหลีใต้อาศัยเทคโนโลยีการติดตามตัวบุคคลอย่างมาก โดยเฉพาะกล้อง CCTV การติดตามการใช้บัตรเงินสดของธนาคาร และการใช้โทรศัพท์มือถือ

    ในช่วงแรก เทคโนโลยีดังกล่างถูกนำมาใช้เพื่อติดตามว่า ใครคือกลุ่มเสี่ยงที่จะต้องมาตรวจเชื้อ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อจะมีอาการไม่รุนแรง ทำให้คนเหล่านี้มักไม่มาพบสาธารณสุข ไม่ตระหนักว่าตัวเองป่วย และจะแพร่เชื้อให้คนอื่น ดังนั้น หากไม่สามารถค้นหาคนกลุ่มนี้ ความสามารถในการตรวจเชื้อได้มากก็ไม่มีความหมายอะไรมาก

    เกาหลีใต้จึงอาศัยวิธีการ 3 อย่างในการติดตามคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง วิธีการแรก คือ ตรวจสอบการใช้บัตรเครดิตหรือบัตรเงินสด ทำให้สามารถเห็นการเคลื่อนไหวของคนเหล่านี้บนแผ่นที่ วิธีการที่สอง คือ อาศัยสมาร์ทโฟน เพื่อระบุจุดที่อยู่อาศัย หรือสถานที่การไปเยือนของคนกลุ่มเสี่ยง และวิธีการสุดท้าย กล้อง CCTV จะทำให้เจ้าหน้าที่สามารถระบุคนที่เข้าไปติดต่อกับผู้ป่วยโควิด-19

    ประเทศนวัตกรรม

    แต่บทความของ Victor Cha กล่าวว่า นอกจากการอาศัยอุปกรณ์ไฮเทคแล้ว มาตรการของเกาหลีใต้ยังเต็มไปด้วยนวัตกรรม หลังจากค้นพบคนติดเชื้อรายแรก เจ้าหน้าที่สาธารณสุขก็เริ่มให้บริการการขับรถเข้ามาตรวจเชื้อโควิด-19 สถานที่แห่งแรกคือ ลานจอดรถของมหาวิทยาลัย ทุกวันนี้ เกาหลีใต้มีสถานที่ขับรถยนต์มาตรวจเชื้อทั้งหมด 70 แห่ง ส่วนสถานที่ตรวจเชื้อทั่วประเทศมี 600 แห่ง

    แนวคิดนวัตกรรมแบบง่ายๆ อีกอย่างคือ ระบบ “กำหนดพื้นที่” ทางสาธารณสุขสำหรับดูแลกรณีโควิด-19 สถานพยาบาลที่ดูแลเฉพาะโควิด-19 จะระบุไว้ในแอปของรัฐบาล ทางเข้าโรงพยาบาลต่างๆ จะมีป้ายเขียนบอกคนไข้ชัดเจนว่า พื้นที่เฉพาะสำหรับโควิด-19 และพื้นที่การรักษาพยาบาลโรคอื่นๆ

    การรับมือระดับประเทศ

    บทความของ Victor Cha กล่าวว่า การรับมือการแพร่ระบาดของเกาหลีใต้ คงจะประสบความสำเร็จไม่มากหากขาดบทบาทการประสานงานของรัฐบาลระดับชาติ รัฐบาลมีบทบาทสำคัญในการประสานงานระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนเพื่อแก้ปัญหาการแพร่ระบาด การรับมือกับการแพร่ระบาดเป็นมาตรการระดับชาติ มากกว่าการปล่อยให้ท้องถิ่นดำเนินการเองแบบค่อยเป็นค่อยไป

    รัฐบาลเกาหลีใต้ยังได้เตรียมแผนฟื้นฟูจากผลกระทบทางเศรษฐกิจของการแพร่ระบาด โดยประกาศมาตรการช่วยเหลือเมืองและจังหวัดต่างๆ ระงับการจ่ายเงินประกันสังคม และจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ครอบครัวที่มีรายได้ต่ำกว่าระดับปานกลางลงมา

    ผลงานที่ประสบความสำเร็จอย่างชัดเจนคือ การประสานงานระดับชาติในเรื่องหน้ากากอนามัย เกาหลีใต้ประสบปัญหาแบบเดียวกับสหรัฐฯ คือ การขาดแคลนหน้ากาก ทำให้เกิดการกักตุนและการขึ้นราคาของหน้ากากอนามัย นับจากวันที่ 5 มีนาคม รัฐบาลเป็นฝ่ายซื้อหน้ากากที่ผลิตในประเทศจำนวน 80% ความสำคัญอันดับแรกคือ การแจกจ่ายให้แก่โรงพยาบาล หลังจากนั้นก็ควบคุมราคาและวางระบบการจัดสรรแบ่งปัน ประชาชนแต่ละคนซื้อหน้ากากได้ ในวันที่เป็นตัวเลขสุดท้ายของบัตรประชาชน

    การควบคุมระบบการจัดจำหน่ายโดยรัฐบาลเกาหลีใต้ ทำให้หน้ากากอนามัยมีราคาชิ้นละ 1.27 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยสามารถหาซื้อได้จากร้านขายยา ไปรษณีย์ และร้านสหกรณ์เกษตร ปริมาณการผลิตที่มีมากทำให้เมืองและจังหวัดต่างๆ ไม่ต้องแย่งกันซื้อ เปรียบเทียบกับในสหรัฐฯ มลรัฐต่างๆแย่งกันในเรื่องสุขภัณฑ์สาธารณสุขและการนำเข้าจากต่างประเทศ หน้ากาก N95 ขายผ่าน eBay ในราคาสูงถึง 30 ดอลลาร์

    บทความของ Victor Cha กล่าวว่า การดำเนินมาตรการขั้นต่อไป เป็นเรื่องสำคัญในการต่อสู้กับโควิด-19 หากสหรัฐฯ ต้องการฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจขึ้นมาใหม่ในเร็ววัน ก็สามารถอาศัยวิธีการปฏิบัติที่เป็น best practice ของเกาหลีใต้ ซึ่งได้แก่ การตรวจเชื้ออย่างกว้างขวาง การติดตามทุกการสัมผัสเชื้อ และการเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างต่อเนื่อง หากบางภาคส่วนของเศรษฐกิจจะฟื้นตัว และเปิดกิจการได้อย่างปลอดภัย จะต้องอาศัยมาตรการที่มีประสิทธิผล 3 อย่างดังกล่าว

    โดย ปรีดี บุญซื่อ

    Source: ThaiPublica
    https://thaipublica.org/2020/04/pridi190/

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (Apr 28) กลุ่มบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรป อาทิ Volkswagen ของเยอรมนี Renault และ Peugeot ของฝรั่งเศส รวมถึง Fiat Chrysler ของอิตาลี เริ่มกลับมาเปิดโรงงานการผลิตบางส่วนอีกครั้ง หลังหลายๆ เมืองเริ่มผ่อนคลายมาตรการ lockdown:

    Volkswagen บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของเยอรมนีกลับมาเปิดการผลิต ณ โรงงานการผลิตขนาดใหญ่ที่สุดของบริษัทอีกครั้งในวันนี้ (27 เม.ย.) หลังจากทางรัฐบาลเยอรมนีประกาศผ่อนคลายมาตรการ lockdown ที่ถูกนำมาใช้เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 ลงบางส่วน แต่ผู้ผลิตรถยนต์ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากอุปสงค์ในตลาดที่ปรับลดลงอย่างมากจากปัญหาโรคระบาด

    บริษัท Volkswagen ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ภายใต้ยี่ห้อต่างๆ อาทิ Volkswagen, Skoda, Audi, Bentley, Porsche และ Seat เริ่มกลับมาเปิดโรงงานการผลิตในเมืองโวล์ฟสบวร์ก ของเยอรมนี รวมถึงโรงงานใน โปรตุเกส สเปน รัสเซีย แอฟริกาใต้ และเช็ก อีกครั้งในสัปดาห์นี้ โดยเบื้องต้นจะเริ่มเดินเครื่องกำลังการผลิตในโวล์ฟสบวร์ก เพียงร้อยละ 10 - 15 ก่อนจะปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงร้อยละ 40 ของกำลังการผลิตก่อนช่วงวิกฤตโรคระบาด

    ด้าน Renault และ Peugeot สองบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของฝรั่งเศส รวมถึงบริษัท Fiat Chrysler ของอิตาลีก็เริ่มกลับมาเปิดโรงงานการผลิตบางแห่งแล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การปิดทำการชั่วคราวของกลุ่มตัวแทนจำหน่ายรถยนต์หลายแห่งในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้เป็นการยากที่บริษัทผู้ผลิตจะสามารถประมาณการถึงอุปสงค์ของตลาดรถยนต์ในระยะต่อไปได้ โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่า ยอดขายรถยนต์ในยุโรปและสหรัฐฯ ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในเดือน เม.ย. แต่การฟื้นตัวอาจไม่เป็นไปอย่างรวดเร็วในระยะเพียงไม่กี่เดือน พร้อมทั้งคาดการณ์ว่า อุปสงค์ในตลาดรถยนต์โดยรวมอาจหดตัวกว่าร้อยละ 20 – 30 ในปี 2020 ถึงแม้ว่าอุปสงค์จากจีนจะเริ่มฟื้นกลับมาได้เร็วกว่าภูมิภาคอื่นๆ แต่ยังคงคาดว่า อุปสงค์ในจีนเองก็จะหดตัวประมาณร้อยละ 12 ในปีนี้

    Source: BoTSS

    -3-Europe restarts car factories amid uncertain demand:
    https://www.reuters.com/article/hea...factories-amid-uncertain-demand-idUSL5N2CF6XB

    - Europe restarts car factories amid uncertain demand:
    https://uk.reuters.com/article/us-h...factories-amid-uncertain-demand-idUKKCN2290J2

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (Apr 28) “คิมโยจอง” ว่าที่ผู้นำหญิงคนแรกของเกาหลีเหนือ? ทั่วโลกกำลังรอฟังข่าวคราวของ “คิม จอง อึน” ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ หลังมีรายงานว่าเขาป่วยหนัก และยังไม่ชัดเจนว่าขณะนี้ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ท่ามกลางการวิเคราะห์ว่าใครจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือคนต่อไป

    ตัวเลือกที่โดดเด่นที่สุดในเวลานี้คือ “คิม โย จอง” น้องสาวที่สนิทที่สุดของ “คิม จอง อึน” และผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าทรงอำนาจที่สุดในเกาหลีเหนือ

    ความจริงแล้ว “คิม โย จอง” ถูกวางตัวให้สืบทอดตำแหน่งผู้นำพรรคแรงงานเกาหลีเหนือ แต่ตามธรรมเนียม ซึ่งไม่ยอมรับให้ผู้หญิงปกครองประเทศ จึงอาจทำให้เธอไม่สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำหญิงคนแรกของเกาหลีเหนือได้

    นับตั้งแต่มีการก่อตั้งระบอบคอมมิวนิสต์ในเกาหลีเหนือ เมื่อปี 2491 เกาหลีเหนือผ่านการปกครองโดยชาย 3 คน คือ “คิม อิล ซุง” ผู้ก่อตั้งประเทศ ต่อมาคือ “คิม จอง อิล” ลูกชายของ “คิม อิล ซุง” และ “คิม จอง อึน” ลูกชายของ “คิม จอง อิล” หลานปู่ของ “คิม อิล ซุง”

    หลังมีรายงานข่าวว่า “คิม จอง อึน” ป่วยหนัก มีการคาดการณ์ว่า “คิม โย จอง” น้องสาวที่สนิทที่สุดของ “คิม จอง อึน” จะได้รับไม้ต่อตำแหน่งผู้นำสูงสุดจากพี่ชาย

    อย่างไรก็ตาม ลัทธิขงจื้อ ซึ่งได้ฝังรากลึกในสังคมเกาหลีเหนือ ทำให้ชาวเกาหลีเหนือยึดถือเรื่องลำดับชั้น และ เป็นสังคม “ชายเป็นใหญ่” เมื่อผสมเข้ากับระบอบการปกครองแบบเผด็จการ เลยยิ่งทำให้ผู้หญิงมีสถานะไม่ต่างจาก “ทาสรับใช้”

    ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่า ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้ “แทบเป็นไปไม่ได้เลย” ที่ “คิม โย จอง” จะได้รับการพิจารณาให้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญอีกส่วนมองว่าการที่เธอจะขึ้นสู่อำนาจนั้น เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

    “ชอง ซองชาง” นักวิเคราะห์จากสถาบันเซจองในเกาหลีใต้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพีว่า “ในหมู่อภิชนผู้ทรงอำนาจ คิม โย จอง มีโอกาสที่จะสืบทอดอำนาจมากที่สุด ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้มากกว่า 90%”

    ด้าน “ซู หมี่ เทอรี่” อดีตนักวิเคราะห์ด้านเกาหลีเหนือของ CIA เผยกับ “เดอะ นิวยอร์กเกอร์” ว่า หากมีอะไรเกิดขึ้น การให้ คิม โย จอง สืบทอดตำแหน่งต่อจากพี่ชายน่าจะสมเหตุสมผลที่สุด

    นักวิเคราะห์รายนี้ แสดงความเห็นอีกว่า การตั้งคำถามว่าชนชั้นนำในเกาหลีเหนือจะยอมรับผู้หญิงในฐานะผู้นำสูงสุดหรือไม่นั้น ถือเป็นคำถามปลายเปิด แต่จะเป็นเรื่องที่ยากกว่า หากพวกเขาต้องทำใจยอมรับผู้นำที่เป็นคนนอกตระกูลคิม

    ขณะที่อีกทฤษฎีมองว่า “คิม จอง อึน” ควรจะต้องมีผู้สืบทอดตำแหน่งเผื่อกรณีฉุกเฉิน โดยให้ “คิม โย จอง” ทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการ จนกว่าลูกชายของ “คิม จอง อึน” ซึ่งมีรายงานว่ามีอายุเพียง 10 ปี พร้อมทำหน้าที่แทนพ่อ

    โดยหน้าที่ของผู้สำเร็จราชการคือการปกครองประเทศชั่วคราว เพื่อรอส่งผ่านภาระหน้าที่ให้กับผู้สืบทอดตัวจริง ที่ยังอยู่ในวัยเยาว์

    สำหรับ “คิม โย จอง” เธอเป็นน้องสาวคนเล็กสุดของ “คิม จอง อึน” และเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของ “คิม จอง อิล” ที่เกิดกับ “โค ยอง ฮุย” นักเต้นเชื้อสายญี่ปุ่น โดย “คิม โย จอง” กับ “คิม จอง อึน” นั้น มีแม่คนเดียวกัน

    มีรายงานว่า “คิม จอง อิล” มีลูกทั้งหมด 7 คน จากภรรยา 4 คน โดยในครอบครัวดูเหมือนว่า “คิม โย จอง” กับ “คิม จอง อึน” จะสนิทกันมากที่สุด

    ช่วงต้นปี 2002 ขณะ “คิม โย จอง” อายุประมาณ 13 ปี เธอได้แสดงความสนใจในเรื่องการเมือง และ ใฝ่ฝันจะสานต่องานด้านการเมืองในเกาหลีเหนือ

    แหล่งข่าวที่เคยทำงานให้ “คิม จอง อิล” บอกว่า เขารักลูกสาวคนนี้มากและมักชมว่าเธอฉลาด

    ชีวิตส่วนตัวของ “คิม โย จอง” มักไม่ค่อยปรากฏตามสื่อ แม้แต่อายุที่แท้จริงของเธอก็ยังคงเป็นความลับ แต่หลายคนเชื่อว่าเธออายุน้อยกว่าพี่ชายประมาณ 4 ปี

    สื่อเกาหลีใต้และญี่ปุ่นรายงานว่า เธอแต่งงานกับลูกชายของ “โช รยองแฮ” รองประธานคณะกรรมการกลางและประธานคณะกรรมการประจำสภาประชาชนสูงสุดเกาหลีเหนือ แต่บางคนก็บอกว่าสามีของเธออาจเป็นหลานชายของ “โช รยองแฮ”

    บางสื่อรายงานว่าเธอมีลูกอายุ 2-3 ปี เพราะตอนที่ปรากฏตัวในโอลิมปิกฤดูหนาว 2018 ที่เกาหลีใต้ เธอดูเหมือนคนท้องอ่อนๆ หรือไม่ก็เพิ่งคลอด แต่ก็มีบางสื่อที่รายงานว่าเธอยังไม่แต่งงานและไม่มีลูกชาย จนถึงตอนนี้จึงไม่มีการยืนยันว่าเธอแต่งงานแล้วหรือไม่

    Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
    https://www.prachachat.net/world-news/news-456611

    เพิ่มเติม
    - Kim Jong-un: Who might lead N Korea without Kim?
    https://www.bbc.com/news/world-asia-52450744

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (Apr 28) น้ำมันสหรัฐฯ ร่วง $4 กังวลอุปทานล้นจากวิกฤตโควิด-19 หุ้นมะกันพุ่ง-ทองลง : ราคาน้ำมันสัญญาสหรัฐฯ ดิ่งลงแรงในวันจันทร์ (27 เม.ย.) หลังมีความกังวลรอบใหม่เกี่ยวกับภาวะขาดแคลนสถานที่กักเก็บปิโตรเลียมท่ามกลางอุปทานล้นตลาด ส่วนวอลล์สตรีทปิดบวกแข็งแกร่ง หลังหลายชาติรวมถึงอเมริกาเริ่มกลับมาเปิดเศรษฐกิจ ในขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ค่อยๆทุเลาลง ปัจจัยดังกล่าวฉุดทองคำปรับลด

    สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือ ไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน ลดลง 4.16 ดอลลาร์ ปิดที่ 12.78 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน ลดลง 1.45 ดอลลาร์ ปิดที่ 19.99 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

    ตลาดน้ำมันพังครืนลงในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังอุปสงค์เหือดหายสืบเนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์และจำกัดการเดินทางทั่วโลก ในความพยายามสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่

    สัปดาห์ที่แล้ว ราคาน้ำมันสัญญาสหรัฐฯ ลดต่ำกว่าศูนย์ดอลาร์ต่อบาร์เรลเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ในขณะที่เทรดเดอร์ตัดสินใจกระหน่ำเทขายออกมาก่อนสัญญาล่วงหน้าเดือนพฤษภาคม จะสิ้นสุดช่วงการซื้อขายและต้องชำระบัญชี เพราะหากถือเอาไว้และต้องรับมอบน้ำมันจริงก็จะต้องแบกรับต้นทุนในการหาคลังจัดเก็บ

    นับตั้งแต่นั้นราคาน้ำมันได้ฟื้นตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม มันก็ยังคงอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบหลายปี โดยปัจจัยหลักที่ฉุดราคาน้ำมันในเวลานี้ก็คือความกังวลของเทรดเดอร์เกี่ยวกับคลังจัดเก็บน้ำมันดิบ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่ใกล้เต็มความจุเต็มที ไม่สามารถรับมือกับอุปทานที่ล้นตลาดได้

    ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในวันจันทร์ (27 เม.ย.) ปิดบวกแข็งแกร่ง นักลงทุนมองในแง่บวกเกี่ยวกับก้าวย่างในการกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้งของชาติต่างๆ ในวันแรกของการซื้อขายที่เต็มไปด้วยข้อมูลทางเศรษฐกิจและรายงานผลประกอบการบริษัททั้งหลาย

    ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 358.51 จุด (1.51 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 24,133.78 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 41.74 จุด (1.47 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,878.48 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 95.64 จุด (1.11 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 8,730.16 จุด

    รัฐบาลหลายชาติในยุโรปผ่อนปรนข้อจำกัดต่างๆ ในขณะที่เคสผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ทรงตัว ขณะเดียวกัน มีรัฐต่างๆ ในสหรัฐฯ ก็ทยอยอนุญาตให้ธุรกิจบางอย่างกลับมาเปิดดำเนินการหรือไม่ก็วางกรอบเวลาอย่างชัดเจนสำหรับผ่อนปรนล็อกดาวน์

    นักลงทุนจะจับตาข้อมูลทางเศรษฐกิจสำคัญๆ ที่จะเผยแพร่ออกมาในสัปดาห์นี้ ในนั้นรวมถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภคและตัวเลขผู้ขอรับสิทธิผลประโยชน์รายสัปดาห์รายใหม่รายสัปดาห์ เช่นเดียวกับรายงานการเติบโตทางเศรษฐกิจไตรมาสแรกและการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด

    นอกจากนี้แล้วสัปดาห์นี้ยังจะเต็มไปด้วยรายงานผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ในนั้นรวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างแอมะซอน, โบอิ้ง, ไฟเซอร์, อเมริกัน แอร์ไลน์ส และเอ็กซอน โมบิล

    ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นผลักนักลงทุนเมินสินทรัพย์เสี่ยงต่ำและฉุดราคาทองคำในวันจันทร์ (27 เม.ย.) ปิดลบแรง โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน ลดลง 11.80 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,723.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์

    Source: ผู้จัดการออนไลน์
    https://mgronline.com/around/detail/9630000044212

    ************
    ราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ West Texas Intermediate (WTI) เดือน มิ.ย. ปรับลดลงมากอีกครั้งในวานนี้ประมาณร้อยละ 25 มาที่ 12.78 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจาก United States Oil Fund (USO) ซึ่งเป็น exchange traded fund (ETF) ที่มีน้ำมันหนุนหลังที่ใหญ่ที่สุด ได้ยื่น filing เพื่อขอทยอยลดการถือครองสัญญาซื้อล่วงหน้าน้ำมันดิบเดือน มิ.ย. 63 ซึ่งมีมูลค่าประมาณร้อยละ 20 ของขนาดกองทุนจำนวน 3.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในช่วงสี่วันนี้

    ทั้งนี้ USO ได้ให้เหตุผลว่า ต้องปรับลด position เพื่อให้สอดรับกับภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับการบังคับใช้เกณฑ์การกำกับดูแลกับ USO ที่เกี่ยวข้องกับสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ หลังจากที่เมื่อสัปดาห์ก่อน ทาง CME ได้ออกเกณฑ์จำกัดจำนวนการถือครองสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้าเดือน มิ.ย. และเดือนถัด ๆ ไปที่ทาง USO จะสามารถถือครองได้ พร้อมกับย้ำกับทาง USO มาสองครั้งในเดือนนี้ว่าห้าม USO ถือครองสัญญาเกินระดับ “accountability levels” สำหรับสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้าบางประเภท

    ทั้งนี้ ทาง CME ได้กำหนดให้ทาง USO ถือครองสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเดือน มิ.ย. ได้ไม่เกิน 15,000 สัญญา จากระดับที่ USO ถือครองอยู่ในมือจำนวน 150,000 สัญญา

    อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์มองว่าการควบคุมการทำธุรกรรมระยะสั้นครั้งนี้อาจช่วยตลาดน้ำมันดิบได้เพียงเล็กน้อย หรือในทางตรงกันข้าม อาจทำให้สภาพคล่องโดยรวมปรับลดลงและตลาดผันผวนมากขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้

    Source: BoTSS

    เพิ่มเติม
    - Is USO an actively managed fund now? http://ftalphaville.ft.com/2020/04/24/1587740008000/Is-USO-an-actively-managed-fund-now-/

    - Asia stocks set to rise as Wall Street jumps on lockdown easing hopes: Asia stocks set to rise as Wall Street jumps on lockdown easing hopes

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (Apr 27) มูดีส์ คาดญี่ปุ่น-สิงคโปร์ โควิดฉุดศก. มากสุดในเอเซีย : สำนักข่าว CNBC รายงานว่า มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่นและสิงคโปร์ จะเผชิญกับผลกระทบทางเศรษฐกิจมากที่สุดในเอเซีย จากช่วงที่เกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19

    มูดีส์ กล่าวว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทั้งสองประเทศได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจมากที่สุดนั้นเป็นผลมาจากการที่เศรษฐกิจของทั้งสองประเทศชะลอตัวอย่างรุนแรงมาตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่าง จีน และ สหรัฐฯ ซึ่งทำให้ยอดการส่งออกสินค้าลดลง รวมถึงการที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้รัฐบาลของทั้งสองประเทศวางมาตรการที่เข้มงวดในการป้องกันซึ่งส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

    ทั้งนี้มูดีส์ได้คาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)ของสิงคโปร์ในไตรมาสที่ 1/2020 (ม.ค. - มี.ค.) จะหดตัว 2.2% ขณะที่ GDP ของญี่ปุ่นอาจหดตัวลงมากถึง 6.6%

    Source: สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
    https://www.efinancethai.com/LastestNews/LatestNewsMain.aspx?ref=A&id=d2lhQzl4b0VISmc9

    เพิ่มเติม
    - Japan, Singapore could be the worst-hit Asian economies in the coronavirus pandemic, says Moody’s Analytics : https://www.cnbc.com/2020/04/27/jap...conomies-by-coronavirus-moodys-analytics.html

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (Apr 28) นาย Boris Johnson นายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร ร้องขอให้ประชาชนยังคงปฏิบัติตามมาตรการ Social Distancing อย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งระบุว่า ขณะนี้ยังไม่เหมาะสมที่จะเริ่มผ่อนคลายมาตรการ lockdown:

    นาย Boris Johnson นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ร้องขอให้ประชาชนยังคงปฏิบัติตามมาตรการ Social Distancing อย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งระบุว่า ขณะนี้ยังไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะเริ่มผ่อนคลายมาตรการ lockdown โดย นาย Johnson กล่าวว่า หากผ่อนคลายมาตรการ lockdown เร็วเกินไป จะทำให้ความพยายามในการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 ต้องสูญเปล่า และอาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่การแพร่ระบาดจะกลับมารุนแรงอีกครั้ง จนก่อให้เกิดหายนะทางเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันตนเชื่อว่าสหราชอาณาจักรกำลังเข้าใกล้จุดที่จะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสได้แล้ว จึงขอร้องให้ประชาชนอดทนอีกสักระยะ

    สมาชิกพรรค Conservative ของ นาย Johnson บางส่วน ออกมาเรียกร้องให้ผ่อนคลายมาตรการ lockdown เนื่องจากจำนวนผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อ Covid-19 ในเดือน เม.ย. ปรับลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2020 ซึ่ง นาย Johnson กล่าวว่า หลังจากที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 ได้แล้ว สหราชอาณาจักรจะเข้าสู่ “Phase 2” ที่รัฐบาลจะเริ่มผ่อนคลายมาตรการ lockdown โดยรัฐบาลวางแผนจะหารือกับหลายภาคส่วนเกี่ยวกับแนวทางดังกล่าว ซึ่งในเบื้องต้นการทบทวนเกี่ยวกับมาตรการ lockdown จะมีขึ้นอีกครั้ง ในวันที่ 7 พ.ค. 2020

    ด้าน นาย Michael Gove - Minister for the Cabinet Office สหราชอาณาจักร กล่าวว่า การเจรจาข้อตกลงด้านความสัมพันธ์ในอนาคตภายหลัง Brexit ระหว่างทางสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรปยังคงมีโอกาสที่จะได้ข้อสรุปภายในกำหนดเส้นตาย หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นาย Michel Barnier - Chief Negotiator สหภาพยุโรป ออกมาระบุว่า การเจรจาดังกล่าวมีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่สหราชอาณาจักรยังคงยืนยันที่จะไม่ขอขยายระยะเวลาช่วงเปลี่ยนผ่าน “Transition Period” ออกไปจากวันที่ 31 ธ.ค. 2020 ซึ่ง นาย Gove กล่าวว่า ปัญหาในขณะนี้ คือสหภาพยุโรปไม่ยินยอมให้สหราชอาณาจักรบริหารจัดการน่านน้ำในการทำประมงได้ด้วยตัวเองอย่างอิสระ ซึ่งสหราชอาณาจักรมองว่า สหภาพยุโรปปฏิบัติต่อสหราชอาณาจักรไม่เท่าเทียมกับข้อตกลงทางการค้ากับประเทศอื่นๆ

    Source: BoTSS

    - Boris Johnson warns against relaxing UK lockdown as he returns to work after battle with coronavirus:
    https://www.cnn.com/2020/04/27/uk/boris-johnson-downing-street-speech-return-intl-gbr/index.html

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อนามัยโลกยัน ‘โควิด-19’ ระบาดอีกนาน ชี้หลายประเทศยอดต่ำเพราะทดสอบได้น้อย

    https://www.hfocus.org/content/2020/04/19157

    #COVID19 #โควิด19เราต้องรอด #โควิด19 #องค์การอนามัยโลก

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อินเดียเตรียมคลายปิดเมือง 3 พ.ค. นี้
    .
    วันนี้นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีของอินเดียได้มีการวิดิโอคอนเฟอเรนส์กับมุขมนตรีรัฐต่าง ๆ ทั่วประเทศอินเดีย เกี่ยวกับมาตรการรับมือ #โควิด19 หลังวันที่ 3 พ.ค. ซึ่งจะเป็นวันสุดท้ายของมาตรการปิดเมืองรอบ 2 ของอินเดีย
    .
    แน่นอนว่านายกโมดี รวมถึงรัฐบาลกลางอินเดียนั่นค่อนข้างจะไม่เห็นชอบที่จะให้มีการยกเลิกการปิดเมืองแบบทั้งประเทศ แต่ก็มีแนวโน้มว่าอาจจะมีการคลายมาตรการบางเรื่อง ในบางพื้นที่ระหว่างวันที่ 3 -15 พ.ค. เพื่อทดสอบความพร้อมของการปลดล็อคมาตรการปิดเมือง
    .
    ในขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรียังคงย้ำว่าระบบการคมนาคมขนส่งสาธารณะนั้นจะยังคงไม่มีการเปิดให้บริการตามปกติ เพื่อป้องกันการเคลื่อนย้ายของประชาชน และลดการแพร่กระจายของไวรัส
    .
    นอกจากนี้ยังมีการกำชับไปยังรัฐต่าง ๆ ที่ยังมีพื้นที่การระบาดหนัก ๆ ให้เพิ่มความเข้มข้นในการลดการแพร่เชื้อให้ได้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้สถานการณ์ไม่ยืดเยื้อ ซึ่งรัฐบาลให้อำนาจเต็มกำลังในการบังคับใช้กฎหมาย และต้องแจ้งประชาชนว่ามันจะเกิดความยากลำบากในการใช้ชีวิต
    .
    นอกจากนี้นายกโมดียังกล่าวเตือนรัฐต่าง ๆ ที่เข้าข่ายที่จะปลดล็อคมาตรการปิดเมืองว่าอย่าได้วางใจ จนปล่อยปละละเลยให้ประชาชนใช้ชีวิตตามปกติ แต่ควรที่จะมีมาตรการเรื่องเว้นระยะห่างและการสวมหน้ากากต่อไปด้วย
    .
    ทั้งนี้แม้ว่าอินเดียจะคลานมาตรการปิดเมืองในวันที่ 3 พ.ค. นี้ แต่รัฐบาลกลางยังคงสงวนสิทธิ์ที่จะหยิบมาตรการนี้มาใช้อีกหากเล็งเห็นว่าตัวเลขการติดเชื้อเริ่มแพร่ระบาดมากยิ่งขึ้น
    .
    ยอดทั้งหมดของอินเดียตอนนี้
    ติดเชื้อรวม 29,219 ราย
    อยู่ในการรักษา 21,291 ราย
    หายป่วยแล้ว 6,999 ราย
    เสียชีวิต 929 ราย
    .
    #กระแสเอเชียใต้ #อินเดีย #ปิดเมือง #ผ่อนคลาย

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แผนที่ใหม่จีนฮุบดินแดนพิพาทกับอินเดีย
    .
    ในระหว่างที่รัฐบาลอินเดียกำลังง่วนอยู่กับการจัดการกับปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19ภายในประเทศ ดูเหมือนว่าประเทศจีนซึ่งตอนนี้เรียกได้ว่าผ่านวิกฤตการณ์ช่วงแรกไปแล้วจะแอบซุ่มเงียบทำเรื่องให้รัฐบาลอินเดียต้องหัวร้อน
    .
    เพราะเมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้วรัฐบาลจีนพึ่งได้มีการกำหนดแผนที่ประเทศจีนขึ้นมาใหม่ ในชื่อโครงการ Sky Map แน่นอนครับว่าโครงการนี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลจีนอย่างสำนักสำรวจและจัดทำข้อมูลแผนที่ทางภูมิศาสตร์แห่งชาติจีน
    .
    ความน่าสนใจของการประกาศใช้แผนที่ใหม่ของรัฐบาลจีนรอบนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออินเดีย เพราะแผนที่ฉบับใหม่นี้ดันไปผนวกรวมเอารัฐอรุณาจัลประเทศและดินแดนอักไซชินซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีนด้วย
    .
    ต้องเล่าอย่างนี้ครับว่าดินแดนอักไซชินและรัฐอรุณาจัลประเทศนั้นเป็นพื้นที่พิพาทของทั้งสองประเทศมายาวนานแล้ว เพราะความเห็นทางด้านกฎหมายและสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่ไม่ตรงกัน ซึ่งปัจจุบันนั้นดินแดนอักไซชินอยู่ภายใต้การควบคุมของจีน ขณะที่รัฐอรุณาจัลประเทศนั้นอยู่ในการควบคุมของอินเดีย
    .
    ขอย้อนประวัติศาสตร์ไปอีกสักนิดคือดินแดนอรุณาจัลประเทศนั้น เป็นพื้นที่ภูเขาสูงชันทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือติดชายแดนทิเบต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งขรัฐบาลบริติชราชตั้งแต่ราวปี 1913-14 และอยู่ภายใต้การปกครองอย่างเป็นทางการเมื่อเกิดการขีดเส้นแมคโมฮันระหว่างอังกฤษและทิเบตในปี 1938
    .
    แน่นอนว่าอินเดียนั้นยึดถือว่าเส้นแมคโมฮันคือเส้นเขตแดนสำคัญที่อินเดียยึดถือตามสนธิสัญญาระหว่างอินเดียกับทิเบตภายหลังจากที่อินเดียได้รับเอกราช
    .
    อย่างไรก็รัฐบาลจีนกับมองต่างออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนสามารถมีอิทธิพลเหนือแผ่นดินทิเบตก่อนที่ยึดได้ถาวรในปี 1959นั้น จีนมองว่าพื้นที่อรุณาจัลเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนทิเบตตอนได้ซึ่งถูกอังกฤษยึดไปอย่างไม่เป็นธรรม
    .
    ฉะนั้นจีนจึงอ้างสิทธิในการยึดคืนพื้นที่ดินแดนอรุณาจัลและอักไซชิน ซึ่งเคยเป็นพื้นที่ปกครองเดิมของอาณาจักรทิเบต นั่นจึงเป็นเหตุให้อินเดียและจีนมีปัญหาเหนือดินแดนนี้ตลอดมาตั้งแต่หลังการยึดทิเบตของจีน
    .
    นำมาซึ่งสงครามในปี 1962 ซึ่งทำให้อินเดียต้องเสียดินแดนส่วนอักไซชินให้กับจีนไปในที่สุด แม้จีนจะพยายามจะเปิดแนวรบในพื้นที่อรุณาจัลด้วยแต่ก็ไม่สามารถยึดพื้นที่ดังกล่าวมาได้ ส่งผลให้ดินแดนนี้ยังกลายเป็นพื้นที่พิพาทของสองประเทศอยู่
    .
    อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่สิ้นสุดการปกครองของเหมา เจ๋อตุง ท่าทีของจีนก็ไม่ได้มุ่งเน้นกับการยึดแผ่นดินหรือสงครามมากนัก แต่หันมาใช้การเจรจาทดแทน ทำให้ปัญหาพื้นที่พิพาทตามชายแดนจีน-อินเดียสงบไปพักใหญ๋
    .
    โดยครั้งล่าสุดที่รัฐบาลจีนประกาศใช้แผนที่ประเทศอย่างเป็นทางการคือปี 1989 ซึ่งจัดทำโดยหน่วยงานที่ประกาศใช้แผนที่ฉบับล่าสุด แน่นอนว่าแผนที่ฉบับเดิมนั้นจัดให้พื้นที่อรุณาจัลเป็นดินแดนพิพาท
    .
    แต่ดูเหมือนว่าการประกาศใช้แผนที่ฉบับเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนั้น จีนไม่ได้ระบุให้ดินแดนอรุณาจัลเป็นพื้นที่พิพาทอีกแล้ว คือไม่ใช้เส้นปะ เหมือนที่เคยเป็น แต่ใช้เส้นทึบแทนซึ่งแสดงว่าดินแดนดังกล่าวอยู่ในอำนาจอธิปไตยของจีน
    .
    แน่นอนว่านี่ถือเป็นท่าทีที่ต้องจับตามองต่อไปว่าวัตถุประสงค์เบื้องหลังของการประกาศใช้แผนที่ฉบับใหม่ของจีนนี้คืออะไรกันแน่ ในมุมหนึ่งอาจเพื่อตอบโต้รัฐบาลอินเดียเมื่อครั้งผนวกรวมรัฐจัมมูและแคชเมียร์ ซึ่งอินเดียก็ประกาศแผนที่ออกมาทับดินแดนอักไซชินที่จีนควบคุมอยู่เช่นเดียวกัน
    .
    แต่ต้องบอกอย่างนี้ครับว่าจนถึงวันนี้ยังไม่ได้เห็นท่าทีของรัฐบาลอินเดียว่ามีอย่างไรบ้างกับเหตุการณ์และการกระทำในครั้งนี้ของจีนเลย ทั้งที่ในครั้งที่อินเดียประกาศแผนที่ทับดินแดนอักไซชินที่จีนยึดอยู่นั้น รัฐบาลจีนได้ออกแถลงการณ์ออกมาตอบโต้ในทันที
    .
    งานนี้บอกเลยครับเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก เพราะปีนี้นั้นจีน-อินเดียเขาฉลองครบรอบการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต 70 ปี ไปหยก ๆ เมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมาเอง
    .
    #กระแสเอเชียใต้ #อินเดีย #จีน #ความสัมพันธ์ #แผนที่ #ความมั่นคง

     

แชร์หน้านี้

Loading...