เรื่องเด่น พุทธทำนาย ยุคกึ่งพุทธกาล จะเกิดภัยพิบัติและสงครามใหญ่ (ปีพ.ศ. 2560 เป็นต้นไป)

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 25 สิงหาคม 2016.

  1. เเสงเทียน

    เเสงเทียน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2017
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +156
    ผมถามอะไรหน่อยครับ ปัญหาภาคใต้ใครอยู่เบื้องหลัง
     
  2. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    กรรมกิเลสของสัตว์ (มาร ๕)
     
  3. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    มรณะ๔ของบุคคลสำคัญของเรา ในวันนี้ ได้เผยนิมิตและเดินทางมาถึงแล้ว เราในอนาคตวันนี้ก็หันหลังพูดเตือนเราแล้วว่าไม่ควรประมาทควรตั้งในความดี มารดาทั้งหลายในอดีตฯ ท่านเองก็เฝ้ารอเรามาตลอดตั้งแต่ออกบวชเป็นสามเณร แต่ตอนนั้นก็ทำให้ท่านเสียใจ เพราะเป็นสามเณรเลว พอมาออกบวชเป็นพระภิกษุ น้ำตาที่ท่านหลั่งครั้งที่ ๒ เป็นไปด้วยความปลาบปลื้มปิติและอาลัยอาวรณ์ใจ

    โลกธรรม ๘ บีบคั้นเรามากในปีนี้ เมื่่อความจริงในอนาคตปรากฎ เราก็จะได้ลาออกไปเป็นอิสระ เป็นฤาษีชีไพรผู้อุกฤษฎ์เสียที ก่อนที่จะได้ออกบวช การศึกษาพระไตรปิฏกของเรายังเนิ่นช้าเพราะอาศัยสภาวะไตร่ตรอง แม้หน้าเดียวก็ต้องอ่านและพิจารณานาน

    อะไรที่คิดว่าเที่ยงแท้ แน่นอน ย่อมไม่เที่ยง สิ่งที่ไม่คิด และไม่อยากจะคิดนี่สิ บทละครมาเชียว

    ลาภยศ สรรเสริญมา แต่ก็ต้องทิ้งตามกาล

    คนที่ใกล้จะตายถึงเวลาตายในตอนนี้เร็วๆวันนี้ตามใจเราปรารถนาไว้ก็อาจจะเป็นเราก็เป็นได้

    มาบอกเท่านี้ก็ตาย !! แล้วก็เกิดใหม่


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กุมภาพันธ์ 2019
  4. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เตรียมเสบียงธรรมรอได้เลย 646027.rp3k0a9t62p.jpg
     
  5. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    แค่เป็นฤาษีอเจลกก็อยู่ได้แล้วมั้ง พระแบบนั้นคงไม่ใช่เรา แม้แต่วัดร้างในแดนใต้ที่ต้องเผชิญหน้ากับความตาย เราก็ไม่หวาดกลัวมรณะ




     
  6. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    น่าสนใจ เหมาะแก่การบำเพ็ญฯ



     
  7. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ในประเทศนี้ ยังมีวัด สำนักสงฆ์หรือสุสานหรือสุสานอื่นใดอีก ที่่มีความน่าสยองขวัญ ท่านสมาชิกลองหามาเพิ่มเติมดูนะครับ
     
  8. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
     
  9. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
     
  10. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201


    สึนามิ น่ากลัวจริงๆ พร้อมหรือยัง?
     
  11. สตธศร

    สตธศร Namo Amithapho

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    707
    ค่าพลัง:
    +1,537
    ขอสุมา ช่วงให้หลังหนูย้ายมาอยู่ในสถานที่ไกล้กับโรงไฟฟ้า และสายไฟเป็นจำนวนมาก เหตุอันเกิดแต่กระแสไฟนำพา หรือไม่ ขอให้ ท่านผู้อ่านใช้วิจารณญาณเอาเอง ตัวผู้เขียนตอบสนองกับกระแสไฟ เสมือนเป็น ส่วนหนึ่งของกระแสไฟ บางครั้ง จะถูกกระแสไฟช้อตโดยมิได้จับอะไร

    เหตุการณ์นี้ทำให้ทุกๆวันอังคาร หนูจะได้ยินเสียงสวดมนต์ ที่ขึ้นต้นด้วย เอวัมเม.. และจบที่เอหิภิกขุ อุปสัมปทา แต่ เสียงภาวนานั้น ไม่ทราบที่มาที่แน่นอน

    เมื่อเดือนมิถุนายน ทุกๆวันอังคาร หนูจะฝัน หรือไปในสถานที่ที่คิดว่าไม่ใช่ จิตของตนปรุงแต่งขึ้นมา ระยะนั้นเป้นช่วงระยะที่ภาวนาอย่างหนัก หนูสวดหมื่นพระนาม มาเป้นเป้นเวลาเกือบปีแล้ว ในวันอังคารหนึ่ง หนูได้ฝันเห็น WW3 ในฝัน เสียงนั้นบอกหนูว่า เหตุการณ์นี้เป้นอนาคตในอีก สิบปีข้างหน้า หนูเห้นตนเอง กำลังเดินทางจากสถานที่ที่มีหมอกพิษลอยเต็มไปหมด นักดนตรีท่านหนึ่งแต่งเพลงที่มีใจความเล่าเรื่องราว ของสงครามกลางเมืองนั้น มีตึกถล่ม ตึกที่สูงๆ ในเมืองหลวงเก่า. มีคนรอดมากกว่าคนตาย โคราชกลายเป็นเมืองหลวง ระหว่างก่อนเข้าเขตแดน ตามแนวภูเขาลูกหนึ่ง มีสถาปัตยกรรมที่ออกแบบมาเพื่อบำบัดพิษ ตั้งอยู่ และใช้เป็นสถานที่บำบัดอากาศพิษ ทำให้ตั้งแต่โคราชขึ้นไปเป็นเขตปลอดภัย เหตุการณ์ให้ฝัน เป็นสิบปีต่อจากปีนี้ แต่เป็นระยะหลัง สงครามมาแล้ว เป็นช่วงที่ ฟื้นฟูเมืองใหม่ค่ะ ใต้โคราชลงไปยังมีแผ่นดิน แต่ก็ใช้ชีวิตลำบากมาก ในฝันหนุอยู่ต่างประเทศและพึ่งได้กลับเข้าเมืองมาหาญาติพี่น้องที่โคราชค่ะ

    หนูก็ไม่เชื่อเรื่อง WW3 ที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ก็คิดว่าเราไม่ควรประมาท และทำความเพียรให้เต็ม ถ้าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แต่เราควรปฏิบัติให้ถึงที่สุด อย่างน้อยถ้าตายก็ถือว่าได้ใช้ชีวิตคุ้มค่าที่สุดค่ะ

    ขอสุมาหากข้อความของข้าพเจ้ารบกวนท่านหนึ่งท่านใด

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2019
  12. สตธศร

    สตธศร Namo Amithapho

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    707
    ค่าพลัง:
    +1,537


    บางครั้งหนูรู้สึกเหมือนกับว่า เวลาที่คนเราใช้กัน ไม่ใช่เส้นตรงแบบไม่มีการยืดหยุ่น อย่างที่นาฬิกาบอก และนาฬิกาในทุกสถานที่บนโลกไม่ได้อยู๋ในระนาบเส้นตรงเดียวกัน ทั้งที่ทุกที่อยู่บนมิติเดียวกัน ในมหาภารตะเวลานี้นับเป็นกลียุเพราะ กลางคืน 1 กลางวันหนึ่ง 1 แต่เราก็ไม่สามารถ นำคำว่า กลียุค ของคัมภีร์หนึ่งมาอ้างอิงกับคัมภีร์อื่น

    เคยมีครั้งหนึ่ง หนู วีดีโอคอลคุยกับพี่สาวท่านหนึ่ง ในเวลาเดียวกัน แต่พี่สาวกลับเห็นภาพหนูในอดีตที่เหลื่อมออกไปประมาณ สามชั่วโมงกว่า บางครั้ง นาฬิกาหยุดเดิน ทุกอย่างหยุดเดิน

    ในเวลาประสบอุบัติเหตุ ก็เช่นกัน นาฬิกาจริงของทุกคนเดินไป แต่ภาพในนาฬิกาชีวิตของหนูสโลโมชั่น จนเกือบจะเหมือนหยุดหมุน และที่เวลาแบบนั้นเอง หนูจึงไม่ตาย บางครั้ง นาฬิกาก็เดินถอยหลังไปหนึ่งวิ บางครั้งมันก็กระตุก

    อีกเหตุการณ์หนึ่ง หนูภาวนา ในเขตเวลาปัจุบัน เมื่อหนูข้าม วิตกวิจารณ์ บลาๆ เข้าสู่อารมณ์ฌาน จนไม่มีกายเหลืออยู่ หนูไปในสถานที่ ซึ่งเป้นอดีตประมาณสองปีผ่านมา และนั่งภาวนาที่ๆเราอธิษฐานในอดีตว่าจะไปบำเพ๊ญตรงนั้น หากการภาวนา หรือการปฏิบัติสมาธิ ทำให้จิต ข้ามกาลเวลาได้จริงหละค่ะ หรือจริงๆ เวลาเป็นสมมุติเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2019
  13. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
     
  14. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    ทดเวลาบาดเจ็บได้บ่
    คงเป็นการขอที่มากไป
    เพราะต้องขอ ทดเวลา ให้ยาวขึ้น
    คงแล้วแต่บุญพา วาสนาส่ง
    แต่เห็นแล้วว่า
    น้ำมาประมาณ ตึก ห้าชั้น
    กรุงเทพ เตรียมการ ขนย้ายของไปไว้ต่างจังหวัดบางส่วนนะคะ สำหรับคนที่มีบ้าน ทะยอยออกไปให้เหลือแต่ที่จำเป็นต้องใช้นะคะ เพราะจะไม่ทันขนคะ
    ชีวิตตัวเองก็ต้องรักษาไว้ก่อนนะคะ
    ก็ขอให้ทุกท่านปลอดภัยนะคะ
     
  15. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    solanum_04.jpg

    ลูก พู เขียว

    สับพาคูณ : ลดแก้สปลายลำไส้ใหญ่
     
  16. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
     
  17. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    ขอบคุณ
    จะลองกินนะ
    ดูแลตัวเองด้วยคับ
     
  18. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เดี๋ยวกินปลาดิบเดี๋ยว ปฎิเสธน้ำมูตรที่มาจากมนุษย์

    พระป่าจะไปหาฉี่วัวมาจากไหน วิ่งไปหาวัวป่า หรือขอจากญาติโยมชาวบ้านหรือ ตุนไว้ใช่ไหม?

    ขอ
    บิณฑบาต

    ฉี่ใช่ไหม?














    https://www.youtube.com/watch?v=jSAHfdFf598 69234866_256207758670426_5558628029753720832_n.jpg 69234866_256207758670426_5558628029753720832_n.jpg
     
  19. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ถ้าไม่ได้ทรงบำเพ็ญพรหมจรรย์ ๔ อันเลิศ ด้วยพระมหาปุริลักษณะ อย่าได้หวังเลยว่า จะได้มหาวิกัฎเภสัช


    https://books.google.co.th/books?id...AEwBnoECAcQAQ#v=onepage&q=มูตรและกรีส&f=false

    ดูก่อนสารีบุตร เรานั้นแลคลานเข้าไปในคอกที่เหล่าใดออก
    ไปแล้วและปราศจากคนเลี้ยงโค กินโคมัยของลูกโคอ่อนที่ยังไม่ทิ้งแม่. มูตรและกรีสของเรายังไม่หมดสิ้นไปเพียงไร เราก็กินมูตรและกรีสของตนเองเป็นอาหาร. ดูก่อนสารีบุตร นี้แหละเป็น"วัตร"ในโภชนะ"มหา"วิกัฏของเรา.



    อามิสทายาท เยอะจริงๆ ในที่สุดก็ล้ม "น้ำมูตร"(กรีส)

    มหาวิกัฏ ยา ๔ อย่าง คือ มูตร คูถ เถ้า ดิน ภิกษุอาพาธฉันได้โดยไม่ต้องรับประเคน คือไม่ต้องอาบัติเพราะขาดประเคน



    ๒. เภสัชชขันธกะ (หมวดว่าด้วยยา)
    ทรงอนุญาตเภสัช ๕ และอื่น ๆ
    ๑. ภิกษุหลายรูปอาพาธ ดื่มข้าวยาคู หรือฉันอาหารก็อาเจียนออก (เพราะอาหารไม่ย่อย) จึงซูบผอม พระผู้มีพระภาคจึงทรงอนุญาตเนยใส น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ให้ฉันได้ทั้งในกาล (ก่อนเที่ยง) และในวิกาล (เที่ยงแล้วไป)
    ๒. ทรงอนุญาตเปลวสัตว์หลายอย่าง ให้เคี้ยวบริโภคเป็นเภสัชได้เฉพาะในกาล
    ๓. ทรงอนุญาตให้ฉันมูลเภสัช (ยาที่เป็นหัวหรือเหง้าไม้) เช่น ขมิ้น ขิง เป็นต้น ได้ตลอด ไม่กำหนดกาล แต่ต้องมีเหตุสมควร ถ้าไม่มีเหตุสมควร ต้องอาบัติทุกกฏ สำหรับภิกษุผู้อาพาธ ทรงอนุญาตให้ใช้หินบดบดได้
    ๔. ทรงอนุญาตให้ฉันกสาวเภสัช (ยาที่เป็นน้ำฝาดจากต้นไม้) ได้ตลอดชีวิต ในเมื่อมีเหตุสมควร
    ๕. ทรงอนุญาตให้ฉันปัณณเภสัช (ใบไม้ที่เป็นยา) ได้ตลอดชีวิต ในเมื่อมีเหตุสมควร
    ๖. ทรงอนุญาตให้ฉันผลเภสัช (ผลไม้ที่เป็นยา) เช่น ดีปลี สมอ มะขามป้อม ได้ตลอดชีวิต
    ๗. ทรงอนุญาตให้ฉันชตุเภสัช (ยางไม้ที่เป็นยา) เช่น มหาหิงคุ์ ได้ตลอดชีวิต เมื่อมีเหตุสมควร
    ๘. ทรงอนุญาตโลณเภสัช (เกลือที่เป็นยา) เช่น เกลือสมุทร เกลือสินเธาว์ ได้ตลอดชีวิต เมื่อมีเหตุสมควร
    ๙. ทรงอนุญาตให้ใช้ยาผง ในเมื่อเป็นแผลพุพอง หรือกลิ่นตัวแรง เพื่อมิให้แผลติดจีวร สำหรับภิกษุผู้ไม่อาพาธ ทรงอนุญาตให้ใช้มูลโค (แห้ง) ดิน (แห้ง) และกากเครื่องย้อม ทรงอนุญาตครก สาก และแล่ง(สำหรับร่อนยาผง) เพื่อการนี้
    ๑๐. ทรงอนุญาตเนื้อสัตว์ดิบ โลหิตดิบ ในเมื่ออาพาธ เนื่องด้วยอมนุษย์
    ๑๑. ทรงอนุญาตยาตา และกลักยาตา สำหรับภิกษุผู้อาพาธเป็นโรคตา แต่ห้ามมิให้ใช้กลักยาตา ที่ทำด้วยเงินทองแบบของคฤหัสถ์ กับทรงอนุญาตฝาปิดกลักยาตา และให้ใช้ด้ายพันกันฝาตก กับทรงอนุญาตให้ใช้ไม้ป้ายยาตาและถุงใส่ไม้ป้ายยาตา รวมทั้งสายสำหรับสะพายคล้องบ่า
    ๑๒. ทรงอนุญาตให้ทาน้ำมันที่ศีรษะ เมื่อเป็นโรคร้อนศีรษะ และอนุญาตให้นัตถุ์ยา และกล้องยานัตถุ์ แต่กล้องยานัตถุ์ ห้ามใช้ที่ทำด้วยทองเงินหรืองดงามแบบของคฤหัสถ์, ทรงอนุญาตกล้องยานัตถุ์ที่มีหลอดคู่. ทรงอนุญาตให้สูดควัน (ของยา) ทางจมูก, ทรงอนุญาตกล้องยาสูบ (ที่ใช้รักษาโรค) แต่ไม่ให้ใช้กล้องที่ทำด้วยทองเงินหรืองดงามแบบคฤหัสถ์, ทรงอนุญาตให้มีเครื่องปิดกล้องยาสูบ (เพื่อกันสัตว์เข้าไปข้างใน), ทรงอนุญาตถุงใส่กล้องยาสูลและถุงคู่ รวมทั้งสายสำหรับสะพายคล้องบ่า
    ๑๓. ทรงอนุญาตให้เคี่ยวน้ำมัน (ทำยา) และทรงอนุญาตให้เติมน้ำเมาลงในน้ำมันที่จะทำยาได้ โดยมีเงื่อนไขว่า น้ำเมาที่ใส่นั้น สีกลิ่นรสไม่ปรากฏ. ทรงอนุญาตภาชนะสำหรับใส่น้ำมันที่ทำด้วยโลหะ, หรือผลไม้. ทรงอนุญาตการทำให้เหงื่อออก ตั้งแต่อย่างธรรมดาถึงอย่างเข้ากระโจม โดยมีถาดน้ำร้อนอยู่ในนั้น
    ๑๔. ทรงอนุญาตให้นำเลือดออกด้วยใช้เขาควายดูด. (คือการกอก ได้แก่เจาะเลือดออกเล็กน้อย แล้วใช้เขาควายกดลงไปให้ดูดเลือดออก ในอรรถกถาไม่ได้บอกว่าต้องจุดไฟด้วยหรือไม่ ตามธรรมดาการทำเช่นนี้ต้องจุดไฟที่เศษกระดาษหรือเชือ้ไฟอื่น ๆ เพื่อไล่อากาศ เขาควายจึงมีแรงดูด)
    ๑๕. ทรงอนุญาตยาทาเท้า เมื่อเท้าแตก และอนุญาตให้ปรุงยาทาเท้าได้
    ๑๖. ทรงอนุญาตการผ่าฝี และอนุญาตกระบวนการทั้งปวงที่เนื่องด้วยแผลผ่าตัดนั้น
    ๑๗. ทรงอนุญาตยา ๔ ชนิด ในขณะถูกงูกัด คือ มูตร (ปัสสาวะ) คูถ (อุจจาระ) ขี้เถ้าและดินในขณะรีบด่วนเช่นนั้น ถ้าไม่มีคนทำให้ ให้ถือเอาเองแล้วฉันได้ ไม่เป็นอาบัติ (ยาชนิดนี้จะเพื่อให้อาเจียนหรืออย่างไร ไม่มีบอกไว้)
    ๑๘. ทรงอนุญาตยาและอาหารอ่อนบางอย่างตามควรแก่โรคและความต้องการที่จำเป็น เช่น น้ำด่างจากขี้เถ้าของข้าสุกเผา แก้โรคท้องอืด สมอดองน้ำมูตรโค แก้โรคผอมเหลือง, การทาตัวด้วยของหอม แก้โรคผิวหนัง. น้ำข้าวใส, น้ำถั่วต้มที่ไม่ข้น, น้ำถั่วต้มที่ข้นเล็กน้อย, น้ำเนื้อต้ม (เป็นการผ่อนผันให้เหมาะแก่อาพาธ).
    ทรงห้ามเก็บเภสัช ๕ ไว้เกิน ๗ วัน มนุษย์ทั้งหลายเลื่อมใสพระปิลินทวัจฉะ ในฐานะมีอำนาจจิตสูง ใช้อำนาจจิตได้หลายอย่าง พากันถวายเภสัช ๕ คือ เนยใส, เนยข้น, น้ำมัน, น้ำผึ้ง, น้ำอ้อย เป็นอันมาก ท่านก็แบ่งถวายภิกษุผู้เป็นบริษัทของท่าน ภิกษุเหล่านั้นเก็บของเหล่านี้ใส่ผ้ากรองบ้าง ใส่ถุงบ้าง แขวนไว้บ้าง พาดที่หน้าต่างบ้าง มีหนูรบกวนมาก เป็นที่ติเตียนของคนทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติว่า ภิกษุรับเภสัช ๕ แล้ว จะเก็บไว้บริโภคได้ไม่เกิน ๗ วัน ถ้าล่วงกำหนดนั้นไป ให้ปรับอาบัติตามควร (คืออาบัติปาจิตตีย์ ส่วนอาหารห้ามเก็บไว้ค้างคืนเพื่อจะฉันแพ้เพียงคืนเดียว).



    https://palungjit.org/threads/o-มารักษาโรคด้วยพุทธโอสถกันเถอะครับ-o.632646/



    ไอ้คนอามิสทายาทสร้างแต่เรื่องทำลายนี่ก็แปลก หาแต่เรื่องที่เรา วิสัชนาแสดงเอาไว้แต่กาลก่อนแล้วมาแสดง



    เดี๋ยวกินปลาดิบ เดี๋ยวไม่ใช่น้ำมูตรจากมนุษย์ ต้องมาจากโคเพียงเท่านั้น

    สุดท้ายก็หมิ่นพระทศพลญานที่ทรงแสดงธรรมบทนี้ไว้แก่ท่านพระสารีบุตร

    อะไร?จะเกิดขึ้นอีก การเสื่อมสูญ เพศบรรพชิต ใกล้เข้ามาแล้วเรื่อยๆ

    พระป่าฉันน้ำมูตรตนเองก็โดนรังเกียจ

    พ่อแม่หนุ่มสาว โตมาในยุคนี้ และยุคต่อๆไปพอมีบุตร ก็จะไม่มีความเกรงอกเกรงใจนับถือกันในภายภาคหน้า ในระบบสภาพสังคม พระมหาสุบิน นั้นลึกล้ำนัก

    ก็พุทธทำลายพุทธ ขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ นั่นเองรอวันดับสลายไปตามกาล


    ตอนนี้ ทางบ้านก็ไฟเขียว ให้ออกบวชได้แล้ว รอเวลา
     
  20. ผู้บ่าวหน้าไทบ้าน

    ผู้บ่าวหน้าไทบ้าน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2019
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +0



    ช่วงนี้กระแสดื่มน้ำปัสสาวะ หรือน้ำมูตร หรือฉี่ บางทีมีใช้เป็นยาทาแผล หรือผสมในนั่นนี่กินเป็นอาหาร กำลังมาแรงไม่น้อย

    แถมมีคำกล่าวอ้างไปถึงพระพุทธเจ้าอีก ว่าเป็นผู้สนับสนุนการดื่มน้ำมูตร

    เอ้าแล้วมันจริงหรือไม่จริงยังไง ทำไมพระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จึงสนับสนับสนุนให้ดื่มน้ำมูตร และมันเป็นยาครอบจักรววาลจริงเหรอ?

    คำตอบคือ จริงส่วนหนึ่งและไม่จริงในหลายส่วนครับ...

    ว่าแล้วเรามาดูเรื่องสมัยพุทธกาลกัน ว่าการดื่มน้ำมูตรช่วยอะไรบ้าง

    ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๕ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒ เภสัชชขันธกะ ฉบับมหาจุฬา มีการอธิบายว่า

    สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธเป็นโรคผอมเหลือง ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ดื่มยาผลสมอดองน้ำมูตร"

    ผลสมอดองน้ำมูตร ในบริบทนี้คือ "มุตฺตหรีฏกํ" อรรถกถาอธิบายแล้ว่า คือ สมอไทยที่ดองด้วยมูตรโค.

    หรือก็คือในมุมมองยุคพุทธกาล ปัสสาวะไม่ใช่ยา แต่เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้เกิดยาเมื่อผ่านกระบวนการอื่นมาแล้ว และผสมกับสิ่งอื่นๆ ที่มีฤทธิ์ทางยา

    ไม่ใช่ว่ากินน้ำปัสสาวะตนเองแล้วจะรักษาโรคได้แต่อย่างใดฮะ...


    แถมเวลาป่วยเป็นโรคอื่นๆ ก็ไม่ได้ใช้ยาสมอดองมูตรโคเสมอไปอีกต่างหาก เรามาดูสิ่งที่ปรากฏในเภสัชขันธกะอื่นๆ จะพบหลายอาการ ใช้ยาต่างขนานกันไป อาทิ

    1. กินน้ำด่างแก้ท้องผูก ไม่ใช่น้ำปัสสาวะจ้า

    สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธเป็นโรคท้องผูก ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ดื่มน้ำด่างดิบ”

    2. ลูบของหอม แก้โรคผิวหนัง ไม่ใช้น้ำปัสสาวะเหมือนกัน

    สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธเป็นโรคผิวหนัง ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ลูบไล้ด้วยของหอม”

    3. ผ่าตัดฝี ไม่ใช่น้ำปัสสาวะอีกนั่นแหละ

    สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธเป็นฝี ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูล พระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตการผ่าตัด”

    4. แก้โรคลมด้วยน้ำมันเจือแอลกอฮอล์ (จากน้ำเมา) ไม่ใช่ปัสสาวะสักหน่อย

    สมัยนั้น ท่านพระปิลินทวัจฉะอาพาธเป็นโรคลม พวกแพทย์กล่าวอย่างนี้ว่า “ต้องหุงน้ำมันถวาย” ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำมันที่หุง”

    แพทย์ต้องเจือน้ำเมาในน้ำมันที่หุง ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้เจือน้ำเมาลงในน้ำมันที่หุงได้”

    5. ใช้น้ำมันผสมแอลกอฮอล์(จากน้ำเมา)เป็นยาทา ไม่ใช่น้ำปัสสาวะอีกแล้ว!

    สมัยนั้น น้ำมันที่ภิกษุหุงเจือน้ำเมาลงไปเกินขนาดมาก

    ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายได้ปรึกษากันดังนี้ว่า “พวกเราจะปฏิบัติในน้ำมัน เจือน้ำเมาลงไปเกินขนาดนี้ อย่างไร” จึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ

    พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้เก็บไว้เป็นยาทา”

    6. ใช้ยาหยอดตาผสมด้วยส่วนประกอบหลายอย่าง ที่ไม่มีน้ำปัสสาวะมาเกี่ยวเลยสักนิด!

    สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธเป็นโรคตา พวกภิกษุต้องพยุงภิกษุนั้น ไปให้ถ่ายอุจจาระบ้าง ถ่ายปัสสาวะบ้าง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปตามเสนาสนะ ทอดพระเนตรเห็นพวกภิกษุกำลัง
    พยุงภิกษุนั้นไปให้ถ่ายอุจจาระบ้าง ถ่ายปัสสาวะบ้าง จึงเสด็จเข้าไปหาแล้วตรัสถามว่า “ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เป็นโรคอะไร”

    พวกภิกษุกราบทูลว่า “ท่านรูปนี้อาพาธเป็นโรคตา พวกข้าพระองค์คอยพยุงท่านไปให้ถ่ายอุจจาระบ้าง ถ่ายปัสสาวะบ้าง พระพุทธเจ้าข้า”

    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมีกถาเพราะเรื่องนี้เป็นต้นเหตุแล้วรับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตยาหยอดตา อันได้แก่ยาทาตาที่ปรุงด้วยเครื่องปรุงหลายอย่าง ยาป้ายตาที่ทำด้วยเครื่องปรุงต่างๆ ยาทาตาที่เกิดในกระแสน้ำ หรดาลกลีบทอง เขม่าไฟ”
    .
    .
    นั่นเป็นแค่ตัวอย่าง จะพบว่ามีวิธีการอีกมากมาย สำหรับการรักษาโรคยุคพุทธกาล แต่ยกมาแล้วจะมากเกินไป

    แต่อยากบอกให้รู้ว่า น้ำมูตรหรือปัสสาวะ ไม่ใช่ยาแก้ทุกโรคครอบจักรวาลขนาดนั้นนะเออ

    ที่สำคัญ การกินน้ำปัสสาวะเป็นนิจ ไม่ใช่หนทางแห่งการดับทุกข์ พระพุทธเจ้าในสมัยเป็นโพธิสัตว์ก็ได้ลองมาแล้ว ดูพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เกี่ยวกับปฏิปทามิใช่ทางตรัสรู้ ความว่า

    "ดูกรสารีบุตร เรานั้นแลเคยคลานเข้าไปในคอกที่เหล่าโคออกไปแล้ว และปราศจากคนเลี้ยงโค กินโคมัยของลูกโคอ่อนที่ยังไม่ทิ้งแม่ มูตรและกรีสของเรายังไม่หมดสิ้นไปเพียงไร เราก็กินมูตรและกรีสของตนเองเป็นอาหาร ดูกรสารีบุตร นี้แหละเป็นวัตรในโภชนะมหาวิกัฏของเรา."


    พูดง่ายๆ คือยุคหนึ่ง พระโพธิสัตว์เคยทดลองหาทางพ้นทุกข์ด้วยการกินขี้วัว ปัสสาวะและอุจจาระตนเองมาแล้ว และพบว่าเป็น "ปฏิปทามิใช่ทางตรัสรู้" หรือวิถีทางนอกคติพุทธนั่นเอง...

    นอกจากนี้ การกินมูตร(และคูถ) ก็ไม่ใช่เรื่องของคน แต่เป็นเรื่องของเปรต ดูใน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๘ ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา มหาเปสการเปตวัตถุ

    "ภิกษุรูปหนึ่งถามเทพบุตรตนหนึ่งว่าหญิงเปรตนี้กินคูถ มูตร โลหิต และหนอง นี้เป็นวิบากแห่งกรรมอะไร

    หญิงเปรตนี้ เมื่อก่อนได้ทำกรรมอะไรไว้ จึงมีเลือดและหนองเป็นภักษา เป็นนิจ ผ้าทั้งหลายอันใหม่และงาม อ่อนนุ่ม บริสุทธิ์ มีขนอ่อนอันท่านให้แล้วแก่หญิงเปรตนี้ ย่อมกลายเป็นเหล็กไป

    เมื่อก่อนหญิง เปรตนี้ได้ทำกรรมอะไรไว้หนอ?

    เทพบุตรนั้นตอบว่า
    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เมื่อก่อน หญิงเปรตนี้เป็นภรรยาของข้าพเจ้า มีความตระหนี่เหนียวแน่น ไม่ให้ทาน นางได้ด่าและบริภาษข้าพเจ้าผู้กำลังให้ ทานแก่สมณพราหมณ์ทั้งหลายว่า จงกินคูถ มูตร เลือด และหนองอันไม่สะอาดตลอดกาลทุกเมื่อ คูถ มูตร เลือด และหนอง จงเป็นอาหารของท่านในปรโลก แผ่นเหล็กจงเป็นผ้าของท่าน นางมาเกิดในที่นี้กินแต่คูถและมูตรเป็นต้นตลอดกาลนาน เพราะประพฤติชั่วเช่นนี้."
    .
    .
    สรุปคือ
    1. ปัสสาวะโดยปกติแล้วไม่ใช่ยา แต่เอาไปเป็นองค์ประกอบทำยาดอง และก็ไม่ใช่ปัสสาวะของคนอีกต่างหาก

    2. ยาดองปัสสาวะก็ไม่ได้รักษาครอบจักรวาล สมัยพุทธกาลมีวิธีรักษาอีกหลายวิธี

    3. ปกติในคติพุทธ การกินฉี่เป็นประจำ เป็นอาหาร เป็นเรื่องของเปรตที่ทำอกุศลกรรมไว้

    ใครที่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามอบให้เป็นสูตรยาครอบจักรวาล แล้วลองไปหยอดตา กิน ทาตัว ไม่ว่าจะกับตนเองและคนอื่นก็ตาม ขอแนะนำว่าเลิกดีกว่าเนอะ

    หรือถ้าจะยังใช้ ก็ใช้กับตัวเอง อย่าเอาไปใช้กับคนอื่นที่ไม่ยินยอม และอย่าอ้างพระพุทธเจ้าอีกเลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...