ห้องแมวยิ้ม สัพเพ เหระ อะไรก็เอามาลงกระทู้นี้ได้ครับ

บักโงบ. ของ. กุเษมหะ คร้าบ...ลืมอะไรอะเป่า

คนมีตาทิพย์เขาเหนบักโงบะ คือ. มหากาลี

ดังนั้น

กายทิพย์บักโงบะ. เปน. หอยลาย จิฮับ

ตุตา. เขามาแนวนี้ กายทริกซ์ อาจเปน........

( เดี๋ยวมาเปิดหน้า)

ทาดา.....

 

รู้หมือไร่(รู้หรือไม่เผื่อไม่เก็ท) "ชะตากรรมของโลกไม่ได้อยู่ด้วยมือใคร มันเป็นตามเหตุปัจจัยของมัน"

จงเอา"ธรรม มะ เทศ นา" ไปฟังเสียเถิด ท่านเสนาธิการแห่งจักรวาล

1."เหตุปัจจัย" คือคุณไม่สามารถทำให้ลัทธิแห่งฟามรักของคุณก้าวสู่วิถีแห่งโลกาได้ ซึ่งเพราะ "ทุกคนไม่ได้คิดจะปฏิบัติธรรม อาร์ ยู โนว?" และ "การที่คุณโพสท์เกี่ยวกับฟามรัก ก็ไม่ได้ช่วยอะไรโลกจริงๆเลยคุณลองดู ผู้ที่ติดตามคุณจิฮับ กี่คนต่อจำนวนคนทั้งโลกอะฮับ มันจะช่วยได้จริงเร้อ(หากกรณีจิตจับมะวานสามารถเข้าสมาธิช่วยโลกได้จริงๆ ย้ำว่าหากทำได้จริงๆ) ซึ่งการช่วยโลกจริงๆผมว่าคุณควรไปรณรงค์ปลอดสารพิษโลกอะนะ ไม่ว่าจะเรื่องขยะหรืออะไรที่คุณคิดได้

2."ภพและภูมิของกามาวจร"(จิตส่งออก) อันมนุษย์นั้นจิตส่งออกกันอยู่แล้ว ย่อมไม่สามารถที่จะดำรงสภาวะได้ 100% ตลอด 24 ชม.อย่างแน่นอน ดังนั้นแล้วหากคุณมโนว่าโลกขาดสนามพลังบลาๆ เคยคำนวณมะ? ว่าต้องใช้สนามพลังรุงแรงเท่าไหร่ หรือคลื่นความถี่อะไร?(ที่พูดๆมานั่นแล) ทั้งๆคลื่นความถี่แม่งมีกี่คลื่น? คลื่นแสง คลื่โทสับ และนอกจากคลื่นอะไรแล้ว ต้องเป็นระดับความถี่ไหน? และสมมุติให้มันเป็นจริง(ย้ำว่าสมมุติ)การที่ไปห้ามมนุษย์ไม่ให้ส่งจิตออกนอกเป็นจำนวนมหาศาลเพื่อให้สั่นสะเทือนส่งพลังงานแห่งรักเนี่ย "เป็นไปไม่ได้เพราะภูมิกามาวจรที่รับความรู้สึกจากภายนอก" ดู ยู อันเดอร์แสตนด์? ดังนั้น "ภารกิจพิชิตจักรวาลของคุณนั้น มันเป็นมิชชั่นอิพพอสซิเบิ้ลมาตั้งแต่ต้นแล้ว" และที่สำคัญ จิตจับมะวานของคุณมันทำให้คุณ "หลงผิดไปไกลถึงขอบจักรวาลเชียว" เพราะคำทำนายแรก(ในกรณีของภัยพิบัติ) คือพระพุทธเจ้าทำนาย(ไม่มีหลักฐานศิลาจริง) แต่พระอริยสงฆ์บอกคำทำนายเป็นจริงดังนั้นผม(ย้ำว่าผม)จึงเชื่อ(ซึ่งสิ่งที่ยังไม่เกิดก็รู้ตามจริงไม่ใช่หลอกตัวเอง) ซึ่งไอ้ที่ปัจจุบันกำลังโพสท์ๆกันเนี่ย "คำทำนายมันโดนรีอีดิท มากี่เวอร์ชั่นแล้ว?" เนื่องจากขาดวิจารณญาณ จึง "เชื่อไปหมดเพราะเห็นว่ามันใกล้เคียง" ซึ่งมันจะไม่ใกล้ได้ไงก็มันโดนรีอีดิทมาไง แต่การรีนั้น "มันไม่ใช่ข้อมูลที่ตรงตามจริง" ผู้ที่เชื่อในข้อมูลที่โดนรีอีดิทแล้ว จึงวิปลาศเสียเรื่อยๆ ถึงขนาดที่คุณยังมาถามผมว่า "ใจของใครที่ผุดขึ้นมา เพราะคิดเอาเองว่า สภาวะที่ดีใจต้องไม่ผุด แต่หารู้ไม่มันไม่เกี่ยวกับสภาวะอีก เพราะใจมันก็ผุดไปเรื่อยๆของมัน และที่สำคัญมันผุดมาจากใจคุณ ยังจะไปหามันอีกทั้งๆที่มันอยู่ที่ใจคุณชัดๆ" เพราะคุณไม่อยู่กับความจริงฉะแล อเวคเค่นได้แล้วนะ ท่านสมุหนายก(เสนาธิการ เค้าท์ ดูกู)

3.เพราะคุณหลงไปกับความเชื่อฉะแล. หากคุณตื่น คุณจะรู้เองว่า "การปฏิบัติของคุณมันไปต่อไม่ได้สักระยะแล้ว ตั้งแต่คุณเชื่อผิดทาง" แต่คุณไม่รู้เอง เพราะยึดมั่นกับความเชื่อ(มโน/การตีความ) ทั้งๆที่ การโยโสจริงๆคือ การเข้าสภาวะและเดินจิตเอาว่าใช่ไม่ใช่ หรือหากจะลองเป็นทฤษฏีก็ต้องเอามาทดสอบ เช่น คุณคิดเอาเองจากผีตัวไหนบอกว่าให้รักแล้วชีวิตจะฟินกู้โลกได้ ก็ลองเลยเข้าสภาวะที่คุณมั่นใจนักหนาและ รู้ถึงสนามแม่เหล็กโลก จะพบว่า "มันก็เหมือนเดิมและมันไม่ได้เกี่ยวห่านอะไรกันเลย มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยล้วนๆเพราะ สภาวะสุขหรือปิติหากคุณเรียกมันว่าความถี่(ผมไม่เรียกงั้นนะแต่จะพูดให้เข้าใจในเรื่องเดียวกัน)คุณจะพบจากสภาวะปกติมันไม่เหมือนกันแล้วไอ้ความรักของคุณมันก็ไม่ใช่ความถี่เดียวกับสนามแม่เหล็กโลกใดๆด้วยดังนั้นต่อให้ปิติกันทั้งโลกจริงมันก็ไม่เกี่ยวกับสนามแม่เหล็กอยู่ดี เป็นไงช๊อคเลยไหมฮับเจอความจริงเข้าไป" ซึ่งไม่ว่าคุณจะดริฟท์รถไป 7 ย่านน้ำ ผลลัพธ์มันก็เหมือนเดิมอยู่ดีฉะแล. ซึ่งผลที่คุณเละขนาดนี้ "ปฏิบัติไม่สามารถอัพเวอร์ชั่นได้" เพราะคุณ "ไปแปลงคำสอนพุทธศาสนาให้เข้ากับเวอร์ชั่นจิตจับมะวานนั่นแหละคุณเลยเอามาปนกันจนมั่วไปหมด" ดังนั้นไม่ว่าคุณจะแถว่าไม่ได้เชื่อก็ตามที "ผลการปฏิบัติของคุณมันก็ไม่ได้อัพเวอร์ชั่นขึ้นมาหรอก"

4.จิตจับมะวาน เป็นการปฏิบัติในระดับ "โยคีแคนดูอิท" โดยการ เข้าสภาวะ "รักของคุณ" หากจะแปลง่ายๆ ก็น่าจะปิติกับสุข ซักอย่าง "ซึ่งไม่พ้นต้น" ตนนั่นแหละสุขไม่ก็ปิติ "ดังนั้นจะพูดไป 7 ย่านน้ำว่าใช่แล้ว" สัจธรรมที่ปรากฏคือ "ไม่พ้นตน" จบแล้วง่ายๆ ไม่ต้องตีความ ความจริงเป็นยังไงก็เป็นยังงั้น "ที่คนเราไปต่อไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะการไม่รู้ทางแล้วก็เนื่องจาก วิบาก(ผลของการกระทำ)" เพราะคุณไปชาบูอูเร่ๆนั่นแล


ซึ่งสิ่งที่ผมพิมพ์มาทั้งหมด คุณไม่ต้องคิดมากและตีความอ่านผ่านไปได้เลยนะ "ผมแรปให้ฟังเฉยๆ" เพราะผมรู้ว่าคุณเลือกจะเสพวิบากกรรมนี้ต่อไป "เพราะคุณมั่นใจแล้วว่ามันใช่ทั้งๆที่มันไม่ใช่" ตามสบายฮับ คุณสมุหนายกแห่งจักรวาล

ปล.ผม อีดิท เพื่อแก้คำผิดและขยายความนะฮับ

 

ถือซะว่าด่านทดสอบยังมีอีกเยอะ ตราบใดที่ยังมีมนุสอยู่ ผีก็ยังตามรักตามแค้นอยู่นั่น หาเหตุผลอธิบายยากอยู่ดี ไม่คิดจะพัฒนาไปไหนแล้วเหรอ

 

เอาอย่างนี้ไหม เราก็หนึ่งในตองอูเหมือนกัน (คิดว่านะ 5555) ที่จริงแล้วตั้งใจจะเรียนรู้รอบจักรวาล ทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง เบื้องกลางและเบื้องสูง ตั้งใจจะเรียนรู้ระเบิดตัวดูแบบระดับจักรวาล และการระเบิดตัวดูในระดับจิตสำนึก งั้นมาหาความจริงกันก่อนดีกว่า

คำว่า "ความรัก" ในที่นี้คืออะไร?

คลื่นความถี่สั่นสะเทือนด้านบวก ซึ่งเรียกว่า " พลังงานความรัก " อันเป็นคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กชนิดหนึ่ง ซึ่งมีคุณสมบัติด้านบวก คือ อำนาจในการดึงดูดเหนี่ยวรั้งทุกสรรพสิ่งมาเป็นระบบเดียวกันกับตนเอง เพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันนั้นเอง

โดยการเริ่มจากการยึดรั้งอนุภาคที่มีมวลเล็กสุด ๆ หลายอนุภาคให้มายึดเกาะรวมกันเกิดเป็นอณูขึ้น จากหลาย ๆ อณู ก็มายึดเกาะกันเป็นอะตอม หลาย ๆ อะตอมยึดเกาะรวมกันเป็นโมเลกุล หลาย ๆ โมเลกุลเกาะเกี่ยวกันไว้กลายเป็นมวลขนาดใหญ่ไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็เกิดเป็นตัวตนรูปลักษณ์ต่าง ๆ ให้มนุษย์แลเห็นมันนั่นเอง นอกจากนั้นมันยังสามารถแผ่พลังงานความรักที่ว่านี้ออกมาภายนอกตัวมันเองด้วย เพื่อเหนี่ยวรั้งสรรพสิ่งอื่นให้มาเป็นพวกเดียวกันกับตนได้ดีอีกต่างหากด้วย โดยตาคุณมองไม่เห็นเพราะปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นกระบวนการทางพลังงานไม่ใช่กระบวนการทางมิติกายภาพของมนุษย์

ตัวอย่างสำหรับกรณีที่กล่าวเช่นนี้ เช่นการเกิดระบบสุริยะจักรวาลที่ดวงดาวทั้งหลายยึดรั้งซึ่งกันและกันเอาไว้ให้เป็นระบบเดียวกันโดยอำนาจด้านบวกของแก่นแท้ของแต่ละสรรพสิ่งนั่นเอง อำนาจด้านบวก ก็คือ พลังงานด้านบวก และแน่นอนว่าพลังงานด้านบวกย่อมหมายถึง "พลังงานความรักจากแก่นแท้" ของแต่ละสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ในระบบเดียวกัน นั่นเอง

ถ้าเป็นกระบวนการสั่นสะเทือนของแก่แท้ คือ จิตวิญญาณในรูปธรรมมนุษย์ ที่ต้องสั่นสะเทือนต่อเนื่อง เพื่อสร้างพบังงานชีวิตในการดำรงอยู่ การสั่นสะเทือนทางจิต ที่ก่อให้เกิดกระบวนการทางอารมณ์รู้สึก และกระบวนการนึกคิดตัดสินใจอันเกิดจากการสั่นสะเทือนทางเซลล์สมอง และจากการสั่นสะเทือนทางจิตวิญญาณของผู้เป็นแก่นแท้ของมนุษย์ ที่มนุษย์มีชีวิตอยู่ได้เพราะจิตวิญญาณอันเป็นรูปธรรมทางพลังงานผู้เป็นแก่นแท้ มีการสั่นสะเทือนตนเองทางด้านบวกอย่างต่อเนื่องตลอดเวลานั่นเอง

พลังงานด้านบวกที่มนุษย์น้อมนำมันออกมาจากแก่นแท้ภายใน ในลักษณะของการเหวี่ยง ที่ว่านี้นั้น คือ "พลังงานความรัก" นั่นเอง

 

ที่จริงแล้วอยากให้พระโพธิสัตว์หลาย ๆ ท่านพิจารณาเรื่องนี้นะ หาไม่ง่ายนะสำหรับกึ่งพุทธกาลกับความรู้แบบนี้ ปรารถนาดีมาก ๆ เลยค่ะ หากสมัยใดที่จิตยิ้มไปเกิดในยุคที่แต่ละท่านบำเพ็ญบารมีกัน ถ้าจำได้ว่าจิตยิ้มปราถนาดีต่อทุก ๆ คนจะได้คอยช่วยเหลือจิตยิ้มให้พบความจริงและได้พ้นทุกข์ไปด้วยไงค่ะ

 

ถ้าไม่ขี้เกียจตามอ่าน...ก็ลองแหย่ให้จิตจักรวาลโมโหดูสิ...เรารับรองได้เลยว่า...ถ้าจิตยิ้มโมโห..จิตที่ยิ้มจะเปลี่ยนเป็นจิตยักษ์ทันทีและคำตอบจะไหลมาไม่ต่ำกว่าสามหน้า5555

 

ท่านไฮเปอร์ถึงกับตะลึงเลยหรอค่ะ 5555 เป็นไงค่ะ ข้อมูลไม่ธรรมดานะ

 

ผมจิตครึ่งคนครึ่งผีครับธาตุ ghost มั้งคุยแต่กับผีรู้เรื่อง

 

เคยฝันเห็นไอสไตน์ด้วยช่วงป่วยใหม่ๆ คงมาทวงสิทธิ์คนที่เอาสูตรเขาไปทำระเบิด มาแก้ไขเรื่องที่ผิดพลาดไปแล้ว รึผมจะติดต่อเขาเหล่านี้ได้เนี่ย มีเสียงตอบออกจากสมองโดยไม่ได้คิดด้วย

 

ความรักเกิดจากฮอร์โมนแต่โยงเข้าเรื่องคลื่นแม่เหล็กมันไม่เป็นรูปธรรม อธิบายยากนะ

 

เพื่อให้ท่านเห็นภาพของความรัก หรือ พลังงานของความรัก ที่เกี่ยวกับพลังงานมิติโลก

แต่ถ้าอธิบายระหว่าง "ฮอร์โมน" กับ "คลื่นแม่เหล็ก" ความเกี่ยวข้องกัน คือ.....

ความรักที่เป็นฮอร์โมน ฮอร์โมนที่อยู่ในเซลล์ของมนุษย์ ถ้าอธิบายกันทางวิทยาศาสตร์ก็คือ คลื่นกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าระบบหนึ่งในระบบเซลล์ในร่างกาย ระบบชีววิทยาที่เป็นร่างกาย ประกอบด้วยมวลหยาบ ๆ ร้อยเรียงกันในระดับเซลล์จนเป็นรูปทรง โดยมีสิ่งที่เร้นอยู่ภายใน คือส่วนที่เรียกว่าจิตใจ จิตสำนึก และจิตวิญญาณ ซึ่งต้นกำเนิดก็คือให้พลังงานที่มีอนุภาคเล็กระเอียดระดับปรมาณู เป็นคลื่นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กอย่างหนึ่งถูกห่อหุ้มไว้ภายในร่างกาย

ส่วน....

ความรักที่เป็นพลังงานคลื่นแม่เหล็ก ก็คือ อณู(คลื่นความถี่อนัตตา) เป็น คลื่นความถี่พลังงานแม่เหล็กเป็นแก่นแท้ทางพลังงาน เพราะจิตวิญญาณเป็นรูปธรรมทางพลังงาน เป็นเรื่องของอนุภาคคลื่นแสง เป็นสิ่งที่แฝงเร้นอยู่ในรูปธรรมใด ๆ (ชีวิตมนุษย์) ก็คือ อนุภาคของมวลและพลังงานในระดับจักรวาลเหนือมิติโลก สิ่งที่เร้นอยู่ในรูปธรรมหรือรูปทรงก็คือ คลื่นอนุภาคเล็กละเอียดระดับปรมาณู เล็กยิ่งกว่าอนุภาคโฟตอนของคลื่นแสงที่มนุษย์รู้จักกันเสียอีก

สองสิ่งนี่จึงโยงเป็นเรื่องเดียวกันได้ค่ะ ถ้าอธิบายความหมายแบบที่รู้ ๆ กันทั่วไป....

คำว่า "ความรัก" นี้เป็น หัวใจ ของมนุษย์ทุกคน เป็นสิ่งที่ทุกคนขาดกันไม่ได้ มนุษย์นี้ขาดความรักในการดำรงชีวิตกันไม่ได้ เพราะ "ความรัก" นี้เป็นแก่นแท้ของทุกสรรพสิ่ง "ความรัก" ในความหมายของมนุษย์ขึ้นอยู่กับว่า จะนำเอามาใช้เป็น "ความรักแบบบริสุทธิ์" ตามธรรมชาติเดิมของแก่นแท้ หรือ ความรักที่เป็นไปทางด้าน กิเลสตัณหา ที่มนุษย์ส่วนใหญ่รักกันไม่เป็น จึงเป็นจึงเริ่มต้นของ "กรรม"

หากมองความรักเป็นแค่ฮอร์โมน ความรักเป็นฮอร์โมนกระตุ้นให้เกิดความสุข ความรักที่แท้จริงจะเกิดเป็นความสุข ยินดี ปิติ คือเป็นพลัง ส่วนใหญ่ล้วนมาจากการ "ให้" การยึดเหนี่ยวเอาไว้ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ความรักมิได้มีแต่หนุ่มกับสาว ความรักมีได้ทุกระดับทุกสภาวะ และที่สำคัญความรักที่ให้และปราถนากันด้วยความจริงใจ บริสุทธิ์ อยากช่วยเหลือเกื้อกูลให้พ้นทุกข์ หรือ ความเมตตาไม่มีประมาณ สงสารเพื่อนมนุษย์ หรือ อย่างไรก็แล้วแต่สิ่งนั้นล้วนออกมาจาก "ภายใน" อันเป็นแก่นแท้ เป็นพลังงานด้านบวกอันบริสุทธิ์และละเอียดอ่อนที่มีอยู่ในภายในทุกจิตวิญญาณ นั่นคือ คลื่นพลังงานความรัก หรือ คลื่นพลังงานบวก ที่จิตวิญญาณถือติดตัวนำมาใช้ในโลกสมมุติ หรือ จะเรียกว่า อันคุณงามความดีทั้งหลายที่พวกเราแสดงออกกันด้วยความบริสุทธิ์ เหล่านั้นล้วนมาจาก คลื่นการสั่นสะเทือนของแก่นแท้ที่อยู่ภายในของจิตวิญญาณ นั่นเอง

หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่ง ที่ใดมีความรัก ที่แห่งนั้นมีการยึดเหนี่ยวรวมกลุ่มกัน ที่ใดขาดความรัก ที่นั่นย่อมมีการแตกแยกออกจากกัน สิ่งที่เห็นอยู่ก็ต่างคนต่างไปคนละทิศคนละทาง

หรืออีกนัยยะหนึ่ง การรวมตัวของสิ่งที่เห็นอยู่ว่ามีเป็นตัวตน ล้วนกำเนิดมาจากพลังงานความรักที่ยึดเหนี่ยวกันไว้ เป็นพลังงานแก่นแท้ พอหมดเหตุหมดปัจจัยพลังงานที่เคยยึดเหนี่ยวไว้ก็แปรเปลี่ยนไป สิ่งที่เห็นว่ามีอยู่ก็มีอันต้องสลายไป เพราะไม่มีพลังงานนั้นยึดรั้งเหมือนเดิม

 

ทำไมเหนนังยิ้มกะจิตจักรวาล กท.นี้ฟระ ใครไปจุดประเด็นให้มันเนี่ยะ หลอนยิ่งกว่าตามด่าไอ้หงบ

 

บางทีจะโพสอะไรก้อต้องดูสภาพตัวเองด้วยเนอะ อย่าจุดประเด็นให้ดูถูก

มึงใช้ชีวิตอยุ่กะจินตนาการตัวเองมากไปไง ถ้ามึงจะฝันว่าคนโน้นคนนี้มาข่มขืน หรือชวนมึงมาเทศน์สอนคน มันก้อไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับกุหรอก คนที่เข้าสังคมในโลกความจิงไม่ได้ ก้อต้องมาแนวๆนี้แหล่ะ ใช้ความฝันหลอกตัวเอง เมื่อหลอกตัวเองได้ คนอื่นก้อหลอกไม่ยาก เช่นมึงเปนต้น ที่โพสโกหกหลอกชาวบ้านอยุ่ทุกวัน

 

ทุกคนคิดว่าอย่างไรกันบ้าง

บาวโพสเหมือนจะด่าเรา แต่เราอ่านโพสแล้ว รู้สึกเฉยๆ มีแต่คำออกมาลอย ๆ ไม่มีผลกับจิตใจเรา แต่บางโพสไม่ได้กล่าวขึ้นมาแบบเสียดสีไม่ได้พูดตรง ๆ แต่พลังงานเรารับได้เต็ม ๆ เอาไว้ฝึกใจกันค่ะทุกคน

ถ้าใครรับรู้ความรู้สึกนี้ได้ แสดงว่าคุณมีเจ้ากรรม-นายเวรเข้าแล้ว เขากำลังจองกรรมเราอยู่ จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับกระแส กระแสนั้นจึงทำให้มีผลกับเราโดยตรง ต้องแผ่เมตตาให้มาก ๆ ค่ะ ให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ เดี๋ยวเรากรรมจะหลุดจากเราไปเอง เขาจะรับหรือไม่ก็แล้วแต่เขา แต่เรากำลังทำให้ตนเอง ให้เข้าไประลึกบ่อย ๆ จะเห็นกระแสภายในใจของเราอย่างแท้จริง ว่าอภัยให้เขาอย่างบริสุทธิ์ใจหรือยัง มันจะมีความรู้สึกลึก ๆ ภายใน ถึงแม้อยากจะอภัยให้ แต่ก็ยังรู้สึกไม่ร้อยเปอร์เซนต์ ย้งมีความรู้สึกที่อยากจะให้เขาเป็นไปตามกรรมเขา นั่นแสดงว่าใจเรายังไม่บริสุทธิ์ต่อผู้นั้นอย่างแท้จริง จะจบชาตินี้ หรือจะยืดเยื้อต่อไป ถ้าใจไม่อยากเจอกันอีก โปรดพิจารณาค่ะ

ความอิจฉากันนี้ไม่ดีเลย และความเจ็บใจเป็นที่มาแห่งการเกลียดชัง และหาวิถีทางที่จะเอาคืนได้ทุกอย่าง ขอให้กระทำก็เพียงพอ นี่แหละมนุษย์

 

จากคลื่นกลายเป็นอนุภาค เป็นเซล ฮอร์โมน นี่มันการเกิดแบบโอปปะปาติกานี่นา สงสัยจิตยิ้มจะเป็นนางฟร้า หรือเทพธิดาแล้วล่ะ

 

จะบวกจะลบมันก็ไม่พ้นตนไง เอาเป็นว่าคุณจะพูดอัลไล มันก็ยังไม่ใช่อยู่ดี สรุป "อ่านผ่านๆจริงๆด้วย" แล้วสภาวะธรรมมัน "รู้จนเห็น" อยู่แล้วมันมองด้วยตาคนแต่แรกไม่ได้อยู่แล้วฮับ แล้วมันจะวนกลับไปที่เม้นท์ที่แล้วอีกนั่นแหละฮับ ว่า "มันไม่ใช่คลื่นเดียวกับสนามแม่เหล็กโลกอัลไลทั้งนั้นไง

แถมด้วยนะ "ไอ้พลังบวก = ดึงดูดอะ" แน่ใจว่ามันแค่ "พลังบวก? จริงๆไม่ว่าจะอารมณ์อะไรมันก็ดึงดูดเหมือนกันอะ" เพราะอัตตา มันรับอารมณ์ได้เป็นปกติอยู่แล้ว ดังนั้นเดอะทฤษฏีพลังบวกเป็นอันหายเข้ากลีบเมฆ ณ บัดนาว แค่มันจะทุกข์ไม่ทุกข์เท่านั้นเองนะเธอว์ และอีกอย่างนะ "ปิติสภาวะมันแผ่ซ่านอยู่แล้วฮับ" คุณอย่าคิดตีความจิฮับ เอางี้นะ ถ้าจะชวนผมคุยเกี่ยวกับจิตจับมะวานอีกอะ ไม่ต้องคุยนะ เพราะมันจะวนไปวนซึ่งจริงๆคำตอบผมมันก็ใช้เม้นท์ก่อนตอบกลับได้ด้วยซ้ำ ผมว่ามันไร้ประโยชน์ที่จะคุยกับคุณนั่นแล

 

การรอให้ธรรมชาติคัดเลือกเผ่าพันธุ์ หรือการให้มนุสคัดเลือกกันเอง ก็ล้วนมีข้อดีข้อเสียคือ อาจได้มนุสที่แข็งแรง ฉลาด หล่อ สวย แต่ยังไงก็ต้องแข่งกับธรรมชาติที่ระยะหลังไม่ค่อยเป็นมิตรกับคนหรือฝีมือใครบางคน ถือว่าเป็นบททดสอบที่แต่ละคนตั้งเป้าไว้แล้วลองทำดู ถึงบางอย่างจะเวอร์เหมือนติดกับดักความคิดทำให้ต้องมีฝันช่วยในการหาทางออก ผมพอจะเข้าใจที่ต้องให้ผมฝันบ่อยแล้วล่ะ เพราะความคิดโง่ๆ นี้เองตัวปัญหา ไม่อยากด่าตัวเองเลย ต้นตอปัญหามาจากกิเลสล้วนๆ ความอยากจนครบรอบวันล้างโลกพึ่งเข้าใจ แต่เพื่อวิชาเอาชีวิตรอดการยอมแหกกฎก็ต้องทำ จะมีใครเข้าใจมั้ย ทุกวันนี้ยังมีใครทำตามกฎที่มนุสเราตั้งขึ้นมาเป๊ะๆ บ้าง มันฝืนธรรมชาติไงไม่รู้ แต่เพื่อควบคุมสังคมแหละ คงเป็นตัวอย่างไม่ดี แต่ฝืนกฎธรรมชาตินี่สิคงอีกเรื่อง ยังไงก็คงยอมๆ ไปก่อน ยังไม่ใช่ทีของเรา

 

..ไปเตะบอลกัน..