เห็นภาพคลื่นน้ำทะเลซัดท่วมภูเขามาเลย(พี่ที่ทำงานบอกนั่งสมาธิเห็น)

เจ้าเมืองซาอูดี๊ เค้่าหนุนหลังโดยตรง
งบน้ำมันเยอะ แยกตัวเมื่อไหร่
พวกนี้จะไปขึ้นกับ ยูเอ็น และ ซาอุดี้
พวกผู้นำทางใต้ อยากไปประกอบพิธิฮัจฟรี
ให้ซาอุดี้ เป็นเจ้าภาพออกทุนให้
ก็เลยต้องไปขึ้นกับเค้า

 

แล้วถ้าผมอยากเป็นพญาอินทรีล่ะ ต้องทำยังไง

 

“อัจฉริยลักษณะและอดีตชาติของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต”
....ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ท่านเป็นผู้มีอัจฉริยลักษณะและอัจฉริยนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะองค์ มีปฏิปทามักน้อย สันโดษ ไม่คลุกคลีระคนด้วยหมู่ แสวงหาวิเวก ปรารภความเพียร ตั้งแต่วันอุปสมบทมา จนกระทั่งวาระสุดท้าย
ธุดงควัตร ที่ท่านปฏิบัติเป็นประจำตลอดชีวิต คือ บิณฑบาตเป็นวัตร
ฉันในบาตรเป็นวัตร
ใช้ผ้าบังสุกุลเป็นวัตร
อยู่ในป่าเป็นวัตร
ถือนั่งฉันอาสนะเดียวเป็นวัตร
ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านเป็นผู้ที่มีลักษณะสมบูรณ์แบบทั้งภายนอกและภายใน ท่านเกิดมาเพื่อเป็นปรมาจารย์ แม้รูปกายและกิริยาของท่านก็เป็นลักษณะของท่านผู้มีบุญใหญ่ คือ
“คิ้ว” ของท่านมีไฝตรงกลางระหว่างคิ้ว ลักษณะคล้ายกับอุณาโลมของพระพุทธเจ้า ไฝนี้เป็นจุดดำเล็ก ๆไม่ได้นูนขึ้นมา มีขนอ่อน ๓ เส้น ไม่ยาวมาก เป็นเส้นละเอียดอ่อนมาก ถ้าไม่สังเกตให้ดีจะไม่เห็น
“หู” ของท่านมีลักษณะหูยาน เป็นหูของนักปราชญ์
“จมูก” โด่งรับกับใบหน้า เข้ารูปลักษณะชายชาติอาชาไนย
“ตา” ของท่านแหลมคมเหมือนตาไก่ป่า คือ ตาดี รวดเร็ว คือ มีแววตาเป็นวงแหวนในตาดำ เป็นตาของจอมปราชญ์
“นิ้วมือ” ของท่านนิ้วชี้จะยาวกว่า แล้วไล่ลงมาถึงนิ้วก้อย
“นิ้วเท้า” ก็เหมือนกัน นิ้วชี้จะยาวกว่า แล้วไล่ลงมาถึงนิ้วก้อย
“ฝ่าเท้า” ของท่านจะเป็นลายก้นหอยสองอัน และมีรอยอยู่กลางฝ่าเท้าเหมือนกากบาท
เวลาท่านเดินไปไหน ท่านเดินก่อน สานุศิษย์ไม่เหยียบรอยท่าน พอท่านเดินผ่านไปแล้ว ชาวบ้านจะไปยืนมุงมองดูจะเห็นเป็นลายตารางปรากฏอยู่ทั้งสองฝ่าเท้า
“รอยนิ้วเท้า” ก็เป็นก้นหอยเหมือนกัน จะเรียกก้นหอยหรือวงจักรก็ได้ มีอันใหญ่กับอันเล็ก ๒ อัน เป็นลักษณะพิเศษของท่าน
“ฝ่ามือ” ของท่านเวลาสานุศิษย์นวดเส้นถวาย ได้พลิกฝ่ามือของท่านดูปรากฏว่า มีเส้นกากบาทเต็มฝ่ามือทั้งสองข้าง
“เสียง” ของท่านเสียงกังวาน ไพเราะ ฟังเพลิน ฟังเหมือนเสียงฟ้าดินถล่ม ผู้ฟังไม่อิ่มไม่เบื่อ แรงแต่ไม่เป็นอันตราย
“คำพูด” ของท่านเหมือนถอดจากหัวใจดวงหนึ่งไปสู่หัวใจอีกดวงหนึ่ง แม้ท่านเทศน์จบแล้วผู้ฟังก็ยังอยากฟังต่อไปอีก แม้คนละเชื้อชาติภาษาท่านก็สามารถสอนให้เข้าใจได้
“วาจา” ของท่านเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ไม่มีลาภ ยศ อามิสเจือวาจาของท่าน เทศน์จึงขลังดี พูดถูกธรรม ตรงไป ตรงมา ไม่เห็นแก่หน้าบุคคลและอามิส
“ฤทธิ์” ท่านไม่ชอบแสดงฤทธิ์ ท่านชอบภาวนาให้สิ้นกิเลส ฤทธิ์ทั้งหลายเกิดด้วยกำลังสมถะ ฌานสมาบัติทั้งนั้น ใช้วิปัสสนาอย่างเดียวไม่มีฤทธิ์สำเร็จอรหันต์
ท่านพระอาจารย์มั่นท่านเล่าเรื่อง ในอดีตชาติท่านได้พิจารณาร่างกระดูกมาถึง ๕๐๐ ชาติ ได้พิจารณาวัฏฏะอีกถึง ๕๐๐ ชาติ
เริ่มตั้งแต่เกิดเป็นเสนาบดีเมืองกุรุรัฐ ชมพูทวีป ประเทศอินเดีย ผู้เกี่ยวข้องในครั้งนั้น คือ ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) คือ พระปทุมราชา ผู้ครองแคว้นกุรุ เป็นพี่ชาย
ในชาตินั้นท่านได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเฉพาะพระพักตร์ ปฏิญาณตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัย ตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าต่อหน้าพระพักตร์ แต่ยังไม่ได้รับพุทธทำนาย
ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าว่า พระพุทธองค์ตรัสธรรมแก่ท่านซึ่งเป็นอุบาสกในครั้งนั้นว่า....
....อุบาสกผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเป็นอุบาสกผู้เลวทราม เศร้าหมอง น่าเกลียด คือ
อุบาสกเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ๑
เป็นผู้ทุศีล ๑
เป็นผู้ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อมงคล ไม่เชื่อกรรม ๑
แสวงหาเขตบุญภายนอกศาสนา ๑
ทำการสนับสนุนในที่นอกศาสนานั้น ๑
ส่วนอุบาสกแก้วก็มีนัยตรงกันข้ามกับอุบาสกเลวนี้
ท่านบอกว่าจิตท่านมั่นคงในพระรัตนตรัย ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
อีกชาติหนึ่งท่านเกิดที่ลังกาทวีป ประเทศศรีลังกา ได้บวชเป็นพระ ได้เข้าร่วมสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๔ ปรารภให้พระศาสนาประดิษฐานมั่นคงในลังกาทวีป พระสงฆ์ ๖๘,๐๐๐ รูป มีพระมหินทเถระเป็นประธานและเป็นผู้ถาม พระอริฏฐะเป็นผู้วิสัชนา ประชุมที่ถูปาราม เมืองอนุราชบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖ โดยพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะเป็นศาสนูปถัมภ์ สิ้นเวลา ๑๐ เดือนจึงเสร็จ
จากนั้นท่านได้มาเกิดที่มณฑลยูนานประเทศจีน ในตระกูลขายผ้าขาว มีน้องสาวคนหนึ่งเคยช่วยเหลือกัน มาชาตินี้ คือ นางนุ่ม ชุวานนท์ คหปตานีชาวสกลนคร ผู้สร้างวัดป่าสุทธาวาสถวายและท่านก็ได้สงเคราะห์ด้วยธรรมแก่เธอมาโดยตลอด
ชาติหนึ่งท่านไปเกิดที่โยนกประเทศ ปัจจุบันคือเมืองเชียงตุง ประเทศพม่า ในตระกูลช่างทำเสื่อลำแพน ท่านพระอาจารย์เสาร์ เป็นนายช่างใหญ่ ท่านพระอาจารย์มั่นเป็นผู้จัดการ ส่วนพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธฺโล) เป็นคนเดินตลาด
ท่านพระอาจารย์มั่นสอนท่านพ่อลีต่อไปอีกว่า ผู้ปฏิบัติต้องรู้ที่จะแก้จิตของตน ให้รู้จักภพของตนที่จะไปเกิด ต้องผ่านความผิดมาเสียก่อน จึงปฏิบัติถูก
ความผิดเป็นเหตุ ความถูกเป็นผลของความดีทั้งหลาย
ต้องเดินมรรค ๘ ให้ถูกจึงจะแก้ได้ เดินตามสายหนทางของพระอริยเจ้า ใช้ตบะอย่างยิ่งคือความเพียร จึงจะสอนตนได้
โลกีย์ โลกุตระ ๒ อย่าง ประจำอยู่ในโลก ๓ ภพ
และท่านพระอาจารย์มั่นได้แสดงธรรมโดยยกธรรมชาติมาเปรียบเทียบให้ฟังในหลายคราว มีใจความย่อดังนี้ว่า

"....ธรรมะ หรือ ธัมโม ต้องเรียนเอามาจากธรรมชาติ เห็นความเกิด ความแปรปรวน ของสังขารประกอบด้วยไตรลักษณ์
เป็นนักปฏิบัติกรรมฐานอย่าเชื่อหมอมากนัก ให้เชื่อธรรม เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม จึงจะดี ธรรมะทั้งหมดชี้เข้าที่กายกับจิต เพราะกายและจิตนั่นแหละ เป็นคัมภีร์เดิม เป็นคัมภีร์ธรรมะที่แท้จริง
ภูเขา ทะเล สายน้ำ แผ่นดิน แผ่นฟ้า เห็นไปดูไปก็ไม่มีความหมาย ให้เห็นแต่ชาติทุกข์ ชราทุกข์ พยาธิทุกข์ มรณทุกข์ เท่านั้นแล
ทิฐิมานะนั่นแหละ เป็นภูเขาสูงหาที่ประมาณมิได้
โลกสันนิวาส มีความแปรปรวนตั้งเที่ยงอยู่เช่นนั้น แต่จิตของเรารักษาไว้ให้ดี อย่าให้ติด ถ้าไม่ติดก็ได้ชื่อว่าเป็นสุข
พิจารณาค้นกาย ตรวจกายถูกดีแล้ว ค้นดูกายถึงหลัก แลเห็นอริยสัจของจริงแล้ว เดินตามมรรคเห็นตัวสมุทัย เห็นทุกขสัจ
ต้องทำจิตให้เป็นเอก ต้องสงเคราะห์ธรรมให้เป็นเอกเสมอ
พระอรหันต์มีคุณอนันต์นับหาประมาณมิได้ พระอรหันต์ตรัสรู้ในตัวเห็นในตัว มีญาณแจ่มแจ้งดี ล้วนแต่เล่าเรียนธรรมชาติทั้งนั้น"

คัดลอกจากหนังสือชีวประวัติและปฏิปทา “ท่านพ่อลี ธมฺมธโร พระอริยเจ้าผู้มีพลังจิตแก่กล้า

 

ใช่แล้วครับ พวกพุทธภูมิ
ส่วนมาก มาจาก ชั้นพรหม หรือ อรูปพรหม ทั้งนั้น
พวกนี้จิตจะนิ่งดีอยู่แล้วครับ
ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มอีก ไม่ต้องสอนอะไรอีก
ก็ทำได้ทุกอย่างเลย แต่ส่วนมากจะยังไม่รู้ตัวเอง
และไม่ยอมเชื่อว่า ตนเองนิ่งอยู่แล้ว
สุดท้ายก็จะไปเสาะแสวงหาอีก
ทำซ้ำแต่เรื่องทางโลก อยู่อย่างนั้น
จนไม่มีที่จะสิ้นสุด

คนพวกนี้ ขัดเกลา อีกนิดหน่อย
ก็สามารถใช้งานได้เลย

 

สร้างปีกตัวเอง..หัดบินให้เก่ง..เมื่อบินโฉบด้วยความชำนาญได้แล้ว..จะเรียกว่าพญาอินทรี......แต่จริงๆแล้วท่านไม่เหมาะจะเป็นพญาอินทรีหรอกนะ...แค่ความอยากที่ท่านมีมันเกาะกินหัวใจท่านแค่นั้นเอง...ผู้จะเป็นพญาอินทรี..ยังมาถามไก่ชนผู้ต่ำต้อย..แล้วอย่างนี้จะเป็นพญาอินทรีได้ยังไง...ไปคิดทบทวนดูนะ

 

หากเป็น วรรณะกษัตริย์ จะเรียกว่า จักรพรรดิราชา
หรือ พระจักรพรรดิราช สามารถมีซ้อนกันได้ครับ
กับ พระยาธรรมิกราชา หรือ พระยาธรรมิการาช
เป็น หนึ่งในทางโลก กับ หนึ่งในทางธรรม
ส่วนมากจะเกิดคู่ๆกัน ไม่เกิดเดี่ยวๆ
เพราะทั้งสองจะต้องอุปถัมค้ำชูกัน
ศาสนา จึงจะได้ประโยชน์สูงสุด

 

นิมิตของท่านเตือนท่านว่า
นี้เป็นงานของท่าน กับ คณะท่าน
รวบรวมคณะให้ได้ แล้วร่วมกันทำงาน
ใช้สิ่งที่ท่านรู้ก่อนคนอื่น ให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม

 

กั๊กๆๆๆ

ต้นประโยค ขอ ทำความรู้จัก ทีมเสียงภาคอินทรีย์

ท้ายประโยค พูดว่า ไม่อยากยุ่งด้วย ไม่ต้องการคบหา

โพสต่อมา.... บอกวิธีสยายปีกของอินทรีย์
คล่องยังกับ หอยรับตระบวยลื่นไหลชุ่มขื่น

พอท้ายประโยค บอก ไม่ขอสอนละ
ค่อยๆคาย พิษสีขาวออกมาทางปากรู

 

ที่ไม่อยากให้เกิดก็คือ
มืดมิดเจ็ดวันเจ็ดคืน นี่แหละ
แต่ถ้าเป็นจริงก็ต้องยอมรับแล้ว
แต่ถ้ายังยันได้อยู่ ก็ยันไว้ก่อน
อย่าเพิ่งให้เกิดหนักๆ ค่อยๆเตือนกันไป
แล้วค่อยจัดหนักไปเรื่อยๆ
หากปล่อยให้ตายหมด
ก็คงจะได้ตายหมดโลกแน่

 

เวลาที่ท่าน ส่งสารเตือน
ก็ควรจะเตือนด้วยว่า
มนุษย์ควรทำตัวอย่างไร
จะได้รอดตายจากสิ่งที่ท่านเตือน

 

อย่ารีบ หุบ จิฮับ

อ้าไว้ อ้าปากกว้างๆ

ไหลไปเรื่อยๆ

คนเขาจะดู

 

ผมถามเผื่อคนที่เขาอยากเป็นอินทรี มันก็เท่านั้น

เป็นคนดีๆไม่ชอบ ชอบเป็นสัตว์เดียรัจฉาน
แล้วจะไปพระนิพพานได้เยี่ยงไร

 

เราก็ตอบท่านเพื่อฝากให้ท่านไปบอกคนอื่น...มันก็เท่านั้น

 

แต่ยุค "สามร่มโพธิ์ศรี" ต้องมีสามท่านไม่ใช่หรือครับ

 

เมื่อเช้าฝันว่าเข้าประตูมิติไปหาอะไรกิน วาร์ปไปวาร์ปมามึน เหมือนจะหนีอะไรสักอย่างด้วย

 

ฝันก็คือลางสังหรณ์นี่เอง ผมอาจติดอยู่ในโลกอนาคตแล้วก็เป็นได้ เป็นมิติหนึ่งสำหรับคนชอบอนาคตเกิน ผมอาจเป็นผู้เปิดประตูนี้ อันตรายรึเปล่าไม่รู้ แต่เป็นทางลัดสู่โลกใหม่รึไงกันนะ

 

*** สิ่งที่ควรปฏิบัติ ****

มนุษย์ ...
ควรปฏิบัติตนโดยตัดลดนิสัยตนเอง
ทุกวัน วันละข้อ

- " หนุมาน ผู้นำสาร "

 

สามร่มโพธิ์ศรี มี พระอภิญญา อยู่แล้ว จึงไม่มีอะไรที่น่าห่วง
แต่สองอย่างหลัง เป็นเรื่องของ ใจฆราวาส
ที่ยังไม่หนักแน่นพอ ย่อมจะมีอาการผีเข้าผีออก
หรือ อาการที่่เรียกว่า ใจไม่นิ่งพอ
และ ไม่ยอมที่จะเรียนรู้หน้าที่ของตนเอง
ไปเรียนแต่เรื่อง โลกๆ อยู่นั่นเอง

 

"น้ำกลั่น" เป็นน้ำที่สะอาดที่สุด

ฝนที่มีพิษ จะทำให้แหล่งน้ำต่างๆ มีพิษตามไปด้วย จึงไม่สามารถนำมาบริโภคได้ ต้องมาทำให้สะอาดด้วยวิธีการกลั่นเท่านั้น จึงจะมั่นใจได้ว่า น้ำนั้นสะอาดเพียงพอแก่การบริโภคแล้วครับ

 

เอายุคสามร่มโพธิ์ศรี...มาลงให้เราอ่านหน่อย..ท่านเกษม...เราไม่เคยได้อ่านหรือรู้อะไรมาก่อนเลย..