เห็นภาพคลื่นน้ำทะเลซัดท่วมภูเขามาเลย(พี่ที่ทำงานบอกนั่งสมาธิเห็น)

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย Dhamma2, 19 ตุลาคม 2018.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    ยังฝันว่าทำงานที่เดิมอยู่เลย...ออกมาตั้ง2เดือนแล้ว..
     
  2. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
  3. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    อีกฝันนึง...ฝันว่าได้นั่งคุยกับตำรวจน้ำดีท่านนึงและกล่าวยกย่องท่านว่า...ที่ทำอยู่ตอนนี้ถูกต้องแล้ว..ให้ทำต่อไป..รักษาความดีไว้ให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่เด็กรุ่นหลัง........เป็นเรื่องเป็นราวมาก
     
  4. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391

    "ปีเก่ากะอันเก่า ปีใหม่กะอันเก่า..
    มีแต่มืดกับแจ้งฮั่นล่ะ..
    หนัง เนื้อ เอ็น กระดูกกะของเก่าฮั่นล่ะ..
    มันสิมีของใหม่มาแต่ปักตูใด๋...ซางเว่า...
    กะสมมุติไปเป็นรอบๆ ซือๆ...
    อ้ายที่แท้กะของเก่าฮั่นล่ะ..
    "


    หลวงปู่หล้า เขมปัตโต

    เทิดไว้เหนือเศียรเกล้า
     
  5. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391

    จะว่าไป...การอธิษฐานจิตแผ่เมตตาอุทิศบุญกุศลของเราในทุกๆวันเหมือนเป็นการซ้อม
    ตายครั้งสุดท้าย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2018
  6. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    กลางวันฟ้าโปร่งอากาศร้อน..กลางคืนมืดครึ้มอากาศหนาวลมแรง....ช่วง3ทุ่มจะเริ่มเห็นเมฆครึ้มอยู่บนท้องฟ้าทางทิศตะวันตก....หรือมันจะเป็นม่านอากาศหรือหมอกที่ปกคลุม..จากการกระทบกันระหว่างความร้อนกับความเย็นก็ไม่รู้นะ....ตามหลักธรรมชาติ...ความร้อนกับน้ำกระทบกันกลายเป็นไอ
     
  7. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    " สิ่งที่ชอบใจสิ่งที่ไม่ชอบใจก็คืออนิจจัง..
    สิ่งที่ชอบใจไม่ชอบใจอันนั้นก็คือสิ่งที่เกิดมาเพื่อแก่เพื่อตาย เกิดมาเพื่อดับ..
    ไม่ได้เกิดมาให้ใครชอบใจ ไม่ได้เกิดมาให้ใครไม่ชอบใจ..
    มีแต่ใจที่อยู่ในอำนาจของกิเลสเท่านั้น ทำให้สิ่งที่เกิดมาตายสิ่งที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาโดยธรรมชาตินั้น เป็นของร้อนขึ้นมา..
    ทำให้ใจเซซ้ายเซขวา..
    สิ่งที่เกิดมาตายอันนั้นเขาไม่รู้เรื่อง เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นอันตรายแก่ท่านผู้ใด..
    แต่กิเลสมันมีความสามารถ มีความเฉลียวฉลาดในเรื่องของกิเลส..

    อะไรเกิดในโลก มันเอาสิ่งนั้นเอามาเป็นเครื่องมือที่จะประหัตประหารจิตใจที่ไม่มีธรรมจิตใจที่ไม่เป็นมัชฌิมา.."

    หลวงปู่แบน ธนากโร
    เทิดไว้เหนือเศียรเกล้า
     
  8. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
  9. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
    **วัดอรัญญบรรพต**
    อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

    ...ทีนี้การที่จิตมันจะดีขึ้นไปได้มันก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ไปด้วยความเข้มแข็ง ไม่ย่อท้อ การที่เรามีอุบายสามารถระงับเรื่องวุ่นวายต่างๆ ทั้งภายในใจตัวเองและทั้งภายนอกให้มันสงบระงับลงไปได้ครั้งหนึ่งๆ นี่เราก็ได้ความรู้ความฉลาดขึ้นส่วนหนึ่งแล้วจิตใจก็รู้สึกว่าดีขึ้น เข้มแข็งขึ้นกว่าเก่า นี่การฝึกจิตนะให้พากันเข้าใจ
    ไม่ใช่ว่าเราอยู่ไปเรื่อยๆ ไปอย่างนี้แล้วจิตใจมันจะเข้มแข็งขึ้นเองโดยไม่ได้ต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ เช่นนี้นั้นเป็นไปไม่ได้ ก็ให้นึกทบทวนดู องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นก็เมื่อพระองค์ได้ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ เริ่มแต่ยู่ในราชสมบัตินี่ได้มองเห็นโทษของการเป็นเจ้าเป็นใหญ่ว่ามันยุ่งยากลำบากและก็โดยเฉพาะเมื่อมาพัวพันอยู่กับของไม่เที่ยงเหล่านี้มันก็ไม่พ้นไปจากทุกข์ได้ เพราะว่าไปพัวพันอยู่กับของไม่เที่ยง ดังนั้นแล้วพระองค์ก็จึงสละราชสมบัติออกไปบวช นั่นเป็นอันว่าพระองค์ละความยึดมั่นถือมั่นไปได้ส่วนหนึ่งแล้ว
    ทีนี้เมื่ออกบวชไปแล้ว เอ้า ทำความเพียรเพื่อให้ได้ตรัสรู้มันก็มีมารคอยมากีดกัน ทำให้พระองค์ไม่สามารถตรัสรู้ได้โดยเร็วพลัน ก็ต้องแสวงหาทางไปเรื่อยๆ ไป จนว่าได้หกปี นี่ปีที่หกนี่ก็จึงได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ คืนวันจะได้ตรัสรู้นั้นก็ต้องได้ต่อสู้กับพญามารและเสนามารอย่างเต็มที่ กว่าจะเอาชนะพญามารและเสนามารต่างๆ ได้ พระองค์ก็จึงได้นึกถึงพระบารมีที่ได้สั่งสมอบรมมาแต่อเนกชาติมาเป็นอารมณ์
    เมื่อพระบารมีเหล่านั้นปรากฏในพระทัยแล้วก็ทำให้พระทัยของพระองค์เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวขึ้น ก็บันดาลให้เกิดอุคหนิมิตขึ้นมาปรากฏเป็นเหมือนกับมีผู้มายืนยันว่า พระบารมีที่พระองค์ได้สร้างมานั้นมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทะเล แล้วก็บิดมวยผมเพิ่นว่าน้ำก็หลั่งไหลออกมาท่วมท้นพญามารและเสนามารให้พ่ายแพ้ไป นี่ก็หมายเอาน้ำพระทัยของพระองค์นั่นแหละเปี่ยมด้วยเมตตากรุณาอันยิ่งใหญ่ไพศาล ซึ่งฝ่ายชั่วนั้นไม่สามารถจะเอาชนะน้ำใจที่เปี่ยมไปด้วยเมตตากรุณาธรรมหรือคุณธรรมอื่นๆ มากมาย
    นั่นแหละความชั่วร้ายทั้งหลายจะเอาชนะคุณธรรมของพระองค์ไม่ได้เลย ดังนั้นกิเลสอันชั่วร้ายทั้งหลายจึงได้ระงับดับไปจากพระทัยของพระองค์ ต่อจากนั้นพระองค์ก็ได้รับความสงบใจอย่างเต็มที่ นั่นแหละก็จึงได้ตรัสรู้ในญาณที่หนึ่ง ญาณที่สอง ญาณที่สาม ไปโดยลำดับ ญาณที่สามนั้นท่านเรียกว่า อาสวักขยญาณ ปรีชาหยั่งรู้ว่า อาสวะสิ้นไปจากพระขันธสันดานของพระองค์แล้ว
    ลองพิจารณาดูตั้งแต่พระพุทธเจ้านั้นสร้างบารมีมามากต่อมากถึงปานนั้น ถึงปานนั้นก็ยังได้ต่อสู้กับกิเลสมารตัณหาอุปาทานอะไรต่ออะไรอยู่มากมายกว่าว่าจะหลุดพ้นไปได้ ถ้าหากว่าพระองค์ไม่เข้มแข็งพอก็เลยจะต้องพ่ายแพ้ต่อมารและเสนามารนั้นไป

    เทิดไว้เหนือเศียรเกล้า
     
  10. คนชอบใส่ร้ายโดนธรณีสูบ

    คนชอบใส่ร้ายโดนธรณีสูบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +908
    จากข้อความนี้เขาเรียกว่าผู้แก้ ไม่ใช่ผู้วิเศษโปรดเข้าใจตรงกันด้วยค่ะ

    วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2558
    บทสรุปของโลกและชีวิต และการเกิดใหม่ของโลกสีขาว [/paste:font]



    บทสรุปของโลกและชีวิต และการเกิดใหม่ของโลกสีขาว



    จากการนั่งสมาธิเจริญภาวนามีโอกาสได้สื่อแบบปุจฉาวิปัสสนากับเทพเกือบทุกพระองค์แม้แต่ท่านท้าวมหาพรหม จริงๆท่านเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกสร้างมาจากอัจฉริยะจากดาวทุกดวงในระบบสุริยะจักรวาล เราเคยสงสัยกันไหมว่าทําไมต้องมีคนเกิดใน 7 วันนี้ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ทำไมตั้งชื่อวันต่างๆตามดวงดาว มีดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ และดาวบริวาร ทำไมมีคนรู้ทั้งๆที่มันอยู่ห่างไกลจากโลกดูจากกล้องดูดาวอย่างนั้นหรือ แปลกไหม ใช่แล้วมันถูกล่วงรู้มาก่อนจะสร้างกล้องดูดาวด้วยซ้ำ นั่นแหละขอสันนิษฐานว่าดาวทุกดวงมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ แต่ถูกปกปิดซ่อนเร้น และพวกเราถูกส่งมาจากพวกเขาให้มาอยู่ยังโลกที่มีภูมิประเทศ อากาศ อุณหภูมิที่เหมาะสมสวยงามเหมาะให้ลูกๆของพวกเขามาอยู่กันอย่างมีความสุข มีดินนํ้าลมไฟ เป็นปัจจัยก่อให้เกิดสรรพสิ่ง ให้เวียนว่ายตายเกิดเป็นที่สนุกสนานเหมือนในหนัง เรื่อง The Trueman Show ที่ Jim Carry นำแสดงในปี คศ.1998 สร้างโดยนาย Peter Weir เรื่องของ ทรูแมนเบอร์แบงค์ ชายหนุ่มผู้ไม่รู้ตัวเลยว่าชีวิตเขาทุกอิริยาบถถูกถ่ายทอดสดออกอากาศทางทรูแมนโชว์ ตั้งแต่เกิด นั่นแหละหนังหลายเรื่องที่ถูกจินตนาการหรือ รู้(ไม่แน่ ) ผู้ทำบทย่อมรู้ดีว่ามันมาจากไหน
    - ค.ศ. 1503 หรือ พ.ศ. 2046 กำเนิดนอสตาดามุส ทํานายการทําลายล้างโลกและ เผ่าพันธุ์มนุษยชาติ
    - ค.ศ. 1788 หรือ พ.ศ. 2331 สมเด็จพระพุฒาจารย์โต (วัดระฆัง)
    - ค.ศ. 1867 หรือ พ.ศ. 2410 กำเนิดไอน์สไตน์
    - ค.ศ. 1916 หรือ พ.ศ. 2459 พระฤาษีลิงดำ (วัดท่าซุง)
    - ค.ศ. 1930 หรือ พ.ศ. 2473 กำเนิดนีล อาร์มสตรอง คนแรกที่เหยียบดวงจันทร์
    - ค.ศ. 1938 หรือ พ.ศ. 2481 สงครามโลกครั้ง 2
    - 100 ปีถัดมา ค.ศ.1967 หรือ พ.ศ. 2510 กำเนิดผู้แก้ ในเวลาที่ลูกๆใกล้ถึงจุดเปลี่ยนตามตำนานของหลวงพ่อ ฤาษีลิงดำ (พระราชพาหมยาน (วีระ ถาวโร)
    มีนักวิทยาศาสตร์มากมายล้วนแล้วถูกส่งมาให้เป็นอัจฉริยะจากญาติต่างดาวของเรานั่นเองมาสร้างผลงานมากมาย ไฟฟ้า ยารักษาโรค รถยนต์ เครื่องบิน ยานอาวกาศ ฯลฯ แม้บางครั้งมาเป็นมนุษย์มาเป็นผู้สร้างหนังอนาคตและจินตนาการมากมายให้พวกเราได้ดู เพื่อจะให้แก้ไขแต่ท่านทั้งหลายบนโลกที่ได้รับพรสวรรค์มากลับ ทำให้ผู้ให้ต้องผิดหวังเพราะทุกอย่างที่ให้ล้วนแต่เอาไปเพิ่มความมั่งคั่ง ความโลภ ความหลง จนมีครั้งหนึ่ง ท่านอยากทําลายสิ่งที่ท่านสร้างทั้งหมดให้หายไป ทําให้นายไอน์สไตน์ ได้ สูตร E= mc2 มาทําร้ายกันเองแต่สุดท้าย ท่านกลับสงสารลูกที่ดีจะถูกทําลายไปด้วยจึงหาวิธี แก้ไขแทนการทําลายซึ่งยังไม่สาย
    ไฝ่รู้ ณ.ไกลโพ้น
    ศาสนาทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี

    ไม่อยากจะบอกว่าศาสนาทุกศาสนามาจากศาสดาองค์เดียวกันคือพระพุทธเจ้าของเราหรือไม่ แต่จากที่เคยรู้ข้อมูลมาบางอย่างมิใช่ผู้แตกฉานมากมายอะไรนักแต่จะขอนำความจริงมาปะปนกับจินตนาการที่หยั่งรู้มาจากสิ่งเร้นลับซึ่งจะพยายามประมวลให้สอดคล้องกัน
    เริ่มจากเมื่อทุกดาวที่มีสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าได้มีวิวัฒนาการที่ล้ำสมัย ได้สร้าง ผู้สร้าง ผู้รักษา และผู้ทำลาย มาแล้ว แต่คงอยู่ในตำนานพระตรีมูลติ คือพระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ ในศาสนาพราหมณ์ ตามหลักปรัชญา คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ถูกนำมาใช้เล่าต่อๆกันมาเพื่อสอนคนรุ่นหลังให้รู้สัจธรรมของชีวิตคนปัจจุบันไม่มีใครรู้จักหรือพบเห็นตัวตนเลย
    พวกท่านที่เป็นผู้ให้กำเนิดพวกเรา มาสรรค์สร้างหลายสิ่งอย่างไว้ให้พวกเราอยู่กันอย่างมีความสุขแต่มันไม่เป็นไปตามที่หวังสร้างศาสดามามากมายหลายพระองค์ เพื่อให้คน เป็นมนุษย์ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมได้ คนบางกลุ่มเอาศาสนามาบังหน้าเพื่อประหัดประหารกัน ค. คนในภาษาไทยถูกกลืนหายไปมีอยู่เพียงในหนังสือหัดอ่านเด็กน้อย ก.ไก่ เท่านั้น อยากให้เอา ค คนมาสะกด คำว่า คนมากกว่า ค ควาย ท่านเหล่านั้นสร้างพระพรหมขึ้นมาจริง ท่านท้าวมหาพรหมที่ส่องกล้องและเป็นผู้ลิขิตชีวิตนี่แหละ ท่านเป็นคอมพิวเตอร์ที่เยี่ยมยอดท่านสามารถเก็บข้อมูลอย่างละเอียดทุกสรรพสิ่งบนโลกตั้งแต่เกิดจนดับรวมถึงผลกรรมที่กระทำมาหลายภพหลายชาติด้วย ท่านอาจจะเคยเบื่อและท้ออยากให้ท่านพระศิวะผู้ทำลายมาทำลายงานที่ท่านสร้างเพื่อจะได้สร้างใหม่แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายท่านถูกสั่งการจาก พ่อแม่ของพวกเราไม่ให้พวกเราถูกทำลายพวกท่านอยากดูลูกให้เวียนว่ายตายเกิดดีกว่าดับสูญไป แต่การสั่งทำลายเกิดขึ้นแล้วและจะเกิดขึ้นในไม่ช้าตามตำนาน ท่านเคยแต่สร้างศาสดาให้คนทำความดีละเว้นความชั่ว ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีทุกข์ สมุทัย นิโรจ มรรค ผล นิพพาน พรมวิหาร 4 ศีล สมาธิ ปัญญา แต่คนชั่วไม่เคยหมดไป ท่านยังไม่เคยสร้างผู้แก้ให้สำเร็จเลยและท่านได้สร้างแล้ว


    นอสตราเดมัส หรือที่ไทยมักเรียกว่านอสตราดามุส (อังกฤษ: Nostradamus) 1

    ชื่อจริงว่า มีแช็ล เดอ โนสทร์ดาม (ฝรั่งเศส: Michel de Nostredame; เกิด 14 หรือ 21 ธันวาคม 1503 แล้วแต่แหล่งข้อมูล;[1] ตาย 2 กรกฎาคม 1566) เป็นชาวฝรั่งเศสซึ่งเป็นเภสัชกร (apothecary) และหมอดูที่มีชื่อเสียง เพราะเผยแพร่ชุดคำทำนายซึ่งเลื่องชื่อที่สุดในโลกหลายชุด โดยเฉพาะ เลพรอเฟตี (Les Propheties) ที่พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1555 เมื่อเผยแพร่หนังสือชุดดังกล่าวแล้ว นอสตราเดมัสก็ได้รับความสนใจจากสำนักพิมพ์ใหญ่หลายแห่ง พร้อมกิตติศัพท์ว่า สามารถทำนายทายทักเหตุการณ์สำคัญหลายเรื่องในโลก[2][3] แหล่งข้อมูลทางวิชาการส่วนใหญ่ถือกันว่า การอ้างว่า เหตุการณ์ในโลกสัมพันธ์กับโคลงทำนายของนอสตราเดมัสนั้น เป็นผลมาจากการตีความหรือแปลความที่ผิดพลาด ซึ่งบางครั้งปรากฏว่า ตั้งใจให้ผิดพลาด มิฉะนั้น ก็เป็นเรื่องมโนสาเร่ถึงขนาดที่ไม่อาจถือเอาโคลงเหล่านั้นเป็นพยานหลักฐานว่า นอสตราเดมัสมีอำนาจพยากรณ์อย่างแท้จริง[4] อย่างไรก็ดี นักวิจารณ์จำนวน 1 ก็ประสบความสำเร็จในการตีความอย่างเสรีโดยใช้วิธี "พลิกแพลง" ถ้อยคำในโคลงเพื่อระบุเหตุการณ์อันเห็นได้ชัดว่า ใกล้จะมาถึงอยู่แล้ว เช่น ในปี 1867 ลุย-มีแช็ล เลอ เพอเลอทีเยร์ (Louis-Michel le Peletier) ใช้กลวิธีดังกล่าวทำนายล่วงหน้า 3 ปีว่า พระเจ้านโปเลียนที่ 3 จะทรงมีชัยหรือปราชัยในสงครามฝรั่งเศส–ปรัสเซีย แม้เลอ เพอเลอทีเยร์ จะยอมรับว่า ตนไม่สามารถบอกได้จริงว่า จะทรงมีชัยหรือปราชัย และเหตุการณ์จะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ตาม[5]
    14 ธันวาคม ค.ศ.1503= พ.ศ.2046 เกิดวันจันทร์ มาจากดวงจันทร์6
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) (นามเดิม: โต) หรือนามที่นิยมเรียก "สมเด็จโต" "หลวงปู่โต" หรือ"สมเด็จวัดระฆัง" 2

    เกิด 17 เมษายน พ.ศ. 2331 มรณภาพ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2415
    อายุ 84 บรรพชา พ.ศ. 2343อุปสมบท พ.ศ. 2351 พรรษา 64 วัดระฆังโฆสิตาราม ท้องที่ ธนบุรี สังกัด มหานิกาย ตำแหน่งทางคณะสงฆ์ เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) (นามเดิม: โต) หรือนามที่นิยมเรียก "สมเด็จโต" "หลวงปู่โต" หรือ"สมเด็จวัดระฆัง" เป็นพระสงฆ์มหานิกาย เป็นพระมหาเถระรูปสำคัญที่ได้รับความนิยมนับถืออย่างมากในประเทศไทย ท่านเคยดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหารในสมัยรัชกาลที่ 4-5 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) นับเป็นพระเกจิเถราจารย์ผู้มีปฏิปทาจริยาวัตรน่าเลื่อมใส เป็นที่เคารพนับถือทั่วไปมาตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ตั้งแต่พระมหากษัตริย์จนถึงสามัญชน[1] และนอกจากจริยาวัตรด้านความสมถะอันโดดเด่นของท่านแล้ว ท่านยังทรงคุณทางด้านวิชชาคาถาอาคม เมตตามหานิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุมงคล "พระสมเด็จ" ที่ท่านได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธบูชา ได้ถูกจัดเข้าในพระเครื่องเบญจภาคี หรือสุดยอดของพระเครื่องวัตถุมงคล 1 ใน 5 ของประเทศไทย[2] และมีราคาซื้อขายในปัจจุบันต่อองค์เป็นราคานับล้านบาท[3] ด้วยปฏิปทาจริยาวัตรและคุณวิเศษอัศจรรย์ของท่าน ทำให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยเคารพนับถือว่าท่านเป็นอมตะเถราจารย์รูปหนึ่งของเมืองไทย และมีผู้นับถือจำนวนมากในปัจจุบัน
    ประวัติ
    รูปหล่อของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ประดิษฐานที่วัดไก่จ้น อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวกันว่าท่านเกิดในเรือของมารดาซึ่งจอดเทียบท่าอยู่หน้าวัดแห่งนี้สมเด็จพระพุฒาจารย์ เกิดในสมัยรัชกาลที่ 1 (หลังสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ได้แล้ว 7 ปี[4]) เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 5 ขึ้น 12 ค่ำ ปีวอก จุลศักราช 1150 เวลาพระบิณฑบาต (ตรงกับวันที่ 17 เมษายนพ.ศ. 2331) [5] ณ บ้านไก่จ้น (บ้านท่าหลวง) อำเภอท่าเรือ[6] จังหวัดพระนครศรีอยุธยา[7]
    มารดาบิดาของท่านเป็นใครไม่ทราบแน่ชัด มีผู้กล่าวประวัติของท่านในส่วนนี้แตกต่างกันไปหลายสำนวน เช่น ฉบับของพระยาทิพโกษา กล่าวว่า มารดาของท่านชื่อนางงุด บุตรของนายผลกับนางลา ชาวนาเมืองกำแพงเพชร1 [8] หรือฉบับของพระครูกัลยาณานุกูล (เฮง อิฏฐาจาโร) กล่าวว่า มารดาของท่านชื่อเกตุ คนท่าอิฐ อำเภอบางโพ[9][10][11] อย่างไรก็ดีมารดาของท่านนั้นเป็นชาวเมืองเหนือ (คำเรียกในสมัยอยุธยา) 2 เพราะทุกแหล่งอ้างอิงกล่าวตรงกันว่ามารดาของท่านเป็นชาวเมืองเหนือแต่ได้ลงมาทำมาหากินแถบภาคกลางในช่วงหลัง3
    สำหรับบิดาของท่านนั้น สำนวนของพระยาทิพโกษา กล่าวว่าท่านเป็นโอรสนอกเศวตฉัตรของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ครั้งทรงพระยศเป็น เจ้าพระยาจักรี ส่วนฉบับของพระครูกัลยาณานุกูล และฉบับของตรียัมปวายกล่าวว่าท่านเป็นพระโอรสของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และแม้ในสำนวนของตรียัมปวายจะมีข้อสันนิษฐานเพื่อยืนยันหลายข้อ แต่อย่างไรก็ตาม ประวัติทั้งสองสำนวนกล่าวตรงกันเพียงว่า ข้อสันนิษฐานว่าด้วยบิดาของท่านนั้นเป็นเพียงเรื่องเล่าซึ่งชาวบ้านในสมัยนั้นกล่าวและเชื่อกันโดยทั่วไป[12][13]
    บรรพชาและอุปสมบท
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ดำรงตำแหน่งทางคณะสงฆ์เป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม ในสมัยรัชกาลที่ 4 จวบจนท่านมรณภาพในช่วงต้นรัชกาลที่ 5เมื่อถึงวัยพอสมควรแล้ว ได้บรรพชาเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา เมื่อ พ.ศ. 2343 ต่อมาปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดและเมตตาสามเณรโตเป็นอย่างยิ่ง ครั้นอายุครบอุปสมบทปี พ.ศ. 2350 จีงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อุปสมบทเป็นนาคหลวงที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีสมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) เป็นพระอุปัชฌาย์ มีฉายานามในพุทธศาสนาว่า "พฺรหฺมรํสี"[14] ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้โปรดเกล้าฯ ให้พระภิกษุโตรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์
    จริยาวัตร
    ครั้นถึงรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงสถาปนาสมณศักดิ์เพื่อยกย่องในกิตติคุณและเกียรติคุณของพระภิกษุโต แต่พระภิกษุโตไม่ยอมรับ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าท่านมีอุปนิสัยไม่ปรารถนายศศักดิ์หรือลาภสักการะใดๆ ทั้งสิ้น อนึ่ง แม้พระภิกษุโตได้ศึกษาพระธรรมวินัยแตกฉาน แต่ด้วยอุปนิสัยดังกล่าวข้างต้น ท่านจึงไม่ยอมเข้าแปลหนังสือเพื่อเป็นพระภิกษุชั้นเปรียญเช่นกัน
    ต่อมากล่าวกันว่า พระภิกษุโตได้ออกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ และได้สร้างปูชนียสถานในที่ต่างๆ กัน เช่น สร้างพระพุทธไสยาศน์ไว้ที่วัดสตือ ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สร้างพระพุทธรูปหลวงพ่อโต วัดไชโย จังหวัดอ่างทองเป็นต้น ซึ่งปูชนียสถานทุกแห่งที่ท่านสร้างจะมีขนาดใหญ่โตสมกับชื่อของพระภิกษุโตอยู่เสมอ การจะสร้างปูชนียสถานขนาดใหญ่เช่นนี้ล้วนแต่ต้องใช้ทุนทรัพย์และแรงงานจำนวนมากในการก่อสร้างจึงจะทำได้สำเร็จ สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความศรัทธาและบารมีของพระภิกษุโต ซึ่งเป็นที่เคารพเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนในย่านที่ท่านได้ธุดงค์ผ่านไปอย่างชัดเจน
    สมณศักดิ์

    หลวงพ่อโต (พระศรีอริยเมตไตรย) วัดอินทรวิหาร กรุงเทพ ปูชนียสถานแห่งสุดท้ายที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ได้สร้างไว้ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์โปรดปรานพระภิกษุโตเป็นอย่างยิ่ง ในปี พ.ศ. 2395 พระองค์จึงได้พระราชทานสมณศักดิ์ถวายพระภิกษุโตเป็นครั้งแรก โดยมีสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ราชทินนาม "พระธรรมกิติ" และดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามขณะนั้นท่านอายุ 65 ปี โดยปกติแล้วพระภิกษุโตมักพยายามหลีกเลี่ยงการรับพระราชทานสมณศักดิ์ แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้ท่านต้องยอมรับพระราชทานสมณศักดิ์ในที่สุด อีก 2 ปีต่อมา (พ.ศ. 2397) ท่านจึงได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ ในราชทินนาม "พระเทพกวี" หลังจากนั้นอีก 10 ปี (พ.ศ. 2407) จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมณศักดิ์ขึ้นสมเด็จพระราชาคณะชั้นสุพรรณบัฏ ในราชทินนาม "สมเด็จพระพุฒาจารย์" มีนามจารึกตามสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ เอนกปรีชา วิสุทธศีลจรรยาสมบัติ นิพัทธุตคุณ สิริสุนทร พรตจาริก อรัญญิกคนฤศร สมณนิกรมหาปริณายก ตรีปิฎกโกศล วิมลศีลขันธ์ ณ วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร พระอารามหลวงฯ[15]
    สมณศักดิ์ดังกล่าวนี้นับเป็นสมณศักดิ์ชั้นสูงสุดและเป็นชั้นสุดท้ายที่ท่านได้รับตราบจนกระทั่งถึงวันมรณภาพ คนทั่วไปนิยมเรียกท่านว่า "สมเด็จโต" หรือ "สมเด็จวัดระฆัง" ส่วนคนในยุคร่วมสมัยกับท่านเรียกท่านว่า "ขรัวโต"[16]
    ปัจฉิมวัย
    ราวปี พ.ศ. 2410 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ได้มาเป็นประธานก่อสร้างปูชนียวัตถุครั้งสุดท้ายที่สำคัญของท่าน คือ พระพุทธรูปหลวงพ่อโต (พระศรีอริยเมตไตรย) ที่วัดอินทรวิหาร (ในสมัยนั้นเรียกว่า วัดบางขุนพรหมใน) ทว่าการก่อสร้างก็ยังไม่ทันสำเร็จ โดยขณะนั้นก่อองค์พระได้ถึงเพียงระดับพระนาภี (สะดือ) สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ก็ได้มรณภาพบนศาลาเก่าวัดบางขุนพรหมใน ณ วันเสาร์ แรม 2 ค่ำ เดือน 8 ปีวอก ตรงกับวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2415 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สิริรวมอายุได้ 84 ปี อยู่ในสมณเพศ 64 พรรษา เป็นเจ้าอาวาสครองวัดระฆังโฆสิตารามได้ 20 ปี
    17 เมษายน ค.ศ. 1788 หรือ พ.ศ. 2331 เกิดวันพฤหัส จากดาวพฤหัส 6

    อัลเบิร์ต ไอน์สไตล์ (เยอรมัน: Albert Einstein - อัลแบร์ท ไอน์ชไตน์)3

    (14 มีนาคม พ.ศ. 2410 - 18 เมษายน พ.ศ. 2498) เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎี ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2428 ชาวเยอรมันเชื้อสายยิวที่มีสัญชาติสวิสและอเมริกัน (ตามลำดับ) ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เขาเป็นผู้เสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพ และมีส่วนร่วมในการพัฒนากลศาสตร์ควอนตัม สถิติกลศาสตร์ และจักรวาลวิทยา เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี พ.ศ. 2464 จากการอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก และจาก "การทำประโยชน์แก่ฟิสิกส์ทฤษฎี"หลังจากที่ไอน์สไตน์ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ในปี พ.ศ. 2458 เขาก็กลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยธรรมดานักสำหรับนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ในปีต่อ ๆ มา ชื่อเสียงของเขาได้ขยายออกไปมากกว่านักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ ในประวัติศาสตร์ ไอน์สไตน์ ได้กลายมาเป็นแบบอย่างของความฉลาดหรืออัจฉริยะ ความนิยมในตัวของเขาทำให้มีการใช้ชื่อไอน์สไตน์ในการโฆษณา หรือแม้แต่การจดทะเบียนชื่อ "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" ให้เป็นเครื่องหมายการค้า
    ตัวไอน์สไตน์เองมีความระลึกถึงผลกระทบทางสังคม ซึ่งมีผลมาจากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์อย่างลึกซึ้ง ในฐานะที่เขาได้เป็นปูชนียบุคคลแห่งความบรรลุทางปัญญา เขายังคงถูกยกย่องให้เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่อวิทยาศาสตร์ที่สุดในยุคปัจจุบัน ทุกการสร้างสรรค์ของเขายังคงเป็นที่เคารพนับถือ ทั้งในความเชื่อในความสง่า ความงาม และความรู้แจ้งเห็นจริงในจักรวาล (คือแหล่งเสริมสร้างแรงบันดาลใจในวิทยาศาสตร์ให้แก่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่) เป็นสูงสุด ความชาญฉลาดเชิงโครงสร้างของเขาแสดงให้เห็นถึงองค์ประกอบของจักรวาล ซึ่งงานเหล่านี้ถูกนำเสนอผ่านผลงานและหลักปรัชญาของเขา ในทุกวันนี้ ไอน์สไตน์ยังคงเป็นที่รู้จักดีในฐานะนักวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังที่สุด ทั้งในวงการวิทยาศาสตร์และนอกวงการ
    ไอน์สไตน์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2498 ด้วยโรคประสาท
    ผลงานของไอน์สไตน์ในสาขาฟิสิกส์มีมากมาย ต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่ง:
    ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ ซึ่งนำกลศาสตร์มาประยุกต์รวมกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
    ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับแรงโน้มถ่วง ซึ่งเป็นไปตาม equivalence principle
    วางรากฐานของจักรวาลเชิงสัมพัทธ์ และค่าคงที่จักรวาล
    ขยายแนวความคิดยุคหลังนิวตัน สามารถอธิบายจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดของดาวพุธได้อย่างลึกซึ้ง
    ทำนายการหักเหของแสงอันเนื่องมาจากแรงโน้มถ่วงและเลนส์ความโน้มถ่วง
    อธิบายการเกิดปรากฏการณ์ของแรงยกตัว
    ริเริ่มทฤษฎีการแกว่งตัวอย่างกระจายซึ่งอธิบายการเคลื่อนที่ของบราวน์ของโมเลกุล
    ทฤษฎีโฟตอนกับความเกี่ยวพันระหว่างคลื่น-อนุภาค ซึ่งพัฒนาจากคุณสมบัติอุณหพลศาสตร์ของแสง
    ทฤษฎีควอนตัมเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของอะตอมในของแข็ง
    Zero-point energy
    อธิบายรูปแบบย่อยของสมการของชเรอดิงเงอร์
    EPR paradox
    ริเริ่มโครงการทฤษฎีแรงเอกภาพ
    ไอน์สไตน์ได้ตีพิมพ์ผลงานทางวิทยาศาสตร์มากกว่า 300 ชิ้น และงานอื่นที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์อีกกว่า 150 ชิ้น[1][2] ปี พ.ศ. 2542 นิตยสารไทมส์ ยกย่องให้เขาเป็น "บุรุษแห่งศตวรรษ" ผู้เขียนชีวประวัติของเขาเอ่ยถึงเขาว่า "สำหรับความหมายในทางวิทยาศาสตร์ และต่อมาเป็นความหมายต่อสาธารณะ ไอน์สไตน์ มีความหมายเดียวกันกับ อัจฉริยะ"[3]
    14 มีนาคม ค.ศ. 1867 คือ พ.ศ.2410 เกิดวันอังคาร มาจากดวงดาวแห่งสงคราม6
    พระฤาษีลิงดำ (วัดท่าซุง) 4

    เกิด 8 กรกฏาคม พ.ศ. 2459 มรณภาพ 30 ตุลาคม 2535 อายุ 76 ปี
    16 กรกฎาคม พ.ศ. 2479 อายุ 20 ปี อุปสมบทเป็นภิกษุเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2479 เวลา 13.00 นาฬิกา ที่วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีพระครูรัตนาภิรมย์ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูวิหารกิจจานุการ (ปาน โสนันโท) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระอาจารย์เล็ก เกสโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    คำสั่งพระอุปัชฌาย์ ขณะเข้าบวช หลวงพ่อปาน ท่านบอกท่านอุปัชฌาย์ว่า เจ้านี่หัวแข็งมาก ต้องเสกด้วยตะพดหนักหน่อย ท่านอุปัชฌาย์ท่านเป็นพระทรงธรรมเหมือนหลวงพ่อ (ปาน) หลวงพ่อเล็กก็เหมือนกัน ท่านอุปัชฌาย์ท่านยิ้มแล้วท่านพูดว่า "3 องค์นี้ไม่สึก อีกองค์ต้องสึกเพราะมีลูก เมื่อจะสึกไม่ต้องเสียดายนะลูก เกษียณแล้วบวชใหม่มีผลสมบูรณ์เหมือนกัน 2 องค์นี้พอครบ 10 พรรษาต้องเข้าป่า เมื่อเข้าป่าแล้วห้ามออกมายุ่งกับชาวบ้านจนกว่าจะตาย จะพาพระและชาวบ้านที่อวดรู้ตกนรก จงไปตามทางของเธอ ท่านปานช่วยสอนวิชาเข้าป่าให้หนักหน่อย ท่านองค์นี้ (หมายถึงฉัน) จงเข้าป่าไปกับเขา แต่ห้ามอยู่ในป่าเป็นวัตร เพราะเธอมีบริวารมาก ต้องอยู่สอนบริวารจนตาย พอครบ 20 พรรษาจงออกจากสำนักเดิม เธอจะได้ดี จงไปตามทางของเธอ ฉันบวชพระมามากแล้วไม่อิ่มใจเท่าบวชพวกเธอ"
    การแสวงหาและการปฏิบัติธรรม
    พ.ศ. 2480 อายุ 21 ปี สอบได้นักธรรมตรี
    พ.ศ. 2481 อายุ 22 ปี สอบได้นักธรรมโท
    พ.ศ. 2482 อายุ 23 ปี สอบได้ นักธรรมเอก
    ระหว่างพรรษาที่ 1 - 4
    - เรียนอภิญญา
    - ธุดงค์ป่าช้า, ป่าศรีประจันต์, พระพุทธบาท, พระพุทธฉาย, เขาวงพระจันทร์ , เขาชอนเดื่อ, ตาคลี จังหวัดนครสวรรค์, ดงพระยาเย็น, ภูกระดึง, พระแท่นดงรัง ฯลฯ
    - ศึกษาวิปัสสนา
    ระหว่างปี พ.ศ. 2480-2483 ได้ศึกษาพระกัมมัฏฐาน จากครูบาอาจารย์หลายท่าน อาทิเช่นหลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค, หลวงพ่อจง พุทธสโรวัดหน้าต่างนอก, พระอาจารย์เล็ก เกสโร วัดบางนมโค, พระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพน], พระครูอุดมสมาจารย์ วัดน้ำเต้า, หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ,หลวงพ่อเนียม วัดน้อย, หลวงพ่อโหน่ง วัดอัมพวัน (วัดคลองมะดัน) และหลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ
    พ.ศ. 2483 อายุ 24 ปี เข้ามาจำพรรษาที่วัดช่างเหล็ก อำเภอตลิ่งชัน ธนบุรี เพื่อเรียนบาลี จากนั้นย้ายมาอยู่ที่วัดอนงคารามในช่วงออกพรรษาในสมัยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) อยู่วัดช่างเหล็กในช่วงเข้าพรรษา ระหว่างนี้ได้ศึกษาเพิ่มเติมกรรมฐานกับหลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ และพบพระสุปฏิปันโนอีกมาก เช่น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทโย) เป็นต้น
    พ.ศ. 2486 อายุ 27 ปี สอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค เปลี่ยนชื่อจาก "พระมหาสังเวียน" [1] เป็น "พระมหาวีระ" เพื่อไม่ให้คล้ายกับ พระมหาสำเนียง ที่อยู่วัดช่างเหล็ก ที่เดียวกัน
    พ.ศ. 2488 อายุ 29 ปี สอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค ย้ายมาอยู่วัดประยูรวงศาวาส ได้เป็นรองเจ้าคณะ 4 วัดประยูรวงศาวาส และฝึกหัดการเป็นนักเทศน์
    พ.ศ. 2492 อายุ 33 ปี จำพรรษาที่วัดลาวทอง จังหวัดสุพรรณบุรี
    พ.ศ. 2494 อายุ 35 ปี จึงกลับไปอยู่วัดบางนมโคจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นเจ้าอาวาสวัดบางนมโค
    พ.ศ. 2500 อายุ 41 ปี อาพาธหนักเข้าโรงพยาบาลกรมแพทย์ทหารเรือ
    พ.ศ. 2502 อายุ 43 ปี พักฟื้นที่วัดชิโนรสารามกรุงเทพมหานคร จากนั้นจึงได้ย้ายไปอยู่วัดโพธิ์ภาวนาราม อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท ซึ่งขณะนั้นยังเป็นสำนักสงฆ์ ได้ลูกศิษย์รุ่นแรก 6 คน
    พ.ศ. 2505 อายุ 46 ปี ไปจำพรรษาที่วัดพรวน อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาทเป็นเวลา 1 พรรษา
    พ.ศ. 2506 อายุ 47 ปี กลับมาจำพรรษาที่วัดโพธิ์ภาวนาราม พอกลางเดือนมิถุนายน ก็ได้ลาพุทธภูมิ
    พ.ศ. 2508 อายุ 49 ปี จำพรรษาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า ตำบลมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท แล้วเริ่มไป - กลับวัดสะพาน อำเภอเมืองจังหวัดชัยนาท เพื่อสอนพระกรรมฐาน
    พ.ศ. 2510 อายุ 51 ปี ได้สอนวิชามโนมยิทธิ แล้วจึงจำพรรษาที่วัดสะพาน อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท
    เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าซุง (วัดจันทาราม)
    บุษบกประดิษฐานศพของพระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร)พ.ศ. 2511 อายุ 52 ปี ในวันที่ 11 มีนาคม จึงมาอยู่วัดจันทาราม (ท่าซุง) ตำบลน้ำซึม อำเภอเมืองจังหวัดอุทัยธานี ได้ทำบูรณะ สร้างและขยายวัด จากเดิมมีพื้นที่ 6 ไร่ 2 งาน 07 2/10 ตารางวา จนกระทั่งเป็นวัดที่มีบริเวณพื้นที่ประมาณ 289 ไร่ 1 งาน 40 ตารางวา มีอาคารและถาวรวัตถุต่าง ๆ จำนวน 144 รายการในวัด สิ้นค่าก่อสร้างทั้งสิ้น 611,949,193 บาท สิ่งก่อสร้างทั้งในวัดและนอกวัด อาทิเช่น หอสวดมนต์, พระพุทธรูป, อาคารปฏิบัติกรรมฐาน, ศาลาการเปรียญ, วิหาร 100 เมตร, โบสถ์ใหม่, บูรณะโบสถ์เก่า, ศาลา 2 ไร่, 3 ไร่, 4 ไร่ และ 12 ไร่, หอไตร, โรงพยาบาลศูนย์แม่และเด็ก ชนบทที่ 61, พระจุฬามณี, มณฑปท้าวมหาราชทั้ง 4, พระบรมราชานุสาวรีย์ 6 พระองค์, พระชำระหนี้สงฆ์, โรงไฟฟ้า, โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา, ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในแดนทุรกันดารตามพระราชประสงค์ เป็นต้น ทั้งยังได้ช่วยการก่อสร้างที่วัดอื่น ๆ ในประเทศไทยอีกมากมาย
    พ.ศ. 2520 อายุ 61 ปี ตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในแดนทุรกันดารตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม
    พ.ศ. 2526 อายุ 67 ปี สร้างโรงพยาบาลแม่และเด็กชนบทที่ 61 และมอบให้กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
    พ.ศ. 2527 อายุ 68 ปี ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญเปรียญวิ. (ป.ธ.4น.ธ.เอก) ที่ "พระสุธรรมยานเถร"
    พ.ศ. 2528 อายุ 69 ปี สร้างโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา
    พ.ศ. 2532 อายุ 73 ปี ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ "พระราชพรหมยาน ไพศาลภาวนานุสิฐ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี"

    พ.ศ. 2535 อายุ 76 ปี ได้อาพาธด้วยโรคปอดบวมอย่างแรง และติดเชื้อในกระแสโลหิต เข้ารักษาที่โรงพยาบาลศิริราช และมรณภาพที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2535 เวลา 16.10 น.ปัจจุบันศพของหลวงพ่อได้บรรจุไว้ในโลงแก้วบนบุษบกทองคำที่ประดับด้วยอัญมณีอันวิจิตรงดงาม ณ วัดจันทาราม ตำบลน้ำซึม อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี [2]

    8 กรกฏาคม ค.ศ. 1916 คือ พ.ศ.2459 เกิดวันศุกร์ มาจากดาวแห่งความสุข
    หาบทสรุปและเชื่อมโยงพุทธทำนายต่างๆ ก่อนภัยมา
    นีล ออลเดน อาร์มสตรอง[1] (อังกฤษ: Neil Alden Armstrong; 5 สิงหาคม พ.ศ. 2473 — 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555)5
    เป็นนักบินอวกาศชาวอเมริกัน และเป็นมนุษย์ที่ได้ชื่อว่าเหยียบพื้นผิวดวงจันทร์คนแรกของโลก นีล อาร์มสตรองเกิดที่ ที่เมืองวาปาโคเนตา รัฐโอไฮโอ ชื่นชอบเรื่องการขับเครื่องบินมาตั้งแต่ยังเด็กๆ เรียนการขับเครื่องบินครั้งแรกเมื่อตอนอายุ 15 ปีแล้วได้รับใบอนุญาตนักบินเมื่อตอนอายุ 16 ปี และเป็นนักบินทดสอบให้กับองค์การนาซามาก่อน เขาได้รับคัดเลือกเป็นนักบินอวกาศเมื่อปี พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) และปฏิบัติภารกิจหลายภารกิจในโครงการเจมินีและโครงการอะพอลโล และยังเคยเป็นนักบินในกองทัพสหรัฐ ปฏิบัติภารกิจ 78 ครั้งในสงครามเกาหลี
    พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) เขาเป็นผู้บัญชาการของโครงการอะพอลโล 11 ซึ่งมีเป้าหมายนำยานไปจอดบนดวงจันทร์ โดยสมาชิกในทีมคือ เอ็ดวิน อัลดรินและไมเคิล คอลลินส์
    เขากล่าวประโยคนี้เมื่อเหยียบลงบนพื้นผิวของดวงจันทร์
    That's one small step for [a] man, one giant leap for mankind.
    การก้าวเท้านี้เป็นก้าวเล็ก ๆ ของมนุษย์ ซึ่งเป็นก้าวกระโดดขนาดยักษ์ของมนุษยชาติ[1]
    วันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555 อาร์มสตรองได้เสียชีวิตในซินซินนาติ รัฐโอไฮโอ[2] ขณะอายุได้ 82 ปี เนื่องด้วยภาวะแทรกซ้อนภายหลังการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ ซึ่ง บารัก โอบามาประธานาธิบดี อเมริกา ได้กล่าวยกย่องอาร์มสตรองว่าเป็น "บุรุษชาวอเมริกันผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่เพียงแค่ในช่วงเวลาของเขาเท่านั้น แต่เป็นตลอดกาล"[3]
    5 สิงหาคม ค.ศ. 1930 = พ.ศ.2473 เกิดวันอังคาร มาจากดาวอังคาร ผู้กล้า6


    ผู้แก้เกิดแล้ว

    100 ปีต่อมาได้ถือกำหนดผู้แก้ไข คือ เกิดวันอาทิตย์ นิสัย มีความเป็นตัวของตัวเองค่อนข้างมาก งมงาย ไม่ชอบอะไรตามกระแสชอบสิ่งลึกลับแปลกๆเป็นคนเงียบๆแต่สนิทกับใครจะพูดมากโลกส่วนตัวสูงเบื่ออะไรยากแต่เบื่อแล้วจะไม่ชอบสิ่งนั้นอีกเลย เธอคือนารีขี่ม้าขาวในตำนานของพระศรีอารยเมตรัย ใกล้จะ150ปีอีก 5 ปีกำเนิดโลกใหม่
    ตามที่ท่านท้าวมหาพรหมผู้สร้างได้หาทางแก้โดยสร้างผู้แก้ขึ้นมาปะปนในโลกมนุษย์เรา ให้เกิดมาเป็นคนเดินดินกินข้าวแกงธรรมดาไม่ดีเลิศกว่าผู้ใดให้เรียนรู้และใช้ชีวิตให้เห็นคุณค่าอย่างสูงสุดเพื่อรอเวลาที่เหมาะสมเพื่อทำงานสำคัญ ผู้แก้ถูกสร้างและกำหนดชีวิตให้ต้องอดทนและต่อสู้อย่างมากมายทำอะไรก็ไม่สำเร็จเค้าเกิดในวันเดือนปีและเวลาเกิดที่มีแต่ศัตรูมีทรัพย์สินต้องหมดไป มีญาติพี่น้องและสามีที่ทำให้สูญเสีย เค้าต้องพึ่งธรรมะ และสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วค้นหาคำตอบต่างๆในพุทธศาสนาและเคยสับสนกับหลักคำสอนของพระพุทธองค์ที่ต้องละและมองทุกอย่างเป็นอนัตตา จนพยายามนำคำว่า “ทุกข์” มาวิเคราะห์ เพื่อหาความสุขที่พระพุทธองค์ค้นพบแต่ที่เธอต้องการคือการให้ทุกคนมีความสุขที่เกิดจากการทำดีเท่านั้นคือทางหลุดพ้นจากการเป็นคนเลว และทุกคนได้เป็นอย่างที่ตนชอบเท่านี้โลกก็จะสงบได้เองไม่มีใครอยากเป็นคนเลวถ้าพวกเค้าไม่พบความทุกข์ก่อน ดังนั้นต้องลดความอยากลงแต่ใช้ความดีชดเชยความอยาก อยากรวย อยากมี อยากเด่นก็ใช้ความดีสร้างเท่านั้นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2018
  11. คนชอบใส่ร้ายโดนธรณีสูบ

    คนชอบใส่ร้ายโดนธรณีสูบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +908
    ตามบทความนี้ใครอยากจะไปอเวจีมหานรกก็ไปค่ะ


    ผู้แก้เกิดแล้ว

    100 ปีต่อมาได้ถือกำหนดผู้แก้ไข คือ ค.ศ.1967 เกิดวันอาทิตย์ นิสัย มีความเป็นตัวของตัวเองค่อนข้างมาก งมงาย ไม่ชอบอะไรตามกระแสชอบสิ่งลึกลับแปลกๆเป็นคนเงียบๆแต่สนิทกับใครจะพูดมากโลกส่วนตัวสูงเบื่ออะไรยากแต่เบื่อแล้วจะไม่ชอบสิ่งนั้นอีกเลย เธอคือนารีขี่ม้าขาวในตำนานของพระศรีอารยเมตรัย ใกล้จะ150ปีอีก 5 ปีกำเนิดโลกใหม่
    ตามที่ท่านท้าวมหาพรหมผู้สร้างได้หาทางแก้โดยสร้างผู้แก้ขึ้นมาปะปนในโลกมนุษย์เรา ให้เกิดมาเป็นคนเดินดินกินข้าวแกงธรรมดาไม่ดีเลิศกว่าผู้ใดให้เรียนรู้และใช้ชีวิตให้เห็นคุณค่าอย่างสูงสุดเพื่อรอเวลาที่เหมาะสมเพื่อทำงานสำคัญ ผู้แก้ถูกสร้างและกำหนดชีวิตให้ต้องอดทนและต่อสู้อย่างมากมายทำอะไรก็ไม่สำเร็จเค้าเกิดในวันเดือนปีและเวลาเกิดที่มีแต่ศัตรูมีทรัพย์สินต้องหมดไป มีญาติพี่น้องและสามีที่ทำให้สูญเสีย เค้าต้องพึ่งธรรมะ และสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วค้นหาคำตอบต่างๆในพุทธศาสนาและเคยสับสนกับหลักคำสอนของพระพุทธองค์ที่ต้องละและมองทุกอย่างเป็นอนัตตา จนพยายามนำคำว่า “ทุกข์” มาวิเคราะห์ เพื่อหาความสุขที่พระพุทธองค์ค้นพบแต่ที่เธอต้องการคือการให้ทุกคนมีความสุขที่เกิดจากการทำดีเท่านั้นคือทางหลุดพ้นจากการเป็นคนเลว และทุกคนได้เป็นอย่างที่ตนชอบเท่านี้โลกก็จะสงบได้เองไม่มีใครอยากเป็นคนเลวถ้าพวกเค้าไม่พบความทุกข์ก่อน ดังนั้นต้องลดความอยากลงแต่ใช้ความดีชดเชยความอยาก อยากรวย อยากมี อยากเด่นก็ใช้ความดีสร้างเท่านั้นเอง


    # การที่ผู้แก้ต้องสูญเสียทุกอย่าง เพื่อให้สัตว์นรกบางตัวมันได้มาด่าเหยียบย่ำ อกตัญญู เนรคุณ เพื่อที่จะได้นำความรู้ของคนอื่นมาเหยียบหัวอีกทีไงล่ะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2018
  12. คนชอบใส่ร้ายโดนธรณีสูบ

    คนชอบใส่ร้ายโดนธรณีสูบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +908
    # คำคุณพระ


    อย่าปล่อยให้ตนเองต้องการเป็นที่ยอมรับของใครต่อใคร ถึงขั้นต้องกลายเป็นผู้หิวโหยกระหายความรัก ความอบอุ่น แลพัฒนาวิวัฒน์ตัวตนกลายเป็นความอิจฉา ริษยา ถึงกับตัองใช้อุบายสารพัดวิธีแห่งวิถีกิเลส เพื่อชักจูงใครต่อใครให้มาหลงใหลชื่นชมยินดีกับตนเองว่าเป็นผู้รู้ ผู้เข้าถึง ผู้เข้าใจในธรรม แลในที่สุดก็จักพาลหลงว่าตนเองเป็นพระอริยเจ้า

    ด้วยการรู้จริงนั้น เขาต้องนิ่งใบ้ มิใช่เป็นการสู่รู้อวดตัว
    อย่าได้เอาขี้เสลด เศษน้ำลายมาอวดกัน

    ...
    อย่าได้เป็นคนที่ปากบอกไม่นิยมคำชม แต่ใจกลับชื่นชมคำยกย่อง สรรเสริญ

    จงอย่าเสียเพลาเพื่อพยายามโกหก ลวงหลอกตนเองกันอยู่เลย เพราะกระจกย่อมสะท้อนให้รู้เห็นถึงความเป็นจริงอยู่เสมอ

    ให้พากันจำไว้ เพื่อสอนใจ แลขัดเกลากิเลสหยาบๆ ขั้นพื้นฐานพวกนี้ ที่มันยังคงมีค้างอยู่ในใจตนเองให้หมดสิ้นไปซะทีนะลูก

    พ่อ พระธัมมสรโณ
     
  13. คนชอบใส่ร้ายโดนธรณีสูบ

    คนชอบใส่ร้ายโดนธรณีสูบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +908
    คำคุณพระ

    ลูกจงทำอารมณ์ใจให้เข้มแข็ง หนักแน่น มั่นคง แกร่งเหมือนกับโขดหิน

    คำนินทาว่าร้าย น้ำลาย ลมปากจากคำกล่าวร้ายป้ายผิด ที่ใครต่อใครพากันหยิบยื่นมาให้เรานั้น ย่อมมิสามารถทำให้ความถูกกลายกลับเป็นความผิด แลมิสามารถทำให้คนดีกลับกลายเป็นคนชั่วได้เลย

    เพราะยามใดเมื่อน้ำลดลง โขดหินก้อนนี้ก็ยังคงอยู่ได้ในที่เดิมนะลูก

    ...
    พ่อ พระธัมมสรโณ

    คำวิพากษ์ คำวิจารณ์ในทางเสียหายจากปากของใครอื่น ย่อมไร้สาระประโยชน์กับชีวิตเรา

    ประโยชน์จากคำพวกนั้น มันก็เป็นแค่เพียงเศษลมปากคำพูดจากคนที่มิได้รู้จักเราจริง เป็นเพียงความสนุกคนองปากของคนพาล ย่อมไม่เป็นมาตรฐานที่จักมาตัดสินตัวของเราได้เลยแม้แต่น้อย

    อย่าได้สนใจคำพูด คำนินทา คำวิจารณ์จากใครให้มาก

    ...
    จงหันกลับมามองหัวใจเราเอง กลับมาอยู่กับใจเราเอง ย่อมดีกว่า แลย่อมดีที่สุดนะลูก

    พ่อ พระธัมมสรโณ



    #ความกตัญญู #เป็นรากแก้วของคุณงามความดีทั้งปวง

    บุคคลใดขาดความกตัญญูรู้คุณท่าน ขาดกตเวที คือการตอบแทนพระคุณท่าน ชื่อว่าเป็นคนหายนะ ย่อมเป็นผู้วิบัติฉิบหายจากความดีทั้งปวง แม้จักประกอบบุญทานการใด ก็ย่อมไร้ผล ไร้ความจำเริญ เสมือนตักน้ำใส่ตะกร้า น้ำนั้นย่อมรั่วซึมไหลออกตลอดเพลา

    หากไร้ซึ่งความกตัญญู กตเวที ก็ย่อมได้ชื่อว่าเป็นคนเนรคุณ จิตใจย่อมตกต่ำ ถูกเผาผลาญด้วยเพลิงไฟแห่งทุกข์โทษ ย่อมมีแต่ทางต่ำ ทางมืด ทางตัน แลในภายภาคเบื้องหน้าย่อมมีมหันตโทษแห่งบาปเป็นที่รองรับ แลมีทางสู่อบ...ายภูมิเป็นที่ไป

    ผู้มีความกตัญญู จึงเป็นบุคคลที่มีแต่ความจำเริญรุ่งเรือง ย่อมไม่ตกต่ำถลำไหลไปกับความชั่วช้า ถึงแม้ว่าปัจจุบันอาจยังมิเห็นทาง แต่ย่อมมีหลักประกันได้ว่า แสงไฟย่อมส่องสว่างมิให้บุคคลผู้รู้กตัญญูนั้นได้พบกับทางต่ำ ทางตันดังกล่าวได้เลย

    พ่อ พระธัมมสรโณ
     
  14. คนชอบใส่ร้ายโดนธรณีสูบ

    คนชอบใส่ร้ายโดนธรณีสูบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +908
    คำคุณพระ อย่าเสียเวลากับคนพาล


    อย่าไปเสียเพลากับใครๆ ที่มีแต่ใจอคติ คิดแต่ในทางลบกับเราอยู่เลย ไม่มีทางล่ะลูกที่เราจักชนะการโต้แย้งกับคนพาลเหล่านั้นได้

    ด้วยคนประเภทนั้นจักเลือกได้ยิน เลือกรับรู้แต่ในสิ่งที่เขาชอบใจ พอใจเท่านั้น แลยามใดหากเขาต้องการฟังคำพูดจากเรา นั่นก็หมายถึงยามนั้นเขาต้องการโต้ตอบกับเรา ก็เพียงเท่านั้นล่ะ!

    ชีวิตนี้มันสั้นนัก!! ความตายก็คืบคลานเข้ามาหาเราอยู่ทุกเมื่อ ดั่งเงาติดตามตัว ใครอยากจักคิดชั่ว พูดชั่ว ไม่เลิกกระทำชั่ว ก็ปล่อยเขาชั่ว แลรอรับผลไปฝ่ายเดียวก็แล้วกัน วันหนึ่ง ชาติภพ...หนึ่งเขาก็คงคิดกันได้เอง

    จงอย่าได้ใส่ใจเรื่องโลกๆ เหล่านั้นให้มากเกินไปกว่าการทำใจของเราให้ผ่องใสนะลูก

    พ่อ พระธัมมสรโณ



    #พระธรรมวันคุณพระฯ
    (๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑)

    อย่าเอาลมปากของใคร มาร้อยรัดมัดคอตนเอง ให้หายใจไม่ออก

    ...
    อย่าเอาลมปากของใครๆ มาเป็นใบมีดกรีดเนื้อตนเอง ให้เจ็บปวดทรมาน

    อย่าเอาลมปากของใครต่อใคร มาเป็นลมพายุพัดใส่ตนเอง ให้ล้มลงหัวฟาดพื้น

    หากหัวใจลูกหนักแน่นเป็นภูเขา แม้จักมีร้อยพันลมปากเป่า ลมเน่าๆ เหล่านั้น ก็มิอาจทำให้เราหวั่นไหวได้เลย แต่หากหัวใจลูกอ่อนยวบเป็นปุยนุ่น แม้มีลมจากปากเพียงคนเดียวเป่าใส่ มันก็ทำให้เราเสียจริตผิดคนได้

    ลูกพึงทำใจให้อยู่สูง กว้างใหญ่ดุจดั่งท้องฟ้า เพียงได้แต่มองลงมายังพื้นดิน สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็นในทุกกริยา ทุกการกระทำของใครต่อใคร ที่เพียรจุดไฟ ก่อไฟอยู่แค่เพียงบนผืนดินนั้น..... ลูกก็จักรู้ได้ว่า หามีใครไม่ ที่จักมาก่อกองไฟเพื่อเผาท้องฟ้าให้มอดไหม้ได้

    ลูกพึงทำใจให้เข้มแข็ง แข็งแกร่งดุจดั่งภูเขาที่เพียงรู้ แต่ไม่รับในการกระทำของใครต่อใคร ที่เพียรขับรถสารพัดรุ่น สารพัดยี่ห้อ เพื่อพุ่งชนภูเขา..... ลูกก็จักรู้ได้ว่า หามีใครไม่ ที่จักขับรถแล่นด้วยความเร็วสูงพุ่งชนใส่ภูเขาเพื่อให้พังทลายราบลงมาได้

    ทำใจให้สบายๆ ปล่อยไปเถิดลูก..วันหนึ่งข้างหน้า คนเหล่านั้นเขาก็เหนื่อยเอง พังพยาบ แลพินาศลงไปเองในที่สุด

    อย่าหวั่นไหว อย่าท้อแท้ อย่าท้อถอย
    คนที่แย่กว่าเรา คนที่ลำบากกว่าเรา ก็ยังอีกมาก
    หันกลับไปมอง หันกลับไปดู ก็จักพบว่าเรายังดีกว่าใครคนอื่นอีกมากมายนัก คนอื่นๆ รอบข้างเรา เขายังไม่หมดหวัง เขายังสู้ เขายังอยู่กันได้เลย...ตั้งใจให้ดี ตั้งมั่นให้ได้ สู้ใหม่นะลูก

    อย่างน้อย..ก็ให้ลูกจงรู้ว่า ยังมีพ่อคนนี้อีกคนหนึ่งล่ะ..ที่จักคอยเป็นกำลังใจให้ลูกอยู่เสมอ

    พ่อ พระธัมมสรโณ





    "การมุ่งทำแต่ความดี ย่อมต้องได้ดีเสมอ แลการทำความดีในสภาวะที่แวดล้อมไปด้วยคนไม่ดี ก็ย่อมจักได้รับผลที่ดีเลิศกว่าในยามปกติ ด้วยต้องใช้กำลังใจสูงกว่าเดิมมาก แต่เป็นธรรมดาของยุคกาลีที่คนไม่ดีนั้น ย่อมมืดบอดที่จักมองเห็นคุณงามความดี ของคนดีที่มุ่งกระทำบำเพ็ญแต่ความดี"

    พ่อ พระธัมมสรโณ

    พระธรรม...วันคุณพระฯ
    (๒ ตุลาคม ๒๕๖๑)

    ..."ถ้าเราเป็นราชสีห์ ก็ไม่จำเป็นเลยที่เราจักต้องสะดุ้งสะเทือนหวั่นไหวไปกับคำพูดที่หอนเห่าออกมาจากปากหมานะลูก"...!

    ...
    พ่อ พระธัมมสรโณ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2018
  15. คนชอบใส่ร้ายโดนธรณีสูบ

    คนชอบใส่ร้ายโดนธรณีสูบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +908
    ++++ใครอยากรวย++++

    หัวใจเศรษฐี


    พอดีวันนั้น 31 ตุลาคม 2561

    โดนคนพาลนักเลงคีย์บอร์ดรุม วันรุ่งขึ้นหลวงพ่อให้ธรรมะให้ธรรมะข้อนี้มาเตือนใจ

    #พระธรรมวันคุณพระฯ
    (๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑)

    หยุดซะที! เรื่องหวยเบอร์บ้าปัญญาอ่อนเทือกนี้ อยากรวย อยากมี อยากเป็นเศรษฐี องค์สมเด็จพ่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงประทานหัวใจเศรษฐีไว้ให้แล้ว คือ อุ อา กะ สะ

    ...
    #อุฐานสัมปทา มีความขยันหมั่นเพียร บากบั่น ไม่ย่อท้อ

    #อารักขสัมปทา รู้จักรักษาเงินทองทรัพย์สินที่หามาได้ รักษาไว้ด้วยปัญญา เช่น นำไปฝากธนาคาร ไม่ใช่ไปฝากไว้ที่ร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า

    #กัลยาณมิตตา รู้จักเลือกคบคนดีให้เป็นศรีแก่ตัว อย่าไปคบคนพาลสันดานผี
    - อย่าคบแรด เพราะจักต้องแต่งตัว ทาหน้า ทาปากตามเขา เปลืองเงินซื้อหา
    - อย่าคบเหี้ย เพราะใจจักฮึกเหิม เป็นคนพาลเกเร มีแต่เรื่องเสียเงิน
    - อย่าคบไก่แจ้ เพราะมันเจ้าชู้ หลอกลวงให้เสียตัว เสียเงิน
    - อย่าคบควาย เพราะจักต้องหลงโง่ หลงคำคนขอกู้ แล้วเขาไม่จ่ายคืน

    ให้คบหาแต่คนที่เขาแนะนำพร่ำเตือนเราได้ด้วยความหวังดี อย่าเห็นแต่ปากหวาน ปากดี ปากยกยอ ด้วยนั่นมันเป็นทางฉิบหาย

    #สมชีวิตา รู้จักเลี้ยงตน เลี้ยงชีวิตด้วยความพอเพียง อย่าอยากได้ อย่าอยากมีให้มากเกินความจำเป็น

    ทำได้ตามนี้ ย่อมมีเงิน มีทอง เป็นเศรษฐี! แน่ล่ะ บ้าแต่หวยทุกงวดๆ มันก็มีแต่จน

    หาเรื่องเป็นโรคประสาทฟุ้งซ่านควาญหาเลข
    หาเรื่องเป็นโรคหัวใจเต้นลุ้นยามหวยจักออก
    หาเรื่องเป็นโรคซึมเศร้า พาลโวยวาย ยามถูกหวยกิน

    หาเรื่องที่จักเป็นโรคหัวใจ เป็นโรคประสาทในทุก ๑๕ วัน มันใช่เรื่องมั๊ยล่ะลูก?!!

    พ่อ พระธัมมสรโณ


    นมัสการค่ะ จริงทุกคำพระ สาธุค่ะ






    อย่าได้ผิดคำสัจจ์นะลูก.. ด้วยเมื่อผิดสัจจะวาจาที่เคยเอ่ยกล่าวให้ไว้ต่อคุณพระรัตนตรัย พรหม เทพเทวา บิดา มารดา ครูบาอาจารย์แล้ว ในกาลต่อไปเมื่อจักลงมือทำกระไร พระคุณท่านทั้งหลายที่เรามองไม่เห็นเหล่านั้น ท่านย่อมมิให้ความช่วยเหลือใดๆ เราก็ย่อมจักพบแต่ความติดขัด ทำการงานสิ่งใดก็จักไม่ราบรื่น ไม่สำเร็จ

    ที่พากันทำมาหากินไม่ขึ้น พบแต่ความยากลำบาก ไร้คนช่วยเหลือ นั่นก็เพราะด้วยผลแห่งการที่ตนได้เคยไร้ซึ่งคำสัจจ์นั่นล่ะ..!!

    พ่อ พระธัมมสรโณ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2018
  16. ariyachon

    ariyachon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2018
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +177
    ให้ทุกคนมีความสุขที่เกิดจากการทำดีเท่านั้น
    นี่คือทางหลุดพ้นจากการเป็นคนเลว
     
  17. คนชอบใส่ร้ายโดนธรณีสูบ

    คนชอบใส่ร้ายโดนธรณีสูบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +908
    ปางที่10 คือนารายณ์อวตารลงมาปราบคนชั่วคนพาลสันดานหยาบ ไม่ได้ลงมาเป็นพระแม่กวนอิมปางประทานพรให้คนชั่วฮึกเหิมในการทำชั่ว อย่ามโนเอาเองว่าท่านจะต้องเลิศเลอเพอร์เฟค เมตตาไม่มีประมาณ อย่าเอานิสัยปุถุชนมาตัดสิน หรือคิดแทนเทพเจ้าเบื้องบน ทุกศาสนา ทุกคัมภัร์ก็ทายตรงกันว่ามาปราบคนชั่วหรือคนพาล ไม่เห็นมีทำนายเลยว่าจะมาช่วยคนพาลหรือมาเมตตาคนพาล มีแต่มนุษย์มันคิดเองเอเอง อยากให้เป็นแบบกิเลสตัณหาของตนเอง การคิดเองเออเองระวังกรรมหนักหมายถึงการละเมิดพระรัตนตรัย พรหม เทวดาเอาเข้า.......พรหม เทวดาเขามีปัญญามากว่ามนุษย์ความเป็นทิพย์ท่านมี รู้ว่าอะไรควรทำ หรือ ทำแบบไหนจึงจะดีไม่ไดี การที่ใครมีหน้่าที่อะไรต้องได้รับฉันทามติก่อนลงมาเกิด ไม่ใช่มาหากันในโลกแนุษย์ ไม่ใช่การสมัคร นายร้อย จปร หรือ หาเสียงเลือกตั้งที่จะกระทำได้ เดือนสองเดือน อย่างพระโพธิสัตว์เจ้าชายสิทธัตถะยังได้รับการอาราธนาจากพระอินทร์ให้ลงมาเกิดในพระครรภ์พระนางสิริมหามายา เขาต้องดูแล้วประชุมกันแล้วว่าใครเหมาะสมที่สุด มีปัญญาในการจัดการอะไร มันไม่ง่ายอย่างพวกมนุษย์บางคนเข้าใจหรอกนะ

    # เมตตาไม่มีประมาณคนพาลจะครองเมือง#

    Kalki_Avatara_2.jpg

    ปางสุดท้ายของทศอวตารคือ "กัลป์กิยาวตาร" จะทรงอวตารมาเป็นอัศวินขี่ม้าขาวนาม "กัลกี" บุตรของพราหมณ์ "วิษณี" ด้วยสมัยนี้เป็นช่วงท้ายของพรหมนิทรา พระพรหมจะตื่นขึ้นมาร่ายพระเวทสร้างจักรวาลอีกหน การณ์ครั้งนั้นโลกจะเต็มไปด้วยคนชั่วนานัปการ จนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ปางนี้จึงต่างจากปางอื่นที่มีจุดประสงค์เจาะจง แต่ปางนี้ กัลกีจะควบม้าขาวฆ่าฟันทุกคนที่มีบาปชั่วช้า ทรงแกว่งดาบสังหารทุกคนไม่เหลือ เพื่อสร้างโลกใหม่อีกครั้ง จึงนับเป็นอนาคตปาง เป็นภาคที่จะเกิดในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง จะมาถึงในวัยสิ้นโลก ตามคติความเชื่อของศาสนาฮินดู อาจเทียบได้กับคติเรื่องพระศรีอาริยเมตไตร หรือ พระศรีอารย์ในพระพุทธศาสนาหรือพระเยซูนั่นเอง

    ที่มาและคำอธิบาย:
    01. จาก. www.facebook.com/AsianStudiesTH/posts/916620735079509:0, วันที่สืบค้น 09 พฤศจิกายน 2558.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2018
  18. เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา

    เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา เพื่อมวลมนุษย์แลสรรพสัตว์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    872
    ค่าพลัง:
    +1,936
    ท่านพูดถูก การเมตตาไม่มีประมาณ ไม่ใช่ว่าปล่อยตามสันดานทุกผู้ทุกนาม แต่ก็ไม่จำเป็นต้องตามเช็คบิลฝ่ายอธรรม ให้เป็นกรรมติดตัวเรา ส่วนเทพเจ้าฝ่ายปราบท่านคงพินาแล้วว่าเป็นหน้าที่ของท่าน พูดเยอะ เจ็บคอ
     
  19. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    เรานอนพักผ่อนแปบ...อากาศหน๊าวหนาว...เข้ามาคุยกันบ้างนะ...ปฏิบัติกันถึงไหนแล้ว...เร่งมากไปก็ไม่ดี...เดี๋ยวจะวิปลาส...คุยกันเพื่อผ่อนคลายจิต...

    แม่ชีจิตยิ้มงอนท่านแบมรึเปล่า...หรือฝึกคุยกับญาติโยมอยู่...คุยในโลกออนไลน์บ้างก็ได้...แต่ก็ให้สมดุลกับโลกของความเป็นจริงสิถึงจะถูก...ความรู้สึกทางใจที่แม่ชีฝึกพิจารณาความเป็นไปของทุกข์นั้น...วางๆลงบ้างก็ได้...ถ้าปฏิบัติหรืออยู่กับมันตลอดเวลา...นั้นยิ่งจะทำให้ทุกข์...ปฏิบัติไปเรื่อย..เหนื่อยก็พัก...เหมือนทำงานทางโลกนี้แหละ..
     
  20. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ขอแสดงความเห็นเรื่อง เจ้าชายสิตธัตถะนิดนึง

    ผมว่าข้างบนไม่น่าจะประชุมกันว่าใครสมควรจะมาเกิดเป็นเจ้าชายหรอก เพราะพระโพธิสัตว์เจ้าชายท่านน่าจะได้รับคำทำนายมาก่อน ถ้าบันทึกเกี่ยวกับการพยากรณ์เกี่ยวกับการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ในพุทธศาสนาเป็นเรื่องจริงน่ะนะครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...