เรื่องเด่น เล่าเรื่องเมืองโลกทิพย์

พระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะสง่างาม
ไปด้วยพุทธศิลป์ ดูแล้วจะรู้สึกเบิกบานใจดีครับ

 

ผู้เล่าเมื่อตอนเด็กๆนั้นไม่เคยสนใจแขวนพระเครื่ององค์ใดๆเลย จนกระทั่ง ไปเห็นพระเครื่ององค์หนึ่งทำด้วยเงิน มีลักษณะงดงามมากในความรู้สึก เลยเอ่ยปากขอจากมารดาของผู้เล่า
ผู้เล่าก็แขวนพระองค์นั้นเป็นเวลานานพอสมควร

 

จนกระทั่งเวลาผ่านไปนานพอสมควร ผู้เล่าได้ไปสักการะพระพุทธชินราช ที่เมืองพิษณุโลก
วัดนั้นดูไม่ใหญ่โตนัก แต่ผู้เล่ารู้สึกปิติอย่างบอกไม่ถูก ผู้เล่าได้กำหนดจิต....

 

ภาพนิมิตที่ปรากฏ มีรัศมีสีทองส่งประกายแววาวออกมาจาก ซุ้มเรือนแก้ว ผู้เล่าเหมือนเคยเห็น ซุ้มเรือนแก้วที่มีรัศมีสีทองที่ไหนสักแห่ง แต่ก็ยังนึกคิดไม่ออก
ผู้เล่าสัมผัสได้ถึงพลังกายทิพย์ขององค์พระว่า
มาจากเทวดา
ก่อนจะกลับผู้เล่าได้บูชาวัตถุมงคลองค์เล็ก ทำด้วยทองเหลืองกลับมาด้วย
วันเวลาผ่านไปพอสมควร มีคนนำพระพุทธรูปชินราชสีออกดำๆมาถามผู้เล่า ผู้เล่าเลยนึกคิดขึ้นได้ว่า ยังไม่รู้เลยว่า พระพุทธชินราชและซุ้มเรือนแก้วที่ส่องประกายได้นั้น มาจากสรวงสวรรค์รึภพภูมิใด

 

พระพุทธชินราชนั้นก็คือ “พระพุทธรูปปางเรือนแก้ว”


ถาม : (ไม่ได้ยิน)

ตอบ : ซุ้มเรือนแก้วของพระพุทธชินราช คือพระฉัพพรรณรังสี ฉัพพรรณรังสีจริงๆ ไม่ได้เปล่งออกมาเฉยๆ แต่อยู่ในลักษณะเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับคลื่นที่กระเพื่อมๆ อยู่ตลอดเวลา อย่างพวกเรานี่ขอให้ได้เห็นก็พอแล้ว ไม่ต้องไปชัดเจนอะไรมากหรอก แค่เห็นก็ปีติจะลอยทั้งตัวอยู่แล้ว

สุดยอดของความปีติต้อง พระวักกลิ พระวักกลิน้อยใจพระพุทธเจ้า จะไปกระโดดเหวตาย แล้วพระพุทธเจ้าเปล่งฉัพพรรณรังสีปรากฏอยู่เฉพาะหน้า ตรัสว่า ดูก่อน วักกลิ โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา พระวักกลิตัวลอยถึงขนาดเดินข้ามเหวได้เลย เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านเปล่งฉัพพรรณรังสี เหมือนกับมาปรากฏอยู่เฉพาะหน้า ตั้งใจจะไปกราบพระพุทธเจ้า เดินข้ามเหวไปเลย

สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
ณ บ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๖

ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...?t=3920&page=7



.

 

ขอนอบน้อมต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น. ผู้เบิกบาน

เคยสงสัยมั้ยว่าพระพุทธรูป "พระพุทธชินราช"...
และพระพุทธรูปแทนองค์ "สมเด็จองค์ปฐม"...
มีจุดสังเกตความแตกต่างตรงไหน..?

 

วัดใหญ่ที่มีพระพุทธชินราช ในสภาพโลกทิพย์ บรรยากาศเต็มไปด้วยไอหมอก มีต้นไม้ที่มีชื่อว่า
ปาริชาติ ในขณะนั้นผู้เล่าก็นึกคิดออกว่า วิมานแห่งนี้ คล้ายสรวงสวรรค์ชั้นสอง

 

ผู้เล่าเห็นแสงสีทองทางด้านซ้ายมือ มีลักษณะเหมือนซุ้มประตู ที่ส่องประกายแสงตัดกับหมอกที่หนา
และเมื่อผู้เล่ากำหนดจิตเคลื่อนไปหาแสงสีทอง
ปรากฏว่า มีบันไดแก้วเชื่อมไปถึงซุ้มประตู

 

ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นนะคะ ส่วนจะถูกต้องหรือไม่ ต้องรอท่านผู้รู้มาตอบค่ะ
สมเด็จองค์ปฐมและพระพุทธชินราชนั้นต่างกันที่พระพักตร์ และซุ้มเรือนแก้ว
พระพุทธชินราช มีปางเดียว
แต่สมเด็จองค์ปฐมมีปางต่างๆ

 

อยากจะตอบคำถามของคุณเมฆา...แต่ขอเวลาไตร่ตรองอีกสักนิดนะคะ

 

ขอนอบน้อมต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ด้วยธรรม

การเพ่งดูพุทธลักษณะอันวิจิตรของรูปลักษณ์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนสามารถจำภาพได้ติดตา นำมากำหนดเป็นพุทธานุสสติกรรมฐานได้...ในขณะที่จิตเรามีความเป็นทิพย์ และด้วยพุทธานุภาพที่แผ่ออกมา. จะยังมรรคผลให้เกิดแก่ผู้ปฏิบัติ...

 

พระพุทธชินราช ไม่เหมือนสมเด็จองค์ปฐมฯวัดท่าซุง.
ความคล้ายกัน คือ มีซุ้มเรือนแก้ว
จุดที่ให้แยก ความแตกต่าง ของสมเด็จองค์ปฐมฯ กับ พระพุทธชินราช ไม่ว่า เราจะไปเจอ ท่านทำแบบจำลอง สร้างไว้ที่ไหนก็ตาม คือ...

♻️สมเด็จองค์ปฐมฯ จะไม่มีรูป ท้าวเวสสุวัณ และอาฬวกยักษ์
อยู่ฐานซุ้มเรือนแก้ว

♻️ส่วนพระพุทธชินราช มี รูปแทนท้าวเวสสุวัณ และอาฬวกยักษ์ ทั้งสององค์

 

คุณเมฆาครับ หากจบเรื่องพระพุทธชินราชรบกวนเล่าเรื่องหลวงพ่อพระไส และพระแก้วมรกตด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

 

ตอบ 4.อื่นๆ เช่น เป็นการบนบานของมนุษย์เอง ค่ะ

 

ผู้เล่าเมื่อกำหนดจิตผ่านซุ้มเรือนแก้วเข้าไป ข้างในวิหารตอนกลางวันนั้น ก็กลายเป็นวิมานแก้ว
พระพุทธชินราชนั้น ก็เป็นเทวดาสีออกทองๆเหลืองอร่าม ผู้เล่าได้ยินเสียงสวดมนต์บทที่ว่า
พุทโธ ทุกขัสสะ ฆาตาจะ วิธาตาจะ หิ ตัสสะเม
และต่อด้วย
พุทธัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรัญ ชีวิตัญจิทัง

 

เทวดานั้นท่านได้ตรัสว่า อดีตท่านเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่านเป็นรัชทายาทคือ
บุตรของพระอินทร์ แต่ท่านไม่อยากจะปกครองเหล่าเทวดาทั้งหลาย อยากลงมาให้พรมนุษย์ที่มีใจบุญ และเมื่อท่านลงมาก็มีท้าวมหาราชทั้งสองนั้น
มาช่วยดั่งรูปตรงซุ้มเรือนแก้วพอเล่าถึงตรงนี้ ผู้เล่าก็นึกหรือคิดได้ว่า ซุ้มแบบนี้คือ ประตูของพระเจดีย์จุฬามณี

 

ส่วนพุทธลักษณะของพระพุทธชินราชนั้น เทวดาท่านตรัสว่า เพื่อเป็นหนึ่งในเจ็ดของข้อ โพชฌงค์
คือ ปิติ เมื่อมีปิติความทุกข์ใจก็จะมลายหายไป เป็นหนทางแห่งความสำเร็จต่อไป
เทวดาตรัสว่า บทสวดที่ผู้เล่าได้ยินนั้น เมื่อใครก็ตามกล่าวบทนี้ เทวดาท่านจะรับรู้ได้ ถ้าสะสมบุญบารมีมามากพอ สิ่งที่ขอก็จะสมหวังครับ

 

คำถาม
ถามว่า บทสวดนั้นแปลว่ากระไรครับ
มีความหมายอย่างไรครับ