พุทธภูมิ คุยเรื่องอจินไตย

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Sirius Galaxy, 24 ตุลาคม 2013.

  1. เวโรจนะ

    เวโรจนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +129
    น่านับถือในความมีเมตตา แต่ก็อย่าลืมว่ากรรมเป็นใหญ่สุด ขับเคลื่อนสรรพสัตว์ สรรพสิ่ง ต่อสรรพสัตว
    บางอย่าง อย่าว่าแต่โพธิสัตว์ แม้พุทธองค์ก็ไม่อาจทัดทาน อย่างกรณีพระเจ้าวิฑูทัพพะ
    ยกทัพขยี้เจ้าศากยะ
     
  2. naitiw

    naitiw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,611
    ค่าพลัง:
    +2,883
    [​IMG]


    ไม่ใช่ว่าคิดไม่ได้นะ แต่กำลังสติปัญญาเรายังไปไม่ถึง อภิญญาไม่พร้อม

    แต่ก่อนก็เคยคิดเป็นวันๆ สักพักครูท่านมาบอก เอาแต่คิดเรื่องอจินไตย เปลี่ยนมานั่งสมาธิดีกว่าไหม จบข่าว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2015
  3. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    พระเมตตาของพุทธองค์ย่อมใหญ่กว่ากรรม เพราะพระเมตตาของพระโพธิสัตว์และพุทธองค์เป็นไปในทางเดียวกัน คือ ตัดกระแสบ่วงกรรม เพื่อนำจิตสรรพสัตว์ให้หลุดพ้น

    เจ้าศากยะ ได้ชื่อว่า ไม่ฆ่าสัตว์ ย่อมบรรลุโสดาบัน เป็นผู้มีชาติน้อย พระเมตตาของพระโพธิสัตว์สำเร็จสมบูรณ์เมื่อตรัสรู้แล้ว ทรงมีเมตตาโปรดหมู่ญาติแล้ว ( การฆ่าล้างตระกูลคราวนั้น ไม่จัดเป็นสงคราม เพราะศากยะไม่ได้รบ แค่ยิงธนูขู่ ) แม้เหตุการณฺ์นี้ ก็ไม่อาจบดบังเมตตาบารมีได้ สงครามโดยมากมักมีการจองเวรไม่สิ้นสุด แต่ศากยะวงศ์ไม่มีการจองเวรอีก และชาติเหลือน้อยไม่เกิน7ชาติ

    ส่วนพระเจ้าวิฑูฑภะ และทหารบางส่วนที่ทำกรรมหนักนั้น ก็ได้รับเมตตาจากพุทธองคฺแล้ว แต่เนื่องจากมีโมหะสูง จึงไม่อาจคิดกระทำเพื่อตัดกรรม ถือว่าเป็นกรรมของเค้าเองที่รับเมตตาแล้วไม่น้อมนำมาใช้ตัดกรรม

    เมตตาบารมีจึงเป็นธรรมที่สร้างโลกที่สวยงาม หากไม่มีพุทธองค์หรือพระโพธิสัตว์ที่มีจิตเมตตาสูง โลกสวยงามอย่างนี้จะไม่มี (สงครามที่อีกฝ่ายไม่ยอมทำแม้ตัวเองตาย ก็ขอรักษาศีล 5 ไว้ แต่เนื่องจากกำลังเมตตาจากศีลไม่เพียงพอจึงตัดกรรมที่หนักไม่ขาด แต่ว่าสงครามที่ผู้ถูกฆ่าไม่กลัวตายแต่กลัวขาดศีล (ขาดเมตตา ศีลปาณา) ไม่เคยมีในโลกเลย ถ้าไม่มีเมตตาธรรมจากพุทธองค์ ) หรือสมัยพระเตมีย์เมื่อออกบวชกันทั้งนคร นครอื่นยกมาจะมารบชิงเมือง พอรับเมตตาของพระเตมีย์ ก็เป็นอันว่าออกบวชหมดไม่ทำสงครามกันแล้ว สิ่งนี้ก็ไม่เรียกว่าสงครามแล้ว อย่างนี้ไม่เรียกว่าสงคราม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2015
  4. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
    ทำอย่างไร? จึงจะไม่มีการทำสงครามรบราฆ่าฟัน
    ทำอย่างไร? จึงจะไม่มีเบียดเบียนกัดกินกันเองเป็นอาหาร
    ทำอย่างไร? จึงจะให้พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาเดียวในโลก
    ทำอย่างไร? จึงจะให้ผู้คนในโลกมีรูปร่างสวยงาม ครบถ้วน สมประกอบ ทุกคน
    ทำอย่างไร? จึงจะให้สัตว์ที่เป็นคู่เวรคู่กรรม เช่น พญานาคกับครุฑ กากับนกเค้า แมวกับหนู งูกับพังพอน ฯลฯ มีเมตตาจิต เป็นมิตรกัน
    .
    .
    จากคำถามที่กล่าวมา ถ้าอธิฐานอย่างเดียวคงไม่พอที่จะยังผลให้เกิดขึ้น คงไม่พอที่จะเป็นเหตุให้เกิดผล
    ทำอย่างไร? จึงจะไม่มีการทำสงครามรบราฆ่าฟัน
    ต้องลงไปเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองทวีปทั้ง 4 และทวีปบริวารน้อยใหญ่ อบรมสั่งสอนให้มีเมตตา ให้มีมิตรไมตรี ไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นรวมทั้งสัตว์ทั้งหลาย ให้ดำรงอยู่ในศีลในธรรม ในกรรมบถ 10
    .
    .
    ทำอย่างไร? จึงจะไม่มีเบียดเบียนกัดกินกันเองเป็นอาหาร
    ต้องลงไปเกิดเป็นมหาสัตว์ เป็นพญาสัตว์กินเนื้อทั้งหลาย อบรมสั่งสอนให้มีเมตตา ให้มีมิตรไมตรี ไม่เบียดเบียนสัตว์ผู้อ่อนแอทั้งหลาย อาศัยดำรงชีพด้วยพืชพันธ์ธัญญาหาร
    .
    .
    ทำอย่างไร? จึงจะให้พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาเดียวในโลก
    ต้องขอให้ท่านอื่นช่วย โดยอาราธนาให้ศาสดาของศาสนานั้นๆมาเกิด แล้วได้บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เพื่อทำให้สาวกในศาสนาที่ตนเคยเกิดเป็นศาสดาเกิดความเลื่อมใส แล้วหันกลับมานับถือพระพุทธศาสนา
    อีกสาเหตุหนึ่ง ที่ศาสนาต่างๆจะอันตรธานหายไป เกิดจากสงครามระหว่างศาสนา เกิดจากภัยพิบัติจากธรรมชาติครั้งยิ่งใหญ่รุนแรง เกิดจากทัศนะคติความเชื่อที่เปลี่ยนไป
    .
    .
    ทำอย่างไร? จึงจะให้ผู้คนในโลกมีรูปร่างสวยงาม ครบถ้วน สมประกอบ ทุกคน
    เลือกเฟ้นเฉพาะผู้มีบุญมาเกิด จะว่าไปแล้วศาสนาพระศรีฯ เป็นศาสนาที่รองรับผู้มีบุญ เป็นศาสนาที่ขนผู้มีบุญเข้านิพพาน ผู้ที่มีบุญนี้เป็นผู้ที่เหลือเก็บตกมาจากพระพุทธเจ้ากกุสันโธ โกนาคมโน กัสสโป โคตโม และพระพุทธเจ้าในอดีตก่อนหน้านั้น รวมทั้งบริวารของพระโพธิสัตว์ที่ลาพุทธภูมิและได้ฝากบริวารไว้กับพระศรีฯ นอกจากนี้ก็มีเทพ เทวดา นางฟ้า มีบุญลงมาเกิด รวมทั้งมนุษย์ผู้มีศีลธรรมในทวีปอื่นนอกจากชมพูทวีปและทวีปบริวารทั้งหลาย และยังมีพญานาค พญาครุฑ สัตว์ป่าหิมพานต์ทั้งหลาย ที่มีเหตุปัจจัยแห่งบุญกุศลพร้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพญานาค พระศรีฯจะต้องเก็บให้หมด
    ดูเหมือนคล้ายๆว่า ศาสนาพระศรีฯ เห็นแก่ตัว คือ คนหูหนวก ตาบอด ง่อยเปลี้ยเสียขา ใบ้บ้าปัญญาอ่อน จะไม่มีโอกาสมาเกิดในยุคพระศรีฯ แต่ที่จริงไม่ใช่ ไม่ได้เห็นแก่ตัว เนื่องจากเป็นบุญของพระศรีฯ และยังเปิดโอกาสให้สัตว์นรกมาเกิด โดยมีการคัดครองด้วยการแสดงธรรมเทศนาสั่งสอนโดยพระโพธิสัตว์ผู้ทำหน้าที่สั่งสอนอยู่ในนรก เพื่อให้เขากลับตัวกลับใจ เปิดโอกาสให้ขึ้นมาเกิดเป็นมนุษย์มีรูปร่างครบถ้วนสมบูรณ์สวยงาม โดยไม่เกินวิสัยของกรรม เหตุเพราะเขาเป็นผู้ที่สร้างสะสมบุญบารมีมาเต็มรอบแล้วในชาติก่อน เพียงแต่ประมาทจึงทำให้ต้องตกนรก
    .
    .
    ทำอย่างไร? จึงจะให้สัตว์ที่เป็นคู่เวรคู่กรรม เช่น พญานาคกับครุฑ กากับนกเค้า แมวกับหนู งูกับพังพอน ฯลฯ มีเมตตาจิต เป็นมิตรกัน
    ต้องลงไปเกิดเป็นมหาสัตว์ เป็นพญาสัตว์ที่เป็นคู่เวรคู่กรรม เช่น ลงไปเกิดเป็นราชาแห่งราชาครุฑ ผู้มีเดช ตบะ อำนาจ อิทธิฤทธิ์ สั่งสอนอบรมให้ครุฑมีจิตเมตตารักใคร่แก่นาคทั้งหลาย ไม่เบียดเบียนเหล่านาค หรือลงไปเกิดเป็นพญาสัตว์ที่เป็นคู่เวรคู่กรรมตัวอื่นๆ เช่น กา นกเค้า แมว หนู งู พังพอน ก็กระทำอบรมสั่งสอนเช่นเดียวกันนี้
     
  5. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
    การปฏิบัติ โดยการไม่ดูลม ไม่จับลม หลับตาเพ่งอย่างเดียว เพ่งไปที่กึ่งกลางระหว่างคิ้ว กึ่งกลางหน้าผาก เพ่งไปที่เดียว เพ่งเรื่อยๆ จนรู้สึกหน่วง รู้สึกตึง และตึงมาก ปวดด้วย ยิ่งตึงยิ่งเพ่ง จนที่สุด สุดท้ายเห็นแสงสว่าง เพ่งแสงสว่างให้เป็นวงกลม ให้เป็นดวงกสิณ และเพ่งดวงกสิณนั้นต่อ บังคับให้เล็กให้ใหญ่

    ถามว่า การปฏิบัติเช่นนี้ เป็นการปฏิบัติ จัดอยู่ในกองไหน เป็นการปฏิบัติแบบไหน ในกรรมฐาน 40 กอง

    และการปฏิบัติแบบนี้ เป็นการปฏิบัติที่ถูกวิธีหรือไม่ เป็นสัมมาปฏิบัติหรือไม่
     
  6. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    แล้วชาตินี้ ท่านพระโพธิสัตว์จะทำอะไร กระแตพระโพธิสัตว์ยังแสดงความเพียรและกำลังใจออกมาเป็นการกระทำเอาหางจุ่มน้ำวิดน้ำมหาสมุทร ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่ท่านเข้าใจโดยบริสุทธิ์ว่าจะช่วยได้ ท่านก็ทำความเพียรแล้วท่านพระโพธิสัตว์เจ้าของกระทู้เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งที ท่านจะนอนรออนาคตกาลมันใช่วิสัยหรือครับท่าน อันบารมีธรรมของพระโพธิสัตว์แม้ข้อเดียวหากมีกำลังจะทำต้องทำทันที ไม่ต้องรอชาติหน้า ไม่ต้องรอผลประเสริฐหรอกว่า เมื่ออาตมาเจริญเมตตาแล้ว สรรพสัตว์ก็ดีงามในทันที ไม่มีครับ ท่านฝึกฝนบารมีสักข้อตามสติกำลังให้เต็มที่ในแต่ละชาติ ไม่เสียเปล่าในแต่ละชาติ ท่านจะไม่ถูกตำหนิ ท่านจะเอาหน้าท่านไปพบสหายพระโพธิสัตว์ได้อย่างไรในดุสิตสวรรค์ ในเมื่อท่านเอาแต่นอนรออนาคต ซึ่งที่ท่านว่าไม่มีทางเกิดขึ้น ถ้าท่านยังนอนรออนาคต จะต้องรออะไรอีกครับ อีกอย่าง ชาดกต่างๆ ที่เล่ามาก็เพื่อเป็นบทเรียนให้เราทำปัจจุบันนะครับ พุทธองค์ท่านเล่าเสร็จคนก็บรรลุธรรมทันที ท่านปรารถนาผลในปัจจุบัน

    ท่านตั้งกระทู้ถาม เพื่อจะให้คำตอบว่า รออนาคตอย่างนั้นหรือครับ สรรพสัตว์มีไฟนรก ไฟอบายไล่รายล้อมครอบตลอด ท่านปล่อยให้เค้าทุกข์ทรมานมันใช่วิสัยพระโพธิสัตว์หรือครับ มีคนจมน้ำตรงหน้าท่านจะรอให้เกิดเป็นพญานาคหรือจึงจะลงไปช่วยเค้า กว่าท่านจะเกิดใหม่เป็นพญานาคเค้าก็จมน้ำตายไปหมื่นแสนรอบเพื่อรอท่านเหรอ กระโจนลงไปครับ เอาเชือก เอาไม้รีบยื่นให้เค้า รีบตะโกนบอกเค้าครับ

    ท่านพระโพธิสัตว์แม้เมตตาของคนเรา ปัจจุบันก็ตัดบ่วงกรรม สร้างสุขให้คนรอบข้าง สรรพสัตว์ หมู หมา กา ไก่ เค้ามีความสุขสดชื่นแล้ว แค่นี้ก็ประเสริฐแล้วครับ ทำตามสติกำลังของท่าน คำนึงถึงฐานะของท่านด้วย ว่าสามารถแค่ไหนในตอนนี้

    ไม่มีอะไรสำคัญเท่า ปัจจุบัน ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2015
  7. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,403
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    ท่าน Sirius Galaxy แสดงมุมมองในการช่วยเหลือสรรพสัตว์ได้น่าสนใจครับ บางส่วนก็เป็นไปได้ แต่บางกรณีก็ยากอยู่ เพราะการมีมิตรไมตรี มีเมตตาต่อกัน ไม่เบียดเบียนกัน สามารถแนะนำได้กับกลุ่มที่มีแนวคิดที่เป็นสัมมาทิฏฐิหรือเคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาบ้างจึงจะได้ผลดี

    การให้ทาน อุทิศบุญ แผ่เมตตา ช่วยเหลือเกื้อกูลกันแก่เหล่ามนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วยหลักพรหมวิหารสี่และสังคหวัตถุสี่ เป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญที่ทำได้ง่ายและเร็วที่สุด

    พอเขาเหล่านั้นมีความสุขตามสมควรแล้วจึงสั่งสอนธรรมตามความเหมาะสมกับระดับปัญญาความสามารถ สอนให้เขามีสัมมาทิฏฐิ มีความเมตตากรุณาต่อกัน สอนให้เขาตั้งมั่นในการ ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา

    ท่านสามารถทำสะสมไว้ได้ทุกภพทุกชาติแม้จะไม่ได้เป็นราชาก็ตาม เมื่อถึงวาระที่เหมาะสมแล้วผลบุญที่ท่านทำมาจะทำให้ท่านเกิดเป็นราชาและจะมีบริวารติดตามที่ดีมีคุณธรรมมาช่วยสนับสนุนท่านในการทำความดีเอง โดยอาศัยเหตุที่ทำไว้ดีแล้วในอดีตนั่นเอง

    นอกจากนี้ การช่วยเหลือเกื้อกูลกับเหล่ามิตรที่เป็นพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีมาด้วยกันจะช่วยสนับสนุนการทำความดีได้ยิ่งๆขึ้นไป เช่น ในลักษณะของมิตรประเทศที่สามารถช่วยเหลือกันได้ และถ้ามีมิตรประเทศมากพอก็พอจะช่วยแก้ไขปัญหาการรุกรานจากศัตรูได้โดยวิถีทางการเมืองที่เหมาะสม

    เป็นกำลังใจให้ท่านนะครับ การคิดนอกกรอบ คิดจินตนาการในเรื่องอจินไตยนั้น ผมคิดว่าเป็นการเปิดแนวคิดเปิดมุมมองใหม่ๆที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆที่เป็นประโยชน์ในการช่วยเหลือสรรพสัตว์ได้ในอนาคต เพราะผมเองก็เรียนรู้สิ่งเหล่านี้อยู่ และรู้ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะทำให้สรรพสัตว์มีความสุขมากขึ้น มีความเดือดร้อนน้อยลง มีพระพุทธเจ้ามากขึ้นกว่าเดิมเยอะๆ ฯลฯ
     
  8. zhayun

    zhayun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +425
    การคิดนอกกรอบ และคิดจินตนาการในเรื่องอจินไตย เนี่ย
    ถ้าหากคุณยังไม่เข้าถึงสภาวะธรรมนั้น ต่อให้คุณคิดไปอีก 100 ชาติคุณก็ไม่รู้อยู่ดี

    อย่างเช่นฌาน ถ้าหากคุณยังไม่เข้าถึงฌาน คุณก็คิดไปเถอะ คิดไปอีก 100 ชาติคุณก็ไม่รู้อยู่ดี
    แต่ถ้าหากคุณได้ ฌานแล้ว คุณก็รู้ได้ด้วยตัวคุณเอง โดยไม่ต้องไปจินตนาการใดๆ

    เหมือนดั่งเช่น มีอาหารจานนึง ถ้าคุณยังไม่ได้กินมัน คุณก็จินตนาการว่ามันมีรสชาติอย่างไร มันจะเปรี้ยวไหม มันจะเผ็ดไหม มันจะหวานไหม
    ต่อให้คุณคิดไปอีก 100ชาติ คุณก็จะไม่รู้รสชาตินั้นอยู่ดี
    จนกว่าคุณได้กินอาหารจานนั้น คุณถึงจะรู้ได้ด้วยตัวคุณเองโดยที่ไม่ต้องไปจินตนาการ

    ดังนั้นเรื่องอจิยไตย พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสแล้วว่า อย่าไปคิด ถ้าคิดแล้วมันก็ไม่มีทางรู้ได้
    ถ้าหากคุณอยากจะรู้ คุณก็ต้องปฏิบัติให้ถึงสภาวะธรรมนั้น คุณก็จะรู้ได้ด้วยตัวคุณเอง

    นี่ผมพูดถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าหากพวกคุณยังจะมามัวคิดเรื่องอจินไตยต่อไป ก็สุดแล้วแต่คุณแล้วครับ
     
  9. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ที่ท่านเจ้าของกระทู้ตั้ง คงมีเหตุผลในใจท่าน ดูเหมือนท่านเคยบวชเรียนมาก่อน แล้วดูท่านก็เคยพูดว่าปรารถนาพุทธภูมิอยู่ จริงอยู่อจินไตย ๔ ไม่ควรคิด แต่หลายเรื่องมีตอบในพระไตรปิฎก เช่น เรื่องกรรม เรื่องฌาณ แม้กระทั่งเรื่องพระโพธิสัตว์ เรื่องพุทธเจ้า ก็เป็นเรื่องที่เขียนบันทึกในพระไตรปิฎก ก็หมายความคนทั่วไปก็ย่อมศึกษาและคิดตรึกตรองได้ แต่ที่ท่านห้ามก็ห้ามในขอบเขตที่เราไม่สามารถศึกษาหรือจะรู้ได้เลย โดยมากคำถามอจินไตยก็ถามโดยไม่ยอมรับความจริงว่า มันเกินจำเป็นที่จะรู้หรือรู้ไปก็เท่านั่น เช่น พระอาทิตย์เกิดมายังไง เราก็คิดว่ามันไม่มีประโยชน์จะรู้ แต่นักวิทยาศาสตร์เค้าคิดอีกแบบ ถ้ารู้กำเนิดของมัน ก็อาจรู้ว่ามันจะดับยังไง และถ้าเราไม่สูญพันธ์ไปก่อนลูกหลานเราจะเอาตัวรอดจากพระอาทิตย์ดับยังไง ทุกวันนี้ ที่เรามีเทคโนโลยีจนมีความสามารถดั่งเทพ ก็มาจากที่คนทำสิ่งอจินไตยไม่ใช่เหรอ นกมันบินได้ยังไง สมัยโบราณไม่มีใครเห็นประโยชน์เลย ด่าว่าเสียเวลา คนบ้า แต่ทุกวันนี้ เวลาจะกลับบ้านนั่งเครื่องบินไป

    ท่านเจ้าของกระทู้ อย่างล่าสุดมาถามว่า ทำยังไงโลกไม่มีสงคราม ท่านตอบของท่านว่า ไปเกิดเป็นพระจักรพรรดิ์ ก็เอามาจากพระไตรปิฎก อ่านไปมาก็รู้ว่า เมื่อรู้เรื่องจักรพรรดิ์ในอดีต ปัจจุบัน คนที่ไม่อยากหลุดพ้น ก็หันมาถือ กุศลกรรมบถ 10 ให้บริบูรณ์ในปัจจุบัน ถ้าทุกคนคิดเหมือนเจ้าของกระทู้ ทุกคนถือกรรมบถ 10 ในชาตินี้เพื่อปัจจัยเป็นจักรพรรดิ์ชาติหน้า โลกก็สงบสุขปราศจากสงครามทันที ไม่ต้องรอชาติหน้า

    อจินไตยที่ท่านเจ้าของกระทู้ถาม มันไม่อจินไตยหรอก แต่ที่มันจะอจินไตยคือ ทำไมไม่มีใครคิดอย่างท่านเจ้าของกระทู้ ถ้าคิดได้ทุกคนสงครามในโลกนี้จบเลย

    ทุกวันนี้ ไม่มีใครอ่านพระไตรปิฎกกันเลย ในห้องเรียนห้าสิบคนบ้าง สองร้อยคนบ้าง พันคนบ้างมีคนอ่านแค่คนเดียว

    ท่านเจ้าของกระทู้ก็พยายามถ่ายทอดสิ่งที่อ่านให้คนสนใจตาม เพราะผมเองเคยบอกให้เพื่อนอ่านมันไม่อ่าน บอกเข้าใจยาก

    อย่างเรื่องการจำกัดอำนาจตัวเอง ทุกวันนี้ ทางการเมืองบอกผู้มีอำนาจมักไม่จำกัดอำนาจ ต้องออกแบบรัฐธรรมนูญมาจำกัด แต่ในพระไตรปิฎกเรื่อง พระเจ้าเนมิราช ทรงจำกัดเวลาการครองราชน์ ซึ่งปัจจุบันมีความคิดว่าตำแหน่งต่างๆ ควรจำกัดเวลาและให้ครองตำแหน่วครั้งเดียว เพื่อไม่ให้หลงอำนาจ จะเห็นว่าพระไตรปิฎกมีสอนแล้ว ทีแนวคิดก่อนฝรั่งเสียอีก

    ก็สนับสนุนเจ้าของกระทู้ครับ หลายเรื่องที่ท่านตั้งก็มาจากพระไตรปิฎก สมัยนี้ เอามาบูชามาตั้งโชว์ เฮ้อ
     
  10. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +2,163
    ผมเองก็ปรารถนาจะเป็นองค์สุดท้ายของทั้งหมด ขออนุญาตตอบแทนคนที่ปรารถนาประเภทเดียวกัน คิดว่ากำลังใจน่าจะไม่ต่างกันมาก

    คิดยังไงถึงปรารถนาองค์สุดท้าย?
    แทบจะตอบได้ทันทีทันควันครับ เพราะเห็นความเป็นไปได้ว่าทุกดวงจิตจะสามารถเข้าถึงพระนิพพานได้หมดจริงๆ หมายถึงหมดเกลี้ยงไม่เหลือเลยในวัฎฎสารนี้ทั้งหมด คือเชื่อว่าทำให้สำเร็จได้จริง ส่วนที่ว่าเหตุผลอะไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับกำลังปัญญาของแต่ละท่าน

    แต่ที่สุดแล้วความลังเลสงสัยว่าจะทำได้จริงหรือเปล่า ถ้ากล้าปรารถนาจริงๆ แท้ๆ เขาเลิกสงสัยนานแล้วครับ สำหรับผมกล้าสาบานได้เลยว่าตั้งแต่เกิดมารู้ตัวว่าปรารถนาองค์สุดท้าย แม้แต่ความคิดสักแว็บนึง ยังไม่เคยมีเลยว่าจะหวั่นไหวว่าทำไม่สำเร็จ มีแต่ยิ่งคิดพิจารณายิ่งเห็นความเป็นไปได้ จนบางทีเห็นถึงภาพจบสุดท้ายของวัฎฎฯกันเลยทีเดียว เป็นอะไรที่มีความสุขมากมายมหาศาลจริงๆ

    ปรารถนาองค์สุดท้ายแล้วบำเพ็ญต่างจากพระโพธิสัตว์ พุทธภูมิประเภทอื่นๆ หรือไม่?
    ทุกอย่างในแบบแผนที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ก็ดำเนินไปตามเรื่องปกติ แต่ที่พิเศษคือการหาวิธีจะฉุดช่วยดวงจิตทุกประเภท ย้ำครับว่าทุกประเภท จะต้องไม่มีดวงจิตใดที่สั่งสอนไม่ได้หรือหาทางออกให้สำหรับดวงจิตนั้นๆ จนถึงนิพพาน ถ้ายังเรียนรู้ไม่ครบองค์จริงๆ ก็คงเป็นองค์สุดท้ายไม่ได้

    และอีกประเด็นนึง เรื่องของการบำเพ็ญบารมี ในความเห็นส่วนตัวผมคิดว่าลักษณะก็จะเหมือนกับการบำเพ็ญบารมีในระดับอื่นๆ เหมือนกัน เพียงแต่การปรารถนาประเภทนี้ไม่ขึ้นกับกาลเวลา ดังนั้นจะเอาเวลามาเป็นปัจจัยคงไม่ใช่ ดังนั้นระดับบารมี ต้น กลาง ละเอียด ย่อมแตกต่างกัน ความเห็นผมคิดว่าผู้ที่ปรารถนาองค์สุดท้ายของทั้งหมด ยังไม่มีสักพระโพธิสัตว์สักพระองค์ที่บารมีเต็ม มารอตรัสรู้องค์สุดท้ายหรอกครับ

    เพราะเหตุปัจจัยในปัจจุบันมีมากมาย ที่บ่งบอกว่ายังไม่ใกล้แนวโน้มว่าวัฎฎสงสารนี้ทั้งหมดจะจบสิ้นลงได้ และก็อีกเช่นเดิมว่าไม่มีใครรู้ดีไปกว่าคนที่ทำสำเร็จ ส่วนในระหว่างนั้นใครจะอุปทานอย่างไรก็ตามสะดวกไม่ถือว่าผิดกติกาแต่อย่างใด เพราะที่สุดแล้วความจริงแท้ย่อมปรากฎหนึ่งเดียวเสมอ

    คนมักคิดง่ายๆ ว่าจะเป็นองค์สุดท้ายเหมือนกับวิ่งแข่งให้ใครถึงเส้นชัยช้าที่สุดก็ชนะ?
    ความคิดทั่วไปเอามาใช้อุปมาอุปมัยกับการดำเนินความเพียรของพระโพธิสัตว์ประเภทนี้ไม่ได้ครับ คนละเรื่องกัน เส้นทางของเวลาและความจริงไม่ได้เป็นเส้นตรง แต่มันเป็นเส้นที่ไม่มีรูปทรงแน่นอน ปลายเส้นของเวลาและการกระทำจะลดเลี้ยวอย่างไรก็ได้

    แต่ทุกอย่างจะอยู่ในกฎความจริงอย่างนึงคือทุกอย่างจะไม่เกิดซ้ำ ดังนั้นยิ่งดวงจิตด้วยแล้วที่มีความเป็นอมตะไม่มีวันสูญสลาย มันก็เลยเป็นปัจจัยที่การดำเนินเส้นทางนี้ไม่มีคำว่าเวลา มีแต่คำว่า ครบถ้วนสมบูรณ์ เหมือนกับสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์แรกได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมา โดยทุกสิ่งที่เกิดขึ้น มีเหตุผลปัจจัยต่างๆ รองรับหมด

    ผมเองก็มีเส้นทางของผม แต่สังเกตง่ายๆ ถ้าเผื่อเจอคนประเภทที่ชอบทำอะไรที่คนทั่วไปมักคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ทำสิ่งที่เป็นไปได้ยาก คนประเภทนี้แหละครับที่อาจจะปรารถนาองค์สุดท้ายอยู่ก็เป็นได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2015
  11. zhayun

    zhayun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +425

    นักวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาเทคโนโลยี จริงอยู่พวกนี้ฉลาดพัฒนาเทคโนโลยีได้ดี แต่พวกเขาก็พัฒนาได้แค่วัตถุเท่านั้น
    พวกเขาพัฒนาให้เขาบินได้เหมือนนกไหม ก็ไม่ได้ แค่พัฒนาได้แต่วัตถุเท่านั้น
    ไม่เหมือนพระพุทธศาสนา มีการปฏิบัติในอภิญญา ที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ถ้าฝึกเข้าถึงอภิญญาจริงๆ

    ยิ่งพัฒนาวัตถุไปมากเท่าไร ก็ยิ่งติดในวัตถุมากเท่านั้น ไม่สนใจทางด้านจิตใจ
    ทุกวันนี้คนจึงเลวลง เพราะมัวไปสนใจแต่วัตถุไม่สนทางด้านจิตใจ
    ส่วนพระพุทธศาสนา เน้นฝึกทางจิต อภิญญา ก็ฝึกทางจิต
    พวกนักวิทยาศาสตร์ต่อให้คิดจินตนาการเรื่อง อภิญญาไป100ชาติ ก็คิดไปเถอะยังไงก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ถ้าไม่ปฏิบัติให้เข้าถึงอภิญญาจริงๆ

    และพระพุทธศาสนาให้ฝึกที่จิตให้ยอมรับความเป็นจริง และไม่ให้ยึดถืออะไรๆในโลกนี้ เพราะไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในกาย กายไม่มีในเรา ทุกสิ่งในโลกก็ไม่ใช่ของเรา เราแค่มาอาศัยโลกนี้เท่านั้น สักแต่ว่ามาอาศัยอยู่แค่ชั่วคราว อย่าไปยึดไปถือว่ามันเป็นเราเป็นของเรา

    แต่พวกนักวิทยาศาสตร์สอนอะไร สอนให้ไม่ยอมรับความเป็นจริง ไม่ยอมรับความแก่ ไม่ยอมรับความป่วย ไม่ยอมรับความตาย
    พยายามหาวิธีให้ไม่ตาย พยายามวิธีให้ไม่ป่วย พยายามหาวิธีให้ไม่แก่ พยายามที่จะหนีความเป็นจริง แล้วหนีพ้นไหม ก็ไม่พ้น ทุกคนก็ต้องแก่หมด ทุกคนก็ไม่พ้นความป่วย ทุกคนก็ตายหมดอยู่ดี

    ส่วนที่เจ้าของกระทู้ พยายามคิดว่าทำอย่างไรให้ไม่มีสงคราม จะคิดไปทำไม
    ต่อให้มีสงครามหรือไม่มีสงคราม ทุกคนก็ตายอยู่ดี
    ถ้าเจ้าของกระทู้มีเมตตาจริง ท่านก็ไม่ควรคิดแบบนี้ ท่านควรปฏิบัติใน บารมีให้เต็ม30ทัศ เพื่อให้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อโปรดสัตว์ให้เข้าถึงพระนิพพานดีกว่า
    ดีกว่าที่จะมานั่งคิดฟุ้งซ่านในเรื่องแบบนี้ คิดไปก็ไม่มีประโยชน์ คิดไปแล้วคนจะดีเหรอ คิดไปแล้วคนจะตั้งอยู่ในศีลในธรรมเหรอ ก็เปล่า

    พระพุทธเจ้าเวลาพระองค์สอน พระองค์ก็ตรัสตลอดว่า พระองค์เป็นเพียงผู้ชี้แนะส่วนการปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงนั้น พวกเขาต้องทำเอง
    อีกอย่างพระองค์ก็ทรงโปรดเฉพาะผู้ที่โปรดได้ ผู้ใดที่โปรดไม่ได้พระองค์ก็ไม่โปรด
    ดูได้อย่างในพระไตรปิฎก พระองค์ก็ไม่ได้โปรดทุกคน และทุกคนก็ไม่ได้ยอมรับนับถือพระองค์ทั้งหมด

    แค่นี้ก็รู้แล้ว ถ้าทำได้จริง ทุกคนก็เข้าพระนิพพานหมดแล้ว ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดแบบนี้หรอก

    ดังนั้น ถ้าเจ้าของกระทู้มีเมตตาจริง ต้องการสงเคราะห์สัตว์จริงๆ
    ท่านก็ไม่ควรมาสนใจในเรื่องแบบนี้ ท่านควรสนใจในการปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงดีกว่า

    ท่านปรารถนาพุทธภูมิ เป็นของดี แต่การจะได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่แค่คิดแล้วจะเป็นได้ ต้องปฏิบัติอย่างเดียว และต้องทนทุกข์ทรมารเป็นเวลายาวนาน
    พระโพธิสัตว์ ก็ยังต้องตกนรก เป็นสัตว์ เป็นคน บางทีก็ต้องถูกคนฆ่า

    เหมือนในชาดกชาตินึง ที่ท่านบำเพ็ญขันติบารมี ท่านเป็นดาบส ถูกพระราชาตัดแขนตัดขา เฉือนเนื้อ ตัดไปทีละส่วน ตัดไปครึ่งตัวจนทนพิษบาดแผลไม่ไหว และสิ้นลมไป
    แต่พระโพธิสัตว์ ก็ทรงขันติบารมี ไม่โกรธพระราชาองค์นั้น

    ท่านก็ถามใจท่านดูเถอะว่า ท่านทนได้ไหม ท่านยังปรารถนาพุทธภูมิอยู่ไหมถ้าท่านเจอแบบนั้น
    ถ้าท่านทนได้ ท่านก็อาจบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าได้ครับ
     
  12. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ปรารถนาเป็นองค์สุดท้าย มันไม่ใช่เรื่องอจินไตย มันเป็นเรื่องฝืนธรรมชาติที่พุทธองค์ตรัสไว้แล้ว เป็นความเห็นหลงผิดเหมือนพระยามารหลงว่าพุทธองค์จะโปรดสัตว์จนหมด แล้วตัวเองจะไม่ได้เป็นพุทธองค์ เพราะปริมาณสรรพสัตว์ที่พุทธองค์โปรดมันนับจำนวนไม่ถ้วน คือนับเป็นโกฏล้านจนไม่อาจนับอย่างนั้นได้แล้ว มันเยอะมาก

    ประเภทพระโพธิสัตว์หรือพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎก บอกธรรมชาติ และความจริงไว้แล้ว ทุกอย่างมีเหตุผลในตัวมันเอง มีระยะเวลาของมัน ระยะเวลาการบำเพ็ญของประเภทที่นานที่สุด ระยะเวลานั้นจำกัด แต่เวลาของอนันตโลกธาตุ พุทธองค์บอกแล้วว่า ไม่มีเบื้องต้นและเบื้องปลาย ถ้ามันมีสิ้นสุดพุทธองค์ทำไมไม่บอก ทำไมบอกว่า ไม่มีเบื้องปลาย

    ตามพระไตรปิฎก เมื่อท่านได้รับพุทธพยากร เป็นนิตยโพธิสัตว์ เวลาของท่านจะถูกจำกัดย้อนไปเท่าใดในอดีต และนับไปข้างหน้าเท่าใดในอนาคตอันจำกัดแล้ว ไม่อาจรั้งอยู่จนเป็นคนสุดท้าย เพราะนี่คือสิ่งที่พุทธองค์ ตรัสว่า เป็นพุทธวงศ์ เป็นประเพณีของพุทธวงศ์

    ผมมีเพื่อนเพิ่งได้รับพุทธทำนาย เมื่อ 28 องค์ก่อน หมายความว่า เวลาของเพื่อนผมอยู่ได้สูงสุดเท่าใด ตามประเภทของเค้า เพราะตามพระไตรปิฎกพุทธองค์จะตรัสเลยว่าอีกกี่อสงไขยจะได้ตรัสรู้ เพื่อนผมเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่เกิดก็ระลึกชาติในชาติที่ได้รับพุทธทำนาย หมายความว่า ต้องจำหน้าและเห็นใบหน้าพุทธองค์พระองค์นั้น กำลังใจของนิตยโพธิสัตว์จึงดิ่งตรง แน่วแน่มั่นคง (ที่กลางฝ่ามือเป็นรูปดอกบัว เค้าให้ผมดูนะ แต่ผมดูแล้วก็ยังงงๆ มันต้องเข้าใจดอกบัวว่าจะเขียนเป็นลายเส้นได้อย่างไรบ้าง)

    ผมจึงว่า พระโพธิสัตว์ที่ตั้งปรารถนาเป็นคนสุดท้าย ตั้งใจได้ แต่เมื่อได้รับพุทธทำนาย ก็เข้าประเภทแล้ว ถ้าท่านจะไม่รับพุทธทำนาย จะเอากำลังใจจากไหนไปทำบารมีข้ามภพชาติ เกิดใหม่ก็ลืมๆ ไปแล้ว

    ถ้าท่านจะเป็นพระโพธิสัตว์องค์สุดท้าย ตามแบบมหายาน ท่านต้องตรัสรู้ก่อน แล้วเมื่อตรัสรู้แล้ว สิ่งนั้น ไม่อยู่ในพุทธวงศ์ ไม่ใช่พุทธองค์ เหมือนเจ้าแม่กวนอิม ตรัสรู้ในชาติเป็นผู้หญิง แล้วยังโปรดคนอยู่ พุทธองค์ตรัสแล้วว่าพระอรหันต์นั้น เทวดา พรหม มนุษย์ก็มองไม่เห็นในสามโลก เจ้าแม่กวนอิมมาโปรดได้ยังไง บรรลุอรหันต์ไม่เข้านิพพานมันเป็นไปไม่ได้แล้ว ที่ท่านเห็นเป็นเจ้าแม่กวนอิมมีหลายทฤษฎีมาก

    เล่าให้ฟังเพื่อพิจารณาเรื่องต่างๆ ที่พุทธองค์ตรัสเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์นะครับ แล้วไปตัดสินใจว่า ความเชื่อทางมหายานที่แพร่เข้ามาสู่การคิดของท่านมันเชื่อถือได้หรือไม่ ฝืนธรรมชาติได้ไหม

    ทุกวันนี้ ท่านพระโพธิสัตว์ได้รับพุทธพยากรณ์หรือยัง ท่านมุ่งมั่นจะไปทางไหน หรือจะออกนอกทางพุทธวงศ์ แล้วใครรับรองให้ท่าน ใครจะพยากรณ์ให้ท่าน ท่านมุ่งมั่นจะออกนอกทาง คือต้องไม่พบพุทธองค์นะครับ แต่ถ้าจำไม่ผิดเจ้าแม่กวนอิมตรัสรู้ในสมัยที่มีพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง พูดง่ายๆ เป็นสาวกภูมิไปแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2015
  13. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ท่านเจ้าของกระทู้ น่าจะทนมาแล้ว และจะทนต่อไปนะครับ ท่านบวชแล้ว ก็น่าจะรู้ว่าปรารถนาพุทธภูมิโดยการระลึกชาติ ไม่รู้ท่านระลึกได้กี่ชาติ เพื่อนผมอีกคนหนึ่ง พอไปบวชเณรแค่ช่วงปิดเทอมฤดูร้อนระลึกชาติได้เลย คราวนี้มาแบบอลังการเลยบอกว่าตัวเองเป็นพุทธภูมิ แต่เท่าที่เค้าหลุดเล่าให้ฟัง มันอาจเป็นการระลึกชาติแค่เจ็ดชาติย้อนไป ไม่ใช่อย่างเพื่อนอีกคนที่ระลึกถึงชาติและวันที่ได้รับพุทธพยากรณ์

    ปล. อย่าประเมินน้ำใจของพุทธภูมิต่ำครับ ขนาดรู้ว่าจะตกนรกข้างหน้าก็ยอมตกนรกครับ ไม่ยอมบรรลุอรหันต์เพื่อหนีทุกข์หนีวิบากกรรมหรอกครับ อย่าว่าแต่ถูกตัดแขนขาเลย โดนเสือขบกัดกินยังไม่โกรธเลย

    เพื่อนผมอีกคน นี่สามคนเข้าไปล่ะ มีเส้นขนเวียนขวา เป็นวงๆ เลย รายนี้ไม่ระลึกชาติ จำไม่ได้ว่าปรารถนาพุทธภูมิ แต่ผมก็เดาเอาเป็นชัวร์ พวกนี้ รอพุทธทำนายทั้งนั้นครับ
     
  14. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    เรื่องวิทยาศาสตร์ แค่ยกตัวอย่าง การคิดเรื่องอจินไตย ถ้าถือว่าเป็นการคิด โดยไม่จำเป็น เกินจำเป็น และไม่สามารถรู้แจ้งเห็นจริงได้ คิดไปไม่ได้คำตอบที่แท้จริงจะบ้าได้ สมัยก่อน การที่คนจะบิน มันเกินจำเป็น คุณไม่มีทางทำได้ เพราะพระเจ้ากำหนดไว้แล้ว เป็นความคิดของฝรั่งสมัยนั้น ว่าไอ้คนที่คิดจะบินมันบ้า ไม่มีทางรู้วิธีบินได้หรอก แต่มีคนเข้าใจธรรมชาติของนกได้ ฝืนพระเจ้าได้ สมัยก่อน ฝรั่งเค้าถือว่า พวกท้าทายพระเจ้า

    เจ้าของกระทู้ เอาเรื่องที่ใครว่าไม่ควรคิดมาถกอภิปราย หลายเรื่องคิดไปมันจะบ้า ถ้าจะให้ไม่มีสงคราม เพราะมันเป็นไปไม่ได้ แต่ในทางทฤษฎี มันเป็นไปได้ครับ มันจึงไม่อจินไตยหรอก แต่เข้าใจเรื่องอัคคัญญสูตรก็ดี ธรรมชาติของมนุษย์ในช่วงขาลง คงยากจะทำทฤษฎีให้เป็นจริง แต่วิสัยพระโพธิสัตว์ คือ กระแตโพธิสัตว์ ไงครับ มีความพยายามมาก แต่จะทำ เอาหางจุ่มน้ำมหาสมุทรเพื่อจะวิดน้ำให้แห้งเพื่อช่วยลูกๆ ตามทฤษฎีและทางปฏิบัติ อายุของกระแตสักหมื่นล้านตัวก็ไม่สำเร็จหรอก แต่พระโพธิสัตว์จะทำจนตาย

    เจ้าของกระทู้ต้องคิดพิจารณาเรื่องกระแตด้วยนะครับ ว่า การจะคิดสิ่งอจินไตย แม้ในส่วนที่คิดได้ แล้วทำได้หรือเปล่า ตอนนี้ ท่านก็เป็นมนุษย์ถ้าไม่คิดอจินไตยแล้วทำอย่างอื่นบารมีอย่างอื่น ทำได้มากกว่านะครับ หัวข้ออจินไตยแค่เอาไว้กระตุ้นเตือนพระไตรปิฎก ว่างๆ ก็มาถ่ายทอดกันครับ แต่ระวัง ถ้าออกนอกพระไตรปิฎกก็ควร มีอ้างอิง พระไตรปิฎกของฝ่ายมหายานท่านหาอ่านได้หรือไม่ครับ ถ้ามีก็ลิ้งค์ให้พวกผมได้อ่านบ้าง อ้างลอยๆ มันจะดูฟุ้งซ่านไปครับ ขนาดอ้างอิงพระไตรปิฎกยังเรียกว่าฟุ้งซ่านเลยครับ แต่ถือว่า พิจารณาถกอภิปรายความในพระไตรปิฎกเพื่อเข้าใจธรรมของพุทธองค์กันนะครับ เอาประโยชน์ปัจจุบันเป็นหลักด้วยจะดีกว่าครับ

    คืนนี้ แค่นี้ก่อน สวัสดีครับ แบบว่าเพิ่งตื่น ผมนอนผิดเวลามาเผลอตื่นตอนนี้
     
  15. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +2,163
    ยึดติดกฎมากเกินไปหรือเปล่าครับ

    ในโลกนี้มีใครไม่ฝืนธรรมชาติบ้างเหรอ ถ้าจะมีก็คงพระอรหันต์แล้วล่ะครับ ที่ไม่ฝืนกฎของกรรมเลย ปัญญาแจ่มแจ้งแตกฉาน และยอมรับผลได้ด้วย ผมก็แค่คนๆ นึงๆ ดวงจิตนึง ที่เห็นและรู้ซึ้งถึงความทุกข์ทรมานและมายาที่แสนร้ายกาจของอวิชชา ที่เป็นเหตุนำเกิดไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีเบื้องปลาย ถ้าหากไม่มีผู้นำที่มีความเมตตามีความดีอย่างพระพุทธเจ้า ดวงจิตเราๆ จะมีวันได้ออกจากวัฎฎฯ นี้กันไหม ทุกอย่างอยู่ที่เหตุในปัจจุบัน อนาคตยังไงก็ยังมาไม่ถึง เปลี่ยนแปลงได้เสมอ เพียงแต่ว่าโดยส่วนมากแล้วมักจะมีกำลังไม่พอจะเปลี่ยน แล้วก็คิดและเชื่อกันไปเองว่าเปลี่ยนไม่ได้

    ถามตรงประเด็นคิดว่าผมคิดว่าพระพุทธเจ้าจะไม่ทรงรู้จนถึงที่สุดเบื้องปลายแห่งวัฎฎสงสาร ไม่รู้ว่าจะจบอย่างไร ไม่รู้ว่าจบเมื่อไหร่หรือครับ ผมก็เชื่อว่าพระโพธิญาณหยั่งรู้ถึง แต่เหตุที่จะทำให้พระองค์ต้องตรัสเรื่องที่ปลายสุดขนาดนั้นมีไหม?

    ไม่จำเป็นพระองค์ก็ไม่ทรงตรัส แล้วการตรัสของพระองค์เป็นการตรัสตามเหตุปัจจุบันก็มี ตามผลในอนาคตก็มี แล้วจะเหมาเอารวมว่าทุกอย่างต้องตรงตามที่ตรัสทุกอย่าง ผมว่ามองโลกนี้ด้านเดียวเกินไป จริงๆ เรื่องนี้ง่ายมาก ถ้าได้พิจารณาได้เจอทุกข์ที่แสนสาหัส และปัญญาเกิดพอดีเอาแค่รู้ทุกข์แค่นั้นก็พอ ก็จะทราบว่าทุกอย่างไม่ใช่เรื่องตายตัว ทุกวินาที ทุกการตัดสินใจของเราเปลี่ยนอนาคตเสมอ ซึ่งเราเองเท่านั้นที่จะเลือกอนาคตของตัวเอง ผลของกรรมเปลี่ยนไม่ได้แล้วก็จริง แต่เริ่มใหม่จากปัจจุบันได้ตลอดเสมอ

    ผมเองก็ไม่เคยปกปิด ก็โดนเตือนโดนว่าก็มี ต่อให้สิ่งที่ผมปรารถนามันเป็นความหลงผิด เป็นมารดลใจ หรือผลกรรมอะไรก็แล้วแต่ ผมไม่สนใจเลย มีปัญญาหลอกได้ให้เกิดแบบนี้ มีความคิดแบบนี้ได้ ทำไปเลยเต็มที่ เพราะยิ่งผมเกิดมากเท่าไหร่ โอกาสที่ผมจะเรียนรู้และหาวิธีฉุดช่วยทุกดวงจิตและดับวัฎฎสารนี้ได้ ก็มีเพิ่มสูงขึ้นมากเท่านั้น เพราะผมเชื่ออย่างสนิทใจว่าสิ่งที่ปรารถนานี้ เป็นที่สุดของความดีเช่นกัน

    แล้วถ้าคิดว่าปรารถนาแบบนี้จะไม่อยากพบพระพุทธเจ้า ไม่อยากเข้านิพพาน คิดตื้นเกินไปครับ ความรู้ทุกอย่างในแบบพุทธภูมิ แม้องค์สุดท้ายก็ต้องเรียนรู้เหมือนกันหมด แล้วต้องเข้มข้นยิ่งกว่า พระนิพพานต้องไปได้เป็นปกติ(ชั่วคราว) เหมือนกับพระโพธิสัตว์บารมีเข้มแล้วทุกพระองค์

    ส่วนทฤษฎีใครมีปัญญาเท่าไหร่ก็คิดไป ผมมองว่าเป็นสิทธิ์ของแต่ละคน ในความรู้สึกผมมันแทบจะไร้สาระเลยด้วยซ้ำ เพราะเวลาไม่มีจำกัดการเรียนรู้เพื่อทำงานใหญ่ที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ได้สำเร็จที่ความคิด แต่สำเร็จที่ลงมือทำ ทุนที่มีไม่จำกัดคือเวลาในการเกิด คิดว่าสักวันนึงข้างหน้าจะสำเร็จไหม ที่สุดแล้วทุกอย่างต้องมีทางออกเสมอ และต่อให้ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อยู่เรื่อยไป จนแล้วจนรอดวันนึงผมหรือใครๆ ที่ปรารถนาแบบนี้ก็ต้องคิดได้เองแล้วเปลี่ยนความตั้งใจใหม่ด้วยตนเองอยู่แล้ว และสุดท้ายก็เข้าพระนิพพานเหมือนกัน ผมมองจนจบแบบนี้ ความสงสัย ความไม่มั่นใจจะมีจากไหน แล้วก็ไม่ต้องมานั่งคิดนั่งหาเหตุผลเถียงกันให้วุ่นวาย เพราะอย่างไรเสียผลที่ได้ไม่เคยคิดเรื่องของตัวเองเลย มีแต่เพื่อผู้อื่นทั้งสิ้น
     
  16. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    พระโพธิสัตว์ทุกท่านในที่นี้ ปรากฎว่า ปรารถนาเป็นองค์สุดท้ายหมด แล้วท่านไหนจะเป็นองค์สุดท้ายล่ะครับ

    จิตท่านนิรันดร์ เป็นอัตตา ไม่มีสูญสลาย ไม่มีดับสลายเลยใช่ไหมครับ ถ้าจะนอกกรอบ ที่ท่านปรารถนามันไม่นอกกรอบเลย มันในกรอบ กรอบความคิดของพวกท่านที่ว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่จะตรัสรู้ในปัจจุบันต่างหาก เพราะท่านเชื่อพระไตรปิฎกว่า พุทธเจ้ามีได้วาระละองค์เท่านั่น เหมือนคนเราสมัยนี้ พอพูดนิพพาน ทุกคนบอกบารมีไม่ถึง รอชาติหน้าเถอะ ส่วนพระโพธิสัตว์ก็ยิ่งนำสัตว์ไกลพุทธธรรมเข้าไปอีก บอกว่า เมื่อสิ้นสุดสังสารวัฏฉันจะตรัสรู้เป็นคนสุดท้าย พวกท่านพิเศษมากกว่าใคร เพราะเชื่อว่า ณ จุดนั้น ทุกดวงจิตมันจะหลุดพ้นหมด ไม่มีใครดื้อคิดว่า โลกธาตุจะดับสนิทแล้ว จะไม่มีสามภพแล้วจะไม่มีปวงสรรพสัตว์แล้ว อาฬารดาบส อุทกดาบส เมิ่อตายไปเป็นอรูปพรหม พุทธองค์ท่านอุทานว่า แปลเป็นไทย คือ ฉิบหายจากนิพพานแล้ว ท่านจะอุทานไปทำไม ถ้าท่านพระโพธิสัตว์องค์สุดท้ายทั้งหลายท่านจะไปโปรดแทนพระศาสดาได้ในวันสิ้นสุดโลกธาตุจริง

    แล้วในเมื่อทุกองค์ปรารถนาเป็นองค์สุดท้าย แล้วก็เลยจงใจปล่อยให้สรรพสัตว์เป็นทุกข์กับการเวียนว่ายตายเกิดเป็นเวลาอนันต์ ทั้งที่ พุทธองค์ตรัสแล้วว่า การเกิดอีกแม้ชาติเดียวก็ทุกข์ แต่พระโพธิสัตว์ทุกองค์ขอเป็นองค์สุดท้ายเพื่อความยิ่งใหญ่อลังการงานสร้าง ของอุปาทานว่า ตัวเรา นี่พิเศษ จะโปรดคนเป็นคนสุดท้าย ทำไม่ไม่คิดนอกกรอบ ฉันจะเกิดมาเพื่อนำพาคนหลุดพ้นทุกข์ในทันทีในยุคพระพุทธเจ้าองค์นี้แหละ ฉันไม่ขอเป็นพุทธภูมิ ฉันขอเป็นคนที่ส่งทุกคนไปนิพพานจนหมดก่อนจะสิ้น 5000ปี อธิษฐานขอให้สรรพสัตว์หลุดพ้นให้หมดในยุคนี้เลย อย่าปล่อยให้เค้าทุกข์แม้ชาติเดียว ตกลง ท่านพระโพธิสัตว์องค์สุดท้ายรู้จักทุกข์ของสรรพสัตว์จริงหรือเปล่า หรือท่านรู้แต่ว่า จิตของฉันมันอัตตา จะเป็นฉันนี่แหละอยู่เป็นองค์สุดท้าย

    คนขี้เกียจ รอวันพรุ่งนี้ ก็ผลัดวันประกันพรุ่ง จนตายก็ไม่ได้สร้างเสริมอะไร บอกว่ามีเวลาไม่จำกัด แล้วที่พุทธองค์สอน ทิ้งไปไว้ไหน อดีต ผ่านไปแล้ว อนาคตไม่มาถึง เห็นธรรมปัจจุบันเป็นดี อดีตมันอัตตาท่านเหรอ อนาคตมันอัตตาท่านเหรอ ปัจจุบันก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย จิตท่านอยู่กับปัจจุบันหรือเปล่า ถ้าจิตไม่อยู่กับปัจจุบัน ทุกอย่างแม้กระทั่งจิตท่าน คือ มายา เพราะไม่ตั้งอยู่ในปัจจุบันธรรม เหมือนท่านฝันกลางวันกัน

    จิตมันดับตั้งแต่จะคิด พอคิดก็ไม่ใช่แล้ว จิตมันอมตะ ตกลงท่านเป็นศาสนาพราหมณ์กันหรือ ทุกดวงจิตล้วนเป็นเรา ตรีมูรติ เราอยู่ชั่วกาลนาน แค่เปลี่ยนเสื้อผ้า พระโพธิสัตว์ หรือตรีมูรติ

    ก็บอกแล้วว่า กระแตโพธิสัตว์ท่านทำเลย ประสงค์จะทำเลย คือจะช่วยลูกไม่ให้เพราะน้ำมหาสมุทรท่วม ก็รู้ว่าการจมน้ำตายมันทุกข์ทรมานแค่ไหน ฉันจะช่วย จิตใจท่านจะช่วย ตอนสิ้นโลกเหรอ

    ท่านจะปรารถนากันเป็นองค์สุดท้ายกันหมด เพราะบอกว่าฉันรักสรรพสัตว์มากกว่าใคร ฉันยิ่งใหญ่กว่าใครที่ทนทุกข์ได้อย่างยาวนานที่สุดเลย

    ไม่ใช่ครับ ปณิธานที่ยิ่งใหญ่ต้องอย่างนี้ ฉันจะไม่ตรัสรู้ จนกว่าจะขนสรรพสัตว์หมด และฉันจะขนของฉันอยู่อย่างนี้ ตั้งแต่บัดนี้ ฉันจะปิดทองหลังพระ แม้กาลเวลาจะชั่วนิจนิรันดร ไม่มีเบื้องปลาย นี่อะไร โลกมีที่สุด ฉันแค่รอวันสุดท้าย มันมีวันสุดท้าย แต่ที่ฟังมามันไม่มีวันสุดท้าย งานฉันไม่มีวันจบ ฉันจะไม่ตรัสรู้ตราบนั้น ใครเสียสละ ใครไม่เอาดีเข้าตัวเอง

    แต่ดูแล้วพระโพธิสัตว์ แค่จะแย่งชิงสาวกกับพระศาสดา ระวังเป็นมารกันครับ
     
  17. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ส่วนพระสุเมธฤาษี ได้สดับตรับฟังพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าทีปังกรแล้ว
    ก็ดำรงด้วยความไม่ประมาท ตราบเท่าสิ้นอายุก็ได้ไปบังเกิดในชั้นพรหมโลกโพ้นแล (พุทธวาจานาน ๙ อสงไขย จึงได้รับพุทธพยากรณ์)


    นับตั้งแต่ชาตินั้นมา แม้นพระโพธิสัตว์จะเสวยพระชาติเป็นอะไรก็ตาม ก็ย่อมบำเพ็ญสะสมบารมีธรรมไว้เสมอทุกชาติเป็นเวลานานับได้ ๔ อสงไขย ....

    สังเกตนะครับ ที่ขีดเส้นใต้เน้นๆ ครับ หมายความว่าถ้ายังไม่ได้รับพุทธพยากรณ์ พระโพธิสัตว์อาจหลงทางได้
     
  18. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +2,163
    หลงทางคือหลงอะไร ถ้าความปรารถนาของดวงจิตนั้นๆ ยังไม่ปรารถนามรรคผลนิพพาน จะเรียกว่าหลงทางก็คงไม่ใช่นะครับ

    ตั้งแต่ดวงจิตกำเนิดขึ้นมา จนเวียนว่ายตายเกิดนับองสงไขยไม่ได้ จะบอกให้เขาเข้าใจเรื่องทุกข์และยอมรับและทำตามทางตามวิธีเพื่อออกจากทุกข์เลย เป็นไปได้หรือครับ? มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย นอกเสียจากดวงจิตนั้นเองต่างหากที่จะเป็นผู้ตัดสินใจลงไป

    แล้วเราคนนอกจะมีใครไปเพียรบอกกล่าวบอกความจริงตามทุกภพทุกชาติ มีไหม? ก็ย่อมไม่มี ธรรมของพระพุทธเจ้าจึงเป็นของกลางใครมีปัญญา ใครปรารถนา ถึงจะได้เข้าถึงบรมสุขแท้จริง แต่ของแบบนี้สวนกระโลกกระแสวัฎฎสงสารทุกอย่าง แล้วจะมีสักกี่ดวงจิตที่ปรารถนาเส้นทางนี้ ถ้าเขาไม่เรียนรู้ด้วยตนเอง

    การเรียนรู้จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ขาดไม่ได้ แล้วการที่เรียนรู้ก็ต้องมีเรียนผิดมากกว่าเรียนถูกเป็นปกติ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เส้นทางของการเรียนรู้จะไม่สวยงามเหมือนดังที่ใจคิด แต่สิ่งที่เหนือกว่ากฎของวัฎฎสงสารมีอยู่

    นั่นคือแรงปรารถนา ผลของกรรมต่อให้มีมากมายแค่ไหน ก็สู่แรงปรารถนาไม่ได้ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีพระพุทธเจ้าปรากฎแน่ วัฎฎสงสารนี้ไม่มีใครบังคับใครได้ ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างไป ทุกคนมีสิทธิ์เท่ากันในเรื่องของความปรารถนา เพียงแต่ว่า สุดท้ายแล้วสิ่งที่ทุกๆ ดวงจิตปรารถนาก็คือความสุข ตรงนี้ต่างหากที่ดวงจิตไหนจะเรียนรู้ได้เร็วช้ากว่ากัน แค่นั้นเอง

    ถึงผมจะปรารถนาองค์สุดท้าย แต่ก็ไม่ได้นอกคอก ตั้งใจรักษาศีลห้าตลอดชีวิต ทรงพรหมวิหารสี่ตลอดเวลาเท่าที่ทำได้ พยายามทรงฌานให้ได้ตลอด และถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะสัมผัสอารมณ์นิพพานได้บ้างก็ดี เรื่องของทานก็ให้ด้วยชีวิตมาตลอด ไม่ได้จะยกว่าตัวเองดีนะครับ ความเลวมีอยู่มาก เพียงแต่สิ่งที่ปรารถนาไม่จำเป็นต้องคิดเพียงด้านเดียว ผมมักจะคุยบอกทุกๆ คนที่ถามเสมอว่า "พระโพธิญาณก็เอา นิพพานก็เอา ทำไมเราจะทำให้ถึงทั้งคู่พร้อมกันไม่ได้ ในเมื่อก็ที่สุดของความดีด้วยกันทั้งคู่"
     
  19. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ผมมีใจอนุโมทนากับท่านพระโพธิสัตว์ทั้งหลายอยู่ เป็นปรกติ ที่มีใจอันบริสุทธิ์ปรารถนาหลุดพ้นและช่วยผู้อื่นหลุดพ้นด้วย

    แต่ผมเห็นคนและสัตว์ผ่านทุกข์มามาก เคยไปกราบไหว้พระพุทธรูป และรูปปั้นหรือภาพเคารพของพระโพธิสัตว์ เหมือนผู้คนหลายคนที่เข้าวัด ศาลเจ้า ตอนเด็กผมเคยตั้งข้อสงสัย เรากราบไหว้พระโพธิสัตว์เพื่ออะไร ถ้าพระโพธิสัตว์มีจริง ท่านทรงอิทธิฤทธิ์และบุญมาก เห็นใดปล่อยให้สรรพสัตว์ ที่ผมเห็น คือ มนุษย์และสัตว์เดือดร้อนมีความทุกข์ทั้งกายและใจ พวกท่านเหล่านั้นมัวทำอะไรอยู่

    ต่อมา ทราบว่า มีการเตือนว่า หลังจากพระศรีอาริย์แล้ว เว้นไปถึงหนึ่งอสงไขย ที่จะไม่มีพระพุทธเจ้า ก็น้ำตาจะไหล เพราะว่าทุกวันนี้ยังอุ่นใจตัวผมและเหล่าสัตว์ยังมีพระพุทธองค์ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง

    ท่านครับ ทราบมาว่า พระโพธิสัตว์ก่อนจะเป็นพุทธเจ้าไม่ ไม่ได้มุ่งหมายว่าจะเป็นพุทธเจ้าอย่างไร เพราะที่สะสมมาได้กำหนดไว้แล้ว ไม่ขึ้นกับใจของท่าน และเวลาจะตรัสรู้ก็รอความพร้อมของสรรพสัตว์ การตรัสรู้ก็เพื่อสรรพสัตว์ไม่ใช่ตัวท่านเอง ท่านไม่ทำเพื่อตัวเองตั้งแต่ได้รับพุทธทำนายแล้วครับ

    แต่การควานหาพระโพธิสัตว์เพื่อเป็นพุทธเจ้า ไม่ว่าพุทธองค์หว่านไว้ หรือที่เกี่ยวเนิ่องกับพุทธองค์หว่านไว้ เพราะคิดอย่างนี้ สรรพสัตว์ตกทุกข์ทรมานขาดทางไปสวรรค์ พรหม และสำคัญที่สุด ขาดจากนิพพาน เป็นเวลานาน ผมถึงบอกว่าแค่ชาติเดียวระยะเวลาแค่ชาติเดียวของสัตว์ เช่น คน งู ปลา ก็ทุกข์ทรมานแล้ว แต่นี่ เวลาอสงไขยไม่มีพุทธองค์เลย สรรพสัตว์จะเป็นอย่างไร แค่เกิดเป็นปลาถูกลากมาอยู่บนบก ตายไป แค่นี้ ก็ทรมานแล้ว แค่บิดามารดาตาย บุตรธิดาตายก็ร้องให้ปิ่มจะขาดใจตายตามแล้ว แล้วต้องขาดพระพุทธองค์อีกเป็นอสงไขย ไม่ใช่แค่กัปร์ แต่แค่กัปร์ว่างก็เหมือนตกนรกกันกี่หมื่นชาติครับ

    ผมจึงเตือนท่านว่า หัวใจ คือ เสียงร้องให้ของสรรพสัตว์ที่กำลังระงมกันอยู่ ที่ปัจจุบันนี้แหละ หากไม่หลุดพ้น เค้าก็จะร้องให้ด้วยทุกข์ไปอีกนานแสนนานกว่าท่านพระโพธิสัตว์จะโปรดเค้า

    แค่ติงว่า จะปรารถนาอะไรก็ขอให้นึกถึง สรรพสัตว์ สรรพสัตว์ในวันนี้ คือสรรพสัตว์ในวันหน้า ท่านจะโปรดเค้าให้พ้นทุกข์เมื่อไร ท่านตั้งปรารถนาเป็นพุทธเจ้าเพราะใจใหญ่ แต่สรรพสัตว์เค้าปรารถนาจะอยู่กับท่าน ตามท่าน รอท่านอย่างนั้นเหรอ ขอเว้นแต่คู่บารมี และสาวกเบื้องซ้ายขวาที่อาจจะมีผู้รักท่านตามท่านไป แต่สรรพสัตว์เป็นทุกข์ปรารถนาหลุดพ้นทั้งนั้น

    แค่ขอให้ท่านคำนึง สรรพสัตว์เป็นใหญ่ แม้ว่าผมก็รู้ว่า สรรพสัตว์มีปริมาณอนันต์และกิเลสหนาสอนยาก จนอาจเหลือเต็มอนันตโลกธาตุ จนวันสุดท้ายแห่งสังสารวัฏ (ไม่รู้กี่ล้านล้านๆๆอสงไขย) แต่คำนึงถึงสรรพสัตว์ ณ เวลาปัจจุบัน ฟังเสียงเค้าสิครับเค้าปรารถนาอะไร ที่เหลือเมื่อฟังแล้ว ท่านจะเมตตากรุณาเค้าได้หรือไม่ หรือจะคิดว่าเดี๋ยวก็มีท่านอื่นมาโปรดแทนก็ตามใจ

    ปล. ทั้งนี้ทั้งนั้น การมีขึ้นของพุทธองค์ไม่ใช่จะมีได้ง่าย หรือมีเสมอทุกกัปร์ ทุกอสงไขย
     
  20. zhayun

    zhayun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +425
    ความปรารถนาพุทธภูมิ หลวงพ่อฤาษีท่านก็แนะนำว่า
    จิตต้องเกาะติดพระนิพพานและเจริญในวิปัสสนาด้วย ถึงจะเข้าถึงความเป็นพุทธภูมิ
    ถ้าท่านสนใจแต่ ทาน ศีล สมถะ เอาพระนิพพาน แต่ไม่สนใจเรื่องวิปัสสนา และจิตไม่เกาะติดพระนิพพาน ก็ยังห่างไกลต่อความเป็นพุทธภูมิ

    หลวงพ่อท่านก็แนะนำอีกว่า การที่จิตเกาะติดพระนิพพานและวิปัสสนา ไม่ทำให้ความเป็นพุทธภูมิหายไป
    ในทางตรงกันข้ามจะทำให้จิตมีความสุขและมีปัญญาด้วย
    เพียงแต่เราจะไม่เข้าพระนิพพานเพียงผู้เดียว ต้องการที่จะรื้อสัตว์ให้เข้าสู่พระนิพพานไปด้วยกัน

    ถ้าท่านต้องการรู้สภาวะพระนิพพาน ท่านต้องบำเพ็ญบารมีถึงปรมัตถบารมี มีจิตเกาะติดพระนิพพานและวิปัสสนาด้วย

    การปรารถนาเป็นองค์สุดท้ายนี่ อย่าทำเลย เพราะหนทางมันยาวไกลมากจนหาที่สุดไม่ได้
    จักรวาลนี่ไม่ได้มีจักรวาลเดียว แต่มีเป็นหมื่นจักรวาล
    โลกนี้เป็นชมพูทวีป เป็นทวีปที่มีทั้งความสุขและความทุกข์
    แต่ยังมีโลกอื่นอีกมากที่ มีแต่คนดีที่มีแต่ความสุข คนพวกนั้นไม่รู้จักความทุกข์ ก็ไม่สามารถบรรลุมรรคผลได้
    พระพุทธเจ้าจึงไม่ไปจุติที่ทวีปนั้น ท่านจึงจุติเฉพาะชมพูทวีป

    ดังนั้นการที่ท่านจะปรารถนาเป็นองค์สุดท้ายนี่ ไม่สมควรเลย
    เหมือนดั่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เบื้องปลายนั้นหาที่สุดไม่ได้
    และพระพุทธเจ้าที่เข้าพระนิพพานแล้ว ทุกพระองค์ก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ ทุกพระองค์ก็ยังคอยช่วยเหลือสัตว์ให้พ้นทุกข์อยู่ ร่วมช่วยเมื่อมีพระพุทธศาสนาเกิดอีกทุกๆครั้ง
    และเมื่อเกิดพระพุทธศาสนาอีกพระพุทธเจ้าก็ทรง เปิดโลกธาตุให้เห็นกันหมด เพื่อให้เกิดผู้ปรารถนาพุทธภูมิอีกมากมาย

    ดังนั้นท่านไม่ต้องกลัวว่า จะไม่มีคนปรารถนาพุทธภูมิต่อไป
    หลวงพ่อท่านก็บอกว่า ผู้ที่บำเพ็ญบารมีเต็มเหมือนพระศรีรอแค่การพยากรณ์ของพระพุทธเจ้านี่มีเป็นแสนๆองค์

    ถ้าท่านปรารถนาพุทธภูมิจริง ท่านก็ต้องทำอย่างพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ บำเพ็ญบารมีให้เต็ม 30 ทัศ เมื่อบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ประกาศศาสนาโปรดสัตว์ที่โปรดได้ให้บรรลุมรรคผล และเมื่อจะไปโปรดพุทธมารดา ก็เปิดโลกธาตุให้เห็นกันหมดเพื่อ ให้เกิดผู้ปรารถนาพุทธภูมิต่อไป

    แต่การบำเพ็ญบารมีเพื่อพุทธภูมิเป็นของยาก และใช้เวลายาวนาน
    มีพระโพธิสัตว์มากมายที่เบื่อหน่ายต่อการเกิดและลาพุทธภูมิไป
    เช่น พระมหากัจจายนะ หลวงปู่มั่น หลวงพ่อฤาษี เป็นต้น

    ดังนั้นถ้าท่านปรารถนาเป็นองค์สุดท้าย พอเกิดไปนานๆเป็นแสนๆเป็นล้านๆชาติเดี๋ยวท่านก็เกิดความเบื่อหน่ายในการเกิดและลาพุทธภูมิไปก่อนที่จะบรรลุซะอีก

    เพื่อความแน่นอนท่านควรปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ใดพระองค์นึงในอนาคตเพื่อที่จะโปรดสัตว์ดีกว่าครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2015

แชร์หน้านี้

Loading...