ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.

  1. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ภาษาในหมวดของ ปฏิจจะสมุปบาท คือ

    +++ "เหมือนกับมีพลังงานก่อตัว หมุนวน หนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ" ตรงนี้คือ "ปัจจยาสังขารา"
    +++ "พอหนักได้ที่ก็จะสวิชท์กับไปเป็นตัวดู" ตรงนี้คือ "ปัจจยาวิญญานัง"

    +++ ภาษาในหมวดของ มหาสติปัฏฐาน คือ

    +++ "ตัวดูฝ่ายนาม คือ พลังที่ก่อตัวหมุนวน" เปรียบเหมือน "ตัวพายุ หรือ ตัวน้ำวน ในสิ่งที่เป็น ธาตุและพลังงาน" ตรงนี้เป็น ธรรมานุปัสสนา
    +++ "ตัวดูฝ่ายรูป คือ ตาที่อยู่ตรงใจกลางของการหมุนวน" เปรียบเหมือน "ตาพายุ หรือ ตาน้ำวน ในสิ่งที่เป็น ช่องทางออก" ตรงนี้เป็น จิตตานุปัสสนา

    +++ ภาษาในส่วนของ กรรมและการกำเหนิด หรือ เปลี่ยนภพภูมิ คือ

    +++ พลังที่ก่อตัวหมุนวน ตรงนี้เป็น "กรรมที่ก่อ ภูมิ" ก่อนที่จะส่งไปจุติยัง ตาน้ำวน อันเป็น ภพ

    +++ ภาษาในแบบของ Hi-tec และ Si-Fi คือ

    +++ ต้นทางของ "ตัวน้ำวน" คือ หลุมดำ (Black Hole) ส่วนปลายทางที่เป็น "ตาน้ำวน" คือ หลุมขาว (White Hole) (ลองกูเกิ้ลดูเอานะ เรื่องนี้ นาซ่า เขารู้แล้ว)

    +++ ภาษาตรงนี้ "มีได้ในหลายหมวด รวมทั้ง วิชชา 3 (จุติจิต) อภิญญา 6 (ปรากฏด้วยนามกาย)" แต่ภาษาที่ดีที่สุดในยุคนี้คือ กระบวนการของ "จิตส่งออก" นั่นแหละ

    +++ ให้ Map จิตกลับไปดูว่า ในขณะที่ transition ไปเป็น "ตัวดู" นั้น "ไม่ได้อยู่ในร่าง" ใช่หรือไม่ ถ้าหากใช่ ตรงนั้นคือ กระบวนการ Teleportation ของตัวดู แต่หากยังมีร่างหลงเหลือ ตรงนี้เป็น Teleview นั่นเอง

    +++ กระบวนการนี้เป็น กระบวนการทางธรรมชาติของจิต ผู้ที่ศึกษาได้ดี ก็จะมีขีดความสามารถในการ "ใช้จิต" ได้ตามความเป็นจริง ดังนั้น "ควรฝึกในสภาวะ ที่ดำรงค์ชีพตามปกติ" อยู่กับความเป็นจริง รวมทั้ง ใช้จิตตามความเป็นจริง ประกอบกันไปในตัว

    +++ ให้ฝึกต่อไปเรื่อย ๆ จนถึง กระบวนการและขั้นตอน "การกำเหนิดของ ตัวดู" อย่างละเอียด ก็จะได้ปัญญาและประโยชน์อย่างมหาศาล กับสภาวะธรรมทั้งหลาย นะครับ
     
  2. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ก่อนกระตุก มีอาการคล้าย "ชา ๆ เบา ๆ ปนกับ อาการ ซ่าน ๆ" เกิดขึ้นก่อนทุกครั้งหรือไม่ หาตรงนี้ให้เจอและ "อยู่กับมัน" แล้ว "สังเกตุการทำงานของจิต" ให้ดี เดี๋ยวก็เจอเอง

    +++ มันคือ ปรากฏการณ์ของ "จิตเคลื่อนร่าง" นั่นแหละ
     
  3. yoottapong

    yoottapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    502
    ค่าพลัง:
    +761
    ขอขอบคุณมากครับ ฝึกกันอย่างมหาสติมหาปัญญาโดยแท้ ผมอยากพยายามฝึกได้จังครับ มีความรู้ระดับสายแพทย์โดยแท้ โดยเฉพาะปัจจยาสังขารา และปัจจยาวิญญาณัง สาวหาสาเหตุรู้ได้เฉพาะตนโดยแท้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2014
  4. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ วิธีฝึก ไม่มีอะไรวุ่นวายมาก เพียงแค่ "สร้างความรู้สึกทั้งตัว ให้ได้ แล้วอยู่กับมัน" เท่านั้นเอง นอกนั้นเป็น "ผลลัพธ์" ที่ตามมาทีละ step อย่างต่อเนื่อง
    +++ สามารถเริ่มต้นได้จาก "ในโพสท์ที่ 5 ของหน้าแรก" ตรง "วิธีการ สร้างความรู้สึกตัว" ในข้อที่ 3 เท่านั้นเอง ครับ
     
  5. sapduck

    sapduck เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +361
    สวัสดีครับ ผมเพิ่งอ่านตามหลังมา ขอร่วมศึกษาร่วมฝึกด้วยคนนะครับ
     
  6. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    สอบถามคุณ ธรรม-ชาติ ขอบคุณมากค่ะ

    นิมิตในภวังคจิตใต้สำนึก ต่างจากญาณทิพย์หรือการเข้าไปรู้เห็นจริง(ตาทิพย์) ไหม?
    มโนมยิทธิเต็มกำลัง เป็นตาทิพย์คือเข้าไปรู้เห็น หรือเป็นการถอดกายไปจริง
    หรือว่าการถอดกายทิพย์ไป อาจครอบคลุมถอดกายไปจริง รวมถึงเป็นลักษณะนิมิตมีอีกกาย(ตัวเอง)อยู่ในการรู้เห็น(นิมิต)นั้น คล้ายแบบที่ฝันเป็นจริง(นิมิตเกิดขึ้นจริงตามฝัน)หรือเปล่า?

    ตอนนอนภาวนา มีความรู้สึกว่าเดินไต่ไปตามเพดาน พอลืมตาดูก็เห็นนอนอยู่ปกติ พอหลับตา ก็รู้สึกว่าเดินไต่ไปตามเพดานไปเรื่อยๆ เพลินดีอยู่ (มีความรู้สึกว่าเท้าเดินไต่ไปตามเพดาน).. เป็นการถอดกายทิพย์ไม่ออกหรือ?

    ในคราวสมาธิหนึ่ง เห็นกายหยาบอยู่ด้านล่างหายใจพะงาบๆอยู่ แต่รู้สึกตัวเอง(จิต)มองดูอยู่ด้านบน ไม่เห็นกายจิตตัวเอง แค่เป็นความรู้สึกว่าอยู่ด้านบน ร่างกายนั่งสมาธิอยู่ด้านล่าง จนรูปขันธ์ดับไป ก็มีแต่แสงสว่าง มีแต่ความสว่าง แบบนี้ไม่มีกายทิพย์ เป็นแค่ความรู้สึกหรือ?

    ช่วงที่มีเสียงหวีดดังข้างหู รูปขันธ์หายไป แล้วทำไงต่อ... รู้สึกพลาดช่วงนี้และวางจิตไม่ถูก

    รบกวนด้วยจ๊ะ ขอบคุณมากค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2014
  7. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    มาแชร์ประสบการณ์ค่ะ

    ช่วงที่ฝึกหยุดหายใจ ขณะที่ค่อยๆปล่อยลมหายใจออกจนสุดแล้วหยุดนิ่ง แล้วแช่อยู่อย่างนั้น สักพักจะรู้สึกตัวเบาหวิ๋วๆ มีคลื่นพลังงานวิ่งวนรอบตัว ความรู้สึกทั้งตัวยังเต็มตัวอยู่ พอแช่ไว้สักพัก จะมีอาการเหมือนมีละอองหรือไอพลังงานร้อนอุ่นๆพวยพุ่งผ่านออกจากใต้ผิวหนัง พอย้าย”อยู่กับรู้” อาการก็กลับมาเป็นปกติ สรุปคือยังฝึกตามขั้นตอนที่ให้ไว้ยังไม่ชำนาญ จำลำดับขั้นตอนไม่ได้ เดี๋ยวยังไงคงต้องค่อยๆฝึกให้ชำนาญแล้วค่อยเพิ่มขึ้นให้ต่อเนื่องทีละขั้นตอน ปกติถ้าได้อ่านขั้นตอนการฝึกแล้วจะจำได้และจะฝึกไปตามขั้นตอนนั้นได้เร็วมาก แต่มันเหมือนจะมีอะไรที่ทำให้สะดุดแล้วเดินจิตต่อไม่ได้ เลยจำเป็นต้องวางการฝึกหยุดหายใจไว้ก่อน

    ช่วงที่หลังจากเริ่มฝึกหยุดหายใจได้ไม่กี่ครั้ง มีอยู่วันหนึ่ง อยู่ๆเหมือนมีอาการสะดุดหรือกระตุ่กตรงบริเวณลิ้นปี่ หลังจากนั้นสังเกตุพลังงานที่เรามีอยู่ วูปแล้วหายว๊าบไปหมดเลย ร่างกายเพลียเหมือนคนไม่มีแรง อาการนี้เป็น 2 ครั้งค่ะ หลังจากนั้นสังเกตุมีความรู้สึกปักหลักอยู่ที่ตรงบริเวณคอหอย(ถ้าเป็นผู้ชายก็จะอยู่ใต้ลูกกระเดือก) ตรงนี้แหล่ะค่ะที่ ถ้าเราย้ายมาบริเวณนี้ เราจะได้ยินเสียงตัวพูดมากมันพูด แบบว่าไม่รู้เสียงใครต่อเสียงใครเยอะแยะไปหมด จะถามจะตอบก็ได้ จะถามเป็นเสียงเรา ตอบเป็นเสียงคนที่เราถามก็ได้ เสียงมันออกมาจากตรงนี้เลยค่ะ แต่เคยสังเกตุ ถ้ามีเสียงพูดที่่ต่ำลงไปจากจุดนี้ เราจะได้ยินไม่ชัด ก็เลย งงๆ เหมือนกันว่ามันคืออะไร แต่ถ้าเราไม่อยากฟัง เราก็หยุดมันได้ เคยลองแช่อยู่ตรงนี้แล้วปล่อยให้มันพูดจนเรานอนหลับ พอช่วงขณะที่กำลังรู้สึกตัวตื่นน่ะค่ะ ได้ยินเสียงมันพูดอยู่นอกตัวเรา อันนี้ชัดมากเลยค่ะ ตอนนั้นถึงบางอ้อเลย อ๋อ ที่คุณธรรม-ชาติบอกว่า ตัวพูดมากพูดนอกตัวเรา มันเป็นอย่างนี้นี่เอง แต่พอเราตื่นแล้ว เสียงที่ได้ยินกลับไปอยู่ข้างใน ) ทีนี้ถ้าเราย้ายขึ้นมาที่หน้าผากตรงหว่างคิ้ว เราจะอยู่กับตัวดู บางครั้งจะมีอาการเหมือนเพ่งเกิดขึ้น (ตรงนี้เราจะไม่ได้ยินเสียงตัวพูดมาก ) ถ้าเราลองเล่นเป็นตัวดูโดยที่เราแกล้งไม่รู้ เรารู้ว่าเราทำอะไร ตัวดูที่คิดว่าเป็นเรารู้ แล้วเพ่งโทษโน่นนี่นั่น มันเป็นอารมณ์ล้วนๆเลยค่ะ ถ้าเราย้ายออก เราก็จะอยู่กับรู้ อยู่กับว่าง ก็ อยู่ ย้าย ย้าย อยู่ กับสามสภาวะนี้ สลับกันไปมาเกือบเดือนแล้วค่ะ ไม่ไปไหนมาไหนเลย วนไปวนมาอยู่อย่างนี้ ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ แต่สังเกตุตัวผุดจากลิ้นปี่จะไม่มีแล้วนะคะ มันหายไปเลยน่ะค่ะ หรือถ้าบังเอิญเผลอแล้วมีความรู้สึกอะไรผุดขึ้นมาจากลิ้นปี่ ก็แค่แว๊บเข้ามา แล้วมันก็ออกไปพร้อมกับลมหายใจออกในอึดใจเดียว ซึ่งกรณีนี้สังเกตุจะเกิดขึ้นเฉพาะช่วงขณะที่เรากำลังฟังคนที่พูดกับเรานานมากเท่านั้น

    เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ต้องเดินทางกลับบ้านเกิดไปงานศพพ่อ ก่อนที่พ่อจะเสีย พี่ชายโทรมาบอกว่าพ่ออาการหนักมาก หมอช่วยปั้มหายใจคืนมาสองครั้งแล้ว ตอนนี้ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ถ้าถอดเครื่องช่วยหายใจก็หมด คืนนั้นช่วงประมาณตี 4-5 เหมือนเราจะรู้ว่าพ่อรอเราอยู่ แต่สังขารท่านไม่ไหวแล้ว ณ เวลานั้นเลยบอกพ่อไปว่า พ่อไม่ต้องรอหนูนะ หนูคงเดินทางไปไม่ทันพ่อ ไม่ยึดติดหนูนะ ไม่ให้ยึดติดอะไร ให้พ่อเอาบุญที่หนูมีอยู่ เป็นใบเบิกทางเพื่อไปสู่ภพภูมิที่ดี พอเช้ามาพี่ชายโทรมาบอกว่าพ่อเสียแล้ว หลังจากพูดกับพี่ชายเสร็จ สักพัก มันเหมือนมีพลังความทุกข์เริ่มก่อตัวแล้วเคลื่อนขึ้นมากระจุ่กที่คอหอย จากนั้นสังเกตุเห็นตัวเองถอนหายใจทิ้งความทุกข์ออกไปโดยอัตโนมัติเลย คือพลังความทุกข์ที่เริ่มก่อตัวขึ้น วิ่งออกไปพร้อมกับลมหายใจออก เหลือแต่ความว่างรู้ ความเศร้าโศกเสียใจอาลัยอาวร ไม่มีเลย

    ทีนี้ก็มาสังเกตุอีก ตอนที่อยู่ในงานน่ะค่ะ คนเยอะก็เลยเป็นอะไรที่ดูแล้ววุ่นวายมาก คนโน้นบอกให้เราทำอย่างนี้ คนนี้บอกให้เราทำอย่างโน้น ภายนอกมันวุ่นนะ แต่ใจเราไม่วุ่น ในงานก็ไม่เห็นใครเศร้าโศกอะไรเลย สังเกตุตัวเองมีความรู้สึกเดียวตั้งอยู่ตรงบริเวณคอหอย และก็แช่อยู่นิ่งๆอย่างนั้น ใครพูดใครคุยอะไรได้ยินหมด แต่ไม่รับเข้ามาในจิตในใจ ก็มีช่วงเผลอ ตอนที่คุยๆกับญาติ สังเกตุความทุกข์กำลังก่อตัวขึ้นหนึ่งครั้งในช่วงที่เราหายใจเข้า พอหายใจออก ความทุกข์ก็ออกไปพร้อมกับลมหายใจออกเลย และก็สังเกตุความอึดอัดก่อตัวขึ้นหนึ่งครั้งช่วงหายใจเข้า พอหายใจออก ความอึดอัดก็ออกไปพร้อมกับลมหายใจออกเลย ส่วนช่วงเวลาที่ไม่ได้พูดคุยกับใคร เราก็อยู่เงียบๆ หันหน้ามองคนโน้นที มองคนนี้ที มองแบบตาแป๋ว ไม่มีความรู้สึกนึกคิดอะไรเลย ร่างกายก็โปร่งโล่งเบาสบายดี

    อีกอย่างนะคะ สังเกตุตอนนี้ความสนุกสนานกลับมาเหมือนเดิม แต่ก็ไม่เหมือนเดิม เอ๊ะ ยังไงเนี่ย อิอิ
     
  8. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ได้เลยครับ หากติดขัดตรงไหนก็โพสท์ถามได้ตามสะดวก นะครับ
     
  9. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    นิมิตในภวังคจิตใต้สำนึก ต่างจากญาณทิพย์หรือการเข้าไปรู้เห็นจริง(ตาทิพย์) ไหม?

    +++ ต่างกันอย่างมาก นิมิตในภวังคจิตใต้สำนึกนั้น คือ สิ่งที่เรียกกันว่า "ภวังค์จรณะ" ซึ่งจะมีอาการ "ซึมสบาย" เกิดขึ้นก่อน แล้วจึงค่อย ๆ กลายตัวเป็น "ถีนมิทธะ" (ซึมทื่อ แต่อาจจะยังไม่ถึงกับ ง่วง) จากนั้น "ความปรุงแต่ง" ที่เรียกว่า "อุทธัจจะกุกกุจจะ" ก็ค่อย ๆ แทรกตัวเข้ามา (ความปรุงแต่งของจิตมีมานับเป็น กัปป มหากัปป และ อสงไขย จึงเป็น สันดานนอนจมก้นบึ้งอยู่ในจิต)

    +++ หากความ "ซึมทื่อ" มีอิทธิพลมากเกินไป ก็มีโอกาสตกลงไปยัง "สมาธิหัวตอ" ได้ แต่หากมีอิทธิพลมาก แต่ไม่มากเกินไป ก็มักจะออกไป "ปรุงแต่งทิพย์" แต่มักจะรับรู้โดยอายตนะ 5 (ตาหูจมูกลิ้นกาย) แต่ไม่ได้รับที่ "ใจ" ตรงนี้ยังปรุงแต่งอยู่ใน "กามาวจร"

    +++ ญาณทิพย์ เป็น "ภาษาตัวจริง" ส่วน ตาทิพย์ เป็น "ภาษา ง่าย ๆ ที่ขาดความรับผิดชอบ" (ตาทิพย์ ไม่ได้ใช้ ภาษาที่ตรงตามอาการ) ซึ่งหากเป็น พระ ก็จะตกสู่อาบัติ "ทุกฏ" คือ ทำให้เกิด "ข้อยึดถือ (กฏ) ที่ไม่ดีที่ไม่ตรง (ทุ)" (ไม่ใช่ "ทุกกฏ" ที่หมายถึง ทำอะไรก็ผิดไปหมด)

    +++ ญาณทิพย์ เป็น "ภาษาตัวจริงที่ถูกต้อง" คำว่า "ญาณ" (ยาน) นั้นเกิดจาก "สติที่ทรงตัวเหนือกว่าสมาธิ ในระดับ อัปปนา" หรือพูดสั้น ๆ ได้ว่า "สติครองฌาน" (ชาน) (ในขณะที่ ฌาน เป็นอัตตาจิต หรือ ตัวกูของกูเป็นฌาน นั่นเอง) ตรงนี้ "พ้นนิวรณ์ 5 ประการ" ไปแล้ว และไม่มีองค์ประกอบของ "ถีนมิทธะ" เหลืออยู่เลย

    +++ อัตตาจิตเห็น จะเป็นลักษณะของ "ญาณ" ที่เป็นลักษณะของ "รู้รูปธรรม" ที่ ภาพ เสียง กลิ่น รส ผัสสะ รับรู้ด้วย "ใจ" ไม่ใช่ลักษณะของ "ตาเนื้อ หรือ ตาจิต เห็น" ตรงนี้ ผู้ที่จะสามารถแยกแยะได้ ต้องเป็นผู้ที่รู้จัก "เจโตปริยะญาณ" ที่สามารถ "ตรึงวาระจิตตน และ ตรึงวาระจิตอื่น" ได้แล้วเท่านั้น จึงจะแยกแยะได้ เพราะอาการหากดูเผิน ๆ แล้ว "คล้าย ตาจิต เห็น" มาก

    มโนมยิทธิเต็มกำลัง เป็นตาทิพย์คือเข้าไปรู้เห็น หรือเป็นการถอดกายไปจริง

    ++++ "มโนมยิทธิเต็มกำลัง" คือ มโนมยิทธิในพระไตรปิฏก ซึ่ง "ชี้ตรงไปที่ประเด็นเดียวเท่านั้น คือ ถอดกายออกไป" ซึ่งจะเป็นลักษณะของ "ถอดดาบออกจากฝัก หรือ ถอดไส้หญ้าปล้อง" กล่าวคือ เป็นอาการที่ "ตัวเอง ออกมาจาก ตัวเอง" เท่านั้น นอกนั้นไม่ใช่ มโนมยิทธิในพระไตรปิฏก แต่อย่างใดทั้งสิ้น

    หรือว่าการถอดกายทิพย์ไป อาจครอบคลุมถอดกายไปจริง รวมถึงเป็นลักษณะนิมิตมีอีกกาย(ตัวเอง)อยู่ในการรู้เห็น(นิมิต)นั้น คล้ายแบบที่ฝันเป็นจริง(นิมิตเกิดขึ้นจริงตามฝัน)หรือเปล่า?

    +++ "กาย" คือ "สิ่งที่จิตยึดตรองอาศัยอยู่ และ ยึดถือเอาเป็น ตน" อะไรก็ตามที่ "ไม่ใช่กายเนื้อ แต่จิตยังยึดเอาเป็นตน ก็ยังเป็น กาย ทั้งสิ้น" (ดังนั้น ผู้ที่ถอดกายได้ จึงมีสิทธิพ้นจาก สักกายะทิฐิ ได้ง่ายกว่า ผู้ที่ยังติดเฉพาะ กายเนื้อ มากนัก)

    +++ การ "ถอดกาย" ย่อมเป็น "กายอื่นที่ไม่ใช่ กายเนื้อ" หาก "อยู่กับความรู้สึกทั้งตัว" จนความรู้สึกทั้งตัวกลายเป็น "กายในกาย" ได้แล้ว "กายแห่งความรู้สึก" (กายเวทนา) ย่อม ถอดออกจากกายเนื้อได้ (รูปกาย) เพราะเป็น กายแห่งพลังงาน (นามกาย)

    +++ การถอดกาย จะเป็น "การไปทั้งตัว" และ "ตัวที่ไปนั้น ไม่ใช่นิมิต" แต่ "ไปทั้งตัวตนทั้งหมด รวมทั้ง สติและสัมปชัญญะ เต็มที่" ซึ่งตรงนี้ "ไม่มีใน ฝัน หรือ นิมิต"

    ตอนนอนภาวนา มีความรู้สึกว่าเดินไต่ไปตามเพดาน พอลืมตาดูก็เห็นนอนอยู่ปกติ พอหลับตา ก็รู้สึกว่าเดินไต่ไปตามเพดานไปเรื่อยๆ เพลินดีอยู่ (มีความรู้สึกว่าเท้าเดินไต่ไปตามเพดาน).. เป็นการถอดกายทิพย์ไม่ออกหรือ?

    +++ ตรงนี้เรียกว่า "หลงพื้น เป็น เพดาน" เดินตามเพดาน ประดุจ เดินอยู่บนพื้น พอลืมตาดูก็เห็นนอนอยู่ปกติ กับพื้น แต่เป็น เพดาน พอหลับตา ก็เดินตามเพดาน (พื้น) ไปเรื่อยๆ เพลินดีอยู่ ตรงนี้เป็น "การถอดกาย" เต็มตัวไปแล้ว จริง ๆ แล้ว กายที่ถอดออกไป ไม่จำเป็นที่จะต้อง "มีพื้นหรือเพดานก็ได้" สามารถ "เดินไปกับอากาศ ประดุจพื้น หรือ แหวกว่ายอากาศ ประดุจน้ำ" ก็ได้ทั้งสิ้น

    ในคราวสมาธิหนึ่ง เห็นกายหยาบอยู่ด้านล่างหายใจพะงาบๆอยู่ แต่รู้สึกตัวเอง(จิต)มองดูอยู่ด้านบน ไม่เห็นกายจิตตัวเอง แค่เป็นความรู้สึกว่าอยู่ด้านบน ร่างกายนั่งสมาธิอยู่ด้านล่าง

    +++ ตรงนี้เป็น "การถอดกาย" ที่เป็น "นามกาย" ถอดออกไป จึงไม่เห็น "กายจิต" (รูปกายละเอียด)

    จนรูปขันธ์ดับไป ก็มีแต่แสงสว่าง มีแต่ความสว่าง แบบนี้ไม่มีกายทิพย์ เป็นแค่ความรู้สึกหรือ?

    +++ "รูปขันธ์ดับไป" (กายเนื้อ หรือ กายจิต) และตรง "มีแต่แสงสว่าง" นั้น "ตนคือแสง และ แสงคือตน" หรือไม่ ถ้าหากใช่ ยามนั้น "มีแสงเป็น นามกาย ที่ไร้รูปไร้ลักษณ์ เป็น อรูป" (ที่ครูบาอาจารย์บางท่านกล่าวถึง แต่ไม่ได้มีระบุใน อรูปสมาบัติ)

    ช่วงที่มีเสียงหวีดดังข้างหู

    +++ ตรงนี้จิตกลับเข้าสู่ "กามาวจร" เรียบร้อยแล้ว เพราะ "เสียงกับหู" ไม่ใช่ "เสียงกับจิต" (กามาวจรรับผัสสะทาง ตา "หู" จมูก ลิ้น กาย)(รูปาวจร รับทาง ใจ)(อรูปาวจร เสพ ธรรมารมณ์ ส่วนตน)

    รูปขันธ์หายไป แล้วทำไงต่อ... รู้สึกพลาดช่วงนี้และวางจิตไม่ถูก

    +++ ตรง "รูปขันธ์หายไป" นี้ ควรระบุให้ชัดเจนว่า เป็น "รูปขันธ์หยาบ" (กายเนื้อ) หรือ "รูปขันธ์ละเอียด" (กายจิต) จะได้วินิจฉัยให้ตรงประเด็นได้ง่าย
    +++ แต่ในที่นี้น่าจะเป็น "รูปขันธ์ละเอียด" (กายจิต) หายไปแล้วกลับมา "รู้ตัว อยู่กับ รูปขันธ์หยาบ" (กายเนื้อ) มากกว่า เพราะเป็นอาการโดดข้้ามจาก อรูปาวจร เข้า กามาวจร ด้วยเสียง อันเป็นอาการของ "ถอนจิต" มากกว่า

    +++ จิตถอน ถือว่า "ระฆังหมดยก" เท่านั้นเอง ควรจะพิจารณาทบทวนว่า ปรากฏการณ์ตรงไหนเกิดก่อน (เหตุ) และปรากฏการอะไรตามมา (ผล)
    +++ เมื่อต้องการ "ผล" ตรงไหน ก็ให้กำหนดที่ "เหตุ" ของมัน ตรงนั้น ตรงนี้ถือว่าเป็น "วสี" ได้เช่นกัน นะครับ
     
  10. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ช่วงที่ฝึกหยุดหายใจ ขณะที่ค่อยๆปล่อยลมหายใจออกจนสุดแล้วหยุดนิ่ง แล้วแช่อยู่อย่างนั้น

    +++ ตรงนี้ ให้สังเกตุการ "เลือกอยู่" ของ "ตน หรือ อัตตาจิต" ตรงนี้กล่าวได้ว่า "ไร้เจตนา" แต่เป็นลักษณะ สแกน หาที่อยู่ของ "ตัวดู" ก่อนที่จะ "อยู่" กับสภาวะใดสภาวะหนึ่ง

    สักพักจะรู้สึกตัวเบาหวิ๋วๆ มีคลื่นพลังงานวิ่งวนรอบตัว

    +++ ให้สังเกตุรู้ว่า "คลื่นพลังงาน" นั้น เกิดจาก "กายเนื้อตามธรรมชาติของมัน" หรือเกิดจาก การสแกนของตัวดูที่ไร้เจตนา ออกมาในรูป "คลื่นสั่นสะเทือน" ของ "กิริยาจิต"

    ความรู้สึกทั้งตัวยังเต็มตัวอยู่

    +++ ตรงนี้หลังจาก สแกน แล้ว "กลับมาอยู่กับ ตน กายเวทนา"

    พอแช่ไว้สักพัก จะมีอาการเหมือนมีละอองหรือไอพลังงานร้อนอุ่นๆพวยพุ่งผ่านออกจากใต้ผิวหนัง

    +++ การ "อยู่กับ กายเวทนา" ทำให้ กายเวทนาเปล่งพลังออกมาจากใต้ผิวหนัง

    พอย้าย”อยู่กับรู้” อาการก็กลับมาเป็นปกติ

    +++ นั่นคือ "วางกายเวทนา" กายเวทนาย่อม "สงบระงับ" ไปเป็นธรรมดา (วางเวทนาขันธ์)

    สรุปคือยังฝึกตามขั้นตอนที่ให้ไว้ยังไม่ชำนาญ จำลำดับขั้นตอนไม่ได้ เดี๋ยวยังไงคงต้องค่อยๆฝึกให้ชำนาญแล้วค่อยเพิ่มขึ้นให้ต่อเนื่องทีละขั้นตอน ปกติถ้าได้อ่านขั้นตอนการฝึกแล้วจะจำได้และจะฝึกไปตามขั้นตอนนั้นได้เร็วมาก แต่มันเหมือนจะมีอะไรที่ทำให้สะดุดแล้วเดินจิตต่อไม่ได้ เลยจำเป็นต้องวางการฝึกหยุดหายใจไว้ก่อน

    +++ ตรงที่ "เหมือนจะมีอะไรที่ทำให้สะดุดแล้วเดินจิตต่อไม่ได้" นั้น หากสามารถ "ตรึง" ตัวอุปสรรคนี้ได้ ก็จะรู้ได้ว่า "เงื่อนงำตรงนี้" เป็นวิบากเก่า หรือไม่

    ช่วงที่หลังจากเริ่มฝึกหยุดหายใจได้ไม่กี่ครั้ง

    +++ จริง ๆ แล้ว ไม่ได้ให้ฝึก "หยุดหายใจ" แต่ให้ฝึก "อยู่อย่างนั้น ก็อยู่ได้" แล้วให้ "ปล่อยให้มันหายใจไปตามเรื่องของมัน" โดยที่เรา "ไม่ได้อยู่กับมัน" เท่านั้นเอง

    มีอยู่วันหนึ่ง อยู่ๆเหมือนมีอาการสะดุดหรือกระตุ่กตรงบริเวณลิ้นปี่ หลังจากนั้นสังเกตุพลังงานที่เรามีอยู่ วูปแล้วหายว๊าบไปหมดเลย ร่างกายเพลียเหมือนคนไม่มีแรง อาการนี้เป็น 2 ครั้งค่ะ

    +++ "อาการสะดุดหรือกระตุ่กตรงบริเวณลิ้นปี่" ตรงนี้เป็น "ธรรมารมณ์ภายนอก ที่ไม่ใช่ตน" ปรากฏ โดยปกติตรงนี้เป็น "จิตผุด" ก่อนที่จะเกิดการ "ส่งออก" ไปยังจิตที่ผุดนั้น แล้วจึงเกิด "การปรุงแต่ง" ตามมา เพียงแต่ "เรารู้ทันมัน" ก็เลยทำให้มัน "ดับไป" ช่วงวงจรสั้น ๆ นี้สามารถทำให้เกิดการ "กระตุก" ได้เช่นกัน แต่มันมาจากอาการ "เกิดดับ" ในชั้น "ธรรมานุปัสสนา" (นามธรรม) ก่อนที่มันจะกำเริบมาเป็นชั้น "จิตตานุปัสสนา" (รูปธรรม)

    +++ อาการ "วูปแล้วหายว๊าบไปหมดเลย" ตรงอาการ "วูป" คืออาการที่ตัวดู พุ่งส่งออก ส่วนอาการ "วาป" เป็นอาการที่ ตัวดู "ดับไปด้วย"

    +++ ตรง "ร่างกายเพลียเหมือนคนไม่มีแรง" แต่ตรงนั้น กลายเป็น "อยู่กับรู้" โดยอัตโนมัติ ใช่หรือเปล่า เพราะทั้งหมดเป็น "ธรรมารมณ์ และ ตัวดู" ดับหมดในขณะนั้้น map จิตกลับไปดูอีกทีนะ

    หลังจากนั้นสังเกตุมีความรู้สึกปักหลักอยู่ที่ตรงบริเวณคอหอย(ถ้าเป็นผู้ชายก็จะอยู่ใต้ลูกกระเดือก) ตรงนี้แหล่ะค่ะที่ ถ้าเราย้ายมาบริเวณนี้ เราจะได้ยินเสียงตัวพูดมากมันพูด แบบว่าไม่รู้เสียงใครต่อเสียงใครเยอะแยะไปหมด

    +++ ตรงนี้เป็น Network แห่งเสียง โดยมี "ตัวพูดมาก" อยู่ตรงกลางของข่าย มีสภาพเป็น Hub of sound ในพุทธศาสนามหายาน มีกล่าวไว้ว่า "พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร คอยสดับฟังเสียงสรรพสัตว์อยู่เสมอ" ก็ให้รู้ไว้ว่า "เป็นการ เดินจิต ตรงนี้แหละ"

    จะถามจะตอบก็ได้ จะถามเป็นเสียงเรา ตอบเป็นเสียงคนที่เราถามก็ได้

    +++ "ตัวพูดมาก" มันเป็น เจ้าแห่งเสียง เจ้าแห่งภาษา หาก "ฝึกจนใช้งานมันได้" สิ่งที่จะได้คือ "จตุปฏิสัมภิทาญาณ" (ในพระไตรปิฏก)

    เสียงมันออกมาจากตรงนี้เลยค่ะ แต่เคยสังเกตุ ถ้ามีเสียงพูดที่่ต่ำลงไปจากจุดนี้ เราจะได้ยินไม่ชัด ก็เลย งงๆ เหมือนกันว่ามันคืออะไร

    +++ ให้สังเกตุ "การเชื่อมต่อ" จาก ตัวดูกับตัวพูดมาก แล้ว "ปรับที่การเชื่อมต่อ" ก็จะชัดได้เหมือนเดิม ในกรณีนี้

    แต่ถ้าเราไม่อยากฟัง เราก็หยุดมันได้ เคยลองแช่อยู่ตรงนี้แล้วปล่อยให้มันพูดจนเรานอนหลับ พอช่วงขณะที่กำลังรู้สึกตัวตื่นน่ะค่ะ ได้ยินเสียงมันพูดอยู่นอกตัวเรา อันนี้ชัดมากเลยค่ะ ตอนนั้นถึงบางอ้อเลย อ๋อ ที่คุณธรรม-ชาติบอกว่า ตัวพูดมากพูดนอกตัวเรา มันเป็นอย่างนี้นี่เอง

    +++ ขณะที่ "ฟัง" มันพูดอยู่ข้างนอกนั้น เหมือน "เห็นตัวมันไม่ใช่เรา" แล้วเกิด "ความสุขที่หลุดพ้นจากมัน" ประกอบไปด้วยหรือไม่ ความสุขตรงนี้ ไม่มีในฌาน ไม่มีในโลก

    แต่พอเราตื่นแล้ว เสียงที่ได้ยินกลับไปอยู่ข้างใน ) ทีนี้ถ้าเราย้ายขึ้นมาที่หน้าผากตรงหว่างคิ้ว เราจะอยู่กับตัวดู บางครั้งจะมีอาการเหมือนเพ่งเกิดขึ้น (ตรงนี้เราจะไม่ได้ยินเสียงตัวพูดมาก )

    +++ ตัวดู คือ อาการ เพ่ง โดยธรรมชาติของมัน แต่ยามใดที่ มันไม่เพ่ง ยามนั้นตัวมันจะเป็น ฌาน ให้สังเกตุอาการของมันให้ดี เมื่อมันเป็น ฌาน แล้วเราไปอยู่กับมัน ตรงนี้คือ "การเข้าฌาน" นั่นแล

    ถ้าเราลองเล่นเป็นตัวดูโดยที่เราแกล้งไม่รู้ เรารู้ว่าเราทำอะไร ตัวดูที่คิดว่าเป็นเรารู้ แล้วเพ่งโทษโน่นนี่นั่น มันเป็นอารมณ์ล้วนๆเลยค่ะ

    +++ ถูกต้อง ตัวดู ในขณะที่มันเป็น "นาม" มันคือ "ธรรมารมณ์" และในขณะที่มันเป็น "รูป" มันคือ "จิต"

    ถ้าเราย้ายออก เราก็จะอยู่กับรู้ อยู่กับว่าง ก็ อยู่ ย้าย ย้าย อยู่ กับสามสภาวะนี้ สลับกันไปมาเกือบเดือนแล้วค่ะ ไม่ไปไหนมาไหนเลย วนไปวนมาอยู่อย่างนี้ ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ แต่สังเกตุตัวผุดจากลิ้นปี่จะไม่มีแล้วนะคะ มันหายไปเลยน่ะค่ะ หรือถ้าบังเอิญเผลอแล้วมีความรู้สึกอะไรผุดขึ้นมาจากลิ้นปี่ ก็แค่แว๊บเข้ามา แล้วมันก็ออกไปพร้อมกับลมหายใจออกในอึดใจเดียว ซึ่งกรณีนี้สังเกตุจะเกิดขึ้นเฉพาะช่วงขณะที่เรากำลังฟังคนที่พูดกับเรานานมากเท่านั้น

    +++ ต่อไป "ไม่ต้องรอให้มันออกไปพร้อมกับลมหายใจ" แต่ "ใช้ตัวดูให้ ตัด ทันที" จากนั้นจึง "วางตัวดู" ในอีกวาระจิตถัดไป

    เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ต้องเดินทางกลับบ้านเกิดไปงานศพพ่อ ก่อนที่พ่อจะเสีย พี่ชายโทรมาบอกว่าพ่ออาการหนักมาก หมอช่วยปั้มหายใจคืนมาสองครั้งแล้ว ตอนนี้ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ถ้าถอดเครื่องช่วยหายใจก็หมด คืนนั้นช่วงประมาณตี 4-5 เหมือนเราจะรู้ว่าพ่อรอเราอยู่ แต่สังขารท่านไม่ไหวแล้ว ณ เวลานั้นเลยบอกพ่อไปว่า พ่อไม่ต้องรอหนูนะ หนูคงเดินทางไปไม่ทันพ่อ ไม่ยึดติดหนูนะ ไม่ให้ยึดติดอะไร ให้พ่อเอาบุญที่หนูมีอยู่ เป็นใบเบิกทางเพื่อไปสู่ภพภูมิที่ดี

    +++ ตรงนี้เป็น "จิตสื่อสาร" ที่ดี และเป็นการ "ตัดห่วงผูกพัน" ที่ดีมาก ช่วงนี้ 7 วัน "ให้เดินจิต แล้วอยู่กับ ปิติหรือสุข" ให้มาก หากเกิดการสื่อสาร หรือ ส่งจิตไปหา ก็จะสามารถทำให้ท่านเปลี่ยนไปยัง "ภูมิ" ที่ดีมาก ๆ ได้

    พอเช้ามาพี่ชายโทรมาบอกว่าพ่อเสียแล้ว หลังจากพูดกับพี่ชายเสร็จ สักพัก มันเหมือนมีพลังความทุกข์เริ่มก่อตัวแล้วเคลื่อนขึ้นมากระจุ่กที่คอหอย

    +++ มันเคลื่อนตัวมาจาก ลิ้นปี่ แต่ตรงนี้มาทันที่ คอหอย

    จากนั้นสังเกตุเห็นตัวเองถอนหายใจทิ้งความทุกข์ออกไปโดยอัตโนมัติเลย คือพลังความทุกข์ที่เริ่มก่อตัวขึ้น วิ่งออกไปพร้อมกับลมหายใจออก เหลือแต่ความว่างรู้ ความเศร้าโศกเสียใจอาลัยอาวร ไม่มีเลย

    +++ ต่อไป ให้ฝึก ตัด ที่ตัวดูตรง ๆ

    ทีนี้ก็มาสังเกตุอีก ตอนที่อยู่ในงานน่ะค่ะ คนเยอะก็เลยเป็นอะไรที่ดูแล้ววุ่นวายมาก คนโน้นบอกให้เราทำอย่างนี้ คนนี้บอกให้เราทำอย่างโน้น ภายนอกมันวุ่นนะ แต่ใจเราไม่วุ่น ในงานก็ไม่เห็นใครเศร้าโศกอะไรเลย สังเกตุตัวเองมีความรู้สึกเดียวตั้งอยู่ตรงบริเวณคอหอย และก็แช่อยู่นิ่งๆอย่างนั้น ใครพูดใครคุยอะไรได้ยินหมด แต่ไม่รับเข้ามาในจิตในใจ ก็มีช่วงเผลอ ตอนที่คุยๆกับญาติ สังเกตุความทุกข์กำลังก่อตัวขึ้นหนึ่งครั้งในช่วงที่เราหายใจเข้า พอหายใจออก ความทุกข์ก็ออกไปพร้อมกับลมหายใจออกเลย และก็สังเกตุความอึดอัดก่อตัวขึ้นหนึ่งครั้งช่วงหายใจเข้า พอหายใจออก ความอึดอัดก็ออกไปพร้อมกับลมหายใจออกเลย ส่วนช่วงเวลาที่ไม่ได้พูดคุยกับใคร เราก็อยู่เงียบๆ หันหน้ามองคนโน้นที มองคนนี้ที มองแบบตาแป๋ว ไม่มีความรู้สึกนึกคิดอะไรเลย ร่างกายก็โปร่งโล่งเบาสบายดี

    +++ ตรง "มองแบบตาแป๋ว" นั้น ให้ไปดูภาพของ "หลวงปู่แหวน" แล้วจะเข้าใจได้ชัดเจนว่า "หลวงปู่แหวน อยู่ กับวิหารธรรมอะไร" นะครับ

    อีกอย่างนะคะ สังเกตุตอนนี้ความสนุกสนานกลับมาเหมือนเดิม แต่ก็ไม่เหมือนเดิม เอ๊ะ ยังไงเนี่ย อิอิ

    +++ นั่นนะซี ความสนุกสนาน ย่อมมีอยู่จริงตามธรรมชาติของมัน และสภาวะแห่ง ความเป็นเรา ก็มีอยู่จริงด้วยเช่นกัน ตามสติระดับ 9 ย่อมเป็นเช่นนั้น แล...
     
  11. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678
    ผมสังเกตุมานานแล้วนะครับ ว่าคุณธรรมชาติ ตอบคำถามต่อเนื่องอย่างยาวได้เร็วมาก แบบไม่ต้องมานั่งคิดกันเลย สุดยอดเลยครับ เข้ามาถึงตอบเอาตอบเอา ทั้งกระทู้ทั้ง พีเอ็ม ทีหลายๆ อัน สุดยอดดดด
     
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ นี่ยังไม่เร็วเท่าไร เพราะต้องคอยมากด <- เกีอบตลอดเวลา เพราะ Keyboard มันชอบกระโดดอยู่เสมอ ไม่งั้นมันส์... กว่านี้อีก 555
     
  13. ธรรมอยู่

    ธรรมอยู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +55
    เป็นคนเดียวกับ "ทำอยู่"ค่ะ หาพาสเวิร์ดตัวเองไม่เจอสมัครใหม่เลย เข้ามารายงานผลนิดหน่อยค่ะ วันสองวันมานี่หงุดหงิดมากโกรธเกลียดคนที่ทำไม่ดีกับเราคิดอยู่นั่นแหละปกติก็วางแล้วนะ (เอ๊ะหรือเราไปรับรู้อารมณ์ที่เค้าเกลียดเรา) ทนไม่ไหวแล้วทำไมเราชั่วอย่างนี้ไปหาหลวงพ่อเลยค่ะ หลวงพ่อบอกเราให้เจริญเมตตาให้มากๆแผ่ส่วนบุญให้สรรพสัตว์ แผ่บุญให้เค้าเค้ามาขอเรา (แหมก็หนูกลัวนี่คะ อิอิ) เลยกลับมานั่งพิจารณาช่วงนี้ไม่ได้แผ่เมตตานี่เอง เฮ้อ.... กายตัวกายตอนกำหนดรู้สึกว่ามีบางช่วงมันดิ้นดุ๊กดิ๊กด้วยค่ะ
     
  14. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    มีเพื่อนละ อาการแบบเดียวกันเลย ^ ^
    เรื่องมันสนุก เราก็รับรู้ว่าสนุก แต่ความสนุก กับเราที่รู้ว่าสนุก แยกกันอยู่ แล้วเราที่รู้อยู่ว่าสนุก อยู่ตรงไหนน้า

    มาเล่าเพิ่มหน่อยคะ ช่วงนี้ก็จะรู้ตั้งแต่พลังงานหลักก่อตัวหนัก ๆ จนเกิดการกระทำ ซึ่งหลัก ๆ ก็คือคำบ่นที่เราชอบบ่นตัวเองเวลาเบื่อ ๆ นะคะ ความซ้ำซ้อนเป็น pattern แบบนี้ คือสิ่งที่เรียกว่าวิบาก หรือเปล่าคะพี่ ช่วงหลัง ๆ พอพลังงานก่อตัว เมิลจะรู้ละว่าจะมีพฤติกรรมอะไรตามมา เริ่ม predict ได้ละ ถ้าทันเมิลก็ตัด ถ้าไม่ทันก็แค่มันจบละ ไม่คิดต่อ

    หรือบางทีก็ดูความคิดเสียเวลา ไปสักพักก็ พอละเลิกดู ดับเข้าว่างรู้เลย
    ก่อนฝึก "ความคิดเสียเวลา" พวกนี้เราไม่รู้ตอนที่มันเกิด ตอนที่มันดำเนิน จนจบ แต่ตอนนี้เมิลรู้ตอนที่มันกำลังเกิด เกิดแล้วเปลี่ยนเรื่องโดยมีจุดเชื่อมโยงระหว่างเรื่องอยู่ แต่จริง ๆ เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ไม่เกี่ยวข้องกันแค่มี common factor อยู่ ระหว่างที่มันเกิดอยู่ เมิลก็รู้อยู่ แล้วถ้าไม่ตัด ไม่ย้ายออกมา มันก็ต่อของมันไปเรื่อย ๆ พอย้ายออกมาบ่อย ๆ มันก็เกิดน้อยลง พอมันจะเกิดเราก็ดับมันลง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2014
  15. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ขอบคุณในคำตอบคุณธรรม-ชาติมากมายค่ะ

    ไม่เคยได้วสี ไม่เคยกำหนดอะไรได้เลย..:'(

    ขอถามอีกหน่อยจ๊ะ..
    การนั่งสมาธิไปถึง ตัวหาย(กายหยาบดับ)มีแต่แสง นี่คือ..??
    ต่างจากมีแสงแต่ยังรู้สึกมีกายหยาบใช่ไหม
    แบบที่ถอดกายทิพย์ จิตมีความรู้สึกที่กายหยาบด้วยไหม หรือไม่มีเลย..
    ทำไมมโนครึ่งกำลัง ถึงยังรู้สึกที่กายหยาบ

    พวกมีตาทิพย์ ก็อาจถอดกายทิพย์ไม่ได้ใช่ไหม ถ้าไม่เคยฝึก
    ขอบพระคุณมากมายจ๊ะ
     
  16. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    เป็นคนเดียวกับ "ทำอยู่"ค่ะ หาพาสเวิร์ดตัวเองไม่เจอสมัครใหม่เลย เข้ามารายงานผลนิดหน่อยค่ะ วันสองวันมานี่หงุดหงิดมากโกรธเกลียดคนที่ทำไม่ดีกับเรา

    +++ สำหรับผมแล้ว จะบัญญัติข้อห้ามไว้ประการหนึ่งในกรณีแบบนี้คือ ห้ามตกลงไปในวังวนของคำว่า "เพราะอะไร"
    +++ คำว่า "เพราะอะไร" คำนี้ เป็นคำที่ม้กจะเกิดมาจาก ตัวผู้ถาม "หลงเหตุ" แล้ววนเวียนอยู่ในวังน้ำวนแห่งตนเอง

    +++ เช่น คน ๆ หนึ่งมีเงินนับล้าน เพียงแต่เขาไม่มีเงินเหรียญ เลยมา "ขอยืม" เราซึ่งเป็นคนจน แต่ภายหลัง พอเราทวงเขาก็กลับบ่ายเบี่ยงหลบไปหลบมาตลอดเวลา ผลลัพธ์ก็คือ "ไม่ใช้เงินคืน" นั่นเอง ตรงนี้ "ห้ามถามว่า เพราะอะไร" การถามเช่นนี้เสียเวลาและจิตใจไปมาก เพราะไม่ว่าจะหาคำตอบอย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ก็จะลงเอยในที่เดิมของมันคือ "มันไม่ยอมใช้เงินคืน" นั่นเอง ดังนั้น ไม่ต้องเสียเวลาไปหาเหตุในจิตของเขา เพราะท้ายสุดแล้วก็คือ "จิตของเขาเป็นแบบนี้" เท่านั้นแหละ วงจรการทำงานในจิตของเขาเป็นแบบนั้น และ เขาย่อมหวงแหนจิตที่เป็นแบบนั้นของเขาเอง

    คิดอยู่นั่นแหละปกติก็วางแล้วนะ (เอ๊ะหรือเราไปรับรู้อารมณ์ที่เค้าเกลียดเรา)

    +++ ตรงนี้ง่ายมากสำหรับผู้ที่รู้การทำงานของจิตตน เพราะจะรู้ได้ว่า "อารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เป็น ขาเข้า หรือ ขาออก" เพียงแค่นี้ก็รู้ว่า มาจาก ตน หรือ มาจาก ใคร

    ทนไม่ไหวแล้วทำไมเราชั่วอย่างนี้ไปหาหลวงพ่อเลยค่ะ

    +++ สำคัญที่สุดก็คือ "วงจรการทำงานของจิต" ตรงที่เรียกว่า "ชั่ว" ตรงนี้ "เป็นวงจรของใคร" หากจะรู้ตรงนี้ได้ "ต้องชำนาญในจิตตน" เท่านั้น

    หลวงพ่อบอกเราให้เจริญเมตตาให้มากๆแผ่ส่วนบุญให้สรรพสัตว์ แผ่บุญให้เค้าเค้ามาขอเรา (แหมก็หนูกลัวนี่คะ อิอิ) เลยกลับมานั่งพิจารณาช่วงนี้ไม่ได้แผ่เมตตานี่เอง เฮ้อ....

    +++ การ "แผ่เมตตาของจริง" นั้น จิต จะต้องเป็น "พรหมจริยา" เสียก่อน

    +++ "พรหมจริยา" หรือ "ความเป็นพรหม" คือ อะไร

    +++ 1. พรหม "อยู่" กับ "ฌาน" ยามใดที่ "พรหมตกจาก ฌาน" ยามนั้นจะสิ้น "ความเป็นพรหม" ในทันที (ตายจากพรหม)
    +++ 2. คุณสมบัติของพรหม ที่เป็น เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา นั้น แท้จริงแล้วมันมาจาก คุณสมบัติของ "ฌาน" นั่นเอง
    +++ 3. ฌาน 1 วิตก-วิจารณ์ นั้น สภาพที่แท้จริงของมันเป็นการ "สแกนธรรมารมณ์" แบบเดียวกับการ "ปรับวสี"
    +++ 4. ฌาน 2 ปิติ ตรงนี้เป็นการทรงอารมณ์ที่ "อิ่มอกอิ่มใจ อยู่อย่างนี้ก็อยู่ได้" ผู้ที่เคยอยู่ตรงนี้มาก่อน จะรู้ได้ชัดเจนว่า "เมตตาธรรม และ กรุณาธรรม" อยู่ที่ตรงนี้
    +++ 5. ฌาน 3 สุข ตรงนี้เป็นการทรงอารมณ์ที่ "เบากาย เบาใจ" ตรงนี้แหละคือ อาการของ "มุทิตาธรรม"
    +++ 6. ฌาน 4 อุเบกขา ตรงนี้เป็นการ "ตัดอารมณ์ภายนอกทิ้ง เสพสุขด้วยธรรมารมณ์แห่งตน" ที่เรียกว่า "อุเบกขาธรรม" นั่นแหละ

    +++ ดังนั้น พอรู้แล้วนะว่า "อะไรคือ การแผ่เมตตา ของจริง" ที่มีความแตกต่างไปจากการแผ่ "น่าอนาถ น่าเวทนา" อย่างที่ จิตชั้นกามาวจร แผ่กัน

    กายตัวกายตอนกำหนดรู้สึกว่ามีบางช่วงมันดิ้นดุ๊กดิ๊กด้วยค่ะ

    +++ ตรง "บางช่วงมันดิ้นดุ๊กดิ๊ก" นั้น เป็นอาการของ "กายในกาย" ที่กำลังปรากฏขึ้น ไม่นานก็จะเป็น "กายซ้อนกายได้เอง" นะครับ
     
  17. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    มีเพื่อนละ อาการแบบเดียวกันเลย ^ ^
    เรื่องมันสนุก เราก็รับรู้ว่าสนุก แต่ความสนุก กับเราที่รู้ว่าสนุก แยกกันอยู่ แล้วเราที่รู้อยู่ว่าสนุก อยู่ตรงไหนน้า

    +++ ความสนุกเป็น "เปลวเทียน" ที่สั่นไหวแปรปรวนด้วยอาการของ "กิริยาจิต" ส่วน "เราที่เป็นสภาวะรู้" เป็นไส้เทียน ที่ถูกล้อมรอบด้วย "ธรรมารมณ์" และ "สรรพสิ่งมีอยู่จริง ถูกรู้จริง ไม่ได้เป็นตัวจริงของเรา อยู่ด้วยกันแบบ เอกภาพใครเอกภาพมันจริง" ทุกอย่าง จริงทั้งหมด "ไม่มีอะไรที่ไม่จริง ในยามที่ทำ ปัฏฐาน"

    มาเล่าเพิ่มหน่อยคะ ช่วงนี้ก็จะรู้ตั้งแต่พลังงานหลักก่อตัวหนัก ๆ จนเกิดการกระทำ ซึ่งหลัก ๆ ก็คือคำบ่นที่เราชอบบ่นตัวเองเวลาเบื่อ ๆ นะคะ ความซ้ำซ้อนเป็น pattern แบบนี้ คือสิ่งที่เรียกว่าวิบาก หรือเปล่าคะพี่

    +++ พลังงานหลักก่อตัวหนัก ๆ = ปัจจยา สังขารา (ยังเป็น อรูปฌาน 4)

    +++ จนเกิดการกระทำ = ปัจจยา วิญญานัง (อรูปฌาน 4)

    +++ ตรงนี้ไม่ใช่ "วิบาก" แต่มันเป็นอาการของสภาวะ 3 อย่าง ระหว่าง "ตัวพูดมาก ตัวดู และ ธรรมารมณ์" โดยที่ "ตัวดู เสพธรรมารมณ์ (นาม) ในขณะที่สร้างขันธ์ ตัวพูดมาก (รูป)" แล้ว "ตัวพูดมาก (รูป) เริ่ม ปรามาส ธรรมารมณ์ (นาม) ที่ตัวดูเสพอยู่"

    +++ "วิญญาณะ ปัจจยา นามะรูปัง" คือ อาการตรงนี้แหละ ฮู้บ่อ (ตัวดู สร้างและเป็น รูปและนาม ในที่เดียวกัน)

    +++ ยามใดที่ "รูปธรรม" เริ่มปรากฏ ยามนั้นย่อมอยู่ใน "รูปภพ" และ "ตัวดู" (ใจ) ยังเป็นผู้ "รับสัมผัสโดยตรง" ตรงนี้เป็น (รูปฌาน 4)

    +++ แต่ยามใดที่ "ตัวดูต้องใช้อุปกรณ์อื่น" คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นตัวกลางในการรับรู้แล้วละก็ มันย่อมตกลงมาสู่ "กามาวจร" ตรงนี้

    +++ และตรงนี้แหละ "นามะรูปัง ปัจจยา สฬายตนัง" อันเป็นอาการ "ตกจากรูปพรหม สู่ กามาวจร"

    ช่วงหลัง ๆ พอพลังงานก่อตัว เมิลจะรู้ละว่าจะมีพฤติกรรมอะไรตามมา เริ่ม predict ได้ละ ถ้าทันเมิลก็ตัด ถ้าไม่ทันก็แค่มันจบละ ไม่คิดต่อ

    +++ ถูกแล้ว "ทันตรงไหน ก็ จบที่ตรงนั้น" แต่ควรสนในกับอาการ "predict หรือ รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น" ตรงนี้ให้ดี เพราะมันเป็น รากฐานของ อนาคตังสญาณ ในระดับ เจโตปริยะญาณ

    หรือบางทีก็ดูความคิดเสียเวลา ไปสักพักก็ พอละเลิกดู ดับเข้าว่างรู้เลย

    +++ ถูกต้อง "ความคิด" ก็คือ "ความเพ้อเจ้อ" นั่นแหละ
    +++ เมื่อหันกลับไปดู "สังคมโลก" แล้ว ก็ได้แต่ปลงว่า "หัวใครหัวมัน สร้างภพและขังตนเองกันแบบ ของใครของมัน" กันทั้งนั้น
     
  18. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ไม่เคยได้วสี ไม่เคยกำหนดอะไรได้เลย..

    +++ วสี คือ ความชำนาญ ไม่มีความหมายอะไรมาก เพียงแต่ว่า "ประโยชน์มหาศาล" เท่านั้นเอง

    ขอถามอีกหน่อยจ๊ะ..
    การนั่งสมาธิไปถึง ตัวหาย(กายหยาบดับ)มีแต่แสง นี่คือ..??

    +++ อาการ "ตัวหาย" นั้นอย่าเอาไปปนกับ "อาการดับ" ซึ่งเป็นเรื่องของ "การดับขันธ์" เพราะ "ไม่มีเจตนา ในการดับ"
    +++ อาการ "ตัวหาย" เป็นอาการที่ "จิตอยู่กับ ธรรมารมณ์" จน "ไม่รับทราบ" การดำรงค์อยู่ของกาย และอยู่ในสภาพของ "อรูป"

    ต่างจากมีแสงแต่ยังรู้สึกมีกายหยาบใช่ไหม

    +++ ใช่ ตรงนี้มีแสงเป็น "ภูมิ" ส่วนกายหยาบนั้น "รู้ว่ามีเฉย ๆ" ตรงนี้เป็น "รูปภพ"
    +++ เรื่องมีแสงเป็นภูมินั้น มีการกล่าวถึงในเรื่องของ "อสุรินทร์ ราหู" ที่รบกับพวกที่ อยู่ ในภูมิของแสง ลองกูเกิ้ลดูเอานะ

    แบบที่ถอดกายทิพย์ จิตมีความรู้สึกที่กายหยาบด้วยไหม หรือไม่มีเลย..

    +++ ไม่มีความเป็น "กาย" ที่เป็นกายหยาบแม้แต่น้อย แต่ใช้ "กายเวทนา กายจิต หรือ กายธรรมารมณ์" (ภาษาในหมวด สติปัฏฐาน 4) แทน

    ทำไมมโนครึ่งกำลัง ถึงยังรู้สึกที่กายหยาบ

    +++ "มโนครึ่งกำลัง" เป็น "อุปจาระสมาธิ" ยังไม่เป็น ฌาน หากเป็น ฌาน เมื่อไร เมื่อนั้นจึงเป็น "มโนมยิทธิเต็มกำลัง" ที่มีระบุไว้ในพระไตรปิฏก

    พวกมีตาทิพย์ ก็อาจถอดกายทิพย์ไม่ได้ใช่ไหม ถ้าไม่เคยฝึก

    +++ ตาทิพย์ เป็นการทำงานของ "ตัวดู ในฝ่าย รูปธรรม" ซึ่งมีธรรมชาติของ "จิตส่งออก" อยู่แล้ว และมีลักษณะของ "จักขุวิญญาณ" ตรงนี้ขึ้นอยู่กับ "สติ" ของตัวผู้ฝึกเอง (ปัจจัตตัง) ในการที่จะจำแนกได้ว่าเป็น ตาทิพย์ หรือ ตานึก

    +++ พวก ตาทิพย์ที่เป็นตานึก จะไร้ขีดความสามารถในการถอด กาย ตามความเป็นจริงได้ เพราะขาดเหตุและปัจจัยในการถอด
    +++ แต่พวก ตาทิพย์ที่มาจาก ญาณทิพย์ จะสามารถถอดกายได้ แต่มักจะเป็น กายจิต (รูปละเอียด) เท่านั้น และมักไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ "นามกาย" แม้แต่น้อย นะครับ
     
  19. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ขอบคุณคุณธรรม-ชาติ มากจ๊ะสำหรับคำตอบ

    ที่จริงก็พยายามไล่อ่านกลับไปอยู่
    แต่ถามเพิ่ม ให้แน่ใจดีกว่า เพราะมีระดับของภาษาเพื่อแยกความชัดเจนของรายละเอียดในคำนั้นๆ ค่อนข้างมาก
    กายทิพย์ คือ... กายเวทนา ต่างจากกายจิต(รูปละเอียด) ขนาดไหน กายจิตมีแต่ตัวรู้หรือ..? ใช่พวกตาทิพย์ไหม..? กายจิตเดินทางโดยมีรูปไหม..? เวลาฝันว่าได้คุยกับใครก็ไม่รู้โดยก็ไม่เห็นตัวเองด้วยไม่เห็นตัวเขาด้วยคือรู้ว่ามีใครคุยกับตัวเองอยู่แต่ตัวเองก็ไม่มีตัวกายคุยกับใครก็ไม่รู้. แต่คุยกันในนิมิตหนึ่งที่กำลังฉายภาพให้ดู.. เช่นมีภาพขึ้นมา เราถามเขาว่าคืออะไร เขาตอบว่าคืออะไร.. ในภาพนั้นๆ.. แบบนี้คือ... นิมิตที่เกี่ยวกับกายจิตไหม?..
    กายจิต(รูปละเอียด)รวมไปถึงอรูปด้วยไหม? ..กายธรรมารมณ์ คือ...? พวกอรูปหรือ.. อยู่กับธรรมมารมณ์คือ..?
    แล้วนามกายล่ะ..ความหมายขนาดไหน..?

    ขอบคุณมากๆค่ะ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2014
  20. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    วิญญาณะ ปัจจยา นามะรูปัง ( เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี )
    เมิลเพิ่งมารู้ก็จากการที่พี่บอกนะคะ ก่อนหน้านี้เคยอ่านแต่ก็ไม่เคยรู้จริง ๆ ว่าหมายถึงอะไร

    พอพี่บอกก็เลยไป google อ่านปฎิจจสมุปบาท แล้วเทียบเคียงกับผลของการฝึกว่าสติเรารู้ไล่ขึ้นมาเรื่อย ๆ ตามลำดับจริง ๆ ในตอนแรกที่รู้ว่ายึด แต่ก็ต้องอีกสักพักกว่าจะเห็นว่าตัณหาอยู่เบื้องหลัง พอเห็นตัณหาแล้ว ก็เริ่มเป็นสติในระดับรู้ถึงพลังงานเป็นส่วนใหญ่ เช่นพลังงานที่พุ่งขึ้นมาจากท้อง พลังงานจากตัวดู

    ขอความกรุณาพี่ช่วยบรรยายธรรมในหัวข้อความสัมพันธ์ของระดับสติและปฎิจจสมุปบาท ด้วยคะ please
     

แชร์หน้านี้

Loading...