ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ศาสตราจารย์ ดร.เดวิด รูฟโฟโล ศึกษาด้านฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์มาตลอด โดยจบการศึกษาระดับปริญญาเอกที่ University of Chicago ส่วนระดับปริญญาตรี จบการศึกษาที่ University of Cincinnati สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อาจารย์กรุณาอธิบายให้ฟังอย่างเข้าใจง่าย แม้แต่ผู้ที่ไม่ได้เรียนมาทางด้านวิทยาศาสตร์ยังฟังได้เข้าใจ

    <iframe width="640" height="360" src="http://www.youtube.com/embed/OWmffUnt6O8?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    <iframe width="640" height="360" src="http://www.youtube.com/embed/G3Ahd1OjlMU?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    <iframe width="640" height="360" src="http://www.youtube.com/embed/8ivpezyOQn4?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    <iframe width="640" height="360" src="http://www.youtube.com/embed/Lbm-G9qHZLk?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    <iframe width="640" height="360" src="http://www.youtube.com/embed/Cl1-HweHsSM?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    ข้อมูลจาก บทความ สุขภาพ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การศึกษา | วิชาการ.คอม » เรียนรู้เรื่องพายุสุริยะ
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    การเมืองกัมพูชาพลิก : ฮุนเซนสิ้นอำนาจเบ็ดเสร็จ
    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    ตลอดปีที่ผ่านมาแล้ว เพียงแต่ว่าผู้นำเขมรไม่เคยคิดว่าคนกัมพูชาจะกล้าลงคะแนนให้ฝ่ายค้านได้มากมายเพียงนี้
    ผลการเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ของกัมพูชาตอกย้ำอีกครั้งว่า ผู้นำที่กุมอำนาจเกือบเบ็ดเสร็จผ่านพรรคการเมืองพรรคเดียวมายาวนานนั้น กำลังจะหมดความสามารถที่จะครอบงำประชาชนชนชั้นกลาง และคนรุ่นใหม่ที่ใช้ social media เพื่อสื่อสารและสะท้อนความต้องการ ความเปลี่ยนแปลงอย่างเด่นชัดขึ้นอย่างปราศจากความสงสัยแล้ว

    ความเปลี่ยนแปลงผ่านการหย่อนบัตรเลือกตั้งในประเทศเอเชียอาคเนย์ (ที่เกิดขึ้นแล้วที่อินโดนีเซียและพม่า เช่นกัน) ไม่เหมือนรูปแบบการปรับเปลี่ยนรุนแรงเหมือน Arab Spring ที่ประชาชนผู้หงุดหงิดงุ่นง่านออกมาเดินขบวนกลางถนนเพื่อกดดันให้เปลี่ยนผู้นำที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จยาวนาน
    กระบวนการเลือกตั้งของเอเชีย ก็สะท้อนความต้องการที่จะเปลี่ยนทั้งตัวบุคคล และระบบการปกครองได้โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง ญี่ปุ่น ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่เพิ่งสะท้อนให้เห็นเช่นกัน
    พรรค “ประชาชนกัมพูชา” หรือ Cambodian People’s Party (CPP) ของฮุนเซน ได้ที่นั่งครั้งนี้เพียง 68 ต่อ 55 ของพรรคฝ่ายค้านที่มีชื่อ “พรรคกู้ชาติ” หรือ Cambodian National Rescue Party (CNRP) ที่มี สม รังสี เป็นแกนนำ

    เป็นครั้งแรกใน 15 ปีที่พรรคของฮุนเซน สูญเสียเสียง 2 ใน 3 ในรัฐสภา เพราะก่อนหน้านี้ CPP เคยมีที่นั่ง 90 และฝ่ายค้านมีเพียง 29 เท่านั้น
    พรรค FUNCINPEC ที่เคยเป็นพรรคร่วมรัฐบาลมี 2 ที่นั่ง คราวนี้ไม่ได้แม้แต่ที่นั่งเดียว
    การที่ ฮุนเซน เสียที่นั่งไปถึง 22 ที่นั่งครั้งนี้ ตอกย้ำว่าคนเขมรรุ่นใหม่ตัดสินใจที่จะไม่เอาพรรค CPP ที่ปกครองประเทศด้วย “กำปั้นเหล็ก” ตั้งแต่การเลือกตั้งที่สหประชาชาติเป็นผู้บริหารเมื่อปี 1993
    และที่น่าสังเกตอย่างยิ่ง คือ จำนวนที่นั่งที่พรรครัฐบาลเสียไปคราวนี้ 12 ที่นั่งอยู่ในเขตเลือกตั้งในเมืองหลวงพนมเปญเสียด้วย นั่นย่อมแปลว่าคนเมืองและปัญญาชนเริ่มจะเอาตัวออกห่างจากฮุนเซนแล้วอย่างชัดเจน
    ที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากัน ก็คือ พรรคฝ่ายค้านชนะพรรครัฐบาลในสี่จังหวัดสำคัญ นั่นคือ พนมเปญ, กัมปงจัม, เปรเวียง และ คันดัล
    อีกทั้งยังสามารถเจาะเข้าไปในฐานเสียงสำคัญๆ ของพรรค CPP ได้ทุกเขตเลือกตั้งทีเดียว
    ต้องไม่ลืมว่า 1 ใน 3 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งนี้ มีอายุต่ำกว่า 30 ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงในระบอบประชาธิปไตยอย่างมีความหมายในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง

    นี่ขนาดมีรายงานการฉ้อฉลและกลโกงการหย่อนบัตรในหลายๆ เขตเลือกตั้ง ซึ่งแปลว่า หากการเลือกตั้งเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมจริงๆ ฮุนเซน อาจจะกลายเป็นฝ่ายค้านไปแล้วก็ได้
    คณะกรรมการเลือกตั้งของกัมพูชา แม้จะเป็น “อิสระ” ตามกฎหมาย แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าคนสำคัญๆ ขององค์กรนี้ มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับคนในรัฐบาลนั่นเอง
    ณ คูหาเลือกตั้งบางแห่ง ความรุนแรงระเบิดขึ้น เพราะผู้มีสิทธิเลือกตั้งประท้วงว่ามีการนำเอาชาวเวียดนาม เข้ามาใช้สิทธิ มีการกล่าวหาเรื่อง "บัญชีผี" และ "ไพ่ไฟ" ไม่ต่างอะไรกับที่เราเคยพบเห็นในการเลือกตั้งของไทยเช่นกัน
    ผลการเลือกตั้งออกมาให้ฝ่ายค้านได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเช่นนั้น เกิดขึ้นทั้งๆ ที่ผู้นำฝ่ายค้าน สม รังสี ถูกห้ามลงสมัครรับเลือกตั้ง ด้วยข้ออ้างว่าเขากลับประเทศไม่ทันเส้นตายการลงทะเบียนผู้สมัคร หลังจากได้รับพระราชทานอภัยโทษ เพียงสองสัปดาห์ก่อนการหย่อนบัตร
    หากว่า สม รังสี เป็นหัวหอกในบัญชีรายชื่อผู้สมัครของพรรคกู้ชาติกัมพูชา ก็น่าสงสัยว่าผลการเลือกตั้งจะยิ่งทำให้พรรครัฐบาลอ่อนปวกเปียกกว่าที่ออกมาหรือไม่
    การที่ฝ่ายค้านได้ที่นั่งถึง 55 จากจำนวนที่นั่งในสภาทั้งหมด 123 นั้น เกินความคาดหมายของนักวิเคราะห์ทั้งหลายโดยสิ้นเชิง เหตุหนึ่งเป็นเพราะความเสื่อมทรุดของฮุนเซน เอง ที่ถูกกล่าวหาว่ากุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ปล่อยให้มีเรื่องฉ้อราษฎร์บังหลวงในรัฐบาลอย่างกว้างขวาง และอัตราคนว่างงานของคนหนุ่มคนสาวที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในระยะหลัง
    อีกทั้งชาวบ้านเขมรที่ถูกหน่วยงานรัฐบาลแย่งและยึดที่ดินทำกิน และมีการเวนคืนที่อย่างไม่เป็นธรรม ทำให้เกิดการประท้วงกันอย่างกว้างขวางในหลายๆ จังหวัด
    ดังนั้น คำประกาศเรียกร้องให้ “Change” ของผู้นำฝ่ายค้าน สม รังสี ที่ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศถึง 4 ปี หลังจากถูกศาลตัดสินจำคุก 11 ปี ด้วยข้อหาสร้างความแตกแยกและให้ข้อมูลบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศนั้น จึงอาจจะเป็นเสียงเรียกร้องของคนรุ่นใหม่และชนชั้นกลางเขมรอย่างชัดเจนอีกด้วย
    จากวันนี้...เป็นต้นไป การเมืองเขมร จะไม่เหมือนเดิมอีก...อย่างแน่นอน

    Tags : การเมืองกัมพูชา • ฮุนเซน • ผลการเลือกตั้ง

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข่าวสิ่งแวดล้อม : เรื่องในประเทศ
    น้ำมันรั่ว...จบแค่นี้จริงหรือ
    image.jpg
    ภาพ : กองทัพเรือ
    เรื่อง : ภัสน์วจี ศรีสุวรรณ์

    ใช้เวลาแค่วันกว่าๆ (ณ วันที่ 28 ก.ค.) กระแสข่าวน้ำมันจำนวน 50-70 ตัน รั่วไหลห่างจากชายฝั่งท่าเรือมาบตาพุด จังหวัดระยองประมาณ 20 กิโลเมตร ก็จบลงแบบรวดเร็วเหลือเชื่อ สื่อและคนส่วนใหญ่ยินดีและโล่งอกที่น้ำมันเหล่านี้เดินทางไปไม่ถึงชายฝั่ง ขณะที่ผู้ประกอบการแจ้งว่าควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว

    ทว่าเมื่อดูรายละเอียดการเก็บกู้จะพบว่าเรื่องนี้ยังไม่จบลงง่ายๆ ผลกระทบจะยังคงอยู่ในระบบนิเวศอีกนานแสนนาน

    โดยทั่วไปวิธีการเก็บกู้ที่ใช้กรณีน้ำมันรั่วไปทั่วไปคือการใช้ทุ่นกักน้ำมัน (boom) กักคราบน้ำมันไว้และใช้เครื่องเก็บคราบน้ำมัน (skimmer) ดูดขึ้นไปเก็บในภาชนะบนเรือ การใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมัน (dispersant) เพื่อทำให้น้ำมันแตกตัวเป็นโมเลกุลเล็กๆ ในกรณีเลวร้ายที่สุดคือการเผา

    ในกรณีนี้ผู้บริหารบริษัทพีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการเปิดเผยว่าได้ให้เครื่องบินขจัดคราบน้ำมันจากประเทศสิงคโปร์บินฉีดพ่นสารเคมีควบคู่กับการใช้เรือพ่นน้ำยาและยืนยันว่าสารเคมีที่ใช้สามารถย่อยสลายน้ำมันให้เป็นอาหารของสัตว์น้ำได้ ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม (คาด ค่ำนี้เคลียร์คราบน้ำมันลงทะเลระยอง แล้วเสร็จ - ข่าวไทยรัฐออนไลน์)

    เราเชื่อคำพูดของผู้ประกอบการที่ไม่เปิดเผยขั้นตอนวิธีการและรายชื่อของสารเคมีที่ใช้ได้แค่ไหน

    กรณีน้ำมันรั่วครั้งใหญ่ที่อ่าวเม็กซิโกและน้ำมันมหาศาลเคลื่อนสู่ชายฝั่งสหรัฐอเมริกาเมื่อ 3 ปีก่อน แม้จะเป็นหายนะน้ำมันรั่วที่ใหญ่ที่สุดระดับโลก แต่ก็ทำให้เกิดผลพลอยได้คือการเปิดหูเปิดตาชาวโลก

    ครั้งนั้นรัฐบาลสหรัฐฯ ตัดสินใจใช้สารสลายคราบน้ำมัน (dispersant) ฉีดลงไปใต้ท้องทะเล ท่ามกลางเสียงคัดค้านว่าสารเคมีที่ใช้จะเป็นอันตรายต่อระบบนิเวศ ซึ่งเท่ากับแก้ปัญหาจุดหนึ่งแต่ก่อปัญหาใหม่ขึ้น

    หากยังนึกภาพไม่ออกว่าสารสลายคราบน้ำมันจะทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างไร ให้นึกภาพการปล่อยน้ำซักผ้าหรือน้ำยาล้างจานที่เข้มข้นจำนวนมหาศาลลงในแม่น้ำลำคลอง เพราะเป็นสารลดแรงตึงผิวเหมือนกัน

    กรณีนี้นักวิทยาศาสตร์เจ้าของเทคโนโลยีตอบว่า “เป็นเรื่องจริงที่โดยหลักการปลอดภัยไว้ก่อน ต้องระมัดระวังการแพร่กระจายของสารเคมีชนิดนี้ในฤดูปลาวางไข่ แต่สิ่งสำคัญกว่าก็คือสารเคมีชนิดใหม่นี้เป็นพิษน้อยกว่าน้ำมัน”

    แต่งานวิจัยตีพิมพ์ในวารสาร Environmental Pollution ฉบับกุมภาพันธ์ 2556 กลับให้ผลตรงกันข้าม จากการทดสอบความเป็นพิษของแบคทีเรียที่เป็นอาหารของสัตว์น้ำในทะเลพบว่าการใช้สารสลายคราบน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกมีความเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลมากกว่าสารพิษจากน้ำมันถึง 52 เท่า

    หัวหน้าคณะวิจัยให้ความเห็นว่า สารสลายคราบน้ำมันมักถูกใช้เพื่อกำจัดน้ำมันรั่วไหล แต่เรามีความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นพิษของสารตัวนี้น้อยมาก และการวิจัยนี้จะชี้ให้เห็นว่าเราประเมินค่าความเป็นพิษของสารตัวนี้ต่ำไปอย่างยิ่ง ต่ำชนิดที่ประธานวิทยาลัยด้านชีววิทยาที่เป็นผู้สนับสนุนห้องปฏิบัติการครั้งนี้ถึงกับบอกว่า “บางทีเราควรปล่อยให้น้ำมันไหลสู่ชายฝั่งอย่างอิสระ ซึ่งแม้จะใช้เวลานานกว่าแต่มีความเป็นพิษต่อระบบนิเวศในทะเลน้อยกว่า”

    มิเพียงเท่านั้นผลการศึกษาของนักวิจัยในฝรั่งเศสที่นำเสนอต่อที่ประชุมสมาคมเพื่อการทดลองทางชีววิทยา (The Society for Experimental Biology) เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ในชื่อ Treating Oil Spills With Chemical Dispersants: Is the Cure Worse Than the Ailment? ระบุว่าน้ำมันรั่วทำให้ความสามารถในการตอบรับกับอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น ออกซิเจนที่ลดลง และความสามารถในการว่ายต้านกระแสน้ำของปลากระพงยุโรปลดลง และจะลดลงยิ่งขึ้นเมื่อมีการใช้สารสลายคราบน้ำมัน

    ย้อนกลับมาดูเหตุการณ์ที่ดูเหมือนสงบแล้วในบ้านเรา ในฐานะผู้บริโภค จะว่าตื่นตูมหรือตีตนไปก่อนไข้ก็ตามที ผู้เขียนขอหยุดกินอาหารทะเลสักพักใหญ่ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่าผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องออกมาเปิดเผยข้อมูลในการเก็บกู้ แผนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และแผนฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง และที่ขาดไม่ได้คือมาตรการควบคุมป้องกันที่เข้มงวด

    ขณะที่ปริมาณการใช้น้ำมันในบ้านเราเพิ่มขึ้นและมีการนำเข้าถึงร้อยละ 90 ซึ่งขนส่งมาทางเรือ คงถึงเวลาแล้วที่ต้องงัดเอาร่าง พ.ร.บ. ความรับผิดทางแพ่งเพื่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมัน ที่ดำเนินการโดยสถาบันพระปกเกล้าเมื่อ 2 ปีที่แล้วมาผลักดันให้เกิดเป็นกฎหมายควบคุมอย่างจริงจังเสียที

    หมายเหตุ มีรายงานข่าวว่าคืนวันที่ 28 ก.ค. 2556 คราบน้ำมันได้ถูกพัดพามาถึงอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด จ.ระยอง ขณะนี้ทางจังหวัดได้ประกาศให้บริเวณอ่าวพร้าวเป็นพื้นที่ภัยพิบัติทางทะเลแล้ว มีความพยายามป้องกันไม่ให้คราบน้ำมันกระจายไปยังชายหาดอื่นๆ

    พิมพ์หน้านี้ 29 ก.ค. 2556 | โดย webmasterShare thisแบ่งปัน มูลนิธิโลกสีเขียว
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    image.jpg
    Home> News> Thailand> DSI ส่งทีมตรวจคราบน้ำมันรั่ว ที่อ่าวพร้าว เล็งนำเข้าคดีพิเศษ
    Tweet
    DSI ส่งทีมตรวจคราบน้ำมันรั่ว ที่อ่าวพร้าว เล็งนำเข้าคดีพิเศษ

    Tweet

    อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษส่งทีมลงอ่าวพร้าว หาข้อมูลว่าเข้าข่ายคดีพิเศษหรือไม่ หากผิด จะดำเนินคดี ปตท. ทันที

    นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เปิดเผยถึงเหตุท่อรับน้ำมันดิบกลางทะเลของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) แตก ทำให้น้ำมันดิบรั่วไหลลงทะเล 50,000 ลิตร ที่ มาบตาพุดจ.ระยอง ว่า ในวันนี้ได้มอบหมายให้ นายภูวิช ยมหา ผู้อำนวยการส่วนบริหารงานคดีพิเศษ ลงพื้นที่ไปติดตามและตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น ว่า เหตุดังกล่าว เป็นอุบัติเหตุ หรือการกระทำที่ประมาทเลินเล่อ ซึ่งหากเป็นการกระทำการโดยประมาท ก็อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย ที่อยู่ในบัญชีแนบท้ายคดีพิเศษ ของดีเอสไอ ที่จะสามารถรับเป็นคดีพิเศษได้ทันทีตามหน้าที่ แต่หากเป็นเรื่องของอุบัติเหตุ ก็ไม่ถือว่าเป็นความผิด

    พร้อมกันนี้ นายธาริต ได้กล่าวด้วยว่า สำหรับขั้นตอนในการตรวจสอบข้อมูลนั้น ไม่ได้มีการกำหนดกรอบระยะเวลาทำงาน แต่คาดว่า จะมีการรายงานผลกลับมาโดยเร็วที่สุด เนื่องจากถือเป็นเรื่องที่สำคัญ และมีผลกระทบกับประชาชน
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่ 31 กรกฎาคม 2556
    พายุทอร์นาโดพัดถล่มนครมิลานของอิตาลี ทำลายรถยนต์และบ้านเรือนหลายหลัง มีรายงานผู้บาดเจ็บแล้ว 12 รายคน ยังไม่มีผู้เสียชีวิต เบื้องต้น ทางการได้สั่งปิดโรงงานหลายแห่งที่อยู่ในพื้นที่ประสบภัย พร้อมส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบสภาพความเสียหาย เพื่อความปลอดภัยแล้ว
    <iframe width="640" height="360" src="http://www.youtube.com/embed/-7d4YwEXer8?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่ 31 กรกฎาคม 2556
    08.54 สภาพอ่่าวพร้าวล่าสุด ณ เวลนี้ หลังระดมขจัดคราบน้ำมันอยู่ 3 วัน
    1.JPG
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข้อมูลจากคุณ hifyer (ข้อมูลจากการไปสัมภาษณ์ หมอดู ET) โปรดใช้วิจารณญาณ ในการรับชม / ไม่มีจุดประสงค์ เชื่อมโยงกับสถานการณ์ทางการเมือง แค่ต้องการนำมาวิเคราะห์เกี่ยวกับการทำนายเท่านั้น

    <iframe width="640" height="360" src="http://www.youtube.com/embed/HK_OBPnmddg?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    http://palungjit.org/threads/รวมคำทำนายและวิเคราะห์ภัยพิบัติ-whats-next.371929/page-148
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Added 07/31/2013 @ 02:30 UTC
    1.JPG
    IRIS Mission First Light
    Last week the Interface Region Imaging Spectrograph (IRIS) mission released its first light imagery. Attached is a fantastic image showing an active region in great detail. The NASA mission will study what is known as the interface region between the photosphere and corona.
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข่าวเก่าครับ 20 กันยายน 2012 TD.News
    สำนักข่าวรัสเซีย เผยแพร่วีดีโอของดาว "นิบิรุ" ไปทั่วประเทศแล้ว

    วีดีโอ "นิบิรุ" ที่เผยแพร่ในรัสเซีย
    https://www.youtube.com/watch?v=j-1GNe52Iq8&feature=player_embedded

    สำนักข่าวในรัสเซียที่ไม่ปิดบังความจริงเรื่องดาวนิบิรุเหมือนบางประเทศเสรี(...???) อย่าง อเมริกันและไทย ...ที่ไม่มีข่าวออกมาเลย...ทั้งๆที่นาซ่าค้นพบตั้งแต่ 1982..และเริ่มเห็นด้วยตาเปล่า พค.2011...

    และเมื่อโคจรมาใกล้โลกจะทำให้เกิดอันตรายภัยพิบัติขนาดใหญ่มากเพราะนิบิรุมีขนาดใหญ่กว่าโลกมากถึง 5 เท่า จะใกล้ที่สุด 21-12-2012 ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงความลาดเอียงของเปลือกโลกและ เปลี่ยนขั้วโลก เปลี่ยน ยุคน้ำแข็งใหม่ และน้ำท่วมโลกต่อประชากรบนผิวโลก...2 ใน 3 ของประชากรโลก จะได้รับหายนะ ( 4000 ล้าน คน) หรืออาจ เกือบทั้งโลก

    โบราณเรียกว่า ดาวแห่ง สัตว์เลื้อยคลานหรือคนสารเลว หรือ Anunaki แปลว่ามาจากท้องฟ้า ทุก 3,600 ปี จะโคจรมาใกล้โลกสักที .นปี 2012 จะเห็นได้ที่ขั้วโลกใต้ และ 21-12-2012 นิบิรุจะมองเห็นเหมือนดวงอาทิตย์ดวงที่ สอง...!!!.........ที่ไม่มีคนรู้เพราะองค์กรนาซ่าเก็บเป็นความลับ โดยไม่ให้เอกสารหรือฟิล์มหลุดออกมาแม้แต่ชิ้นเดียวจากการสำรวจมาหลายสิบปี...เดือนกย.คือเดือนนี้ก็จะเห็นได้เป็นดวงอาทิตย์ดวงที่2 ( ข้อมูลบางแห่งบอก 2014)...สิ่งที่เกิด 21-12-2012

    นั้นคือเมื่อดาวนิบิรุได้เคลื่อนผ่านโลกใกล้ที่สุดจะทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของแกนโลกและขั้วแม่เหล็กโลก โลกจะเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง ที่เรียกว่า " cyclonpean titanic " ทำให้เกิด น้ำท่วมอย่างรุนแรง แผ่นดินไหว แรงที่สุดที่เคยเกิดขึ้น รวมทั้ง ภูเขาไฟระเบิด และ พายุทอร์นาโดในขนาดใหญ่ที่คาดเดาได้ยาก

    Zecharia Sitchin เป็นชื่อของนักวิทยาศาสตร์จักรวาลชาวอเมริกันคนแรก ที่แสดงว่า สุริยจักรวาลมีดวงดาวดวงที่ 10 ในปี 1978 (ไม่ใช่ 9ดวง ) คือดวง ชื่อ นิบิรุ ซึ่ง นักวิทยาศาสตร์อื่นๆยังไม่เชื่อ กระทั่ง ปี 1982 หลังจากมีการคำนวณอย่างละเอียด รวมทั้ง การสร้างโมเดลในคอมพิวเตอร์...ดาว นิบิรุ จึงได้รับการ พิสูจน์ ว่ามีจริง...ซึ่ง นาซ่าก็ยอมรับด้วย 2005 นักดาราศาสตร์อเมริกัน ประกาศว่าระยะทาง 1 ล้านปีแสง
    จากโลก มีดาวขนาดใหญ่และเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงมาก---มาสู่โลก...แต่2005 ก็ยังไม่อาจบันทึกภาพได้...กระทั่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ที่ได้มีการสร้างกล้องดูดาวอินฟราเรดใหม่ขึ้น

    นักดาราศาสตร์อเมริกันถึงกับ ช็อค !!! เพราะเห็นดาว นิบิรุ ที่มืด อย่างชัดเจน โดยไม่มีข้อสงสัย...และสิ่งที่เลวร้ายที่สุกเมื่อศึกษาทิศทางการโคจรของ นิบิรุ แล้ว พบว่า...หลังจาก 3 ปี คือ 2012-2014 ดาวดวงนี้จะโคจรมาใกล้โลกในระยะไม่กี่ร้อย กิโลเมตร...!!!!!!! ซึ่งจะทำให้เกิดภัยพิบัติิ แผ่นดินไหว และน้ำท่วมโลกขนาดมหึมา..

    ซึ่งในอดีตเคยเกิดการชนกันกับดาวอื่นในสุริยจักรวาลทำให้เกิดดาว Phaeton อยู่ระหว่าง ดาว อังคารและดาว พฤหัส ต่อมาได้กลายเป็น วงแหวนของสะเก็ดดาว และเกิดการชนอีกหลายครั้ง...
    แต่รัฐบาลอเมริกันได้ ซ่อนความจริงในเรื่องนี้ต่อมหาชน...เพื่อไม่ให้เกิด ความตื่นตระหนก...!!!!!!!

    ผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกได้ลงความเห็นว่า นิบิรุจะก่อเกิดความตายและภัยพิบัติมหาศาลแก่โลกแต่ นาซ่า ไม่ยอมบอกความจริงแก่คนทั่วไปเพราะ รัฐบาลไม่อาจช่วยประชาชนได้ทั้งหมด...คือช่วยแต่คนที่มีอำนาจบางคนเท่านั้น...ดังนั้น คนอื่นๆทั้งหมด ในโลกก็เป็น...เพียง ศพ ที่ยังมีชีวิตอยู่ในขณะนี้เท่านั้น

    <iframe width="640" height="360" src="https://www.youtube.com/embed/j-1GNe52Iq8?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (ตลึงแน่นอน) สัญญาณวันสิ้นโลกของอิสลาม วันสิ้นโลกของอิสลาม
    คำค้น : สัญญาณวันสิ้นโลกของอิสลาม , วันสิ้นโลกของอิสลาม

    ในวันสิ้นโลกจะมีการเป่าสังข์ดังทั่วโลก พระอัลลอฮ์จะเป็นผู้สอบสวน ทุกๆคน ว่ามีละหมาดมาไหม พระองค์จะปกป้องผู้ที่ศรัธทาต่อพระองค์เท่านั้น วันสิ้นโลก จะมีอุกกาบาทตกลงมา แต่ว่ามุสลิมทุกคน จะไม่ทันเห็น เพราะได้ ความเมตตาจากอัลลอฮฺให้สิ้นชีวิตกันก่อน เหลือแต่ผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อพระองค์ที่ไม่ได้ความเมตตา

    โลกจะยังไม่ถึงกาลอวสานจนกว่า
    - ผู้หญิงมีจำนวนมากกว่าผู้ชาย ผู้ชายมีจำนวนลดน้อยลง
    - ยาจกในวันนี้ สามารถสร้างตึกสูงใหญ่ในวันหน้า
    - เวลาสั้นลงน้อยกว่าเดิม เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
    - บ่าว ให้กำเนิดบุตร ที่จะมาเป็นเจ้านายในอนาคต
    - จะมีการพบภูเขาทองคำ แล้วพากันแก่งแย่งมาเป็นของตน
    - เสื้อผ้าอาภรที่สวมใส่ ในเวลาเช้า จะถูกเปลี่ยนในเวลาสาย เสื้อผ้าอาภรที่สวมใส่ในเวลาสาย จะถูกเปลี่ยนในเวลาเย็น เสื้อผ้าที่ถูกใส่ในเวลาเย็นจะถูกเปลี่ยนในเวลาก่อนนอน
    - พวกผู้หญิงจะสวมใส่เสื้อกันหนาว ที่ดูเหมือนไม่สวมใส่อะไรเลย
    - พวกมนุษย์หลงเชื่อ สิ่งที่เห็นในชั้นฟ้าและอวกาศ ว่ามันเป็นความจริง
    - ความไว้วางใจจะไม่มีในหมู่มนุษย์
    - แผ่นดินไหวทางทิศ ตะวันตก แผ่นดินไหวทางทิศตะวันออก


    ในวันสิ้นโลกครับ
    - จะบังเกิดควันสีดำแผ่ปกคลุมทั่วโลก
    - จะมี อสูรกาย ที่ชื่อว่า ยุ มะยุด ที่ถูกกักขังอยู่ใต้พื้นโลกด้วย ผนังหนาที่เป็นทองแดงและไฟ ครั้นสิ่งกักกันถูกแตกออก มันจะขึ้นมาล่อลวงไล่เข่นฆ่ามนุษย์
    - ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก
    - จะมีสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง สามารถพูดคุยกับมนุษย์ได้

    ส่วนนี่สัญญาณวันสิ้นโลกครับ
    สัญญาณย่อย ได้แก่
    1. แผ่นดินไหวจะมีมาก
    2. ลมพายุจะรุนแรง
    3. ความตายจะดาษดื่น (จากโรคร้าย)
    4. มนุษย์จะแข่งขันประดับประดามัสยิด
    5. คนโกหกจะได้รับความเชื่อถือ คนพูดจริงกลับถูกมองว่าโกหก
    6. คนทุจริตจะปลอดภัย คนไว้วางใจได้กลับถูกบิดพริ้ว
    7. การผิดประเวณี (ซินา) จะดาษดื่น
    8. สุรา ดอกเบี้ย เป็นสิ่งอนุมัติ
    9. ในมัสยิดมีเสียงอึกทึก
    10. คนรุ่นหลังจะประณามคนรุ่นก่อน
    11. ความวุ่นวายจะเกิดขึ้นทุกหัวระแหง
    12. ผู้ใหญ่จะรับใช้เด็ก
    13. อุตริกรรม (บิดอะห์) จะปรากฎชัด
    14. ความอายจะน้อยลง
    15. สตรีจะประพฤติตัวเหมือนบุรุษ ส่วนบุรุษจะประพฤติตัวเหมือนสตรี
    16. สตรีจะนุ่งน้อยห่มน้อย
    17. ผู้ทุจริตได้รับการช่วยเหลือ ผู้ถูกละเมิดกลับถูกทอดทิ้ง
    18. ผู้คนจะอ่านอัลกุรอานกันเพียงลิ้น (ขาดการกฏิบัติตาม)
    19. การนินทาให้ร้ายจะมีมาก
    20. การสาบานด้วยสิ่งอื่นจากอัลเลาะห์จะมีมาก
    21. การหย่าร้างเกิดขึ้นมาก
    22. ความชั่วช้าเลวทราบจะปรากฎชัด
    23. มนุษย์จะปฏิบัติตามอารมณ์กิเลสและตัณหา
    24. บุรุษจะถูกทำลาย เพราะทรัพย์สินเป็นเหตุ
    25. มนุษย์จะตัดขาดญาติมิตร
    26. สมาธิของคนละหมาดจะหายไป
    27. ประชาชาติจะแตกออกเป็น 70 กว่าจำพวก
    28. วันและเวลาจะสั้นลง จนกระทั่งหนึ่งปีเสมือนหนึ่งเดือน และหนึ่งเดือนเสมือนหนึ่งสัปดาห์ และหนึ่งสัปดาห์เหมือนหนึ่งวัน
    29. การแต่งงานเกิดขึ้น เพราะสมบัติเป็นเหตุ
    30. เรื่องราวของมนุษย์ ล้วนเป็นความโลภโมโทสัน
    31. การตลาดจะฝืดเคือง
    32. การให้เกียรติจะน้อยลง แต่การเหยียดหยามจะมากขึ้น
    33. ความรับผิดชอบจะหายไป ความวุ่นวายสับสนจะแทนที่
    34. ศาสนาจะถูกซื้อขายด้วยวัตถุทางโลก (ดุนยา)
    35. หัวใจมนุษย์หมดสิ้นจากความดี
    36. ทานบังคับ (ซะกาต) ถูกนำมาจำหน่ายค่าแรงและถูกมอบให้แก่ผู้ไม่มีสิทธิรับ
    37. บุรุษจะฆ่ากันโดยไร้เหตุผล
    38. ความรู้จะถูกเก็บ คนโง่จะขึ้นแสดงธรรม (บนมิมบัร)
    39. เด็กที่เกิดจากการผิดประเวณีจะมีมาก
    40. คนที่มีลูกหลานต้องโศกเศร้า เพราะการเนรคุณ
    41. สตรีจะทำหน้าที่แทนบุรุษ
    42. เด็กจะไม่ให้เกียรติผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่จะไม่เมตตาเด็ก
    43. ความบริสุทธิ์จะหายไปจากการงาน
    44. คนชั่วจะภูมิใจ และโอ้อวดความชั่วของตน
    45. การพนันจะมีมาก
    46. ผู้บริสุทธิ์จะถูกฆ่าเป็นการล้างแค้น (ไม่ใช่การรับใช้ชาติ)
    47. มนุษย์จะถูกเรียกร้องสู่ขุมนรก และหันเหออกจากการภักดีต่ออัลเลาะห์ตาอาลา


    ส่วนสัญญาณใหญ่ ได้แก่
    1. อิหม่ามมะห์ดีปรากฎตัว
    2. ดัจญ้าลเผยโฉม ยักษ์ชั่วร้าย
    3. ท่านศาสดาอีซาจะถูกส่งลงมาสู่โลกอีกครั้งหนึ่ง
    4. ยะญูดและมะญูด พังกำแพงทะลุออกมาได้
    5. มีสัตว์ประหลาดออกมาจากแผ่นดิน
    6. ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก
    7. มีหมอกควันเกิดขึ้นเต็มแผ่นดิน
    8. เกิดไฟประลัยกัลป์ออกมาขับไล่ผู้คนไปรวม ณ ชุมนุมสถาน
    9. อัลกุรอาน และความรู้ถูกเก็บ (โดยการล้มตายของบรรดาผู้รู้)

    ข้อมูลจาก (
     
  11. mzbot

    mzbot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2012
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +963
    หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็น่ากลัว แต่ก็ไม่กลัว เพราะยังไง ความตายไม่ใช่ความสิ้นสุด ตายแล้วก็ต้องเกิดใหม่ ตราบใดที่ยังหาทางออกจากคุกใบใหญ่นี้ไม่ได้
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ครับคุณมะลิดำ นิสัยของอเมริกาก็รู้กันดี ดูจากหนัง 2012 ก็ได้เขาจะปกปิดข้อมูลตลอดกลัวเศรษฐกิจล่ม เกิดจราจล ถ้าใครรู้ความลับคิดเปิดปากก็ส่งกลับบ้านเก่าเลย ขนาดจะตายหมดโลกยังมาเปิดเผยประมาณ 1-2 วันสุดท้าย ข่าวของ NASA คงต้องฟังหูไว้หู เพราะตอนนี้รัสเซียที่กว้านซื้อทอง ก็เลิกซื้อแล้ว และจากข้อมูลของคุณความจริงหลังกึ่งพุทธกาล ก็บอกอยู่ Fema กว้านซื้อข้าวของตุน เราก็ดูหนัง ฮอลีวู๊ด พอเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงก็ลงห้องนิรภัย ที่มีเสียงอยู่ได้หลายๆ ปี น่าสงสัย อเมริกา ข้อมูลอาจารย์ปิยะชีพเปิด youtube ดูด้วยน่ะครับ ตอนนี้ผมใช้โทรศัพท์ไปดึงโค้ดฝังมาไม่ได้ ผมว่าน่าสนใใจมาก ๆ

    Piyacheep S.Vatcharobol
    5 ชั่วโมงที่แล้ว ใกล้กับ Bangkok
    ถามอีก ก็ตอบ อีกว่า ปีนี่ น้ำมากกว่าปี ๕๔ ประมาร ๓-๕ เท่า
    ตกแล้วท่วมเลย ตกสะสม ท่วมสะสม เขื่อนที่แห้ง ตกแล้วครั้งเดียวก็จะเต็มเขื่อนและล้้นมาได้เลย ไม่ต้องคอยพายุเข้า น้ำก็จะท่วมได้ทุกภาค และท้ายที่สุด
    บางกอก จะเป็นที่ ที่รับน้ำมากที่สุด
    วิกฤติจะเริ่มหนักตั้งแต่กลางสิงหาเป็นต้นไป เข้าหนักมาต้นกันยา
    ไปหนักที่สุดตุลา พฤศจิกายน ข้อมูลที่ผมมีในมือ
    และเตือนมานานก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว

    หากดวงอาทิตย์มีปฏิกิริยามากกว่านี้ตามที่ ดร.ก้องภพให้คอยดูก่อน
    ปริมาณน้ำก็จะมากหนักขึ้นไปอีก

    อย่าถาม อย่าตกใจนะครับ เตือนกันแล้ว อยู่ที่ว่าใครจะเตรียมพร้อม
    อย่าถามว่ามันจะท่วมเมื่อไหรวันไหนที่ไหนก่อน?
    ให้ถามตัวเองว่า ตัวเองเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง? ดีกว่านะครับ

    ทำไมตารางกำหนดการอบรมเลื่อนไม่ได้
    เพราะอันตรายมากกำลังจะเกิดประมาณหลัง ๑๐ กันยายน
    ผมไม่อาจเขาชีวิตของทีมงานไปเสี่ยงนอกพื้นที่ได้
    ลมพายุ น้ำ ดินถล่ม แผ่นดินไหว สึนามิ หนักๆมีโอกาสเกิดได้ทุกเมื่อ

    ลงพื้นที่ครั้งนี้ได้เห็น ดู สัมผัสข้อมูลอย่างละเอียดพอสมควร
    อะไรจะเกิดก้ต้องเกิดนะครับ ห้ามไม่ได้ แต่บรรเทาได้

    ต้นกันยายนต้องประจำสถานีรบในที่ตั้ง สร้างที่มั่น ให้มั่นคง
    เพราะเป็น ๓ เดือนสุดท้ายที่ต้องพร้อมรบก่อน ธันวาคม

    ธันวาคมจะเกิดเหตุการใหญ่มากหรือ? ตามข้อมูลน่าจะเกิด
    ไม่เกิดก็ดี ไม่เสียหน้า แต่เกิดแล้วคนดีมีศีลไม่เตรียมพร้อมต้องจากไปก่อนเวลาอันควรมันบาปมากกว่านะครับ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=gEPuzX2ix3k]7-30-13 YIKES! Chunk of Sun Headed Toward Earth at 2 Million Miles an Hour - YouTube[/ame]
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผลร้ายจากน้ำมันรั่วลงทะเล
    วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม 2556 เวลา 08:40 น.

    เหตุการณ์ท่อส่งน้ำมันดิบขนาด 16 นิ้ว รั่ว ทำให้น้ำมันราว 50,000 ลิตร ที่ลำเลียงเข้าสู่ท่อรับน้ำมันของ บริษัทพีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ไหลลงทะเล บริเวณชายฝั่งท่าเรือมาบตาพุด จ.ระยอง แม้จะมีระบบการแก้ไขเหตุเฉพาะหน้า สามารถระดมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าช่วยได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงผู้เชี่ยวชาญจากประเทศสิงคโปร์ แต่ก็ไม่สามารถสกัดกั้นการเคลื่อนตัวของกลุ่มคราบน้ำมันสีดำยาว 600 เมตร หนา 20 ซม. ได้ จนไหลเข้าชายหาดอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม เมื่อเช้าวันจันทร์ที่ 29 ก.ค. ที่ผ่านมา

    เหตุครั้งนี้ ในเบื้องต้นเชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ ปราศจากความจงใจ แต่หลักทั่วไปของอุตสาหกรรมการขนส่งน้ำมันทางทะเลย่อมทราบกันว่ามีความเสี่ยง หากเกิดการรั่วไหลจะก่อความเสียหาย โดยกรมเจ้าท่า ได้กำหนดให้แนวชายฝั่งหลายแห่งในประเทศไทยมีความเสี่ยงการรั่วไหลของน้ำมัน โดยพื้นที่ชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก ครอบคลุมจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ซึ่งเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรม มีการขนถ่ายน้ำมันบริเวณท่าเทียบเรือและกลางทะเล มีการจราจรทางน้ำหนาแน่นเป็นย่านความเสี่ยงสูงมาก จึงกำหนดมาตรการความปลอดภัยไว้หลายประการ เช่นให้นายเรือร่วมกันตรวจสอบความปลอดภัยก่อนการขนถ่ายอย่างเคร่งครัด

    กรมเจ้าท่าได้เผยแพร่ข้อมูลความเสี่ยงของแหล่งน้ำเมื่อเกิดปัญหาน้ำมันรั่วไหลลงทะเล ว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เคมี ชีวภาพ โดยคราบน้ำมันที่ลอยบนผิวน้ำจะทำปฏิกิริยาให้ออกซิเจนในน้ำลดลง ปิดกั้นการสังเคราะห์แสงของแพลงก์ตอนพืช สาหร่ายและพืชน้ำ เปลี่ยนสภาวะการย่อยของแบคทีเรียในน้ำ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ เช่น ปลา สัตว์หน้าดิน ปะการัง และนก เกิดการสะสมสารพิษในห่วงโซ่อาหารตั้งแต่แพลงก์ตอน จนถึงผู้บริโภคสุดท้ายคือมนุษย์

    อันตรายจากการรั่วไหลของน้ำมัน ส่งผลต่อชีวิตเล็กและห่วงโซ่อาหารที่เราอาจมองเห็นด้วยสายตา ทั้งยังกระทบกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมประมงและการเพาะเลี้ยงชายฝั่ง สิ่งเหล่านี้ ในระยะต้นอาจไม่เห็นผลร้ายโดยรอบ ดังนั้น แม้กิจการที่เกี่ยวข้องจะแสดงความรับผิดชอบ ก็ยังควรตั้งคณะกรรม การ ที่มีผู้เชี่ยวชาญศึกษาผลกระทบ และให้ความรับผิดชอบครอบ คลุมผลเสียที่อาจตรวจพบในระยะนาน ทั้งจะต้องตรวจสอบว่า การรั่วไหลครั้งนี้เกิดได้อย่างไร ทุกฝ่ายดำเนินตามมาตรฐานกำหนดไว้หรือไม่ หากพบว่าวิธีการที่กำหนดไว้ยังทำให้เกิดปัญหา
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    บทความวิชาการ : ภาพรวมแนวทางจัดการน้ำมันรั่วไหล (Oil Spill) ลงสู่ทะเล
    July 30, 2013 Written by pr
    ภาพรวมแนวทางจัดการน้ำมันรั่วไหล (Oil Spill) ลงสู่ทะเล

    รองศาสตราจารย์ ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล (pisut.p@chula.ac.th)

    ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

    จากเหตุการณ์ท่อน้ำมันดิบขนาด 16 นิ้วของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) รั่วกลางทะเลใกล้ชายฝั่งมาบตาพุด จ.ระยอง เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 ในขั้นต้นได้มีการประมาณว่ามีน้ำมันดิบรั่วประมาณ 50,000 – 70,000 ลิตร (Daily News - Manager Online) ลงสู่ทะเล รวมถึงได้ส่งผลให้เกิดมีคราบน้ำมันที่ชัดเข้าฝั่งบริเวณอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด กินพื้นที่ยาว 400-500 ร้อยเมตร กว้าง 30-40 เมตร (เดลินิวส์ | อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์) ซึ่งส่งผลกระทบในวงกว้างในพื้นที่ โดยเราอาจกล่าวได้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นกรณีน้ำมันรั่วไหลลงสู่ทะเลครั้งใหญ่มากที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศ ดังนั้น ประเด็นในด้านการจัดการ การเตรียมความพร้อม และด้านประสบการณ์เกี่ยวกับอุบัติเหตุการรั่วไหลหรือการปนเปื้อนของน้ำมันทางทะเล จึงเป็นคำถามที่หลากหลายภาคส่วนให้ความสนใจและต้องการทราบถึงแนวทางการดำเนินการเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว จากการที่ผู้เขียนได้มีโอกาสสอนและทำวิจัยเกี่ยวกับการแยกและบำบัดน้ำเสียปนเปื้อนน้ำมัน จึงอยากแลกเปลี่ยนแนวคิดและประสบการณ์เกี่ยวกับแนวทางการจัดการโดยรวมซึ่งจะประกอบไปด้วย 8 ขั้นตอน ดังสรุปได้รูปด้านล่าง โดยแบ่งขั้นตอนต่าง ๆ ออกเป็น 3 ช่วงหลัก

    image.jpg

    1.การหยุดการรั่วไหลของน้ำมันให้ได้โดยเร็วที่สุด (Stopping) โดยดำเนินการตามคู่มือการปฏิบัติการในสถานการณ์ฉุกเฉินหรืออุบัติเหตุ อาทิ การหยุดการส่งน้ำมันและควบคุมสถานการณ์ด้วยการปิดวาล์วทันที เพื่อไม่ให้มีการรั่วเพิ่ม การส่งสัญญาณหรือแจ้งสถานการณ์ให้บุคลากรรับทราบและให้ความร่วมมือ รวมไปถึงป้องกันการระเบิดหรือลุกไหม้ในบริเวณพื้นที่โดยรวม เป็นต้น

    2.การแจ้งเตือนและให้ข้อมูลกับภาคส่วนต่างๆ (Information) โดยทันทีที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น เจ้าหน้าที่หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องจะต้องรีบดำเนินการแจ้งเตือนและให้ข้อมูลโดยด่วน เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้เสียชีวิตหรือผู้ได้รับบาดเจ็บซึ่งอาจประกอบไปด้วย 1) เจ้าหน้าที่ที่กำลังปฏิบัติงาน และ 2) เรือประมงหรือเรือโดยสารที่อยู่บริเวณโดยรอบ นอกจากนี้ การดำเนินข้างต้นอย่างเหมาะสมและทันท่วงทีนั้น ยังส่งผลดีต่อการป้องกันผลกระทบทางอ้อมที่อาจเกิดขึ้นอีกด้วยกล่าวคือ ปัญหาต่อสุขภาพของประชากรในระยะยาวที่เกิดขึ้นจากการปนเปื้อนของน้ำมันที่รั่วไหลลงในสภาพแวดล้อม (สัตว์น้ำ พืชน้ำ และคุณภาพน้ำทะเล) นอกจากนี้ การประสานและร่วมมือกับทีมงานผู้เชี่ยวชาญนับว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งในการวางแผนรับมือ และการคัดเลือกแนวทางการดำเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับปริมาณน้ำมันที่รั่วไหล และสภาพแวดล้อมโดยรวม

    3.การเก็บตัวอย่างและวิเคราะห์ (Sampling and Analysis) ในส่วนนี้จะเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์และเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น โดยทั่วไป มักจะแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่

    a.ข้อมูลด้านปริมาณ (ปริมาณและอัตราการไหลของน้ำมันที่รั่วไหลลงสู่ทะเล รวมถึงความเข้มข้นของน้ำมันในเฟสของเหลว) โดยข้อมูลในส่วนนี้จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการประเมินผลลัพธ์การดำเนินการโดยรวม (เพื่อยืนยันว่าสามารถหยุดการรั่วไหลของน้ำมันได้จริง) รวมไปถึงการประยุกต์ใช้เพื่อพิจารณาแนวทางการแยก รวมไปถึงการบำบัดและกำจัดซึ่งจะได้กล่าวถึงในส่วนต่อไป

    b.ข้อมูลด้านคุณภาพ (คุณภาพแหล่งน้ำ และลักษณะของสัตว์น้ำ) ซึ่งจะเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่สำคัญในการเปรียบเทียบและประเมินผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม มนุษย์ และสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

    c.ข้อมูลด้านปัจจัยทางกายภาพ (สภาพภูมิประเทศ สภาพอากาศ ความเร็วลม ลักษณะคลื่น อุณหภูมิ เป็นต้น) ซึ่งจะเป็นข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นและความสำคัญต่อการออกแบบและปรับเปลี่ยนแนวทางการจัดการและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสมและทันท่วงที ในปัจจุบัน กล่าวได้ว่าข้อมูลทางดาวเทียมจัดเป็นเครื่องมือหนึ่งที่เข้ามามีบทบาทอย่างมากต่อการดำเนินการในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุเกี่ยวกับน้ำมันทางทะเล

    4.การควบคุมและจำกัดพื้นที่ของการปนเปื้อนน้ำมัน (Contamination area Control) โดยจะเป็นการรวบรวมและจำกัดปริมาณน้ำมันเอาไว้บนผิวน้ำในบริเวณที่ไกลจากพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวให้มากที่สุด โดยทั่วไป คราบน้ำมันถูกควบคุมโดยการใช้ทุ่นลอยน้ำ (Floating) หรือทุ่นกักน้ำมัน (Boom) ที่มีลักษณะของพื้นผิวที่เหมาะสมต่อการดักจับคราบน้ำมัน (ความไม่ชอบน้ำสูงหรือมีค่าพลังงานพื้นผิวต่ำใกล้เคียงกับของน้ำปนเปื้อนน้ำมัน รวมไปถึงมีลักษณะผิวที่ค่อนข้างขรุขระ) เพื่อป้องกันบึง ป่าชายเลน ฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และพื้นที่อ่อนไหวอื่นๆ โดยในทางเดียวกัน หน่วยงานและชุมชนที่เกี่ยวข้องหรือใกล้เคียงก็ควรมีการประสานระหว่างกันโดยการประยุกต์ใช้ข้อมูลด้านปัจจัยทางกายภาพและข้อมูลทางดาวเทียม เพื่อก่อสร้างคันทรายหรือแนวป้องกันบริเวณนอกชายฝั่งเพื่อเป็นแนวป้องกันน้ำมัน รวมไปถึงพิจารณาหาแนวทางป้องกันและแจ้งเตือนประชาชนอีกทางหนึ่ง

    โดยอาจกล่าวได้ว่าในกรณีฉุกเฉิน (Emergency situation) อย่างน้อยการควบคุมและจำกัดพื้นที่ของคราบน้ำมันให้มีประสิทธิภาพสูงที่สุดนั้น จัดเป็นการดำเนินการที่มีควรให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเราสามารถจำแนกปริมาณและลักษณะของคราบน้ำมันซึ่งโดยทั่วไปมักจะลอยตัวอยู่บริเวณผิวน้ำได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ การดำเนินการดังกล่าวยังส่งผลดีต่อกลไกการรวมตัวของอนุภาคน้ำมัน (Coalescence mechanism) ทำให้เกิดชั้นน้ำมันที่มีความหนาขึ้น และทำให้ง่ายต่อการแยกน้ำมันปนเปื้อนดังกล่าวออกจากน้ำทะเล ด้วยขั้นตอนการแยกซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป

    5.การแยกน้ำมันปนเปื้อน (Oil Separation) ในทางปฏิบัติ ขั้นตอนการแยกนี้มักจะมีการดำเนินการควบคู่ไปกับขั้นตอนการควบคุมและจำกัดพื้นที่ที่กล่าวถึงข้างต้น โดยจะควบคุมและรวบรวมคราบน้ำมันให้มีความหนาหรือปริมาณเพิ่มสูงขึ้น จากนั้นจะใช้เครื่องมือเก็บคราบน้ำมัน หรือเรียกว่าอุปกรณ์สกิมเมอร์ (Skimmer) เพื่อทำการเก็บคราบน้ำมันขึ้นไปเก็บในภาชนะที่เตรียมไว้บนเรือ ในปัจจุบัน อุปกรณ์ Skimmer มีอยู่ 2 แบบ ได้แก่

    a. แบบที่ใช้ระบบสูบหรือแบบไฮดรอลิค (Pumping or hydraulic devices) น้ำมันจะถูกสูบออกไปหรือสกัดโดยอุปกรณ์ที่ควบคุมด้วยระบบไฮดรอลิก เช่น ฝายที่สามารถปรับได้ (Adjustable weir) ปัจจัยที่สำคัญคือ ความหนาของชั้นน้ำมัน ทำให้บางครั้งต้องเพิ่มกลไกที่ทำให้น้ำมันมีความหนาขึ้นก่อนที่จะเอาออกไป ยกตัวอย่างเช่น สกิมเมอร์แบบสูบ (Pump skimmer) และสกิมเมอร์แบบฝาย (Weir skimmer) เป็นต้น

    b. แบบที่ใช้สมบัติการดูดซับ (Adsorption property) ได้แก่ ได้แก่ สกิมเมอร์แบบลูกกลิ้ง (Drum skimmer) สกิมเมอร์แบบดิสก์ (Disc skimmer) สกิมเมอร์แบบสายพาน (Belt skimmer) เป็นต้น อุปกรณ์ประเภทนี้จะอาศัยการดูดซับบนวัสดุของน้ำกับน้ำมันที่แตกต่างกัน ซึ่งเกี่ยวกับแรงตึงผิว (Interfacial tension) ของวัสดุนั้นๆ โดยที่การเลือกใช้วัสดุที่มีค่าแรงตึงผิววิกฤตต่ำ คือ มีค่าน้อยกว่าค่าแรงตึงผิวของน้ำมันมากๆ ยกตัวอย่างเช่น วัสดุประเภท PTFE และฟลูออโรคาร์บอน จะยิ่งส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการแยก รวมไปถึงการคัดเลือกน้ำมันที่ดีขึ้น เนื่องจากค่าพลังงานพื้นผิวต่ำยิ่งต่ำจะส่งทำให้น้ำยิ่งเกาะติดยากขึ้น โดยเราอาจกล่าวได้ว่าอุปกรณ์ประเภทนี้ได้รับความนิยมค่อนข้างมากในการประยุกต์ใช้งานในปัจจุบัน นอกจากนี้ ในปัจจุบันได้มีชุดอุปกรณ์ดูดซับน้ำมันในกรณีฉุกเฉิน (Emergency oil spill kit) ซึ่งจะประกอบไปด้วยชนิดผ้ากรองหรือดูดซับน้ำมันที่บรรจุอยู่อยู่ในถังพลาสติกเพื่อให้ในการแยกน้ำมันปนเปื้อนออกจากเฟสน้ำ [Rachu 2009]

    ในการนี้ เราอาจกล่าวได้ว่าขั้นตอนการควบคุมและขั้นตอนการแยก (ที่กล่าวถึงข้างต้น) จัดเป็นการบำบัดขั้นต้น (Pre-treatment) ที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อนำกลับปริมาณน้ำมันออกจากเฟสน้ำให้ได้ปริมาณมากและรวดเร็วที่สุด และเพื่อลดภาระความสกปรก (Loading) จากการปนเปื้อนของน้ำมันโดยด่วน และช่วยลดผลกระทบในด้านปริมาณสารเคมี ด้านพลังงาน ด้านค่าใช้จ่าย และผลเสียระยะยาวที่อาจเกิดขึ้นจากขั้นตอนการบำบัดและกำจัดซึ่งจะได้กล่าวถึงในส่วนต่อไป ดังนั้น การเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการควบคุมและการแยก รวมไปถึงการออกแบบ เลือกใช้งานอุปกรณ์ และเดินระบบอย่างเหมาะสมและทันท่วงทีนับว่ามีความจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งต่อการรับมือกับอุบัติเหตุเกี่ยวกับการรั่วไหลหรือการปนเปื้อนของน้ำมันทางทะเล

    6.การบำบัดและกำจัด (Treatment and Disposal) สำหรับการดำเนินการในขั้นตอนนี้มักจะเกี่ยวข้องกับการจัดการกับปริมาณน้ำมันที่หลงเหลือภายหลังจากขั้นตอนการควบคุมและขั้นตอนการแยก หรือจัดการกับอนุภาคน้ำมันที่กระจายออกไปภายนอกบริเวณที่ได้ทำการควบคุมไว้ โดยจัดเป็นกระบวนการ Post-treatment โดยเราอาจแบ่งรูปแบบการดำเนินการ ที่นิยมใช้งานในปัจจุบัน (ตามความเข้มข้นและพื้นที่ปนเปื้อน) ออกเป็น 4 วิธี ได้แก่

    a.วิธีการกระจายน้ำมัน (Oil dispersion method) สำหรับวิธีการนี้ สารเคมีจำพวกสารลดแรงตึงผิว (Surfactant) และสารกระจาย (Dispersant) ซึ่งเป็นสารเพิ่มการกระจายตัวของน้ำมันมักจะถูกนำมาใช้เพื่อเร่งกระจายตัวของน้ำมันให้น้ำมันแตกตัวเป็นอนุภาคขนาดเล็กและสามารถย่อยสลายได้ง่ายด้วยจุลินทรีย์ โดยการโปรยจากเครื่องบินและการฉีดเข้าไปที่จุดที่มีการรั่วไหลของน้ำมัน ถึงแม้ว่านักวิจัยหลายคนจะยังมีความกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของสารเคมีนี้ทั้งต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม แต่หลายหน่วยงานก็ยังคงยืนยังว่าการใช้สารเพิ่มการกระจายตัวของน้ำมันจะช่วยให้จัดการน้ำมันได้ง่ายขึ้น และพิษของสารเคมีนี้ก็ยังมีน้อยกว่าน้ำมันเอง โดยเทคนิคนี้ได้มีการประยุกต์ใช้งานสารกระจายน้ำมันจำพวก Corexit : Corexit EC9500A และ Corexit EC9517A ในเหตุการณ์การระเบิดและลุกไหม้ของแท่นขุดเจาะน้ำมัน “ดีป วอเตอร์ ฮอไรซัน” (Deepwater Horizon) ของบริษัทบริติช ปิโตรเลียม (บีพี) ในอ่าวเม็กซิโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปัจจุบัน ได้มีการคิดค้นและออกแบบสารหรือชีวภัณฑ์ทางธรรมชาติที่ประกอบไปด้วยสารกระจายน้ำมันหรือสารลดแรงตึงผิวธรรมชาติ (Bio-surfactant) จุลินทรีย์ และเอนไซม์ ซึ่งสามารถทำหน้าที่ทั้งการกระจายอนุภาคน้ำมันให้มีขนาดเล็ก และเพิ่มประสิทธิภาพการย่อยสลายน้ำมัน รวมไปถึงช่วยลดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมจากการใช้สารเคมีอีกทางหนึ่งด้วย

    โดยทั่วไป วิธีการนี้ควรใช้จัดการกับความเข้มข้นน้ำมันปนเปื้อนที่ค่อนข้างต่ำและมีพื้นที่ปนเปื้อนของคราบน้ำมันในวงกว้าง รวมไปถึงอยู่ห่างไกลจากพื้นที่ที่มีความอ่อนไหว (ชุมชน สถานที่ท่องเที่ยว หรือฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ) นอกจากนี้ ควรทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้านกายภาพและข้อมูลดาวเทียมเพื่อใช้ในการออกแบบ ติดตามการกระจายตัวและการเคลื่อนที่ของอนุภาคน้ำมัน และควบคุมการทำงานอย่างเหมาะสม

    b.วิธีการดูดซับน้ำมันและตกตะกอน (Adsorption and Sedimentation method) สำหรับวิธีนี้จะอาศัยกลไกการดูดซับอนุภาคน้ำมันให้มาเกาะติดอยู่ที่ตัวกลางดูดซับน้ำมัน (Oil adsorbent) จากนั้น ปล่อยตัวกลางดังกล่าวตกตะกอนลงสู่พื้นทะเลด้านล่างด้วยแรงโน้มถ่วงของโลก เพื่อรอให้เกิดการย่อยสลายอนุภาคน้ำมันทางธรรมชาติ (Bio-degradable) ด้วยจุลินทรีย์ โดยทั่วไป ตัวกลางดูดซับที่ใช้งานมักจะทำมาจากวัสดุตามธรรมชาติ รวมไปถึงมีขนาดและความถ่วงจำเพาะที่เหมาะสมต่อการตกตะกอน ในปัจจุบัน ได้มีการออกแบบสารดูดซับธรรมชาติที่ประกอบไปด้วยจุลินทรีย์และเอนไซม์ เพิ่มประสิทธิภาพการย่อยสลายน้ำมันอีกทางหนึ่งด้วย โดยทั่วไป วิธีการนี้มักใช้จัดการกับความเข้มข้นน้ำมันปนเปื้อนที่ค่อนข้างต่ำและมีพื้นที่ปนเปื้อนของคราบน้ำมันในวงกว้าง รวมไปถึงอยู่ใกล้กับพื้นที่ที่มีความอ่อนไหว (ชุมชน สถานที่ท่องเที่ยว หรือฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ) เช่นเดียวกับวิธีการกระจายน้ำมันที่กล่าวถึงข้างต้น ข้อมูลกายภาพและดาวเทียมนับว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการดำเนินการ นอกจากนี้ เราควรประยุกต์ใช้สารดูดซับให้เหมาะสมกับผลการวิเคราะห์ความเข้มข้นน้ำมันปนเปื้อนในพื้นที่ต่างๆ ทั้งนี้ เพื่อคำนวณและควบคุมปริมาณสารดูดซับที่จำเป็นต้องใช้อย่างเหมาะสม เนื่องจากในกรณีที่ใช้ในปริมาณมากเกินไป สารดูดซับดังกล่าวจะกลายเป็นชันตะกอนน้ำมันที่พื้นทะเล รวมไปถึงส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตในทะเล และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโดยรวม

    c. วิธีการสูบส่งและบำบัด (Onsite pump and treat method) สำหรับการดำเนินการด้วยวิธีนี้กล่าวได้ว่าเราสามารถประยุกต์ใช้แนวทางการบูรณาการระบบบำบัดน้ำเสียปนเปื้อนน้ำมัน ซึ่งโดยทั่วไปจะประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอน เพื่อจัดการบำบัดน้ำเสียปนเปื้อนน้ำมันทั้ง 4 รูปแบบ ได้แก่ 1) การทำลายเสถียรภาพของอิมัลชัน (Demulsification) ในกรณีที่มีการปนเปื้อนด้วยสารลดแรงตึงผิวหรือในกรณีที่มีเสถียรถาพของอิมัลชันสูง 2) การบำบัดหรือแยกเฟสน้ำและน้ำมันออกจากกันด้วยกระบวนการกายภาพ (Physical treatment process) 3) การบำบัดน้ำมันที่ละลายได้ในน้ำเสียและส่วนน้ำใสที่ได้จากการบำบัดด้วยวิธีทางกายภาพ โดยเป็นการเพิ่มคุณภาพของน้ำทิ้งที่ปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม (Wastewater quality improvement) และ 4) การจัดการส่วนที่เป็นน้ำมันเข้มข้น (Oil layer management) เพื่อนำน้ำมันส่วนดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด [Aurelle. 1995 และพิสุทธิ์ เพียรมนกุล. 2549] โดยทั่วไป วิธีการนี้มักใช้จัดการกับความเข้มข้นน้ำมันปนเปื้อนและมีพื้นที่ปนเปื้อนของคราบน้ำมันปานกลาง รวมไปถึงอยู่ใกล้กับพื้นที่ที่มีความอ่อนไหว (ชุมชน สถานที่ท่องเที่ยว หรือฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ) โดยอาจทำการติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียบนเรือที่เคลื่อนที่ไปในทะเล หรือติดตั้งระบบบำบัดบริเวณนอกชายฝั่ง นอกจากนี้ ผลการวิเคราะห์ความเข้มข้นน้ำมันปนเปื้อนนับว่าจำเป็นอย่างยิ่งต่อการออกแบบและเลือกสภาวะการเดินระบบบำบัดอย่างเหมาะสม ซึ่งจะส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการบำบัดและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโดยรวม

    d.วิธีการเผาทำลาย (Combustion method) จัดเป็นวิธีการดำเนินการที่อาศัยกลไกการเผาไหม้เพื่อเปลี่ยนรูปของอนุภาคน้ำมันที่ปนเปื้อนในเฟสน้ำให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์หลักได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และน้ำ (H2O) โดยวิธีนี้ได้มีการประยุกต์ใช้งานในการกำจัดน้ำมันออกจากเฟสน้ำที่เกิดจากเหตุการณ์การระเบิดและลุกไหม้ของแท่นขุดเจาะน้ำมันของบริษัทบริติช ปิโตรเลียม (บีพี) ในอ่าวเม็กซิโก ประเทศสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม ประเด็นด้านมลพิษอากาศจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ และการเกิดมลพิษประเภทออกไซด์ของซัลเฟอร์ (SOx) และออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) จัดเป็นสิ่งที่วิศวกรและผู้ที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญและพิจารณาในการประยุกต์ใช้งานวิธีการเผาทำลาย นอกจากนี้ ผลจากก๊าซ CO2 ที่ได้จากการเผาไหม้ยังเป็นปัจจัยหลักต่อการเกิดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก (Climate change) อีกทางหนึ่งด้วย

    โดยทั่วไป วิธีการนี้มักใช้จัดการกับความเข้มข้นน้ำมันปนเปื้อนที่ค่อนข้างสูง และมีพื้นที่ปนเปื้อนของคราบน้ำมันต่ำ (อยู่ในวงจำกัด) รวมไปถึงอยู่ห่างไกลกับพื้นที่ที่มีความอ่อนไหว (ชุมชน สถานที่ท่องเที่ยว หรือฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ) โดยข้อมูลกายภาพ (ลม สภาพอากาศ) และดาวเทียมนับว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการดำเนินการ นอกจากนี้ ควรมีการเตรียมอุปกรณ์และแนวทางการควบคุมการเผาทำลายให้ได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที เพื่อรับมือกับภาวะที่ไม่คาดคิด อาทิ การลุกลามของเปลวไฟ เป็นต้น

    7. การติดตามตรวจสอบ (Monitoring) สำหรับการดำเนินการในขั้นตอนนี้ จะเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบอุปกรณ์และระบบ (Equipment and System) ที่นำมาใช้งาน โดยทั่วไป มักจะถูกใช้งานเป็นระยะเวลาค่อนข้างนานและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แปรปรวน (ขึ้นกับสภาพอากาศ คนหรือเจ้าหน้าที่ และอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ) นอกจากนี้ ในขั้นตอนนี้ยังสัมพันธ์กับการเก็บตัวอย่างและการวิเคราะห์ผลการดำเนินการตามแนวทางที่กล่าวถึงข้างต้น โดยจะเกี่ยวข้องกับปริมาณและความเข้มข้นของน้ำมันที่ปนเปื้อนอยู่ในองค์ประกอบส่วนต่างๆ อาทิ

    a.เฟสของเหลว (Liquid phase) เกี่ยวข้องกับมลพิษทางน้ำในรูปของน้ำมัน สารเคมี และสารอินทรีย์ที่ย่อยสลายได้ยากทางชีวิต (Refractory organic substance) ในบริเวณพื้นที่โดยรอบที่ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนของการั่วไหลของน้ำมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุภาคน้ำมันส่วนที่ละลายน้ำได้ (เช่น โลหะหนัก ไฮโดรคาร์บอนขนาดเล็ก ฯลฯ) ซึ่งควรมีการระบุความเสี่ยงในการสะสมในระบบนิเวศน์และระยะเวลาครึ่งชีวิตในการย่อยสะลาย (เพื่อใช้เป็นพารามิเตอร์ติดตามสภาพการกระจายตัว ประเมินประสิทธิภาพของเจือจางทางธรรมชาติ (Natural dilution) การย่อยสลายตามธรรมชาติ และผลกระทบทางระบบนิเวศน์อื่นๆ

    b.เฟสก๊าซ (Gas phase) เกี่ยวข้องกับมลพิษอากาศ เช่น ปริมาณ NOx หรือ SOx รวมไปถึงสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ที่อาจเกิดขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ และความดัน

    c.เฟสของแข็ง (Solid phase) เกี่ยวข้องกับของเสียที่ต้องมีการจัดการอย่างเหมาะสม อาทิ ตะกอนน้ำมันที่พื้นทะเล ชั้นหิน ชั้นทราย หรือแนวปะการัง ที่อาจเกิดการปนเปื้อน

    d.สัตว์น้ำและสิ่งมีชีวิต (Aquacultural living organism) เกี่ยวข้องกับการปนเปื้อนของน้ำมันในสิ่งมีชีวิต ซึ่งอาจส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมสู่ประชากร และการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศน์ของทะเลและชายฝั่งอย่างไม่เหมาะสม

    การดำเนินการติดตามและเก็บข้อมูลข้างต้นอย่างต่อเนื่องนั้น จะทำให้เราทราบถึงสถานการณ์ของปัญหาการรั่วไหลของน้ำมัน และประสิทธิภาพการดำเนินการได้อย่างทันเหตุการณ์ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการวางแผนและปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินการของแต่ละแนวทางที่กล่าวถึงข้างต้น รวมไปถึงการจัดสรรทีมงานได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ข้อมูลที่ได้ข้างต้นยังสามารถถูกประยุกต์ใช้เพื่อการจัดทำสมดุลมวล (Mass balance) ของปริมาณน้ำมัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการดำเนินการในขั้นตอนการฟื้นฟูสภาพ (Remediation method) ซึ่งกล่าวได้ว่าจะเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการดำเนินการ อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนนี้มักจะถูกมองข้ามหรือถูกให้ความสำคัญค่อนข้างน้อยจากทีมทำงานหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะทำให้หลายๆ ภาคส่วนเล็งเห็นถึงความสำคัญของการดำเนินการในขั้นตอนนี้ต่อไป

    8.การฟื้นฟูสภาพ (Remediation) สำหรับการดำเนินการในขั้นตอนนี้กล่าวได้ว่ามักจะเป็นขั้นตอนสุดท้าย (Final Step) ของการดำเนินการเพื่อจัดการกับน้ำมันที่รั่วไหลในทะเล ดังนั้น ก่อนที่จะเริ่มการดำเนินการในขั้นตอนนี้ เราควรที่จะทราบให้แน่ชัดถึงข้อมูล ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการในขั้นตอนต่างๆ ที่กล่าวถึงข้างต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่ว่า

    · เราสามารถหยุดการรั่วไหลของน้ำมันจากแหล่งกำเนิดได้แล้วหรือยัง ?

    · ยังมีปริมาณน้ำมันอีกเท่าไหร่ที่แขวนลอยอยู่ในทะเล ?

    · ประสิทธิภาพการแยก รวมไปถึงการบำบัดและกำจัดจะเป็นอย่างไร ?

    · ลักษณะการเคลื่อนที่ และระยะเวลาที่จะเคลี่อนที่เข้าสู่ฝั่งเป็นเท่าใด ?

    เนื่องจากจะส่งผลต่อการวางแผนในการฟื้นฟูสภาพ (อาจต้องมีการปิดกั้นพื้นที่เพื่อดำเนินการ) และการประสิทธิภาพการดำเนินการโดยรวม นอกจากนี้ การดำเนินการในขั้นตอนนี้ยังต้องการความร่วมมือจำนวนมากจากหลากหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นองค์กรต้นเหตุของปัญหา หน่วยงานภาครัฐ (ส่วนกลาง และส่วนท้องถิ่น) นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ รวมไปถึงภาคประชาชน เนื่องจากเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่ว่าจะมีการดำเนินการในแต่ละขั้นตอนข้างต้นอย่างเหมาะสมและเต็มความสามารถอย่างไรก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วก็จะยังคงมีอนุภาคน้ำมันที่สะสมหรือแขวนลอยอยู่ในสภาพแวดล้อม (โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่ปนเปื้อนอยู่บริเวณชายฝั่ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตและการประกอบอาชีพของประชากร) นอกจากนี้ การโปรยและใส่สารเคมีหรือสารดูดซับเพื่อจัดการกับคราบน้ำมันนั้น ก็จัดเป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่สะสมอยู่ในสภาพแวดล้อมและส่งผลต่อระบบนิเวศน์ของพื้นที่โดยรวม ดังนั้น แนวทางการฟื้นฟูสภาพที่ควรพิจารณาและความสำคัญนั้น น่าจะประกอบไปด้วย

    a.การจัดการกับพื้นที่บริเวณชายฝั่ง (Management of contaminated area / coast) โดยทั่วไป มักจะเกี่ยวข้องกับการจัดเก็บทรายที่ปนเปื้อนน้ำมันออกจากพื้นที่ และการทำความสะอาดพื้นที่โดยรอบ และจัดการกับซากพืชซากสัตว์ที่อาจก่อให้เกิดปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็นตามมา

    b.การจัดการกับตะกอนน้ำมันที่พื้นทะเล (Oil sediment management) และการบำบัดน้ำเสียในพื้นที่ที่มีความอ่อนไหว (Wastewater treatment) โดยควรมีการดำเนินการในสองส่วนอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการติดตามตรวจสอบ (Monitoring) อย่างเป็นระบบ

    c.การจัดอบรมและให้ความรู้ (Training) กับภาคส่วนต่างๆ เพื่อให้ข้อมูลในด้านต่างๆ อาทิ ที่มาและผลกระทบที่เกิดขึ้น แนวทางการดำเนินการและประเด็นต่างๆ ที่ควรพิจารณาปรับปรุง แนวปฏิบัติสำหรับเจ้าหน้าที่และประชาชนทั่วไป รวมไปถึงคำแนะนำที่เหมาะสมเกี่ยวกับข้อควรปฏิบัติในการฟื้นฟูสภาพและระบบนิเวศน์โดยรวม

    โดยสรุป แม้ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับกรณีที่เกิดขึ้นกับแท่นขุดเจาะน้ำมัน Deepwater Horizon ของบริษัทบริติช ปิโตรเลียม (บีพี) ในอ่าวเม็กซิโก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อกว่า 3 ปีที่ผ่านมา (น้ำมันดิบปริมาณมากถึง 4.9 ล้านบาร์เรล (780,000 ลูกบาศก์เมตร) รั่วไหลออกสู่อ่าวเม็กซิโกเป็นเวลานานถึง 3 เดือน ก่อนที่การรั่วไหลจะสามารถหยุดได้ และต้องใช้เวลานานถึง 5 เดือน กว่าที่การปิดตายบ่อน้ำมันอย่างถาวร) เราอาจกล่าวได้ว่าปริมาณการรั่วไหลของน้ำมันที่เกิดขึ้นในประเทศเราจะมีค่าที่ต่ำกว่ามากๆ (กว่า 4000 เท่า) แต่ก็จะเห็นได้ว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจากน้ำมันรั่วไหลนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขาดความชัดเจนในการจัดการ การเตรียมความพร้อม และประสบการณ์ ก็สามารถส่งผลเสียในวงกว้างให้กับหลากหลายภาคส่วนของประเทศ ดังนั้น การป้องกันและการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมากับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกๆ ฝ่ายต้องให้ความสำคัญ รวมถึงเราควรให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนที่จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก หรือถ้าเกิดขึ้นอีกก็จะต้องมีแนวทางการบริหารจัดการที่ดีกว่านี้ เพราะปัญหาดังกล่าวกระทบกับระบบเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว สิ่งแวดล้อม และเหนือสิ่งอื่นใดของผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนคนไทย

    บทความวิชาการ : ภาพรวมแนวทางจัดการน้ำมันรั่วไหล (Oil Spill) ลงสู่ทะเล | ChulaEngineering
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2013
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    07:00 ภาพถ่ายดวงอาทิตย์ในย่านแสง 193 อังคสตอร์มแสดงให้เห็นว่ากำลังเกิดหลุมโคโรนาหันตรงมาทางโลก ลมสุริยะความเร็วสูงจากหลุมโคโรนา จะเดินทางมาถึงโลกวันที่ 4-5 สิงหาคมนี้ อายมึผลทำให้เกิดพายุแม่เหล็ก เกิดแสงออโรราในแถบซีกโลก
    image.jpg
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ก้องภพ อยู่เย็น
    เข้ามาเพิ่มเติมข้อมูลครับ ในวันที่ 30-31 กรกฏาคม พบการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติที่มากกว่าปกติบางส่วนดังนี้ครับ

    30 กรกฎาคม
    - Heatwave ที่ประเทศจีน RSOE EDIS - Heat Wave in China on Tuesday, 30 July, 2013 at 17:08 (05:08 PM) UTC. EDIS CODE: HT-20130730-40290-CHN
    - Heatwave ที่ประเทศกรีก RSOE EDIS - Heat Wave in Greece on Tuesday, 30 July, 2013 at 16:32 (04:32 PM) UTC. EDIS CODE: HT-20130730-40286-GRC
    - Heatwave ที่ประเทศ Macedonia RSOE EDIS - Extreme Weather in Poland on Tuesday, 30 July, 2013 at 13:57 (01:57 PM) UTC. EDIS CODE: ST-20130730-40285-POL
    - ทอร์นาโดก่อตัวที่ประเทศอิตาลี RSOE EDIS - Tornado in Italy on Tuesday, 30 July, 2013 at 03:16 (03:16 AM) UTC. EDIS CODE: TO-20130730-40276-ITA
    - พายุก่อตัวบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก RSOE EDIS - Tropical Storm Information

    31 กรกฏาคม
    - พายุก่อตัวบริเวณทะเลจีน RSOE EDIS - Tropical Storm Information
    - Heatwave ที่ประเทศอังกฤษ RSOE EDIS - Heat Wave in United Kingdom on Wednesday, 31 July, 2013 at 03:13 (03:13 AM) UTC. EDIS CODE: HT-20130731-40292-GBR
    - น้ำท่วมฉับพลันที่ประเทศอังกฤษ RSOE EDIS - Flash Flood in United Kingdom on Wednesday, 31 July, 2013 at 03:30 (03:30 AM) UTC. EDIS CODE: FF-20130731-40294-GBR
    - รายงานน้ำท่วมหนักที่ประเทศพม่า RSOE EDIS - Flood in Myanmar (Burma) on Wednesday, 31 July, 2013 at 13:52 (01:52 PM) UTC. EDIS CODE: FL-20130731-40301-MMR
    - น้ำท่วมฉับพลันในรัฐ South-Dakota สหรัฐอเมริกา RSOE EDIS - Flash Flood in USA on Wednesday, 31 July, 2013 at 08:03 (08:03 AM) UTC. EDIS CODE: FF-20130731-40296-USA
    - น้ำท่วมในหลายพื้นที่ในประเทศไทย RSOE EDIS - Flood in Thailand on Wednesday, 31 July, 2013 at 13:54 (01:54 PM) UTC. EDIS CODE: FL-20130731-40302-THA
    - น้ำท่วมฉับพลันในประเทศอังกฤษ RSOE EDIS - Flash Flood in United Kingdom on Wednesday, 31 July, 2013 at 03:30 (03:30 AM) UTC. EDIS CODE: FF-20130731-40294-GBR
    RSOE Emergency and Disaster Information Service
    hisz.rsoe.hu
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ภาพดาวเทียมน้ำมันรั่ว 31 ก.ค. คราบยังอยู่เหนือเกาะเสม็ด
    สนุกโมบาย 31 กรกฎาคม 2556 เปิดอ่าน 25,078 ครั้ง
    image.jpg
    GISTDA เผยภาพดาวเทียมแสดงคราบน้ำมันรั่วที่เริ่มมีขนาดเล็กลงและกระจายตัว แต่ยังคงเกาะกลุ่มอยู่ทางตอนเหนือของเกาะเสม็ด
    (31 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ได้เปิดเผยภาพถ่ายดาวเทียมแสดงคราบน้ำมันรั่วล่าสุด เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ตรวจสอบพบว่าน้ำมันส่วนใหญ่ยังเกาะกลุ่มอยู่บริเวณตอนเหนือของเกาะเสม็ด
    สำนักงาน GISTDA ได้เปิดเผยว่า ภาพจากดาวเทียมระบบเรดาร์ COSMO-SkyMed-2 เมื่อเวลา 06.09 น. ของวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 แสดงให้เห็นอาณาบริเวณของคราบน้ำมันเป็นฟิล์มบางๆ ที่ยังอยู่ทางตอนเหนือของเกาะเสม็ด ซึ่งมีขนาดลดลงจากเมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) เล็กน้อย (ประมาณ 10 ตารางกิโลเมตร) และมีการกระจายตัวของฟิล์มน้ำมันบางส่วนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะเสม็ด โดยฟิล์มน้ำมันเหล่านี้น่าจะมีต้นกำเนิดมาจากมวลน้ำมันที่สะสมบริเวณด้านเหนือของอ่าวเสม็ด ซึ่งควรจะมีการสำรวจภาคพื้นดินอย่างละเอียดและขจัดออกด้วยวิธีการที่เหมาะสม เพื่อลดปริมาณต้นกำเนิดของคราบน้ำมัน มิฉะนั้นก็จะยังมีการแพร่ออกมาอย่างต่อเนื่องไปอีกหลายวันหรือสัปดาห์
    ถึงแม้ว่าคราบน้ำมันที่เป็นฟิล์มบางๆ นี้อาจจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเฉียบพลัน แต่สารเคมีบางชนิด เช่น สารอินทรีย์ในกลุ่มอะโรมาติคและโลหะบางชนิดที่มีในน้ำมันดิบอาจจะสะสมในสิ่งมีชีวิตและถ่ายทอดตามห่วงโซ่อาหารในทะเลสู่ผู้บริโภคขั้นสูงได้ รวมทั้งองค์ประกอบที่สลายตัวได้ยากจะรวมตัวและสะสมเป็นก้อนน้ำมันดิน (Tar Ball) ตามชายหาดต่างๆ ในระยะยาว ดังนั้นจึงควรมีการกำหนดแผนการป้องกันและติดตามคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตทางทะเลในบริเวณนี้ในระยะยาวต่อไป
    อนึ่งการใช้ดาวเทียมระบบเรดาร์ตรวจวัดคราบน้ำมันนั้นเป็นการวัดความราบเรียบของผิวหน้าทะเลอันเนื่องมาจากแรงตึงผิวที่ลดลงของน้ำทะเลเนื่องมาจากฟิล์มน้ำมัน ดังนั้นแม้จะเป็นเพียงฟิล์มบางๆ ดาวเทียมก็สามารถตรวจวัดได้ ในขณะที่การสังเกตด้วยตาเปล่าอาจจะมองเห็นไม่ชัดเจนก็ได้
    ขอบคุณข้อมูลจาก GISTDA

    ดูภาพประกอบทั้งหมดคลิก! >
    ทันทุกกระแส เจาะลึกทุกเหตุการณ์ ส่งตรงถึงมือถือ
    AIS คลิก DTAC คลิก TRUEMOVE
    ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อธิบดีกรมควบคุมมลพิษรับฟื้นฟูน้ำมันรั่วใช้เวลานาน


    เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2556 นายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์รายการเจาะข่าวเช้านี้ทางสถานีวิทยุจุฬาฯ ถึงกรณีการขจัดคราบน้ำมันรั่วไหลที่ เกาะเสม็ด จ.ระยอง ว่ากรมควบคุมได้ร่วมในการทำงานแต่แรก โดยทำรูปแบบจำลองและพยากรณ์ทิศทาง ทั้งนี้เรามีแผนการป้องกันและกำจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจาก้ำมัน และมีองค์กร คณะกรรมการป้องกัน โดยจะมีหน้าที่ดูแลปฏิบัติการ โดยมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน ทั้งนี้ในการทำงานเราจะแบ่งระดับเกิดเหตุ โดยกรณีที่เกิดขึ้นนี้อยู่ที่ 50,000 ลิตร จะอยู่ในระดับที่สอง ที่ต้องมีศูนย์ควบคุมการปฏิบัติการ โดยในแผนจะมีทั้งเผชิญเหตุ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระดับนี้ เป็นการระดมเจ้าหน้าที่ รวมถึงผู้ประกอบการมาช่วยกัน จนกว่าจะหมด แล้วจะเสร็จเมื่อไหร่ คณะกรรมการป้องกันฯ จะเป็นผู้บอก หลังจากนี้จะสำรวจความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นระบบนิเวศ ความเสียหายของประชาชน และก็ไปดำเนินการฟ้องร้อง จากนั้นก็จะฟื้นฟู

    นายวิเชียรกล่าวต่อว่า ผู้ที่จะบอกว่าควรทำแค่ไหนหยุดเมื่อไหร่คือคณะกรรมการป้องกันฯ จนกว่าพิสูจน์ได้ว่าไม่มีแล้วจึงจะบอกให้ยุติ ปตท.โกบอลเคมิคอล ต้องรับผิดชอบทั้งหมดอยู่แล้ว และเขาพร้อมที่จะชดใช้ค่าเสียหาย

    นายวิเชียรกล่าวถึงข้อสงสัยเรื่องปริมาณน้ำมันที่รั่วออกมาว่า เท่าที่เห็นที่อ่าวพร้าว และบริเวณใกล้เคียง เป็นคราบน้ำมันดิบ ตรงนี้มีความเข้มข้นและหนาแน่น ส่วนคราบที่เราเห็นจากภาพถ่ายดาวเทียม ก็ได้เอาเรือเข้าไปดู แต่ก็พบว่าเป็นฟิล์มบางๆ โดยขณะนี้เคลื่อนผ่านด้านเกาะเสม็ด ไปทางบ้านเพ ซึ่งหากดูทุกวันจะเห็นขนาดเล็กลงๆ ส่วนแผ่นฟิล์มนี้ ก็ยอมรับว่ามีผลกระทบบ้างเช่นแสงอาทิตย์ตกไปไม่ถึง หรือกระทบกับออกซิเจนที่แพลงตอนใช้ดำรงชีวิต แต่ก็จะเคลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ หรือจะไปหยุดตรงไหน จากนั้นเราก็จะไล่ตามเก็บตัวอย่างไปเรื่อยๆ

    นายวิเชียรกล่าวต่อว่า ส่วนค่าชดเชย ผู้ว่าราชการจังหวัดตั้งศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ใครที่ได้รับผลกระทบ เช่นผู้ประกอบการโรงแรม หรือ ประมง บางส่วนขณะนี้ยังไม่แจ้งเพราะยังประเมินไม่หมด และทั้งหมดจะรวมความเสียหายทั้งต่อทรัพยากร ทรัพย์สิน และค่าเสียโอกาส รวมถึงค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟู และจะนำไปเคลมค่าเสียหายกับ ปตท.

    "การฟื้นฟูอาจใช้เวลานาน บางอย่างอาจจะใช้เวลาแค่ 6 เดือน แต่อย่าง ปะการังอาจใช้ 3-10 ปี คงไม่ใช่แค่ 30 วันแล้วฟื้นตัว"นายวิเชียรกล่าว
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สเปนกำลังจะเผชิญอากาศร้อนจัดเกิน 40 องศา


    สเปนกำลังเผชิญคลื่นความร้อนจัด นักท่องเที่ยวได้รับการเตือนให้ระวังอันตรายจากอุณหภูมิ
    ที่สูงถึง 43 องศาเซลเซียส ที่พัดพามาโดยลมจากแอฟริกา และคาดว่าอุณหภูมิความร้อนใน
    ระดับสีแดงนี้ จะอยู่นานนับสัปดาห์ ส่วนพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ภายใต้อุณหภูมิ
    อย่างต่ำ 38 องศาเซลเซียส คือ แคว้นอันดาลูเซีกับแคว้นมูร์เซีย บนเกาะมายอร์ก้า ซึ่งเป็น
    เกาะใหญ่ที่สุดของหมู่เกาะแบลีแอริค , เกาะเมนอร์กา และเกาะอีบีซ่า

    ความร้อนที่สเปนเผชิญจะมากเป็นสองเท่าในบางพื้นที่ของอังกฤษ ในอีก 2-3 วันข้างหน้า
    ชาวอังกฤษที่เดินทางไปพักผ่อนวันหยุดที่สเปน ได้รับคำเตือนให้ระมัดระวังเป็นพิเศษ ขณะที่
    สเปนเตรียมตัวรับมือกับคลื่นความร้อนมรณะ อันเนื่องมาจากกระแสลมที่พัดมาจากทะเลทราย
    ซาฮาร่าในทวีปแอฟริกา พร้อมกับอุณหภูมิสูงถึง 43 องศาเซลเซียส

    แม้แต่อุณหภูมิในเวลากลางคืน ก็น่าจะอย่างน้อย 25 องศาเซลเซียส ชาวอังกฤษนิยมเดินทาง
    ไปคลายร้อนกันที่สเปน หลังจากอุณหภูมิในลอนดอน อยู่ที่ราว 32 องศาเซลเซียส แต่ปรากฏว่า
    อุณหภูมิในอังกฤษกำลังลดลงโดยเฉลี่ยที่ราว 20 องศา หรือเพียงครึ่งหนึ่งของอุณหภูมิความ
    ร้อนในสเปน เนื่องจากในบางภูมิภาคของสเปนมีแนวโน้มจะเผชิญความร้อนสูงถึง 42 องศา
    เซลเซียส

    เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของสเปน ได้แนะนำให้ประชาชนใช้มาตรการปลอดภัยไว้ก้อน เช่น เลี่ยง
    การออกไปตากแดดตอนเที่ยงวัน สวมเสื้อผ้าหลวม ๆ , หมวก และแว่นตากันแดดที่ป้องกันยูวี
    นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารเผ็ดร้อน , เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ และคาเฟอีน เนื่องจากจะ
    เข้าไปเพิ่มอุณหภูมิความร้อนในร่างกาย และอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ ส่วนคนที่มีความเสี่ยง
    จะเกิดอันตรายเพราะอากาศร้อนจัด คือ คนชราและเด็กเล็ก

    ทางการได้แนะนำให้ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร รวมถึงเครื่องดื่มให้พลังงาน เพื่อชดเชยกลูโคส
    และอิเลคโทรไลท์ ที่สูญเสียไป ชาวสเปนยังมีเคล็ดลับในการดับร้อน ที่รวมถึงการนำผ้าปูที่นอน
    ใส่ถุงไปใส่ไว้ในช่องแช่แข็งในตู้เย็นนาน 2 ชั่วโมง ก่อนจะเอามาปูนอน หรือเอาผ้าขนหนูไปชุบน้ำ
    ให้เปียกแล้วเอาไปใส่ตู้เย็นก่อนเอามาใช้ หรือไม่ก็เอาน้ำเย็นประพรมตามจุดชีพจร เช่น คอ , ข้อมือ
    ด้านหลังเข่า , หลังและไหล่ทั้งสองข้าง
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 13:00:41
    มติชนออนไลน์
    ดึงคลิปมาไม่ได้ถ้าสนใจชมคลิปไปที่ ระทึก แฉขั้วโลกเหนือเริ่มเป็น"ทะเลสาบ"แล้ว หลังน้ำแข็งละลายเพราะโลกร้อน(ชมคลิป) มติชนออน

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคมว่า ห้องปฏิบัติการสิ่งแวดล้อมขั้วโลกเหนือ ได้เปิดเผยภาพและวิดีโอ ที่ปรากฏพื้นที่บางส่วนได้กลายเป็นทะเลสาบแล้ว หลังจากพื้นที่ส่วนใหญ่ขั้วโลกเหนือต้องเผชิญกับภาวะโลกร้อน ซึ่งร้อนเพิ่มขึ้น 1-3 องศาเซลเซียสในช่วงปีนี้

    รายงานระบุว่า จากข้อมูลศูนย์ตรวจสอบหิมะและน้ำแข็ง ได้รายงานว่า อุณหภูมิบริเวณขั้วโลกเหนือในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ได้เพิ่มขึ้น 1-3 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี โดยเฉพาะช่วงดังกล่าวจะเป็นช่วงที่ขั้วโลกเหนือต้องเผชิญภาวะอากาศร้อนที่สุด และทำให้น้ำแข็งเกิดการหดตัวอย่างรวดเร็วที่สุด

    อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ทีมสำรวจของมหาวิทยาลัยบริสตอล อ้างว่า จากข้อมูลที่ตรวจสอบระยะยาวเกี่ยวกับการหลอมละลายของโลก ชี้ว่าเป็นการตำหนิว่าขั้วโลกเหนือเผชิญภาวะโลกร้อนเพราะฝีมือมนุษย์ หรือต้องเจออุณหภูมิโลกร้อนอย่างถาวร ถือเป็นเรื่องที่อ่อนน้ำหนักโดยขาดหลักฐานสนับสนุน โดยแม้ว่าจะมีข้อมูลชี้ว่าแต่ละปีขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้จะมีน้ำแข็งละลายกว่า 3 แสนล้านตัน แต่ก็อาจมีสาเหตุจากธรรมชาติเป็นหลักใหญ่ด้วย
     

แชร์หน้านี้

Loading...