ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

*** สงสารญี่ปุ่น ****

*** สัจจะธรรม ปรากฏ ****
ถึง ผู้นำประเทศญี่ปุ่น

ในอดีต ...ญี่ปุ่น ก่อกรรม ทำสงครามไว้อย่างมาก
ได้ร่วมกันทำลายพุทธสถาน...ด้วยการ หลอมทองคำจำนวนมหาศาล
จาก เจดีย์ชเวดากอง ในพม่า...ซึ่งเป็นทองคำที่ชาวไทยอยุธยาโบราณ ตั้งใจหามา สะสมสร้างพระพุทธรูป พุทธสถานจำนวนมาก เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ให้พุทธศาสนารุ่งเรือง ในอดีต
ทหารญี่ปุ่นในพม่า ได้นำทองคำจากพุทธสถานนี้ กลับไปทางทะเล สู่ญี่ปุ่น...
เมื่อ...สิ้นสุดสงครามโลก ประเทศท่านจึงฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว เพราะทองคำเหล่านี้
แต่...ถึงปัจจุบัน กรรม กำลังจะปรากฏ....เกาะญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง จะจมหายไปในทะเล

หนทางรอด...ของประเทศญี่ปุ่น คือ...
ชาวญี่ปุ่นทุกคน ต้องร่วมมือกัน...ขอขมาในสิ่งที่ได้กระทำผิดพลาดมาในอดีต ต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และ ช่วยกันคิดว่า...ทองคำ ที่นำมาเหล่านั้น....ควรจะนำไปทำอะไร จึงจะดีที่สุด...เพื่อให้เกาะญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่นอยู่รอดต่อไปในอนาคต
และ ชาวญี่ปุ่น จะต้องช่วยกันหันมาทบทวนว่า "หลักสัจจะธรรม" คืออะไร
และต้องช่วยกันปฏิบัติตนด้วย "สัจจะ"...นำ "สัจจะ" มานำชีวิตทุกวัน
เพราะ...สัจจะ คือ หนทางปฏิบัติเดียวที่จะทำให้ชาวญี่ปุ่น และเกาะญี่ปุ่นรอดอย่างปฏิหาริย์ !!!!!!!
หน้าที่สำคัญของชาวญี่ปุ่น...คือ การไม่สนับสนุนให้ใช้อาวุธนำวิถี อาวุธนิวเคลียร์
เพราะ...จะมีผลอย่างรุนแรงต่อเปลือกโลก จนทำให้เกาะญี่ปุ่นจมทะเลไปในที่สุด
ท่านผู้มีอำนาจทั้งหลายต้องอยู่ในความสงบ
ญี่ปุ่น จะต้อง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่สนับสนุน...ที่จะก่อให้เกิดสงคราม
การยิงขีปนาวุธ...ครั้งต่อไป เสมือนสัญญาณเริ่มต้นภัยพิบัติทั้งปวง

หาก...ท่านและชาวญี่ปุ่นเชื่อ และปฏิบัติตาม....จะถือเป็นพรอันศักดิ์สิทธิ์
เพราะ....เป็นการให้โอกาสชาวญี่ปุ่นทุกคนแล้ว
หาก....ไม่เชื่อ นับว่าเป็นกรรมอย่างยิ่ง

เรื่องที่แล้ว....ก็แล้วไป ตั้งแต่บัดนี้ขอให้เริ่มต้นใหม่ !!!!!!!

- " หนุมาน ผู้นำสารจาก โลกุตตระ"

 

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ไฟฟ้าดับในญี่ปุ่น/รถไฟฟ้าเดี้ยงทำผู้โดยสารติดค้างกว่า 20,000 ราย</TD></TR></TBODY></TABLE>
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE>
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>23 มิถุนายน 2550 03:15 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>
</TD></TR></TBODY></TABLE>
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle>

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=left border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5></TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=245 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=245> </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ผู้โดยสารต้องลงเดิน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5></TD></TR></TBODY></TABLE> เอเอฟพี - ผู้โดยสารกว่า 20,000 ราย ต้องติดอยู่ในรถไฟฟ้านานกว่า 4 ชั่วโมงในวันศุกร์(22) เหตุมาจากเกิดไฟฟ้าดับในกรุงโตเกียว ส่งผลให้มีผู้โดยสาร 45 รายมีอาการป่วย

เจ้าหน้าที่การรถไฟเจอาร์อีสต์แถลงว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นในชั่วโมงเร่งด่วนเมื่อรถไฟ 6 ขบวนที่บรรทุกผู้โดยสารประมาณ 18,300 คนไม่สามารถแล่นต่อไปได้ เนื่องจากไฟฟ้าดับ ขณะเคลื่อนเข้าใกล้เขตไซตามะทางเหนือของกรุงโตเกียว

ภาพถ่ายของสถานีโทรทัศน์โชว์ให้เห็นผู้โดยสารหลายร้อยคนต้องลงจากรถไฟและเดินไปตามรางรถไฟท่ามกลางฝนตกอย่างทุลักทุเล โดยมีเจ้าหน้าที่การรถไฟช่วยนำทาง

ขณะเดียวกันผู้โดยสารอย่างน้อย 45 คนมีอาการป่วยเพราะต้องอยู่อย่างอึดอัดภายในรถไฟที่มีผู้คนหนาแน่นเป็นเวลานาน เนื่องจากเครื่องปรับอากาศไม่ทำงาน

โฆษกของหน่วยดับเพลิงเปิดเผยว่า "จากผู้โดยสารที่ป่วย 45 คน มี 27 คน ที่ต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลและหนึ่งในจำนวนนั้นอาการค่อนข้างหนัก"

เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นเปิดเผยว่าสาเหตุที่ทำให้ไฟดับเกิดจากสายส่งไฟฟ้าเหนือหัวรถไฟขาด ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาซ่อมแซมนานประมาณ 5 ชั่วโมงจึงมีกระแสไฟฟ้าได้ตามปกติ
</TD></TR></TBODY></TABLE>​

</TD></TR></TBODY></TABLE>
ที่มา http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9500000072918

 

ความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยของรถไฟฟ้าใต้ดิน โดย ปถพีรดี

​

ในภาพรวมความปลอดภัยของการขนส่งมวลชนและการเดินทางนั้น สมาคมขนส่งมวลชนสาธารณะนานาชาติ UITP (Union International des Transports Publics) ได้สำรวจครั้งล่าสุด เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๖ นี้ พบว่า การเดินทางโดยระบบการขนส่งมวลชนสาธารณะนั้น ปลอดภัยกว่าการเดินทางโดยยานยนต์และพาหนะส่วนตัว ๕ ถึง ๑๐ เท่าตัว รายงานฉบับเดียวกันนี้ได้อ้างถึงข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization WHO) ว่า เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๓ มีประชากรที่เสียชีวิตทั้งหมดในโลกประมาณ ๕ ล้านคน ในจำนวนนี้ ๑.๒๖ ล้านคน เสียชีวิตโดยสาเหตุจากอุบัติเหตุยานยนต์บนท้องถนน รองลงมาเป็นการฆ่าตัวตายและอื่นๆ

ในประเทศไทยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมทางหลวงแผ่นดิน รายงานสถิติว่า เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๑ มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุยานยนต์บนท้องถนน ๑๒,๒๓๔ คน บาดเจ็บ ๕๒,๕๓๘ คน จากจำนวนอุบัติเหตุทั้งหมด ๗๓,๗๒๕ ครั้ง ผลสรุปแจ้งว่า สาเหตุมาจากความผิดของคน (ขับ) (Humanerror) ๘๒.๕ เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ประเทศอังกฤษมีสาเหตุของอุบัติเหตุบนท้องถนน เกิดจากคน ๖๕ เปอร์เซ็นต์ และในสหรัฐอเมริกามีเพียง ๕๗ เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นเป็นความผิดพลาดของอุปกรณ์ ยานยนต์ ถนน และปัจจัยอื่น จากตัวเลขที่กล่าวมาแสดงให้เห็นความมีวินัยในการใช้รถใช้ถนนของประชากรในประเทศต่างๆที่มีสิ่งแวดล้อมต่างกัน อย่างไรก็ตาม สถิติเหล่านั้นแสดงให้เห็นร่วมกันถึงความปลอดภัยที่เหนือกว่าของการขนส่งมวลชนในทุกประเทศ

ในประเทศไทยกำหนดเปิดให้บริการระบบขนส่งมวลชนรถไฟฟ้าใต้ดินเป็นครั้งแรกในวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๔๗ นี้ และกำหนดเปิดเดินรถเต็มที่ ๑๘ ขวบน เป็นทางการในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๗ ปัญหาความปลอดภัยมีการกล่าวถึงมากที่สุดทั่วโลกเกี่ยวกับรถไฟฟ้าใต้ดิน ได้แก่ระบบการป้องกันและแก้ไขเกี่ยวกับแผ่นดินไหว อุทกภัย และอัคคีภัย ซึ่งผู้เขียนบทความนี้ประสงค์จะสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว

แผ่นดินไหว
ไม่ปรากฏว่ากรุงเทพฯอยู่ในเขตอันตราย (Seismic Zone 4) หรืออยู่บนเส้นทางของแผ่นดินไหว (Seismic Fault Line) ใดๆจากสถิติที่ผ่านมา ๒๘ ปี มีแผ่นดินไหวในเขตประเทศไทยเล็กน้อยขนาดเบามาก ๘ ครั้ง และศูนย์กลางที่เกิดอยู่ในตำแหน่งต่างๆกัน ระหว่าง พ.ศ.๒๕๔๒-๒๕๔๓ มีแผ่นดินไหวในเขตภูมิภาคใกล้เคียงนอกอาณาเขตถี่มาก แต่มีขนาดไม่รุนแรงนัก ครั้งรุนแรงมากที่สุดเกิดขึ้นเมื่อ ๒๒ มกราคม ๒๕๔๖ ขนาด ๗.๓ ริคเตอร์ (Richter Scale) มีจุดศูนย์กลาง (Epicenter) ในหมู่เกาะสุมาตรา แต่มิได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งก่อสร้างในประเทศไทย ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นที่ ๓๕๕ กม. เหนือกรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่า เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๔๖ นี้ คำนวณว่ามีขนาดความแรง ๖.๗ ริคเตอร์ สร้างความสั่นสะเทือนและรอยร้าวให้อาคารสูงในกรุงเทพฯเล็กน้อย

โครงสร้างของอุโมงค์รถไฟดินของกรุงเทพฯนั้น ได้ถูกออกแบบให้รับแรงสั่นสะเทือนในแนวนอน ของแผ่นดินไหว (Horizontal Acceleration Seismic Force) ในขนาด ๖ เปอร์เซ็นต์ ของน้ำหนักของโครงสร้าง (๐.๐๖ g) ซึ่งเชื่อว่าเพียงพอที่จะรับแรงสั่นสะเทือน ส่วนมาตรการการแก้ไขนั้น ทางบริษัทรถไฟฟ้ากรุงเทพฯจะจัดให้มีมาตรการการตรวจสอบ (Inspection) อุโมงค์ ทางวิ่งรถ สิ่งก่อสร้าง และอุปกรณ์ ทันทีหลังจากการเกิดแผ่นดินไหว เพื่อประเมินความเสียหาย และจัดให้มีการวิเคราะห์ แก้ไข ปรับปรุงที่เหมาะสมต่อไป

น้ำท่วม
มีสถิติของความเสี่ยงน้อยมาก แต่ก็มิใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้นเสียเลย ในรอบ ๕๐ ปี ที่ผ่านมา มีน้ำท่วมเกิดขึ้นครั้งเดียว เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๕ ที่ระบบรถไฟฟ้าใต้ดินของกรุงปร๊าก (Prague Metro) ประเทศเช็ก (Czech Republic) จากอุทกภัยของแม่น้ำวิตาวาและเอลเบ (Vltava และ Elbe) ไหลบ่าเข้าท่วมสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ทำความเสียหายมาก ถือเป็นภัยธรรมชาติที่ไม่สามารถพยากรณ์และเตรียมการป้องกันได้ เรียกภัยนี้ว่า Force Majeure หรือ an Act to God รถไฟฟ้าเมโทรของกรุงเทพฯได้ถูกออกแบบให้ป้องกันน้ำท่วมโดยวิธีปิดกั้น ไม่ให้น้ำเข้าไปในระบบ (Totally Enclosed System) และได้ยกระดับทางเข้าสถานีให้สูงจากพื้นถนนด้วยความสูงที่คำนวณจากตัวเลขของสถิติน้ำท่วมที่มากที่สุดของกรุงเทพฯในรอบ ๒๐๐ ปี ที่ผ่านมา ในด้านการแก้ไข ได้จัดให้มีอุปกรณ์สำหรับสูบน้ำออก (Sump Pumps and Drainage System) หากมีน้ำเข้าไปในอุโมงค์และสถานี

ไฟไหม้
จากสถิติของอุบัติภัยที่ผ่านมา ความเสี่ยงที่เกิดจากอัคคีภัยกับรถไฟฟ้าใต้ดินนั้นมีเสมอแต่ไม่มากเมื่อเปรียบเทียบกับรถไฟบนดินธรรมดา อุบัติภัยเพลิงไหม้อาจเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวด้วยสาเหตุที่แตกต่างกันออกไป หากเทียบสถิติของรถไฟใต้ดิน ซึ่งขนผู้โดยสารรวมกันทั้งหมดในโลก ประมาณ ๑๒ ล้านคนต่อวัน หรือประมาณ ๔ พันล้านคนต่อปีนั้น จะมีตัวเลขผู้โดยสารเสียชีวิตจากอัคคีภัยน้อยมาก เช่น ช่วงระหว่าง พ.ศ.๒๕๑๓ ถึง พ.ศ.๒๕๒๘ ระยะเวลา ๑๕ ปี มีผู้เสียชีวิตจากอัคคีภัยเพียง ๑๑ ราย แต่ในช่วง ๑๖ ปีที่ผ่านมานี้ เป็นระยะที่มีอุบัติเหตุ อัคคีภัยร้ายแรงถึง ๓ ครั้ง ในประวัติศาสตร์ของรถฟ้าใต้ดิน โดยเริ่มจากอัคคีภัยที่สถานีคิงสครอส (Kings Cross) ประเทศอังกฤษ เมื่อ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๑๐ เกิดเพลิงไหม้จากห้องใต้บันไดเลื่อน ผู้เสียชีวิต ๓๑ คน หลังจากนั้น เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๓๘ ที่เมืองบากุ (Baku) ประเทศอาเซอร์ไปยัน ในเครือสหภาพโซเวียต เพลิงเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรในตัวรถในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน เนื่องจากมีปัญหาในการเปิดประตูรถจึงทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง ๒๘๙ คน และล่าสุดเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ เกิดขึ้นที่เมืองแดกู ประเทศเกาหลี จากการวางเพลิงของผู้ป่วยโรคจิตในรถขบวนหนึ่ง ไฟลามไปติดขบวนข้างเคียง และเนื่องจากมีปัญหาของการเปิดประตูรถเช่นกันจึงทำให้มีผู้เสียชีวิต ณ ที่เกิดเหตุ เป็นจำนวนมากถึง ๑๓๔ คน เมื่อเฉลี่ยจำนวนผู้เสียชีวิตจากอัคคีภัย ๒๙ คน ต่อจำนวนผู้โดยสาร ๔ พันล้านคน ในแต่ละปีของ ๑๖ ปี ที่ผ่านมา ยังถือว่าเป็นความเสี่ยงในอัตราที่น้อยมาก ทุกกรณีของอัคคีภัยที่เกิดขึ้นผ่านมานั้นได้ถูกนำมาศึกษา วิเคราะห์ โดยบริษัทรถไฟฟ้ากรุงเทพเพื่อป้องกันมิให้เกิดขึ้นในการเดินรถของระบบรถไฟฟ้าใต้ดินของประเทศไทย

ความเสี่ยง
อัตราความเสี่ยงต่ออันตรายของรถไฟฟ้าใต้ดินจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
(๑) ปริมาณของการขนผู้โดยสารและระยะทางของการวิ่งรถ ถ้ามากจะเสี่ยงมาก ระบบเล็กเสี่ยงน้อยกว่าระบบใหญ่ เช่น รถไฟฟ้าใต้ดินของโตเกียวจะเสี่ยงมากกว่ารถไฟฟ้าใต้ดินของระบบกรุงเทพเมโทร เป็นต้น
(๒) สภาพของสิ่งแวดล้อมใต้ดินและการออกแบบของโครงสร้างอาคารพื้นฐานที่เป็นอุปสรรคต่อการอพยพหนีภัย เช่น ณ ชานชาลาระดับต่ำล่างสุดของสถานีสีลมจะมีความเสี่ยงสูงกว่าชานชาลาที่อยู่ข้างบน เป็นต้น
(๓) ระบบการเตรียมการเพื่อการระบายอากาศและควันที่เกิดจากเพลิงไหม้เมื่อวางแผนไว้ดี จะมีความเสี่ยงน้อย
(๔) ระบบรถไฟฟ้าที่สร้างใหม่จะมีความเสี่ยงน้อยกว่าระบบเก่า เพราะจะถูกออกแบบก่อสร้างด้วยมาตรฐานที่ให้คุณภาพและความปลอดภัยสูงกว่าระบบเก่า เช่น
(๔.๑) ในด้านการพัฒนาระบบส่งสัญญาณ การใช้วัสดุใหม่มีคุณภาพดีกว่าเดิม เช่น ทนความร้อนสูงติดไฟยาก หรือลดปริมาณมลพิษเมื่อเผาไหม้ได้มากขึ้น
(๔.๒) การเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานของวัสดุบางชนิด เช่น การสึกหรอของล้อรถและรางวิ่ง
(๔.๓) ความประมาทเลินเล่อในการเตรียมพร้อมปฏิบัติ และประสิทธิภาพของงานบำรุงรักษา
(๕) โดยทั่วๆไป รถไฟฟ้าใต้ดินมักจะมีระยะระหว่างสถานีสั้นและจะมีความเร็วเฉลี่ยสูงกว่ารถไฟธรรมดาบนดิน การอพยพผู้โดยสารจะพยายามทำที่ชานชาลาสถานี
(๖) รถไฟฟ้าใต้ดินจะขนผู้โดยสารที่ปราศจากสิ่งของ ต่างกับผู้โดยสารรถไฟธรรมดา ซึ่งอาจมีสัมภาระเป็นเชื้อเพลิงและติดไฟ (Fire Loads)
(๗) รถฟ้าใต้ดินวิ่งในอุโมงค์ไม่สวนกัน ไม่ต้องรอหลีก ไม่มียานพาหนะวิ่งผ่านเหมือนรถไฟบนดิน
(๘) สถานภาพของใต้ดินบังคับให้ระมัดระวังและเตรียมความพร้อมต่ออุบัติภัยเป็นพิเศษอย่างต่อเนื่อง
รถไฟฟ้าใต้ดินของกรุงเทพฯ ได้จัดระบบต่างๆเพื่อความปลอดภัยไว้ดังนี้

การจัดการ
จัดให้มีการป้องกัน (Preventive Plan) และมีมาตรการในการแก้ไขสถานการณ์รวมไปถึงการดับเพลิงและการผจญเพลิง (Corrective Plan : Fire Suppression and Fighting) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขจัดหรือลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นต่อ ผู้โดยสารและพนักงานทรัพย์สินและอุปกรณ์และสิ่งแวดล้อม

การป้องกัน (Preventive Process)
(๑) ออกแบบถูกต้อง (Right Desing) โดยเฉพาะอุโมงค์ ราง ทางวิ่ง พื้นที่ทุกแห่งในสถานีและในปล่องระบายอากาศทุกแห่ง จัดให้มีการระบายอากาศที่ถูกต้อง ทั้งสภาวะปกติและภาวะฉุกเฉินให้ปลอดภัยปราศจากมุมอับที่รับควันในช่องทางหนีไฟเมื่อเกิดเพลิงไหม้ ออกข้อกำหนด (Specifications) ต่างๆ เช่น ให้ใช้วัสดุที่ทนความร้อน ทนไฟ ให้มีประตูที่ชะลอการขยายตัวของไฟเมื่อเกิดเพลิงไหม้ที่ถูกต้องตามมาตรฐานสากล รถไฟฟ้าใต้ดินของกรุงเทพฯได้ถูกสร้างตามมาตรฐานของสมาคมป้องกันอัคคีภัย (National Fire Protection Association, NFPA 130) ของสหรัฐอเมริกา
(๒) มีการก่อสร้างที่ถูกต้อง (Right Engineer) ติดตั้งวัสดุ และอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ เหมาะกับงานให้อุปกรณ์ทำงานตามที่ออกแบบและกำหนดไว้ เป็นไปตามมาตรฐาน NEPA โดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยรับผิดชอบสำหรับงานและอุปกรณ์ของโครงสร้างพื้นฐาน และโดยบริษัทรถไฟฟ้ากรุงเทพ รับผิดชอบในการจัดหารถ และอุปกรณ์เสริมต่างๆผ่านบริษัทซีเมนส์ (Siemens) ผู้รับผิดชอบจัดหาและติดตั้งตามมาตรฐานของยุโรป และเยอรมนี
(๓) มีการส่งสัญญาณเตือนภัยบอกเหตุล่วงหน้า (Right Alarm) เหมาะสมตามลักษณะและขั้นตอน เช่น ส่งสัญญาณเตือน Trouble Alarm จากอุปกรณ์ที่มีความร้อนผิดปกติ เป็นการเตือนให้รับทราบ เมื่อรับทราบแล้วจัดให้มีการตอบรับ (Acknowledged) เพื่อหยุดเสียงสัญญาณ หรือเตือนฉุกเฉิน (Emergency Alarm) จากควันและเพลิงไหม้ ซึ่งเมื่อได้รับแล้วจะต้องตอบรับและตามต่อด้วยการปฏิบัติที่ถูกต้อง

การแก้ไข (Corrective Process)
(๑) ดำเนินการแก้ไข (Right Action) ด้วยการดับและผจญเพลิง ตามมาตรการ (Procedures) ที่ได้สร้างขึ้น บังคับใช้ ให้ทุกคนปฏิบัติตามคู่มือที่ได้รับการฝึกสอน ซ้อมไว้ เช่น กรณีที่มีไฟไหม้เกิดขึ้นเล็กน้อยที่พอจะดับได้ในสถานี ถือเป็นหน้าที่ของพนักงานทุกคนที่จะต้องช่วยกันดับทันที ตามความรู้ ความสามารถที่เรียน และได้รับการฝึกซ้อมไว้ แล้วรีบรายงานต่อศูนย์ควบคุมการปฏิบัติการ (Operations Control Center) และผู้บังคับบัญชาตามที่ระบุไว้ในคู่มือปฏิบัติ ถ้ามีอุบัติเหตุเพลิงไหม้เกิดขึ้นในอุโมงค์ หรือในรถ พนักงานควบคุมรถจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนที่ได้รับการฝึกไว้ รายงาน ให้ข้อมูลรายละเอียด ต่อศูนย์ควบคุมการปฏิบัติการ เพื่อขอคำสั่งและความช่วยเหลือ เป็นหน้าที่และการพิจารณาของศูนย์ควบคุม ที่จะออกคำสั่งปฏิบัติ หรือติดต่อขอความช่วยเหลือจากภายในและภายนอก รวมทั้งหน่วยดับเพลิงของรัฐ หรือดำเนินการอื่นตามมาตรการที่ได้กำหนดไว้
(๒) แก้ปัญหา แก้ไข จัดการ ((Normalization) ให้การเดินรถเข้าสู่สภาพปกติเร็วที่สุด และเสียหายน้อยที่สุด
การต่อเนื่อง (Continuing Enforcement and Educational Process) มีมาตรการใช้บังคับการปฏิบัติ ให้ปลอดจากอัคคีภัยและอุบัติภัยต่างๆอย่างต่อเนื่อง ให้มีการวิเคราะห์วิจัย เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นรวมไปถึงเอกสาร คู่มือ การฝึกซ้อมของพนักงาน และร่วมกับพนักงานดับเพลิงและกู้ภัยของรัฐ หรือหน่วยงานภายนอกอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้ข้อมูล ความรู้ การศึกษาอย่างต่อเนื่อง แก่ผู้โดยสารและประชาชนสำหรับการปฏิบัติทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน โดยยึดหลักสถิติของความปลอดภัยสากลที่อ้างว่าสาเหตุของอุบัติภัยนั้นเกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์ (Human Error) เป็นส่วนใหญ่ประมาณ ๘๕ เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือ ๑๕ เปอร์เซ็นต์นั้น เป็นความผิดพลาดของอุปกรณ์และปัจจัยอื่น

(สมเกียรติ พงษ์กันทา บริษัทรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด เรียบเรียง ๒๙ กันยายน ๒๕๔๖)

ที่มา http://www.sakulthai.com/DSakulcolu...959&stissueid=2588&stcolcatid=9&stauthorid=10​

​

 

"Red tide"ปรากฎการณ์ทะเลสีเลือด​

​

The dramatic appearance of a red tide algal bloom at Leigh, near Cape Rodney. (Photo: M. Godfrey)

​

Red tide: A cranberry harvest in Massachusetts. Photo: Patricia Walsh​

Red tide หรือที่ภาษาไทย เรียกว่า ประกฏการณ์น้ำเปลี่ยนสี แต่ชาวบ้านมักเรียกว่า ขี้ปลาวาฬ (แต่จริง ๆ ไม่ใช่) คือการที่พืชเซลล์เดียว (algae) พวกแพลงก์ตอนพืช ชนิดใด ชนิดหนึ่ง เจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมีสภาวะที่เหมาะสม ทั้งปริมาณสารอาหาร กระแสลม กระแสน้ำ เป็นต้น ทำให้สีน้ำบริเวณนั้นเปลี่ยนไป เนื่องจากการรวมตัวกันในปริมาณมากของชนิดนั้นๆ เอง ซึ่งการเกิดสีใดนั้น จะขึ้นอยู่กับสีของชนิดเด่นที่เกิดนั่นเอง เช่น สาหร่ายสีเขียว น้ำมักเป้นสีเขียว เช่น Trichodesmium Microcystis พวก diatom dinoflagellate น้ำมักมีสีในโทนเหลือง น้ำตาล แดง เช่น Ceratium Coscinodiscus แต่ที่น่าสังเกตคือ dino ชนิด Noctiluca scintillant นั้น ในประเทศไทยฝั่งทะเลอ่าวไทยพบว่าเกิดบ่อยมาก และทำให้น้ำมีสีเขียว แต่ความจริงแล้วชนิดนี้มีสีแดงจะทำให้น้ำมีสีแดง ซึ่งพบมากในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนี่เองที่เป็นที่มาของคำว่าred tide ส่วนในไทยเป็นสีเขียวเนื่องมาจากการมี symbiont, green algae ชนิด Pedinomonas noctiluceae อยู่ด้วย จึงทำให้น้ำมีสีเขียว

การเกิด red tide จะมีผลเสียหลัก คือ

1. การเกิดโดยชนิดที่สร้างสารพิษได้ อาจทำให้เสียชีวิตได้ หรือมีอาการตามชนิดของพิษแต่ละประเภท ถ้าคนกินหอย ที่มีการกินแพลงก์ตอนเหล่านี้เข้าไป แต่เนื่องจากที่หอยไม่เป้นอะไรเนื่องจากพิษเหล่านี้จะไม่เกิดปฏิกิริยากับสัตว์เลือดเย็น หอยจึงมีพิษสะสมอยุ่ในตัวเองโดยไม่ตาย แต่ถ้าเกิดโดยที่ไม่สร้างสารพิษ ก็คงไม่เป้นอะไรมาก อย่างมากก็อาจท้องเสียนิดหน่อย

2. การเกิดภาวะขาดออกซิเจน เนื่องจากการ drop ของแพลกง์ตอนในระยะ death phase ตาม life cycle ของมัน ซึ่งจะต้องมีการใช้ออกซิเจนจำนวนมากในการย่อยสลายแพลงก์ตอนที่ตายลง โดยแบคทีเรียในน้ำ ซึ่งมีจำนวนมาก ดังนั้นจึงทำให้ขาดออกซิเจนได้ในขณะนั้น อาจส่งผลกับสิ่งมีชีวิตบริเวณนั้น อาจทำให้ตายได้เนื่องจากการขาดออกซิเจนอย่างกระทันหัน

แต่อย่างไรก็ตามการเกิด red tide ในไทย ไม่ค่อยพบชนิดที่สร้างพิษ เคยพบแต่การเกิดอาการท้องร่วงครั้งใหญ่เท่านั้น จึงมักพบแต่ปลาลอยตายจำนวนมากในบริเวณที่เกิด red tide ซึ่งน่าจะมาจากสาเหตข้างต้น

พิมพ์วลัญช์ auddaree00@yahoo (IP:61.90.186.190,,)
ที่มา http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Pid=37064

 

อันนี้พี่เอกอิสโร ฝากมาครับ

หากหลังกึ่งพุทธกาลที่จะเกิดภัยพิบัติ เป็นรอบนักษัตรนี้

ปีกุนแถมล่วงม้ม (end of date) หมายถึง เมื่อผ่านพ้นปี กุน เข้าปีชวดไปแล้ว วันสุดท้ายของปีกุน คือวันแรม 15 ค่ำเดือน 4 ปีกุน ตรงกับวันที่ 5 เมษายน 2551 วันเริ่มต้นของปีชวด คือวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ปีชวด ตรงกับวันที่ 6 เมษายน 2551

เริ่มแต่เค้า (start point) เดือนสี่ ปีกุน หมายถึง เริ่มต้นเดือน สี่ ปี กุน หรือ วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 4 ปีกุน ตรงกับวันที่ 7 มีนาคม 2551


นั่นหมายถึงว่า จะเกิดภัยพิบัติใหญ่ที่จะชำระล้างโลกอันสกปรกโสมมใบนี้ เพื่อการเริ่มนับถึงแห่งการกลับมาของศีลธรรมอันดี หรือโลกใหม่ (New World) ในระหว่าง ช่วงวันที่ 7 มีนาคม 2551 ถึงวันที่ 5 เมษายน 2551 เป็นระยะเวลาประมาณ 30 วัน และจะมีการเริ่มฟื้นฟูใหม่ (Renaissance) ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2551 เป็นต้นไป. <!--MsgFile=36-->

จากคุณ : <!--MsgFrom=36-->ศรีวรุณะอิสโร - [ <!--MsgTime=36-->23 มิ.ย. 50 07:10:52 <!--MsgIP=36-->]


http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X5511357/X5511357.html

 

ก่อนที่โลกจะถูกทำลายแต่ละครั้ง จะมีเทวดาชื่อ โลกพยุหเทวดา
ล่วงรู้ถึงภัยพิบัตินั้น เทวดาเหล่านี้ เศร้าโศกเสียใจ สลดสังเวช
จึงพากันสัญจรลงมายังโลกมนุษย์ ประกาศป่าวร้องไปทั่วถึงภัยอันตรายนั้นๆ
เริ่มบอกตั้งแต่ก่อนโลกพินาศ เป็นเวลา 100,000 ปี
และจะลงมากล่าวเตือนดังนี้ ทุกระยะ 100 ปี

เมื่อมนุษย์และเทวดาทั้งหลายได้รับทราบข่าวนี้แล้ว ย่อมเกิดความสังเวช สลดใจ
รักใคร่ปรองดอง ชักชวนกัน ประกอบกุศลกรรมต่างๆ โดยเฉพาะ
เจริญพรหมวิหารธรรม เมื่อตายแล้ว พากันไปบังเกิดในเทวโลก พรหมโลก
ที่บังเกิดในสวรรค์ ชั้นกามาพจร หรือ พรหมโลกชั้นต่ำ ก็ขวนขวาย เจริญฌานจนตาย
แล้วไปบังเกิดในภูมิชั้นสูงๆ อันพ้นจากความพินาศของโลกต่อไป

ส่วนสัตว์ในอบายภูมิ ทั้งที่มีอกุศลกรรม เบาบางหรือหนักก็ตาม
จะมีญานชนิดหนึ่ง ชื่อชาติสรญาน คือระลึกชาติได้ว่า
ที่ตนต้องเสวยความทุกข์ทรมานต่างๆเหล่านั้น ด้วยเหตุจากการประกอบอกุศลกรรม
จึงรู้สำนึกตน อำนาจของกุศลที่เคยประกอบไว้ในชาติก่อนๆ
จะส่งผลให้พ้นจากอบายภูมินั้นๆ ได้เกิดเป็นมนุษย์บ้าง เทวดาบ้าง
จึงทันได้รับทราบข่าวจากการป่าวประกาศของโลกพยุหเทวดา
และพากันเจริญฌานต่อๆไป จนไปบังเกิดในพรหมโลกจนหมด

มหาอภิธัมมัตถสังคหาฎีกา (หลักสูตรชั้นมัชฌิมอาภิธรรมมิกะตรี) โดยนำมาจาก คัมภีร์วิสุทธิมรรค ชินณปลีปกรณ์ สารัตถทีนีฎีกา อีกต่อหนึ่ง

โลกพยุหเทวดาไม่ใช่ใครอื่น คุณเกษมครับ เดี๋ยวตอนท้ายกัปป์คงต้องรบกวนกันอีกที
ขอบคุณล่วงหน้าครับ

 

*** น้ำ ****

ปริมาณน้ำ ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์จัดสรร ให้กับโลก...ตามสัดส่วนที่ขาดหายไป
เพื่อ...ปรับให้โลกมีความสมบูรณ์เหมือนครั้งโบราณกาล
ในทุกอณูของทุกสรรพสิ่งบนโลก....จะมีน้ำเพิ่มมากขึ้น
อณูของหิน...ก็มีน้ำเพิ่มขึ้น
อณูของเหล็ก....ก็มีน้ำเพิ่มขึ้น
อณูของทุกอย่าง...ก็มีน้ำเพิ่มขึ้น
ต่อไปนี้....โลกกำลังปรับตัวมากขึ้น
ฝน ลูกเห็บ หิมะ....จะตกมากขึ้น
ระดับน้ำทะเล...จะสูงมากขึ้น
สิ่งที่ไม่เคยเห็น....สิ่งแปลกๆ....เราก็จะได้เห็นกัน
พายุใหญ่จะเพิ่มมากขึ้น....เกิดบ่อยขึ้น
แผ่นดิน...จะเปลี่ยนแปลงมากขึ้น

ต่อไป...ผู้ที่รอดพ้นภัย...จะสมบูรณ์ยิ่ง
โลกจะสมบูรณ์ไปทุกอย่าง

ภัยที่จะเกิดขึ้น...จึงมีสาเหตุมาจาก...น้ำ
ที่มาจากแหล่งน้ำของจักรวาล...คือ ทางช้างเผือก
ที่เป็นน้ำแข็ง ลอยมาตามลมจักรวาล...
ที่จัดสรรโดยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือ โลกุตตรธรรมธรรม

สาเหตุต่างๆ ...ไม่ใช่ ...โลกร้อนขึ้น
แต่...สาเหตุ คือ น้ำมากขึ้น
มนุษย์ ไม่สังเกตกันเอง...น้ำลงมาที่ไซบีเรีย !!!!!!!
นี่คือ....การจัดสรรให้โลกสมบูรณ์ โดยสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่คอยดูแล จักรวาล

- " หนุมาน ผู้นำสาร "

 

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width="96%" align=center border=0><TBODY><TR><TD height=70>นอภ.เชียงแสน รุดตรวจโบราณสถานหลังแผ่นดินไหว </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ededed>18:55 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากแผ่นดินไหวในเวลา 15.17 น. ที่มีแรงสั่นสะเทือนได้ถึง 5.4 ริกเตอร์ ในเขตพม่า ห่างจาก อ.แม่สาย จ.เชียงราย ประมาณ 150 กิโลเมตร นั้นพบว่าประชาชนในจังหวัดเชียงรายสามารถรับแรงสันสะเทือนได้อย่างรุนแรง ทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ตามตึกสูง บริเวณเขต อ.แม่สาย อ.เชียงแสน อ.แม่จัน และ อ.เมือง ต้องหนีลงมาอยู่ตามท้องถนน หรือสถานที่โล่งกว้างเพื่อความปลอดภัย พร้อมกันนี้เจ้าหน้าที่ ได้ออกประกาศประชาสัมพันธ์ตามเสียงตามสายของแต่ละชุมชน ในข้อระวังระวังในการเกิดแผ่นดินไหวขึ้น และยังเร่งสำรวจความเสียหายจากแผ่นดินไหว
นายสมหวัง รุ่งตระกูลชัย นายอำเภอเชียงแสน จ.เชียงราย กล่าวว่า หลังจากเกิดแผ่นดินไหวได้มีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่และกรมศิลปากรได้เร่งออกสำรวจเมืองโบราณสถาน หรือนครโยนกเก่า ที่มีอายุมากกว่า 1,000 ปี ที่มีอยู่มากในเขต อ.เชียงแสน เป็นการเร่งด่วน เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดการเสีย หายและพังทลายลงมาได้ ซึ่งเบื้องต้นก็ยังไม่ได้รับรายงานความเสียหายแต่อย่างไร แต่ก็ต้องให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกรอบ "อย่างไรก็ตามก็ได้มีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพระธาตุจอมกิตติ อย่างเร่งด่วน เนื่องจากพระธาตุจอมกิตติได้มีรอยร้าวจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งที่ผ่านมา จนทำให้ยอดพระธาตุตกลงมาเสียหาย ซึ่งเบื้องต้นก็ได้ทำการปิดล้อมเขตบริเวณพระธาตุจอมกิตติแล้ว เพื่อไม่ให้ประชาชนได้เข้าไปยังบริเวณ ดังกล่าว ซึ่งเกรงว่าจะทำให้พระธาตุได้รับความเสียหายและอาจจะเกิดอุบัติเหตุกับประชาชนได้" นายสมหวัง กล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานต่อไปอีกว่า หลังจากที่เกิดแผ่นดินไหวแล้ว ก็ยังเกิดอาฟเตอร์ช๊อกตามมาเป็นระยะอีกหลายครั้ง ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะกล้าเข้าไปอยู่ในบ้านเรือน ต้องออกมาอาศัยอยู่ตามสถานที่โล่งกว้าง
</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="96%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=right width="65%" bgColor=#ededed></TD><TD align=right width="35%"> </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width="96%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>เนชั่นทันข่าว


........ไหวอีกแล้ว


</TD></TR></TBODY></TABLE>

 

จตุคามรามเทวราชโพธิสัตว์
โดยเอกอิสโร วรุณศรี


ภาพประกอบจากทางอินเตอร์เน็ต
​

เรื่องราวที่จะได้นำมาเสนอต่อจากนี้ ก็เป็นเพียงความเห็นและความเชื่อของผู้เขียน และอาจจะไม่เหมือนความเชื่อที่ท่านทั้งหลาย เคยได้ยินได้ฟังมา อีกทั้งไม่กล้ายืนยันด้วยว่า จะเป็นความเห็นหรือความเชื่อที่ถูกหรือไม่? ได้แต่ตั้งสัตยาธิษฐานว่า แม้นว่าตัวของข้าพเจ้านี้ ได้รับอาณัติสัญญาณให้มาเปิดเผยเรื่องนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกที่ตรง ก็ขอให้ข้าพเจ้าประสบแต่ความจำเริญยิ่งๆ ขึ้นไป แต่หากการเปิดเผยเรื่องนี้ของข้าพเจ้า จะเป็นการสร้างความเห็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ก็ขอให้เทพยดาฟ้าดิน จงได้ลงโทษลงทัณฑ์ แก่ตัวข้าพเจ้าภายใน ๓ วัน ๗ วัน ด้วยเทอญ

เพื่อไม่ให้ต้องสิ้นเปลืองน้ำหมึก และพื้นที่หน้ากระดาษ ข้าพเจ้าจึงขอประกาศว่า แท้ที่จริงแล้ว​

 

http://www.sciam.com/article.cfm?articleID=49B0CB1C-E7F2-99DF-31B25137E601E0C5

ENVIRONMENT
An Earth Without People
A new way to examine humanity's impact on the environment is to consider how the world would fare if all the people disappeared
By Steve Mirsky

 

เกาะญี่ปุ่นหายไป​

ภาพแผนที่โลกใหม่ของนาย Gordon-Michael Scallion​

ผู้ที่ทำแผนที่ขึ้นมาคือนาย Gordon-Michael Scallion มี Web Site ชื่อว่า earthchanges.com นายคนนี้แกเป็นผู้หยั่งรู้อนาคต (futurist) มีญาณทัศนะ(Spiritual Visionary) คือมองเห็นอนาคตด้วยญาณ มีความแม่นยำมาก(ตามที่ Web site ของแกกล่าวอ้าง) จบการศึกษาท่างด้านอิเลคทรอนิคส์(ไม่ได้บอกว่าระดับไหน) ในปี 1979 เคยเกือบตายมาแล้วแต่กลับฝื้นขึ้นมาได้ในที่ หลังจากนั้นก็พบว่าได้รับพรสวรรค์ในเรื่องของการหยั่งรู้อนาคต

http://content.kapook.com/cgi-bin/artman/exec/view.cgi?archive=1072&num=19051

คำทำนายจาก อ.ปริญญา ตันสกุล

ญี่ปุ่น หายไปจากโลก ก่อนเกิดเหตุจะมีบรรยากาศเงียบสงัด วังเวง หดหู่เวิ้งว้าง มนุษย์จะเห็นเหตุการณ์ประหลาด เมฆสีเทาก้อนใหญ่ 2 ก้อน ลอยเคลื่อนตัวเข้าหากัน แล้วชนกันแตกกระจายเป็นฝนเม็ดโต ๆ ใต้ทะเลเกิดคลื่นไซโคลนขยายตัวพุ่งเข้าหาเกาะ จะกระแทกทุกเกาะเหมือนล้อมรั้ว เกาะทุกเกาะจมหายลงไปในทะเล

http://medinfo.psu.ac.th/pr/WebBoard/readboard.php?id=5692

 

เปรียบเทียบภาพแผนที่โลกใหม่



ภาพแผนที่โลกใหม่ของ อ.ปริญญา ตันสกุล
(พื้นที่สีแดงหมายถึงบริเวณที่ถูกน้ำทะเลท่วมถึง)​

ภาพถ่ายทางดาวเทียมจากโปรมแกรม PointAsia​

ภาพแผนที่โลกใหม่ของนาย Gordon-Michael Scallion​

แผนที่นี้ ภายใต้ชื่อ Future Map Of The World ถูกสร้างขึ้นเนื่องจากเมื่อปี 1978 (พ.ศ. 2521) นาย Gordon ได้มองเห็นภาพอนาคตของโลกเป็นครั้งแรก โดยก็มองเห็นตัวเอง อยู่สูงขึ้นไปในอวกาศแล้วมองกลับลงมาบนโลก หลังจากนั้นอีกหลายปีก็เห็นภาพเดิมอีกครั้ง ทำให้เข้าสามารถสร้าง แผนที่โลกในอนาคตขึ้นมาและพิมพ์ในปี พ.ศ.2525 โดยนาย Grodon เชื่อว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในระหว่างปี 1998-2012(พ.ศ.2541-พ.ศ.2555) โดยเหตุการณ์จะเกิดจากต้นเหตุสำคัญคือแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดอันเนื่องมาจาก แผ่นทวีปของเปลือกโลกเคลื่อน โดยสภาพการเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปในแต่ละพื้นที่ดังนี้​

เอเชีย -- เนื่องจากมีวงแหวนไฟ(Ring of Fire)ผ่าน Asia (แนวเขตรอยต่อของแผ่นเปลือกโลก(Plate boundary) โดยส่วนแนวเขตนื้เรียกว่า riff ) ทำให้เป็นเขตเกิดแผ่นดินไหวสูง ยังผลให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในเขตนี้ โดยจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ตั้งแต่ ฟิลิปปิน ญี่ปุ่น ไปจนถึงทะเลแบริ่ง(เป็นช่องแคบอยู่ระหว่างรัฐอะแลสกา กับรัสเชีย) รวมทั้งหมู่เกาะคูรินและเกาะแซคาลิน(เป็นของรัสเชีย อยู่ใกล้กับ ฮอกไกโด ญี่ปุ่น) เนื่องมาจากแผ่นแปซิฟิกเคลื่อน(Pacific Plate shift)ไป 9 องศา เกาะญี่ปุ่นจะจมเหลือไวเพียงแค่ 2-3 เกาะเล็กๆเท่านั้น ไต้หวัน และเกาหลีส่วนใหญ่จะหายไปในทะเล และด้วยเหตุที่แผ่นโลกเคลื่อนตัวนี้ แนวฝั่งของจีนจะเลือนร่นเข้าไปในแผ่นดินใหญ่หลายร้อยไมล์ อืนโดนีเซียจะถูกทำลาย ถึงแม้ว่าจะมีเกาะใหม่เกิดขึ้นมาด้วยก็ตาม ฟิลิปปินส์จะถูกกลืนหายลงไปในทะเล เอเซียจะได้รับความสูญเสียอย่างหนักจากการเปลี่ยนแปลงใหญ่ครั้งนี้ และจะมีแผ่นดินใหม่เกิดขึ้นด้วย​

สิ่งที่ความพิจารณาจากคำทำนายนี้ก็คือ เอเชียอยู่บน 3 แผ่นทวีปคือ 1.แผ่นฟิลิปปิน 2.แผ่นอินโด-ออสเตรเลียน 3.แผ่นยูเรเซียน(ไทย - จีน อยู่บนแผ่นนี้) บริเวณที่ไทยและจีนอยู่เป็นเขตแผ่นดินยกตัวดังนั้นหากเกิดการเปลี่ยนแปลงรุนแรงขึ้นจริงน่าจะเป็นไปในทางที่ทำให้แผ่นดินยกตัวสูงขึ้นมากกว่า โดยที่แผ่นแปซิฟิกที่ว่าเคลื่อนไป 9 องศานั้น ทิศทางการเคลื่อนที่ตามปกติก็จะเคลื่อนที่ในทิศทาง มุดตัวลงใต้แผ่นทวีป ยูเรเซียน บริเวณ ประเทศญี่ปุ่นและมุดตัวลงใต้แผ่นฟิลิปปิน และ แผ่นอินโด-ออสเตรเลียนมุดตัวใต้แผ่นยูเรเซียนบริเวณเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งการมุดตัวดังกล่าวจะทำให้ทวีปยกตัวขึ้น ข้อพิสูจน์นี้ก็ได้แก่ที่ราบสูงทิเบต เทือกเขาหิมาลัย และ อีสานของไทย ซึ่งถูกยกตัวสูงขึ้นจากเมื่อ 60-20 ล้านปีก่อน สำหรับในส่วนของประเทศอื่นๆขออนุญาตไม่วิจารณ์นะครับ แต่จะเอามาให้ดูและคิดกันเอาเอง​

ที่มา
http://content.kapook.com/cgi-bin/ar...1072&num=19051​

 

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="96%" border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2 height=75>

​

</TD></TR><TR><TD vAlign=top width="22%" bgColor=#ffffcc>

<TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR onmouseover="setPointer(this, '#D2FFD2')" onmouseout="setPointer(this, '')"><TD>

หน้าแรก​

</TD></TR><TR onmouseover="setPointer(this, '#D2FFD2')" onmouseout="setPointer(this, '')"><TD>

แนะนำร้านฯ​

</TD></TR><TR onmouseover="setPointer(this, '#D2FFD2')" onmouseout="setPointer(this, '')"><TD>

คณะกรรมการฯ​

</TD></TR><TR onmouseover="setPointer(this, '#D2FFD2')" onmouseout="setPointer(this, '')"><TD>

ภาพกิจกรรม​

</TD></TR><TR onmouseover="setPointer(this, '#D2FFD2')" onmouseout="setPointer(this, '')"><TD>

สินค้า​

</TD></TR></TBODY></TABLE>
​

</TD><TD vAlign=top width="78%">

[SIZE=+1]แนะนำร้านฯ[/SIZE]

ร้านโครงการฯ สวนจิตรลดา สาขาพระดาบส ตั้งอยู่ ณ โครงการพระดาบส
ถนนศรีอยุธยา (เยื้องสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตเทเวศร์)



แผนที่แสดงที่ตั้งร้านฯ
คลิ้กภาพแผนที่เพื่อดูภาพขนาดใหญ่
​

</TD></TR></TBODY></TABLE>

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD></TD><TD></TD></TR><TR><TD></TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>

[SIZE=+1]สินค้า
[/SIZE]
​

<TABLE cellSpacing=5 cellPadding=5 width=450 border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2>

[ สินค้าใหม่ ]​

</TD></TR><TR><TD>

​

</TD><TD>

​

</TD></TR><TR><TD>

[ นม เนย โยเกิต ]​

</TD><TD>

[ น้ำดื่ม น้ำผลไม้ น้ำผึ้ง ชา กาแฟ ]​

</TD></TR><TR><TD colSpan=2></TD></TR><TR><TD>

​

</TD><TD>

​

</TD></TR><TR><TD>

[ ผลไม้กระป๋อง ผักผลไม้สด-แห้ง แยม ]​

</TD><TD>

[ ข้าว ขนมปัง เครื่องปรุงรส สมุนไพร ]​

</TD></TR><TR><TD colSpan=2></TD></TR><TR><TD>

​

</TD><TD>

​

</TD></TR><TR><TD>

[ เทียน น้ำหอม แอลกอฮอล์ แชมพู ]​

</TD><TD>

[ ปุ๋ย อาหารปลา เสื้อ กระเช้า และอื่นๆ ]​

</TD></TR></TBODY></TABLE>
​

ที่มา http://web.schq.mi.th/~dabos_place/product.htm​

 

The Day After Tomorrow:
ฤาว่าวันหลังจากพรุ่งนี้จะมาเร็วกว่าที่เราคิด​

​

<!--Main-->ผมเชื่อว่าเราหลายคนคงได้ข้อมูลที่น่าตกใจจากสารคดีโลกร้อน เรื่อง An Inconvenient Truth ที่เข้ามาฉายในบ้านเรา และอาจอดคิดถึงหนังไซไฟผจญภัยเรื่อง Day After Tomorrow ไม่ได้

จริงอยู่ที่ว่าเหตุการณ์จริงคงต่างจากในหนัง เพราะการจะเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติแบบนั้นจะไม่เกิดแบบปัจจุบันทันด่วน มันจะค่อยเป็นค่อยไป ภูมิอากาศที่แปรปรวนก็จะค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้โหมโจมตีพร้อมๆ กันแบบในหนัง

แต่เราก็เห็นลางบางอย่างจากภูมิอากาศในปัจจุบันแล้วใช่ไหมครับ ตอนนี้พายุโหมกระหน่ำบ้านเราอย่างหนัก ฝนตกหนักมาก ขณะที่ทางอเมริกาก็เผชิญเฮอริเคนมากมายอย่างที่ไม่เคยเจอ

ผมได้รับทราบอีกหนึ่งลางบอกเหตุที่น่ากลัวเกี่ยวกับปัญหาโลกร้อนครับ นั่นก็คือในช่วงฤดูร้อนปีนี้ที่น้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลาย ปีนี้มันละลายมากจนกลัว

น่ากลัวอย่างไร

1. นักวิทยาศาสตร์พบว่าพวกเขาสามารถแล่นเรือจากยุโรปไปขั้วโลกเหนือได้ง่ายดาย ไม่ติดขัดเหมือนเมื่อก่อน พิสูจน์ให้เห็นว่าน้ำแข็งละลายไปมากจนไม่เป็นอุปสรรค ( อ่านข้อมูลเพิ่มเติมจาก AFP )

และ 2. น่าตกใจมาก นักวิทยาศาสตร์พบว่าหมีขั้วโลกจมน้ำตายครับ ทั้งนี้เพราะน้ำแข็งละลายมากจนไม่มีความหนาแน่นพอให้มันเหยียบเดิน (อ่านเพิ่มเติมที่ Planet Ark )

<!--End Main-->​

และขณะที่เหตุการณ์น่ากลัวอย่างนี้ ปธน.จอร์จ บุช มีจดหมายถึงนักวิทยาศาสตร์ว่าห้ามพูดคุยว่าปัญหาพายุเฮอริเคนเกี่ยวข้องกับโลกร้อน

หมีขั้วโลกกำลังไม่มีบ้านอยู่​

​

​

​

<!--Main-->[SIZE=-1]หนังสือพิมพ์ Dailymail ของอังกฤษได้ตีพิมพ์ภาพที่น่าสะท้อนใจอย่างมาก เห็นแล้วสงสารหมีขั้วโลกที่ตอนนี้กำลังจะไม่มีบ้านอยู่เพราะน้ำแข็งที่ขั้วโลกกำลังละลาย มีรายงานว่ามีหมีตายเพราะจมน้ำไปแล้วหลายตัวเหมือนกันครับ[/SIZE]

[SIZE=-1]และทั้งที่มีหลักฐานทางธรรมชาติยืนยันขนาดนี้เกี่ยวกับภาวะโลกร้อน ยังไม่รวมการประชุม Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC) ที่สหประชาชาติจัดขึ้นเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาที่ระบุว่าสาเหตุของภาวะโลกร้อนตอนนี้เกิดจากน้ำมือมนุษย์ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ The Guardian รายงานว่านักวิทยาศาสตร์และนักนิเวศวิทยาจำนวนมากถูกเสนอเงินให้ถึงหนึ่งหมื่นเหรียญสหรัฐ โดยล็อบบี้ยิสต์ของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ เพื่อไม่ให้เขียนบทความเรื่องโลกร้อนครับ[/SIZE]

[SIZE=-1]ที่มา http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=jediyuth&date=20-09-2006&group=14&gblog=1[/SIZE]

 

เค้าลาง ถูกส่งมาเตือนก่อนเหตุจริงจะเดินทางมาถึงชั่วระยะเวลาหนึ่ง


ไม่ว่าชั่วระยะเวลานั้น จะเป็นเวลาที่ยาวนานหรือสั้นสุดแสนเพียงใด


แต่ ความจำเป็นในขณะนี้คือ การทำดีที่สุดต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

เพื่อ ประคับประคองสังขารที่ป่วยไข้ของโลก

 

อมตะ????????????

ถ้าเข้าใจ ดวงจิตวิญญาณ เป็น พลังงานหนึ่งเดียว และไม่มีวันสูญหาย
การตายเป็นเพียง การสลายของรูปกาย ถ้ายังไม่หลุดพ้น
ก็คงเหลือ ดวงจิตวิญญาณ ที่มี สัญญา เวทนา สังขาร ติดอยู่ว่าเป็น เรา
แล้วจะกลัวอะไร?????????????
ดวงจิตวิญญาณ เรานั้น อมตะ แท้แน่นอน
แต่จะอยู่ภพไหน????อีกเรื่องหนึ่ง(b-oneeye)

 

หลวงพี่เทศน์ได้ซึ้งมากครับ

 

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>อัศจรรย์กูเกิ้ลเอิร์ธ!! ชี้ปั๊บจุดเครื่องบินตกในเขมร</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>26 มิถุนายน 2550 01:55 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=480 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=480> </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left><CENTER>กูเกิ้ลเอิร์ธเร็วมาก.. แสดงแหล่งเครื่องบินตกในภาคใต้กัมพูชา [SIZE=+0]</CENTER>[/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5></TD></TR></TBODY></TABLE>
กรุงเทพฯ— ขณะที่การค้นหาแหล่งเครื่องบินตกในกัมพูชายังไม่คืบหน้าเมื่อวันจันทร์ (25 มิ.ย.) กูเกิ้ลเอิร์ธ (Google Earth) ได้ใช้สายตาจากห้วงหาว ฟันธงระบุจุดในแผนที่ซึ่งเชื่อว่าเป็นจุดที่เครื่องบินโดยสารพร้อมผู้คนกว่า 20 คน ได้โหม่งโลกในเวลาสายวันเดียวกัน

การระบุแหล่งเครื่องบินตกทำได้ในเวลาไม่กี่ชัวโมงหลังมีรายงานเครื่องบินโดยสารเช่าเหมาลำ ได้หายไปจากจอเรดาร์ของการบินกัมพูชาเมื่อวันจันทร์นี้ โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เทียบข้อมูลเวลากับพิกัดบนเส้นทางของเครื่องบินชะตาขาดลำดังกล่าวและเชื่อว่ากูเกิ้ลเอิร์ธจะสามารถแสดงรายละเอียดจนมองเห็นซากเครื่องบินได้ในวันอังคาร ถ้าหากสภาพอากาศแจ่มใสอีกครั้ง

คาดว่าผู้โดยสารพร้อมลูกเรือกว่า 20 คนบนเครื่องแอนโตนอฟ 24 (AN-24) ของสายการบิน MPT Air จะเสียชีวิตทั้งหมด ในอุบัติเหตุที่เชื่อว่าเกิดจากสภาพอากาศเลวร้าย ฝนตกหนัก และเกิดพายุลมแรงจากทะเลจีนใต้พัดกระหน่ำ

เครื่องบินที่ผลิตในอดีตสหภาพโซเวียต บินขึ้นจากท่าอากาศยานเสียมราฐ-อังกอร์ เวลาประมาณ 10.00 น. และ หายไปจากจอเรดาร์ในอีก 37 นาทีต่อมา ทั้งนี้เป็นการเปิดเผยของนายแก้ว สีวอน (Keo Sivorn) ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการคณะกรรมการการบินกัมพูชา

</TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=480 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=480> </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left><CENTER>แผนที่ของกูเกิ้ลเอิร์ธแสดงจุดที่เครื่องบินชะตาขาดตกลงในเขตป่าเขา ก่อนจะถึงปลายทางที่อยู่ไม่ไกลออกไป [SIZE=+0]</CENTER>[/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5></TD></TR></TBODY></TABLE> เครื่องบินเช่าเหมาลำดังกล่าวพร้อมผู้โดยสารชาวเกาหลี 13 คน มีชาวเช็ค กับนักบินรัสเซียพร้อมพนักงานชาวเขมรอีก 5 คน มุ่งหน้าไปยังสนามบินเมืองสีหนุวิลล์ เมืองตากอากาศทางภาคใต้ของประเทศ ที่อยู่ห่างจากกรุงพนมเปญราว 250 กิโลเมตร

"เครื่องบินตกลงบริเวณระหว่างภูเขาโบกอร์กับภูเขากำจาย" นายสีวอนกล่าวกับสำนักข่าวเอเอฟพี และกล่าวอีกว่ายังไม่ทราบว่ามีผู้เสียชีวิตหรือไม่หรือมีผู้รอดชีวิตกี่ราย

เจ้าหน้าที่ทหารบอกกับสำนักข่าวเอเอฟพีอ้างชาวบ้านในท้องถิ่นที่เห็นเหตุการณ์ว่า เครื่องบินได้พุ่งภูเขา มีเสียงระเบิดพร้อมเห็นไฟลุกโชติช่วง แต่ก็ไม่มีรายละเอียดอื่นใดอีก เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ยากแก่การเข้าถึง

เครื่องบินเช่าเหมาลำดังกล่าวเป็นของสายการบิน PMT Air เปิดให้บริการระหว่างกรุงพนมเปญกับจังหวัดต่างๆ ตามประวัตินั้นได้เกิดอุบัติเหตุมาแล้วอย่างน้อย 3 ครั้งในช่วง 2 ปีมานี้ ครั้งแรกเครื่องยนต์ขัดข้อง อีกลำหนึ่งแฉลบลงข้างรันเวย์ขณะกำลังจะขึ้นบินจากสนามบิน จ.รัตนะคีรี ในเดือน พ.ย.2548

</TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300> </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left><CENTER>ภาพถ่ายดาวเทียมดัดแปลงแสดงบริเวณอุทธยานแห่งชาติโบกอร์ รอยต่อ จ.กัมโป้ท (Kampot) กับสีหนุวิลล์ ที่เชื่อว่าเป็นแหล่งเครื่องบินตก [SIZE=+0]</CENTER>[/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5></TD></TR></TBODY></TABLE>

</TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450> </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left><CENTER>AN-24 เครื่องของ PMT Air ที่ตกในภาคใต้เมื่อวันจันทร์ก็หน้าตาแบบเดียวกันนี้ [SIZE=+0]</CENTER>[/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5></TD></TR></TBODY></TABLE>

</TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450> </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left><CENTER>เครื่อง Y-7 พิมพ์เดียวกันเด๊ะกับ AN-24 ผลิตในจีน ลำนี้ของ PMT Air เช่นเดียวกัน ไถลออกจากรันเวย์ที่สนามบินรัตนะคีรีของกัมพูชาในเดือน พ.ย.2548 [SIZE=+0]</CENTER>[/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5></TD></TR></TBODY></TABLE> สายการบิน PMT เปิดบินระหว่างเมืองเสียมราฐกับสีหนุวิลล์เมื่อเดือน ม.ค.ปีนี้ เพื่อเชื่อมการท่องเที่ยวเชื่อมระหว่างสองปลายทางสำคัญของประเทศ ตามนโยบายรัฐบาล

นักท่องเที่ยวชาวเกาหลีเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดที่เดินทางเข้ากัมพูชา จากจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด 1.7 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว

เคยเกิดอุบัติเหตุทางอากาศครั้งใหญ่ในกัมพูชาเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน เมื่อเครื่องบินโดยสารสายการบินเวียดนามตกลงใกล้กับท่าอากาศยานกรุงพนมเปญ ท่ามกลางอากาศที่เลวร้าย

มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้นจำนวน 64 คน มีผู้รอดชีวิต 4 คน เป็นทารกชาวไทย 2 คน เด็กชายชาวไทยอีก 1 คน เด็กชายชาวเวียดนามอีก 1 คน.
</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>โลกร้อนกับโรคร้าย : มหันตภัยของคนกรุงเทพฯ</TD></TR></TBODY></TABLE>
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE>
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>26 มิถุนายน 2550 09:14 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>

</TD></TR></TBODY></TABLE>
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle>
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> เดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหนก็จะมักจะได้ยินบทสนทนาที่เกี่ยวกับปัญหาโลกร้อนอยู่บ่อยๆจากที่เมื่อก่อนเป็นเรื่องไกลตัว เอ่ยถึงกันแต่ในแวดวงนักวิชาการ แต่เดี๋ยวนี้ไม่เว้นแม้แต่แม่ค้าในตลาดสดก็ยังพูดถึง

</TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5></TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5></TD></TR></TBODY></TABLE> ปัญหาโลกร้อนได้ถูกหยิบยกเป็นประเด็นสำคัญจนเกิดคำขวัญรณรงค์

 

ช่วงเวลานี้เพื่อนๆพวกเราที่อยู่ทางภาคเหนือคงต้องระมัดระวังตัวเองกันเอาไว้ให้มากๆครับเพราะมีภัยพิบัติมากันหลายๆด้านครับ ตั้งแต่แผ่นดินไหว ไปจนถึง น้ำป่า แผ่นดินถล่ม ขอให้ระมัดระวัง ตื่นเร็ว นอนเร็วกันนะครับ เตรียมเป้ฉุกเฉินกันเอาไว้บ้างก็ดีครับ

ขอให้ปลอดภัยกันทุกๆท่านครับ