ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. ckj_tong

    ckj_tong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +869
    เห็นด้วยกับการแจ้งเตือนภัยต่อไปครับ
     
  2. ยัย fame

    ยัย fame เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2011
    โพสต์:
    386
    ค่าพลัง:
    +104



    ขอบคุณลุง k-97 มาก ๆ ที่คอยเตือนทุก ๆ คน...........จะรอฟังข้อมูลจากลุง............คะ
     
  3. kwanruen_pui

    kwanruen_pui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +126


    ขอบคุณลุง k-97 มากค่ะ

    จะคอยฟังคำเตือนนะคะ
     
  4. Heureuse

    Heureuse เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2008
    โพสต์:
    857
    ค่าพลัง:
    +3,446



    นำมาให้นำไปเป็นข้อมลหนึ่ง เพื่อจะไปประกอบกับที่คณมีกันอยู่
    เพื่อเตรียมการ เพื่อความไม่ประมาทเฉยๆค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2012
  5. Heureuse

    Heureuse เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2008
    โพสต์:
    857
    ค่าพลัง:
    +3,446
    วันเสาร์ที่ ๒๘ ม กร าค ม ศกนี้ ชาวเว็บเว็บและครอบครัว อย่าลืมรับยันตเกราะเพชรกันนะคะ

    จัดโดยวัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี
    ขอแจ้งล่วงหน้า เพื่อการเตรียมตัวรับยันต์เกราะเพชร

    ใน วันเสาร์ 28 มกราคม 2555 นี้

    เป็นวันสำคัญอันเป็น " วันเสาร์ ๕ ขึ้น ๕ ค่ำ "
    เป็นวันทำพิธี " เป่ายันต์เกราะเพชร "


    ทุกท่านทั่วโลกสามารถเข้าร่วมพิธีที่บ้านตนเองก็ได้จ๊ะ


    วิธีรับยันต์เกราะเพชรด้วยตนเองที่บ้าน
    เราต้องเริ่มพิธีเวลาเดียวกัน ( ทั้งจักรวาล) รับเองที่บ้านก็ง่ายๆๆมาก ขอให้ใจถึง

    ๑๐.๐๐ น. เป่ายันต์เกราะเพชร รอบแรก
    ๑๓.๐๐ น. เป่ายันต์เกราะเพชร รอบที่ ๒

    สิ่งที่ต้องเตรียมเพื่อ เป็นเครื่องบูชาพระ - ไหว้ครู
    - ธูป 3 ดอก
    - เทียน 1 เล่ม (หนัก 1 บาท) ขี้ผึ้งแท้ก็ดีนะ ควรอย่างยิ่ง
    - ดอกไม้สด

    ถ้าเป็นหญิงมีครรภ์ ต้องจัดธูปเทียน เผื่อลูกในท้องอีก ๑ ชุด ธูปเทียนนี้ไม่ต้องจุด เมื่อเสร็จพิธีแล้ว
    นำกลับบ้านได้ ใช้สำหรับไล่ผีชะงัดนัก เอาธูปเทียนจี้เข้า ผีเผ่นกระเจิง...!

    ทำพิธีหน้าหิ้งพระ หรือโต๊ะหมู่บูชาพระ หรือถ้าไม่มีก็หันหน้าไปทางทิศตะวันออก
    ในช่วงเวลาเริ่มต้นพิธีให้กราบพระรัตนตรัย สวดบทไตรสรณคมณ์ สมาทานศีล 5 สมาทานพระกรรมฐาน
    (ตามแบบหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง หรือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    แล้วดูภาพยันต์เกราะเพชรไว้ หรือภาพพระพทธเจ้า ตั้งใจจำภาพนั้นไว้ในใจ แล้วหลับตาภาวนาว่า พุทโธ ไปเรื่อย ๆ
    หากไม่มีภาพยันต์ก็ให้ภาวนา "พุทโธ" ไปอย่างเดียว ให้ภาวนาไปประมาณ 30 นาที ก็เป็นอันเสร็จพิธี

    ขณะที่นั่งภาวนาบางคนมีอาการหนักศีรษะบ้าง เหมือนไรไต่อยู่ที่ศีรษะบ้าง มีอาการร้อนหู ร้อนหน้าบ้าง
    อย่างนี้เรียกว่า ยันต์เกราะเพชรเข้าถึงตัว
    อาการอย่างนี้จะทรงอยู่ ๒-๓ วัน ก็จะหาย ทั้งนี้เพราะยันต์เกราะเพชรจะค่อย ๆ ซึมเ้ข้าไปทีละนิด
    จนกระทั่งทั่วร่างกาย แล้วอาการนี้จึงจะหาย

    ถ้าหากว่ายันต์เกราะเพชรยังไหลไม่ทั่วร่างกายเพียงใด ความรู้สึกหนัก หรือร้อนหน้าร้อนตา
    หรือคล้ายไรไต่ตามหน้าตาก็จะยังปรากฏอยู่

    การเป่ายันต์ไม่ได้เป่าทีละคน หากแต่พร้อมกันทีเดียว "พระ" ท่านบอกว่า เป่าทีเดียวทั่วจักรวาล
    จะอยู่มุมไหนของโลกก็ตาม ถ้าตั้งใจรับด้วยความเคารพก็มีผลเช่นเดียวกัน

    ใครรับยันต์เกราะเพชรแล้ว
    ๑. จะไม่ตายโหง
    ๒. จะไม่ถูกคุณผี คุณคน จะป้องกันสรรพอันตรายที่บุคคลทั้งหลายทำมาด้วยวิชาการต่าง ๆ
    ๓. จะไม่ตายด้วยพิษของสัตว์พิษ อย่างนี้เป็นต้น


    และบุคคลทั้งหลาย ถ้าได้รับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว ถ้าบูชาไว้ด้วยดี
    ใครก็ตามจะกลั่นแกล้งบุคคลที่ได้รับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว
    ท่านห้ามไม่ให้โกรธตอบ ให้ทำเฉยแล้วบุคคลนั้นจะได้รับผลกรรมที่ตัวทำนั้น
    หมายความว่า เราไม่ต้องทำตอบ เมื่อเขาแกล้งเราด้วยวิธีใด ก็วิธีนั้นแหละจะลงโทษเขา
    ถ้าเขาคิดจะฆ่าเรา เขาก็ตายเอง ถ้าเขาจะกลั่นแกล้งเราให้ย่อยยับ เขาก็ย่อยยับเอง
    ถ้าเขาจะทำให้เราลำบาก เขาก็ลำบากเอง อันนี้เป็นวิธีการอันหนึ่งที่ไม่ใช่ทำให้เขาลำบาก
    ถ้าเขาทำ ผลนั้นเขาจะพึงได้รับเอง เราไม่บาป

    แต่มีเงื่อนไขอยู่ว่า
    ๑. ห้ามดื่มสุราเมรัยเด็ดขาด
    ๒. ห้ามทุจริตโดยการลักขโมย ฉ้อโกง อย่างนี้เป็นต้น


    ถ้าใครประพฤติปฏิบัติในศีล ๒ ประการได้ ยันต์เกราะเพชรก็จะคุ้มครองบุคคลผู้นั้น
    ถ้าใครรักษาศีลไม่ได้ ยันต์เกราะเพชรจะไม่คุ้มครอง อันนี้เป็นความจริง

    แต่อย่าลืมการอาราธนาในแต่ละวันด้วยนะคะ หรือก่อนออกจากบ้าน ลองดูในวีดีโอหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านได้อธิบายไว้ค่ะ

    [​IMG]



    <embed src="http://vdo.palungjit.org/nuevo/player/nvplayer.swf?config=http://vdo.palungjit.org/nuevo/econfig.php?key=1ff0a2b48614529fbf9f" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer" type="application/x-shockwave-flash" height="400" width="500">


    หมายเหตุ เพื่อข้อมูลที่ชัดเจน และถูกต้องโปรดอ่าน
    http://buddhasattha.com/2010/<wbr>07/18/ยันต์เกราะเพชร

    http://palungjit.org/<wbr>f23/มหัศจรรย์-รับยันต์เกราะเพชรผ่าน-dvd-ได้.186407/

    http://palungjit.org/<wbr>.61/ทริปบวงสรวงไหว้ครูประจำปี-<wbr>เป่ายันต์เกราะเพชร-วัดท่าขนุน-<wbr>วันที่-28-ม-ค-55-a.318106/

    http://audio.palungjit.org/<wbr>f20/เสียงสวดมนต์ในงานเป่ายันต์<wbr>เกราะเพชรของหลวงพี่เล็ก-3891.<wbr>html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2012
  6. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    แต่มีเงื่อนไขอยู่ว่า
    ๑. ห้ามดื่มสุราเมรัยเด็ดขาด
    ๒. ห้ามทุจริตโดยการลักขโมย ฉ้อโกง อย่างนี้เป็นต้น


    สาธุค่ะ
     
  7. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    "ข้าว"
    บางทีก็ขายเพลิน..จนลืมไปว่าในบ้านไม่มีจะกิน!!!

    ถ้าคนไทยไม่มีข้าวกิน...คงต้องกลับไปหาหัวเผือกหัวมันกินกันตาย...เหมือนในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองครับ

    สงครามและมันเพิม โดย มนตรา เลี่ยวเส็ง
    Saturday, 01 November 2008

    ลูกกลมๆ สีดำที่วางอยู่บนโต๊ะหลายวันมาแล้วดูเป็นสิ่งใหม่สำหรับยายนักหนา ลองหยิบขึ้นมาบีบก็แล้ว ดมดูก็แล้ว ก็ยังมืดแปดด้านไม่รู้ว่าไอ้ลูกดำๆ แข็งๆ สากๆ นี้คืออะไรหนอ อีกหลายวันถัดมา ยายจึงรู้ว่ามันคือ “บีทรูท” ผลไม้นำเข้าที่กำลังเป็นที่นิยมโดยเฉพาะในหมู่ของผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ยายก็รู้แค่นั้นว่าเป็นของ “ฝรั่ง” รู้อีกหน่อยว่าราคาคงแพงน่าดู

    แต่ของพวกนี้ไม่มีทางได้กินเงินยายหรอก ยายให้เหตุผลว่าแค่กินตามที่อีพออีแมเฮาเคยกินกันมาก็แทบจะกินไม่ทันอยู่แล้ว! ยายตั้งใจจะเอาเจ้าบีทรูทไปเก็บไว้ในตู้เย็น แต่พอพลิกมันขึ้นจนเห็นไส้ในสีชมพูแปร๋นแหลนเท่านั้นแหละ ยายถึงกับร้องเสียงหลงซ้ำไปซ้ำมาว่า “มันเพิมๆ” ราวกับว่าได้เจอคนรู้จักอีกครั้งหลังจากที่ต้องจากกันมานานถึงหกสิบกว่าปี

    คนอีสานรู้จักมันแทบทุกชนิด เผือกมันตามป่าตามดงถือเป็นมรดกทางอาหารที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ ต้นไม้ใบหญ้าต้องทับถมไม่รู้กี่ร้อยกี่พันปีกว่าจะเกิดเป็นป่าที่มีของป่าไว้ให้ลูกหลานได้กิน ยายจึงสำนึกถึงบุญคุณของป่าและบรรพบุรุษยิ่งนัก

    ดูเหมือนมันของยายนั้นมีอยู่ร้อยกับแปดอย่าง แต่ที่ชื่นชอบเป็นพิเศษคือ “มันนก” ยายเล่าว่ามันนกมีหัวยาวเป็นศอกเป็นแขน มีหนวดสีน้ำตาลขึ้นอยู่เต็มตามหัว ไปหาเถอะตามที่ที่เป็นดินทราย รับรองไม่ผิดหวัง ยายย้ำนักย้ำหนาว่าเวลาเก็บมัน ให้หักเอาแต่หัวแล้วนำจุกเล็กๆ ที่ติดมากับหัวไปฝังไว้ที่เดิม จะได้มีกินในปีต่อๆ ไป มันนกนี้คนอีสานชอบเอาไปนึ่งหรือต้มกิน ถ้าวันไหนพอมีเวลาหน่อยก็จะลงทุนปอกแล้วต้มกับกะทิไว้กิน

    [​IMG]
    เวลาไปหามันนกก็ต้องเก็บ “มันน้ำ” ที่อยู่ติดๆ กันมาด้วย มันน้ำมีสีน้ำตาล หัวใหญ่กว่าและหวานกว่ามันนก คนส่วนใหญ่จึงชอบกินกันเปล่าๆ อ้อ แล้วเวลาไปหามัน ก็อย่าเก็บจนเต็มกะตา (ตะกร้าสานด้วยไม้ไผ่) ล่ะ เผื่อที่ไว้ให้ “มันแซง” เวลาเดินผ่านดงป่าทามด้วย มันชนิดนี้ชอบแซงต้นไม้ในป่าขึ้นมา เลยตั้งชื่อให้เจ็บใจเล่นว่า “มัน (ชอบ) แซง” มันแซงมีทั้งเถาเล็กเถาใหญ่ พอถึงหน้าแล้งจะทิ้งซากไว้ตามต้นไม้ ใบร่วงหมดเห็นแต่เถา คนหาไม่เป็นรับรองไม่ได้กินเพราะนึกว่ามันตายแล้ว มันแซงคล้ายกับมันมือเสือแต่อร่อยกว่ามากนัก มีรสหวาน นำมานึ่งเสียให้ดีแล้วปอกเปลือกออก กัดกินกับข้าวเหนียวร้อนๆ ก็แซ่บหลายแล้ว

    เรื่องของมันยังไม่จบเพียงเท่านี้ ยายเล่าว่ายังมี “มันอิอ้อน” หัวสั้นและกลมเท่ากำปั้นที่คนอีสานนิยมนำมาต้มกิน แต่ถ้าจะกินให้ได้บรรยากาศฝนตกพรำๆ ต้องกิน “มันสาคู” เพราะพอถึงหน้าฝนทีไร คนอีสานจะต้องลงเผือกลงมันสาคูไว้ ยายชอบกลิ่นหอมของฝนเพราะนำกลิ่นของมันสาคูติดมาด้วยทุกครั้ง ไม่ว่าอยู่ที่ไหนเป็นต้องได้กลิ่น ใบมันสาคูสีเขียวแต่หัวกลับมีสีขาว ยาวแค่ฝ่ามือ

    [​IMG]
    มันพวกนี้คนสมัยใหม่ไม่มีใครรู้จักแล้ว ยายเคยลองถามคนอีสานด้วยกันไม่รู้กี่คนต่อกี่คน ต่างก็ได้แต่ส่ายหัวว่าไม่รู้จัก ดูเหมือนคนสมัยนี้จะรู้จักแต่ “มันสำปะหลัง” หรือมัน 5 นาที เพราะใช้เวลาต้มเพียง 5 นาทีก็สุก เร็วทันใจสมชื่อ สมสมัยเสียจริง หรือไม่ก็ “มันแกว” (คนอีสานเรียกมันแกวตะเภา) และ “มันเทศ” (คนอีสานเรียกว่ามันแกว) เท่านั้น ยายได้แต่แปลกใจว่าความหลากหลายของพืชพันธุ์ธัญญาหารมันหายไปไหนหมด และมันเพิมที่ยายเคยกินมาแต่อ้อนแต่ออกนั้น มันกลายเป็นของฝรั่งไปได้อย่างไรกัน

    [​IMG]
    “มันเพิม” มีชื่อเล่นกับเขาเหมือนกันว่า “มันเลือดนก” คนอีสานนิยมปลูกไว้ตามบ้าน พออากาศเย็นเข้าหน่อยอย่างเดือนสิบสองต่อเดือนอ้ายถึงเดือนยี่ หัวมันจะโผล่ดินขึ้นมาชูหน้าสลอน คนไม่รู้หลงนึกว่าหัวเล็กๆ ที่ไหนได้ต้องขุดจนเป็นหลุมเบ้อเริ่มจึงจะถอนหัวมันออกมาได้ ก็มันหัวหนึ่งหนักเป็นสิบกิโล กินอย่างไรก็ไม่หมด เลยต้องนำไปแบ่งให้ชาวบ้านช่วยกินด้วย มันเพิมยังแตกออกตามข้อบนเถาที่พันกันอยู่ตามต้นไม้ ภาษาทางการของคนอีสานเรียกส่วนที่แตกออกมานี้ว่า “หำ” พอเถาแห้งก็เก็บหำที่ติดอยู่มาต้มหรือนึ่งกิน บ้านที่มีลูกเยอะจะชอบมันเพิมนักหนา ก็กินได้ทั้งหัวทั้งหำเลยนี่นา

    ยายเล่าอย่างภูมิใจว่าที่อีสานมีความมั่นคงทางอาหารสูง ขนาดเกิดสงครามขึ้น ชาวอีสานก็ไม่อดอยากเพราะอาหารการกินมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ ยายเล่าว่าไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหนก็มีแต่อาหารสารพัดนึก ทั้งป่าเห็ดอีตุ๊ (หรือเห็ดส้ม) ป่าเห็ดละโงก ป่าเห็ดเผิง (เห็ดผึ้ง) ป่ามัน ป่าหน่อไม้ ป่าหัวลิงและอีกสารพัดป่ารอบตัว ปัญหาใหญ่จริงๆ ในช่วงสงครามจึงไม่ใช่อาหารแต่กลับเป็นด้ายเย็บเสื้อผ้า แต่ก็มีพวกหัวใสบางคนนำเชือกกาบกล้วยมาเย็บแทนด้าย วิธีการคือนำกาบกล้วยมาฉีกเอาแต่เส้นใยมาใช้ บางคนก็ขูดใยจากใบสับปะรดมาใช้แทนด้ายเย็บผ้าก็มี

    สงครามครั้งที่หนักที่สุดคือสงครามโลกครั้งที่สอง ยายจำได้ว่ามีลางบอกเหตุมากมายในช่วงนั้น เรื่องที่ดูจะเป็นที่สนอกสนใจของผู้คนคือเรื่องที่มีกบเขียดและแมลงต่างๆ พากันขึ้นไปตายที่ต้นหนามแท่งแถววัดใต้เป็นร้อยเป็นพันตัว ตายทับกันคากิ่งคาต้นอยู่อย่างนั้น คนดูแล้วก็สงสัยว่ามันขึ้นไปตายบนพุ่มไม้ขนาด 4-5 คนโอบที่สูงท่วมหัวได้อย่างไรกันหนอ หรือจะเป็นอาเพศของบ้านเมืองที่ดูแล้วชวนขนพองสยองเกล้าเสียจริง มีอีกครั้งที่ยายต้องไปตามนักเรียนกลับมานั่งเรียนเพราะพากันไปเบิ่งดูอีแฮ้ง (นกแร้ง) หัวแดงเป็น 20-30 ตัวที่กำลังรุมกินหมาเน่าที่ทุ่งก่อนจะเข้าวัดใต้ นักเรียนไม่เคยเห็นอีแฮ้งใกล้ๆ เห็นแต่บินอยู่บนฟ้าสูงๆ โพ่น ลางบอกเหตุอีกเรื่องคือต้นตาลเจ็ดยอดที่ขึ้นอยู่ที่วัดมหาธาตุกลางเมือง ผู้คนได้แต่พากันวิจารณ์ไปต่างๆ นานาโดยไม่คิดเลยว่าจะเกิดสงครามและยืดเยื้อยาวนานถึง 4 ปี (2484-2488) ตั้งแต่สงครามอินโดจีนจนถึงสงครามญี่ปุ่น

    จะว่าไปแล้ว คนอีสานไม่ค่อยรู้เรื่องสงครามมากนัก ยายก็รู้จากผู้ใหญ่บ้านที่ไปรับข่าวมาจากกำนันเมื่อตอนเข้าไปประชุมที่ตัวอำเภออีกต่อหนึ่ง ยายรู้ว่าญี่ปุ่นกำลังรบอยู่กับอังกฤษและอเมริกา ต่อมาสงครามขยายตัวกว้างขึ้นจนลุกลามมาถึงไทยโดยญี่ปุ่นมาขึ้นบกที่อ่าวมะนาวที่ประจวบฯ การปะทะกันครั้งนั้นทำให้มีคนตายมากมายทีเดียว ข่าวที่ได้ยินตามมาคือเรื่องการเกณฑ์เชลยสงครามมาสร้างทางรถไฟเพื่อข้ามไปพม่าที่เมืองกาญจน์ ข่าวเขาลือกันว่าหมอนรถไฟอันหนึ่งจะต้องมีคนตายคนหนึ่ง ยายมาได้ยินข่าวลืออีกครั้งตอนสงครามใกล้จบแล้วว่าเพราะระเบิดลูกเดียวทำให้คนญี่ปุ่นหูหนวกทั้งประเทศ ญี่ปุ่นจึงต้องประกาศยอมแพ้โดยดุษฎี (แต่ถ้าพูดกับคนอีสาน ต้องพูดให้ถูกเพราะแพ้ในภาษาอีสานแปลว่าชนะ)

    [​IMG]

    ยายเล่าว่าสิ่งที่น่ากลัวในช่วงสงครามอยู่ที่เรือบินทิ้งระเบิดซึ่งมักบินมาในตอนกลางคืนจนชาวบ้านไม่เป็นอันหลับอันนอน แค่ได้ยินเสียงดังหึ่งๆ ยาวๆ มาแต่ไกลก็ตัวสั่นแล้ว พอมืดลงทุกคนต้องคอยเงี่ยหูฟังเสียงเกราะสัญญาณเตือนภัยให้ดี ยายชมว่าเกราะของอีสานนั้นเสียงดัง ตีครั้งหนึ่งได้ยินกันทั้งหมู่บ้าน ตัวเกราะทำจากไม้ไผ่บ้าน ต้นหนึ่งใหญ่เท่าโคนขาและยาวเป็นแขน

    [​IMG]

    พอกำนันและผู้ใหญ่บ้านตีเกราะเท่านั้น ผู้คนจะพากันวิ่งตาลีตาลานจนตาเหลือกลงบันไดบ้านไปยังหลุมหลบภัยที่แต่ละบ้านได้เตรียมไว้โดยทำเป็นอุโมงค์ลึกแค่มิดหัว ปากหลุมต้องไม่กว้างมากนักประมาณ 3 ฟุต หลุมของบ้านยายนั้นใหญ่ขนาดแค่ 4 คนนั่ง ลำบากหน่อยก็ตอนต้องพาลูกที่อยู่ในท้องลงหลุมด้วยนี่แหละ ยายจำต้องยอมลงหลุมเป็นคนสุดท้ายเพราะใช้เวลานานกว่าเพื่อนเนื่องจากติดท้อง ต้องค่อยๆ ดึงด้านโน้นทีด้านนี้ที การเคลื่อนไหวต้องเป็นไปอย่าง “มิดจี่หรี่คือป่าซ้า” (เงียบฉี่เหมือนป่าช้า) ท่ามกลางความมืดมิดของค่ำคืนสมัยที่ยังไม่มีไฟฟ้าไว้ใช้ ช่วงหลังๆ แม้แต่น้ำมันก๊าดที่ใช้จุดตะเกียงกระป๋องก็แทบจะไม่มี ต้องนำน้ำมันมะพร้าวหรือขี้ไต้มาใช้แทน

    การหลบภัยแต่ละครั้งใช้เวลานานเป็นชั่วโมง ต้องนั่งเห็ดจ้อค่อ (นั่งยองๆ) พนมมือกันจนมือชาขาแข็ง ภายในก็แสนจะอึดอัดคับแคบหายใจแทบไม่ออก ลงหลุมแล้วก็ไม่ได้พูดได้คุยกัน ทำได้แค่นั่งสวดมนต์เงียบๆ บทสวดมนต์ถือเป็นยาแก้กลัวที่สำคัญโดยขอให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์คุ้มครอง ขอพระแก้วมรกต พระเจ้าใหญ่ เจ้าพ่อหลักเมือง ขอเลยไปถึงเจ้าที่เจ้าทาง ผีบ้านผีเรือน เจ้ากรรมนายเวร ปู่ย่าตายาย พ่อใหญ่แม่ใหญ่ ขอแม้กระทั่งญาติๆ ที่ล่วงลับไปแล้วให้มาปกปักรักษา แล้วจบท้ายด้วยคำพูดที่ว่า “ผู้ข่าบ่เอาเด้อลูกระเบิด เอาไปทิ่มบ่อนอื่น อย่ามาทิ้งบ่อนนี้เด้อ ไปทิ้งแม่น้ำทะเลพู่นเด้อ” ฟังแล้วก็สงสัยว่าคนอีสานสมัยนั้นรู้จักทะเลแล้วเหรอ ยายตอบว่าไม่รู้หรอกว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร เห็นเขาพูดก็พูดตามเขาไปอย่างนั้นเอง ยายต้องทนนั่งอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะได้ยินเสียงตีเกราะอีกครั้งจึงพากันออกมาจากหลุม โชคดีหน่อยที่อีสานไม่มีฝน แต่ฝนก็ยังดีกว่างู บางคนถูกงูที่แอบลงไปอยู่ในหลุมหลบภัยกัดตายคาที่ก็มี

    ถ้าเครื่องบินมาแบบปัจจุบันทันด่วน กลับบ้านไม่ทัน หลวงก็เตือนให้วิ่งไปที่หลุมหลบภัยสาธารณะที่หลวงขุดไว้ตามจุดต่างๆ หลายที่ หลุมหลบภัยของหลวงนั้นจะขุดเป็นร่องยาวกว้าง 1 เมตร ยาว 10 เมตรและลึกแค่ 1 เมตร ส่วนผู้ที่อยู่ในท้องนาก็ให้นอนราบใช้คันนาบังไว้ ยายบอกว่าคันนาบ้านยายนั้นทั้งใหญ่ทั้งกลมจนสามารถขี่ควยบักตู้ (ควายเขาทู่) กินหญ้าร้องเพลงบนคันนาได้อย่างสบายใจ

    จวบจนสงครามยุติก็ยังไม่ปรากฏว่าเครื่องบินฝรั่งเคยทิ้งระเบิดลงที่ใดเลย ยายเข้าใจว่าคงหาจุดทิ้งไม่เจอเพราะมืดมิดไปหมด ที่มืดเพราะผู้คนช่วยกันพรางไฟตามที่ผู้ใหญ่บ้านขอร้อง โดยการนำเขม่าก้นหม้อดินที่ขูดออกมาไปผสมกับน้ำมันยางใช้ทาหลังคาสังกะสีหรือกระเบื้องเพื่อพรางไม่ให้รู้ว่าเป็นบ้านคน ในช่วงกลางคืนก็ห้ามดูดยา (ใบตองมวนยาสูบ) หรือสูบซิกาแร็ต (บุหรี่) ห้ามแม้แต่จะไต้ขี้กระบอง (จุดขี้ไต้) โดยเด็ดขาด ยายมีประสบการณ์ในการขึ้น-ลงหลุมอยู่นานถึง 4 ปีและเบื่อหน่ายจนเป็นตาหนาย (เบื่อเต็มทน) บ่อยากพบอยากเจอสงครามอีกเลย พอมาได้ยินปัญหาเรื่องเขาพระวิหารและมีนักการเมืองบางคนพูดไปถึงเรื่องของสงคราม ก็ได้แต่นึกว่าคนพูดนั้นรู้จักรสชาติของสงครามที่แท้จริงแล้วหรือไม่

    ยายจำได้ว่า 4 ปีที่อยู่ในช่วงสงครามนั้น งานเฉลิมฉลองจำต้องงดหมด ทำได้เพียงค้ำปิ่นโตส่งจังหัน (ถวายอาหารให้พระในตอนเช้า) หรือส่งเพล ส่วนคนเฒ่าคนแก่ที่เคยพากันไปถือศีลที่วัดในช่วงเข้าพรรษา วันโกน วันพระ ก็ต้องงดเพราะมีทหารม้า ม.พัน 7 หลายร้อยนายมาอาศัยอยู่เต็มศาลาวัดใต้ ยายรู้จักกันดีกับนายทหารม้า ทั้งพันตรีอ่อง ไชยมงคลและร้อยเอกศิริ ธนุกิจที่ชอบมากินข้าวที่บ้านปลัดฯ แต้ม คุณรัตน์ ซึ่งเป็นพี่เขย หรือไม่ก็มากินที่บ้านผู้ใหญ่บ้านและบ้านของยายซึ่งเป็นบ้านครู

    [​IMG]

    ประเพณีอีสานนั้นหากมีเจ้านายมา จะต้องจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้อย่างดี โดยเลี้ยงอาหารที่มีทั้งไก่ต้มและเหล้ายาปลาปิ้ง (สุราเถื่อนขวดละ 5 สตางค์ หัวเหล้าแรงเหมือนแอลกอฮอล์) กินกันไม่อั้นและเลี้ยงกันทุกวัน ยายจะถือโอกาสพูดคุยซักถามเรื่องงานและแลกเปลี่ยนข่าวสารบ้านเมืองด้วย ส่วนทหารญี่ปุ่นนั้นอยู่ห่างออกไปราว 3 กิโล โดยอาศัยอาคารเรียนของโรงเรียนเทศบาล1 อยู่ ปกติจะต่างคนต่างอยู่ ว่ากันว่าคนญี่ปุ่นนั้นเวลา อาบน้ำจะไม่นุ่งผ้า เวลาเดินผ่านโรงเรียน จึงต้องรีบเดินและก้มหน้า ชาวบ้านแถวนั้นได้แต่บอกกันต่อๆ มาว่า “ยั่นหลาย” (กลัวมาก) ครั้นฝรั่งมาถึง กลับยิ่งน่ากลัวกว่าเพราะมีข่าวว่าฝรั่งชอบผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว และขนาดตัวที่ต่างกันทำให้ข่าวความเจ็บปวดของเมียคนไทยกลายเป็นข่าวใหญ่ที่มีให้ได้ยินเป็นระยะ

    [​IMG]

    สงครามนำความเจ็บปวดมาให้ยายเมื่อตาถูกเรียกไปเข้าร่วมในสงครามอินโดจีนในปี พ.ศ. 2484 โดยต้องไปรายงานตัวที่บก. 9 จังหวัดอุบลราชธานีในตำแหน่งทหารสื่อสาร เพราะเมื่อสมัยหนุ่ม ตาเคยถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารสื่อสารสะพานแดงที่บางซื่อ อันที่จริง ตาก็เพิ่งจะลาออกจากตำรวจอินโดจีนได้ไม่กี่วัน และสามารถสอบเป็นทนายความประจำนครจำปาศักดิ์ได้ (รุ่นเดียวกับนายผาด อังกินันท์ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นทนายชื่อดังของเมืองไทย) แต่ตาก็ไม่ได้รับการยกเว้น ยายจำได้ว่าได้ช่วยตาเตรียม กางเกงแพรหลายสี กางเกงปังลิงสีดำ เสื้อกุยเฮง เสื้อกล้ามและเสื้อคอกลมตราลูกไก่ไปไว้ใช้

    หลังจากที่ตาไปแล้ว ยายก็แทบไม่ได้ข่าวจากตาอีกเลยนอกจากจดหมายที่เขียนมาว่าตาไปประจำอยู่ที่อำเภองาว จังหวัดลำปางก่อนย้ายไปอยู่ที่บ้านจ้อง ลำปาง จากนั้นก็ไปอยู่ที่กว๊านพะเยา การติดต่อเป็นไปอย่างยากลำบากเพราะจดหมายที่ส่งมานั้นมิได้ระบุจุดที่ส่ง ต้องปิดเป็นความลับ ในจดหมายตาบอกแค่ว่าไม่ต้องห่วง สบายดี คิดถึงแต่เมียและลูก แล้วตาก็เงียบหายไปโดยก่อนที่จะขาดการติดต่อไปนั้น ตาเขียนมาบอกว่ากำลังอยู่ที่เชียงตุง ครั้งนั้นเองที่ยายได้รับของฝากเป็นเข็มขัดเงินหนักสิบบาทใส่กระป๋องผักดองจีจั๊กฉ่ายเป็นพัสดุภัณฑ์มาให้

    หลังจากตาเงียบหายไป ยายต้องทนกับแรงกดดันทางสังคมที่มีอยู่รอบด้านที่นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เริ่มจากเพื่อนครูบางคนที่เดินทางไปอุบลฯ แล้วกลับมาลือว่ามีข่าวว่าตาตายแล้ว ทำให้ทุกคนเชื่อว่าตาตายแล้วจริงๆ หนำซ้ำพี่เขยยายยังคอยหาคู่ให้ยายโดยจะให้แต่งงานใหม่กับอัยการประจำจังหวัด แต่ยายนั้นลงได้รักใครแล้วเป็นรักมั่นจนตาย ยายจึงปฏิเสธไป ยายเชื่อว่าถ้าตาตาย ทางการจะต้องแจ้งข่าวให้ลูกเมียทราบ ดังนั้น ยายจึงไม่ยอมเชื่อข่าวโคมลอยใดๆ

    สมัยนั้นยังไม่มีผู้หญิงอีสานที่กล้าแต่งงานกับผู้ชายไทย ดังนั้น พอตาหายไป ชาวบ้านจึงพากันดูถูก บางครั้งถึงกับถุยน้ำลายใส่หน้าว่าคนบ้านเดียวกันไม่แต่ง อยากมีผัวไทย ก็เลยเป็นอย่างนี้ แต่หลังจาก 5 ปีผ่านไป ความเชื่อมั่นของยายก็เป็นจริงเมื่อตาเดินทางกลับมาบ้านหลังจากญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ได้ไม่นาน

    ยายเล่าว่าตาถือเป็นคนจีนที่หล่อเหลาเอาการคนหนึ่ง ผิวพรรณสะอาดสะอ้านเกลี้ยงเกลา แต่กลับมาเที่ยวนี้ มีแต่แผลเป็นเต็มตัวเพราะโดนทากกัดบ้าง โดนยุงกัดบ้าง ตาเล่าให้ยายฟังว่าสงครามทรมานมาก บางครั้งต้องนั่งเฝ้าศพเพื่อนๆ ที่ตายในสนามรบอยู่บนตอไม้ ไม่ให้หมาป่ามาแทะศพระหว่างรอเพื่อนคนอื่นๆ ตามมาสมทบ เวลานอนก็ต้องนอนบนแคร่ไม้ ก่อนนอนต้องเผาใบไม้เศษไม้ให้เป็นขี้เถ้าล้อมรอบแคร่เพื่อไม่ให้ทากเข้ามากัด

    แต่กระนั้นก็ยังไม่วายโดนกัดอยู่ดีตอนอยู่เวรยามและออกสำรวจ ส่วนเรื่องอาหารการกินก็ขาดแคลน ข้าวตังที่เตรียมไปบางครั้งหมดก่อนกำหนดกลับ ต้องทนอดข้าวอดน้ำนานถึง 3 วัน อาศัยน้ำจากบ่อน้ำนกที่อยู่ตามโพรงต้นไม้ซึ่งไม่ได้หาเจอได้ง่ายๆ กินกันตาย เวลากินต้องม้วนใบไม้ทำเป็นจอกตักน้ำ อีกสิ่งสำคัญที่ช่วยให้รอดมาได้ก็คือเผือกมันนี่เอง มิน่า ยายถึงชอบกินเผือกกินมันนักหนา

    พอลูกหลานพายายไปทานอาหารที่ร้านฝรั่งชื่อดังซึ่งมีสลัดบาร์ที่ขึ้นชื่อเพราะมีผักต่างๆ พร้อมกับน้ำสลัดและเครื่องปรุงรสอีกร่วมครึ่งร้อยรายการวางโดดเด่นบนโต๊ะกลางร้าน ยายหันไปเห็นมันเพิมที่หั่นใส่ชามกระเบื้องไว้อย่างดี ก็ยิ้มแต่ก็ยังไม่กล้ากินอยู่นั่นเองเพราะมันได้กลายเป็นอาหารต่างชาติสำหรับยายไปเสียแล้ว...

    ที่มา http://downtoearthsocsc.thaigov.net/index.php?option=com_content&task=view&id=17&Itemid=9
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2012
  8. kumpeang

    kumpeang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    546
    ค่าพลัง:
    +1,984
    ขออนุญาต นำข้อธรรม ตรง จาก หลวงปูทวดมาฝากนักปฎิบัติธรรมครับ

    " ท่านใหญ่ว่า เมื่อคืนแม่เด็กนั่งสมาธิ
    <DIR>หลวงปู่ทวดท่านมาสงเคราะห์บอกข้อธรรม
    ให้มองคนให้เป็นระดับเดียวกันหมด
    อารมณ์ในการ โกรธ โมโห เมตตา จะได้เท่ากัน
    คือ ไม่มีอะไรอื่นใด นอกจากเมตตาเกิด
    แม่เด็ก น้อมรับ และ ปฎิบัตินะคับ

    ขอให้เพื่อนๆ เจริญในธรรมนะครับ สาธุ.... _/|\_
    </DIR>
     
  9. k_isara 1

    k_isara 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +7,059
    7 ม.ค. 55 ดาบสองคม

    มือหนึ่งโบกให้ไป อีกมือไซร้กลับให้หยุด
    การงานก็สะดุด ผู้ให้หยุดต้องรับผิด
    ส่งเสริมให้ทำงาน โปรดระวังอย่าให้ติด
    ผู้ห้ามต้องรับผิด โปรดอย่าคิดว่าหวังดี

    องค์อินทร์ ๙๗
    ทำการแทน
     
  10. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    คนดียังไม่สิ้น 4สาวเยาวชนไทย เก็บเงินกว่า 1.8 ล้านบาทคืนเจ้าของ


    [​IMG]
    ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับข่าว
    รายงานข่าวแจ้งว่า ที่สถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ สวพ.FM 91 ได้มีเด็กสาว 4ราย คือ นางสาวชฎาธาร ดิลกวัฒนะคูณ อายุ 16 ปี นักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญศึกษา,นางสาวนันจนา สุขสดมภ์ อายุ 17 ปี นักเรียนโรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์,นางสาวญาณิศา วงศ์ทัศนีโย อายุ 17 ปี นักเรียนโรงเรียนแอ๊ดเวนตีสเอกมัย และนางสาวลลิษรา งามเชวง อายุ 21 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ หรือ เอแบค
    ได้นำกระเป๋าถือสีดำ ภายในบรรจุเงินสด 67,197.75 บาท พร้อมเช็คเงินสด รวมมูลค่า 1.2 ล้านบาทพร้อมสมุดเงินฝากจำนวนหนึ่งส่งคืนให้กับนายอับดุลซอมะ อาฆง อายุ 38 ปี นักธุรกิจขายกระเป๋าที่ตึกใบหยก2 ย่านประตูน้ำผู้เป็นเจ้าของ
    โดยนายอับดุลซอมะ เผยว่า เมื่อวันที่ 6 มกราคม หลังจากปิดร้านเสร็จ ตนพร้อมภรรยาขับรถมาจอดที่ห้างสยามพารากอน เพื่อมาเลือกซื้อของกลับบ้าน ก่อนออกจากห้างภรรยาขอตัวเข้าห้องน้ำ ชั้น จี. ส่วนตนเดินเข้าไปเลือกซื้อหนังสือรอ หลังจากเสร็จภารกิจ เดินกลับมาที่ลานจอดรถพึ่งรู้ตัวว่าลืมหยิบกระเป๋าออกมาจากห้องน้ำ จึงรีบกลับไปดูแต่ก็ไม่พบ
    จากนั้นได้ติดต่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของทางห้างฯ ตรวจดูภาพจากกล้องวงจรปิด พบนักศึกษาผู้หญิง 4 คน เดินออกจากห้องน้ำ ในท่าทางลักษณะดีใจ ซึ่งตนก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นผู้ที่เก็บกระเป๋าถือบรรจุเงินไปหรือไม่ จึงตัดสินใจเดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน และได้เยาวชนคนดีนำมาคืนดังกล่าว
    ด้าน นางสาวลลิษรา กล่าวว่า ก่อนกลับบ้านแวะเข้าห้องน้ำชั้น จี. พบกระเป๋าถือสีดำ วางอยู่บนโต๊ะตั้งกระจก พอเปิดดูภายในพบเงินสดมัดรวมกันเป็นปึกตกใจมาก ไม่รู้ว่าเป็นของใคร จึงโทรศัพท์ไปปรึกษาพ่อกับแม่ ซึ่งได้แนะนำให้โทรศัพท์เข้ามาที่สถานีฯ
    โดยเอกสารภายในกระเป๋าเกี่ยวกับหมู่บ้านดูแล้วเหมือนเจ้าของกำลังเตรียมเงินจำนวนนี้เพื่อไปใช้จ่าย พวกตนไม่อยากได้เพราะไม่ใช่เงินของเรา กลัวเจ้าของเงินเดือดร้อนมากกว่า หากใครเก็บของคนอื่นได้ขอให้ตามหาเจ้าของเพื่อส่งคืน ให้คิดถึงความเดือนร้อนของคนอื่นมากๆ

    Mthai News


    [​IMG]
    สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานผลการจัดอันดับ “ทราเวล เทรนด์ 2012″ เกี่ยวกับความสนใจของนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ผ่านทางสถิติการค้นหาเที่ยวบินทางเว็บไซต์
    ปรากฏว่าประเทศไทยเป็นชาติที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวมากที่สุดเป็นอันดับที่ 13 ในปีที่ผ่านมา และยังถือเป็นชาติที่ได้รับความสนใจสูงขึ้นมากที่สุดเป็นอันดับที่ 14 ด้วยอัตราถึง 28.9%
    ด้าน กรุงเทพมหานครก็ยังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง แม้จะเกิดเหตุการณ์มหาอุทกภัยก็ตาม โดยในปีนี้ กรุงเทพฯ สามารถคว้าอันดับ 8 ในการจัดอันดับสุดยอดเมือ งและรีสอร์ทรอบโลกอีกด้วย
    โดย 20 อันดับแรกคือ 1. สเปน 2. สหรัฐ 3. อังกฤษ 4. อิตาลี 5. ฝรั่งเศส 6. ตุรกี 7. เยอรมนี 8. โปรตุเกส 9. กรีซ 10. ไซปรัส 11. ไอร์แลนด์ 12. ออสเตรเลีย 13. ไทย 14. เนเธอร์แลนด์ 15. โปแลนด์ 16. อินเดีย 17. สวิตเซอร์แลนด์ 18. โครเอเชีย 19. แคนาดา 20. โมร็อคโก

    Mthai News


    [​IMG]
    ทหารและตำรวจเนเธอร์แลนด์ต้องช่วยกันอพยพประชาชน 800 คนใน 4 หมู่บ้านทางเหนือของประเทศที่จังหวัดกรอนินเก้นเมื่อวานนี้ หลังจากเจ้าหน้าที่สังเกตเห็นรอยรั่วของพนังกั้นน้ำที่สร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันหมู่บ้านหลายแห่งในเมืองดังกล่าว
    เจ้าหน้าที่เผยว่า ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับฝนที่ตกลงมาอย่างหนักต่อเนื่องทำให้น้ำในลำคลองเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งทำให้แรงดันน้ำบริเวณพนังกั้นน้ำสูงขึ้นด้วย และล่าสุดก็เกิดรอยรั่วแล้ว ทางการจึงต้องอพยพประชาชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก่อนหน้านี้ 1 วันอพยพไปแล้ว 400 คน
    ขณะที่ทหารและอาสาสมัครก็ช่วยกันนำกระสอบทรายไปวางกั้นตามแนวพนังกั้นน้ำเป็นแนวยาว 400 เมตรเพื่ออุดรอยรั่ว
    ทั้งนี้ประชากรในเนเธอร์แลนด์มีกว่า 16 ล้านคนและประชากรครึ่งหนึ่งของประเทศอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ซึ่งเมื่อปี 1953 หรือเมื่อ 59 ปีก่อน เนเธอร์แลนด์ต้องเผชิญกับน้ำท่วมครั้งใหญ่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 2,000 คน
    [​IMG]
    [​IMG]
    ข้อมูลจากครอบครัวข่าว 3
     
  11. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    <TABLE border=0 width=670 bgColor=#ffffff><TBODY><TR bgColor=#ffcae3><TD>โอบามาประกาศปรับยุทธศาสตร์ทางทหารที่มุ่งลดงบครั้งใหญ่ </TD></TR><TR><TD> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=668><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ภายหลังสหรัฐทำสงครามทั้งในอิรักและอัฟกานิสถานร่วม 10 ปีสูญเสียทั้งกำลังพลและงบประมาณมหาศาล ล่าสุดประธานาธิบดีบารัก โอบามาประกาศปรับนโยบายทางทหารครั้งสำคัญที่มุ่งลดงบประมาณของกองทัพในยุคที่ต้องรัดเข็มขัด และจะเปลี่ยนจากภารกิจสงครามขนาดใหญ่ ไปมุ่งเน้นรักษาอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียแปซิก

    ประธานาธิบดีโอบามา แถลงที่กระทรวงกลาโหมเมื่อวานอย่างที่ไม่ค่อยปราฏบ่อยนักโดยประกาศยุทธศาสตร์ใหม่ของกองทัพที่มุ่งรักษาความแข็งแกร่งของกองทัพด้วยงบประมาณที่น้อยลง ในภาวะที่จำเป็นจะต้องปรับลดค่าใช้จ่ายทางทหาร 487,000 ล้านดอลลาร์หรือราว 14.6 ล้านล้านบาทภายใน 10 ปีข้างหน้า

    เขาบอกว่า เวลานี้ถึงจุดเปลี่ยนของสงครามที่ยืดเยื้อหลังสามารถกำจัดโอซามา บิน ลาเดน ผู้นำเครือข่ายอัลไกด้า ถอนทหารจากอิรักหมดแล้วและเตรียมถอนทหารออกจากอัฟกานิสถาน โดยจะหันไปมุ่งรักษาอิทธิพลทางทหารของสหรัฐในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งแม้ต้องตัดลดงบประมาณ แต่ก็จะไม่ให้กระทบต่อภูมิภาคที่สำคัญแห่งนี้ รายงานข่าวระบุว่าเรื่องนี้สะท้อนถึงความกังวลของสหรัฐต่ออำนาจทางทหารของจีนที่เพิ่มมากขึ้น ตามแผนยุทธศาสตร์ใหม่จะเปลี่ยนจากแนวคิดเดิมที่มองว่ากองทัพต้องมีความพร้อมที่จะทำสงครามขนาดใหญ่สองแห่งในเวลาเดียวกันได้ สู่การเตรียมพร้อมทำสงครามเพียงแห่งเดียว และเน้นการป้องกันภัยคุกคามจากสงครามไซเบอร์และการปฏิบัติการด้วยเครื่องบินสอดแนมไร้นักบินบังคับ

    โอบามาย้ำว่าแม้กองทัพจะจำกัดงบประมาณ ก็ขอให้โลกรับรู้ว่ากองทัพสหรัฐยังคงความเป็นที่หนึ่งโดยมีกองกำลังที่ว่องไว ยืดหยุ่น และพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินและภัยคุกคามทุกรูปแบบ



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=668><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    "เทวดา"
    ต้องขอให้ช่วย ท่านจึงจะสามารถเกี่ยวข้องด้วยได้ !!!

    [​IMG]

    "เรื่องของพรหมเทวดา ถ้าเราไม่ขอให้ท่านช่วย ท่านยอมรับกฎแห่งกรรมอยู่แล้ว ท่านได้แต่ยืนมอง ถ้ามีผู้ขอให้ช่วย ท่านถึงจะสามารถเกี่ยวข้องด้วยได้" พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    หมั่นบูชาเทวดาประจำตัว ชีวิตจะพบแต่เรื่องดี

    คนบางคนนั้น เวลาที่อยู่ในช่วงที่วิบากกรรมไม่ดีนั้นส่งผล ก็จะรู้สึกว่าตนเองนั้นพบกับความเดือดร้อนหรือต้องเจอกับเคราะห์กรรมใดๆ ที่หนักและรุนแรงน้อยบ้างหนักบ้าง แตกต่างกันตามที่การกระทำที่ทำมา แต่มีหลายครั้งที่ ดูเหมือนจะไม่รอดแน่ แต่ทำไมถึงรอด และผ่านเคราะห์กรรมนั้นมาได้อย่างหวุดหวิด หลายท่านเคยสงสัยในเรื่องนี้หรือไม่

    บางคนก็อาจจะรู้หรือนึกเอาว่า ต้องเป็นเพราะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทวดาประจำตัวคอยช่วยเหลือ หรือแม้แต่เวลาที่จะมีความสุขใดๆ ก็มักจะคิดว่าเป็นเพราะเทวดาประจำตัวของท่านนั้นบันดาลมาให้

    เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เพราะทุกคนนั้นมีเทวดาประจำตัวแน่นอน แต่เป็นแค่ส่วนหนึ่ง ซึ่งเราต้องรู้ก่อนว่า เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นหรือเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นนั้น เหตุมาจากกรรมที่เราทำไม่ได้มาจากอำนาจของเทวดาแต่ประการใด ถึงแม้ท่านจะมีความศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์มีอำนาจก็จริง แต่ท่านไม่มีหน้าที่จะมาเบี่ยงเบนกรรมของผู้ใดทั้งสิ้น

    ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม

    ไม่ว่าเทวดาหรือใครทั้งนั้น แม้แต่พระพุทธเจ้าของเรายังต้องยอมรับกรรมทั้งดีและไม่ดี จนพระพุทธองค์หลุดพ้นจากการเวียน ว่าย ตาย เกิดไปแล้ว กรรมทั้งหมดจึงยุติเพราะไม่รู้ว่าจะไปส่งผลให้กับใคร

    เทวดาท่านทำเพียง จะช่วยในการดลใจให้ทำดีหรือไม่ให้ทำความชั่ว หรือคอยอวยพรให้เราพบกับสิ่งที่ดีดีในชีวิต ปกป้องดูแลไม่ให้ดวงวิญญาณอื่นมาทำร้ายเราโดยไม่มีเหตุผล

    สำหรับเทวดาที่เราเข้าใจกันว่าเป็นเทวดาประจำตัวนั้นจริงๆ แล้ว ท่านไม่ได้อยู่คอยติดตามตัวเราหรือสิงอยู่ในตัวเราอย่างที่หลายคนๆเข้าใจ เพราะการเกิดเป็นเทวดาตามที่ได้กล่าวมานั้น จะต้องบำเพ็ญบุญกุศลคุณงามความดีมากมายกว่าจะได้ไปบังเกิดในภพภูมิที่เป็นสุขอย่างนั้น แล้วลองนึกภาพตามดูว่าถ้าจะให้เทวดาเหล่านั้นท่านต้องมาคอยตามดูแลเป็นองครักษ์คอยพิทักษ์ปกปักรักษาคนที่เป็นมนุษย์อยู่ตลอดเวลา ก็คงจะเป็นไปไม่ได้

    เพราะตัวท่านเองก็ต้องเร่งสร้างบุญบารมีและมีกิจหน้าที่เหมือนกันเพื่อที่จะเลื่อนขั้นไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่า อย่างที่บอกแล้วว่าเทวดาท่านก็ต้องมีหน้าที่คือ เทวดาบางองค์ท่านต้องมีหน้าที่ไปเฝ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไปเฝ้าวัด เฝ้าพระพุทธรูป ศาลหลักเมือง ไปคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรมและมีคุณงามความดีที่ต้องปกป้องรักษา หรือถ้าไม่มีหน้าที่ ท่านก็ต้องบำเพ็ญบุญบารมีไปหรืออาจะไปเที่ยวสวรรค์เล่นก็เป็นเรื่องของท่าน

    และที่สำคัญภพภูมิของท่านหรือสวรรค์ของท่านนั้นอยู่สูงกว่ามนุษย์ ครูบาอาจารย์หลายท่านกล่าวต้องกันว่า ร่างกายของมนุษย์นั้นเหม็นมาก เพราะกินสัตว์ทุกประเภทและทำผิดศีลมากมาย เทวดาที่มีบุญบริสุทธิ์นั้นไม่อยากเข้าใกล้ และอยู่กับคนที่เหม็นไม่ได้แน่นอน ต้องอยู่ให้ห่างมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเทวดามาสิงในร่างกายคน

    แต่หลายคนเชื่อว่า ยังไม่แน่ใจว่าเทวดาประจำตัวนั้นมีจริงหรือเปล่า ขออย่าพึงปฏิเสธหรือยอมรับให้ยึดหลักกาลามสูตรของพระพุทธองค์เป็นที่ตั้ง อย่าเพิ่งเชื่อในเรื่องใดๆ ขอให้พิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง ถ้าเราพูดกันถึงเรื่องเหนือธรรมชาติแบบนี้ คนที่จะตอบเราได้ดีที่สุดก็คือ ตัวเราเองครับ ว่าเรามีความรู้สึกหรือเคยได้สัมผัสสิ่งแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตแต่หาที่มาไม่เจอ หรือเรื่องเหนือธรรมชาติที่วิทยาศาสตร์นั้นยังพิสูจน์ไม่ได้

    อย่าลืมนะครับว่า วิทยาศาสตร์นั้นเป็นแค่ศาสตร์ชนิดหนึ่งที่มีหลายศาสตร์มากมายทั่วโลก ที่พยายามจะตอบปัญหาของธรรมชาติให้คนได้รู้ได้เข้าใจ ถึงที่ไปที่มา แต่มีเรื่องราวมากมายที่วิทยาศาสตร์นั้นยังตอบไม่ได้ หรือหาเหตุผลไม่ได้

    แต่ทว่าเรื่องดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าไม่ได้มีอยู่จริง

    ขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง ในเรื่องของการทำสมาธิและพลังจิตนั้น ที่ศาสนาพุทธได้ค้นพบและประกาศออกไปเพื่อความสุขจริงของมวลสรรพสัตว์ทั้งหลายกว่า 2,500 ปี ถึงประโยชน์สุขมหาศาลที่คนที่ปฏิบัติแล้วจะได้รับทั้งทำให้มีจิตใจกล้าแกร่ง เกิดปัญญาแก้ทุกปัญหาได้ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง รักษาและฟื้นฟูร่างกายที่เจ็บป่วยได้แบบที่พระอริยสงฆ์ท่านใช้รักษาตัวกันบ่อย เชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายท่านคงจะเคยได้ยินกันมาบ้าง

    เรื่องแบบนี้วิทยาศาสตร์เพิ่งจะมาค้นพบเมื่อร้อยกว่าปีนี้ที่ค้นพบว่าการทำสมาธิในขั้นที่ลึกแล้ว จะทำให้อวัยวะภายในร่างกายทำงานได้ช้าลงและดีขึ้น อีกทั้งช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ หัวใจก็แข็งแรง เป็นต้น

    และเรื่องการเกิดของสิ่งมีชีวิต พระพุทธเจ้าค้นพบมานานเป็นพันๆ ปี มีบรรจุอยู่ในพระไตรปิฎกเรื่องการเกิดของเหล่าสรรพสัตว์ นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะมาค้นพบการเกิดของสัตว์ตัวเล็กๆ บางชนิด เชื้อโรคต่างๆ เมื่อไม่กี่ปีนี่เอง เรื่องนี้จึงพอจะยืนยันได้อีกเรื่องว่า ในบางเรื่องที่เหนือความเข้าใจ วิทยาศาสตร์ยังเข้าไปไม่ถึงแน่นอน

    และการมีอยู่ของเทวดาที่อยู่คนละภพภูมิหรือคนละชั้น แล้วการลงมาช่วยเหลือมนุษย์นี่ก็มีความเป็นไปได้ การช่วยเหลือกันข้ามภพข้ามชาตินั้น ที่สัตว์อีกชั้นหนึ่งไปช่วยสัตว์อีกชั้นหนึ่ง (เทวดา ดวงวิญญาณที่เราเรียกว่าผี มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ต่างล้วนเป็นสัตว์ด้วยกันทั้งนั้น แตกต่างที่คำเรียกตามภพภูมิเท่านั้น)

    ก็เหมือนกับการที่เราเป็นมนุษย์อยู่แล้วไปช่วยสัตว์เดรัจฉานอย่างเช่น คนไปเก็บแมวหมาจรจัดมาเลี้ยง การไปช่วยช้างเคราะห์ร้ายที่ตกบ่อให้ขึ้นมาจากหลุมหรือท่อระบายน้ำ หรือการช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับการอยู่อาศัยของสัตว์หลายๆ ประเภทอย่างนี้เป็นต้น

    คือแม้จะอยู่ภพชาติเดียวกันแต่เป็นการช่วยเหลือต่างภูมิกัน คือเราเป็นมนุษย์มีภูมิสูงกว่าสัตว์เดรัจฉานลงไปช่วยมัน ซึ่งสัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นอาจจะไม่รู้เลยก็ได้ว่านี่เป็นฝีมือของมนุษย์ที่มาคอยช่วยเหลือ

    เหล่าเทวดาก็เช่นเดียวกันครับ ท่านอยู่ในภพภูมิที่ทั้งแตกต่างและอยู่สูงกว่าอาจจะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับมนุษย์ได้ เทวดาท่านก็มีสังคมของท่านเหมือนกันในบางชั้นสวรรค์ มีทั้งเพื่อน มีสามีภรรยา มีเจ้านาย มีบริวารที่มีความรักผูกพันกัน

    เหล่าญาติหรือคนรู้จักของท่านอาจจะจุติมาเกิดในโลกมนุษย์ รวมถึงความห่วงใยในญาติ ที่ครั้งหนึ่งที่ท่านเคยเกิดมาเป็นคนก่อนที่จะมาเป็นเทวดา

    เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านก็ยังมีกิเลสมีความห่วงหาอาทรเหมือนกับคนเรา อาจคอยดูแลสอดส่องทุกข์สุขโดยการรับรู้ด้วยความเป็นทิพย์เพราะท่านมีหูทิพย์ ตาทิพย์หรือความรู้สึกอันเป็นทิพย์ เทวดาท่านก็จะรู้ขึ้นเองโดยไม่ต้องมีใครมาบอกว่า เกิดเรื่องร้ายแรงหรือมีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นกับญาติมิตรที่รักของท่าน

    เทวดาท่านมีแต่กายทิพย์ไม่มีกายเนื้ออย่างคนเรา การให้ความช่วยเหลือของท่านส่วนใหญ่จะเป็นการ “ดลจิตดลใจ” หรือโน้มน้าวให้ญาติมิตรเหล่านั้นให้เปลี่ยนจิตที่เป็นอกุศล ที่กำลังจะตกไปอยู่ในอบายภูมิให้กลับกลายเป็นจิตกุศลและมีความสุขขึ้นได้ เช่น หากญาติมิตรที่กำลังโกรธจัดเพราะเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ท่านก็แผ่เมตตาส่งบุญกุศลลงมาดลจิตใจให้สงบเยือกเย็นลง

    เคยหรือเปล่าครับที่เวลาที่กำลังโกรธใครหรือกำลังร้อนใจอะไรอยู่กับสิ่งนั้นมากๆ จู่ๆ ก็รู้สึกเยือกเย็นลง ได้อย่างน่าประหลาดเช่นเมื่อได้ก้าวเข้าไปสู่สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ อย่างเช่นในวัดวาอารามใหญ่ๆ พอเข้าไปแล้ว รู้สึกได้ถึงกระแสความอบอุ่นสว่างไสว

    ทำให้จิตที่กำลังขุ่นข้องหมองใจนั้นก็กลับสงบเยือกเย็นลงเป็นลำดับ ซึ่งเป็นเพราะเทวดาที่อยู่ในบริเวณที่แห่งนั้นได้แผ่เมตตาลงมาให้ทำให้รู้สึกสงบเย็นลง และค้นพบวิธีการแก้ปัญหาหรือพบกับคนที่จะช่วยเหลือให้รอดพ้นไปได้จากปัญหาเหล่านั้น

    เรื่องเหล่านี้เป็นการดลใจของเทวดาแน่นอน ทั้งดลใจเราและดลใจคนที่จะช่วยเราได้ ให้มีความเมตตา มีความพร้อมในเรื่องที่จะช่วยมาเจอกัน เรื่องนี้ขอให้ไปดูเรื่องของเชื่อมบุญที่อยู่ในบทต่อไป จะเข้าใจทันทีว่าทำไมต้องเชื่อมบุญกับเทวดา

    (หากต้องการทราบเรื่องรายละเอียดและความเข้าใจที่ลึกซึ้งในเรื่องเชื่อมบุญ ขอแนะนำว่าลองไปหาหนังสือ “ปาฏิหาริย์เชื่อมบุญ” ทั้งเล่มที่ 1 และ 2 ของ ธ.ธรรมรักษ์ ตามร้านหนังสือชั้นนำ มาอ่านท่านจะเข้าใจทั้งหมด)

    การดลใจของเหล่าเทวดาก็ยังมีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับฤทธิ์ของเทวดาเอง และก็กิเลสที่อยู่ในตัวคนๆนั้นด้วยหากเป็นคนมีกิเลสหนาโทสะมากๆ ถูกความมืดในจิตครอบงำเสียเต็มแน่นทำให้เห็นผิดได้อย่างรุนแรงอย่างนี้เทวดาก็ไม่อาจดลใจช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกันดุจดังความดีหรือแสงสว่างจะไม่สามารถแทรกลงไปกรรมชั่วหรือความมืดมิดได้

    ขอยกตัวอย่างในเรื่องของเทวดาท่านดลใจ ที่เกี่ยวข้องกับอริยบุคคลในสมัยพุทธกาลอีกสักหนึ่งเรื่องครับเรื่องราวนี้เป็นเรื่องของ อนาถบิณฑิกเศรษฐี ซึ่งความจริงแล้วท่านมีนามเดิมว่า “สุทัตตะ” แต่เพราะความใจบุญชอบทำทานแก่คนยากคนจนมากจึงได้ชื่ออนาถบิณฑิกเศรษฐี นี้มาซึ่งแปลว่า “เศรษฐีผู้มีก้อนข้าวให้คนยากไร้” ท่านมีกองคาราวานสินค้าเดินทางไปทั่วชมพูทวีป ค้าขายอย่างตรงไปตรงมาสร้างบุญกุศลมาโดยตลอด

    วันหนึ่งท่านก็ได้ไปค้าขายที่เมืองราชคฤห์และได้พบกับน้องเขยของท่านนามว่า ราชคฤห์เศรษฐี (ในบางคัมภีร์ ผู้รู้กล่าวว่าท่านเป็นเพื่อนกัน) ทุกครั้งที่ท่านเดินทางไปก็จะต้องไปพักกับคนผู้นี้เสมอ ภายหลังได้ทราบว่า น้องเขยผู้นี้จะนิมนต์พระภิกษุสงฆ์โดยมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประธานมาฉันภัตตาหารที่บ้าน

    ก็เกิดความดีใจมาก อยากจะนมัสการพระพุทธเจ้าในทันที แต่เพราะพระพุทธองค์ยังทรงประทับอยู่ในป่าสีตะวันยังไม่สะดวกจะให้ใครเข้าพบ น้องเขยจึงได้บอกให้ไปพักผ่อนรอก่อนในวันถัดไป

    ด้วยความตื่นเต้นดีใจที่จะได้พบพระพุทธองค์ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีถึงกับหลับแล้วตื่นถึง 3 ครั้งในคืนนั้นพอครั้งสุดท้ายที่ตื่นขึ้นมา จู่ๆ ท่านก็เดินออกไปนอกเมืองไปยังป่าสีตวัน ทั้งๆ ที่ยังเป็นเวลามืดและประตูเมืองก็ยังไม่เปิดเสียด้วยซ้ำ แต่เพราะเหล่าโอปปาติกะ (เทวดาพวกหนึ่ง) ช่วยกันเปิดประตูเมืองให้ท่านเศรษฐีเดินออกไปข้างนอกเมืองได้และทำให้เห็นว่าเวลานั้นเป็นเวลารุ่งสางแล้วแต่พอพ้นประตูเมือง ท้องฟ้าก็กลายเป็นเวลามืดอย่างเดิมอีก

    ท่านเศรษฐีตกใจกลัวคิดจะกลับเข้าเมืองตามเดิม แต่ก่อนที่จะกลับก็มีเสียงของ “สิวกยักษ์” (เทวดาพวกหนึ่ง) มากล่าวเตือนให้ท่านเศรษฐีให้ก้าวเดินไปยังข้างหน้าอย่าได้ถอยกลับ เพราะการก้าวไปข้างหน้าแต่ละก้าวนั้นเป็นก้าวย่างที่จะเดินทางไปสู่หนทางที่ประเสริฐ พอสิ้นเสียงนั้นความมืดก็หายไป ท่านเศรษฐีก็เดินเข้าไปในป่าต่อไปได้

    พอเดินไปได้สักหน่อยความมืดตามปกติก็เข้าปกคลุมอีก เสียงของสิวกยักษ์ก็ดังก้องขึ้นมาให้ก้าวต่อไปเรื่อยๆ ความมืดก็หายไปอีกสลับกันไปอยู่อย่างนี้ ด้วยเหตุที่เกิดความมืดและความสว่างสลับกันหลายครั้งทำให้ท่านเศรษฐีเกิดความท้อใจ แต่สิวกยักษ์ ก็กล่าวให้กำลังใจไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินทางมาจนถึงป่าสีตวันได้เป็นผลสำเร็จ

    ในขณะนั้นเป็นเวลาที่จวนจะรุ่งสางแล้ว พระพุทธเจ้ากำลังเสด็จจงกรมอยู่ เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ทรงประทับนั่งเหนือก้อนหินแล้วกล่าวเชิญให้ท่านเศรษฐีมาเข้าเฝ้าด้วยพระองค์เองโดย พระพุทธองค์กล่าวชื่อ “สุทัตตะ” ได้อย่างถูกต้องทั้งๆ ที่เป็นการพบกันครั้งแรกสร้างความยินดีและเลื่อมใสในตัวพระพุทธองค์แก่ อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นอย่างมาก

    จากนั้นพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมพื้นฐานเป็นการเบื้องต้นให้ เมื่อเล็งเห็นแล้วว่า สุทัตตะมีความเลื่อมใสในธรรมจริงจึงแสดงอริยสัจ 4 โปรดแด่สุทัตตะ เมื่อได้ฟังธรรมแล้ว สุทัตตะก็เกิดความซาบซึ้งในพระธรรมก้าวพ้นซึ่งความสงสัยในคำสอนของพระองค์ได้บรรลุเป็นอริยบุคคลมีดวงตาเห็นธรรม บรรลุกลายเป็นพระโสดาบันทันที

    หลังจากนั้นท่านเศรษฐีก็ประกาศปวารณาตนเองเป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนา แล้วจึงกราบอาราธนาพระพุทธองค์ไปฉันภัตตาหารพร้อมกับพระภิกษุสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งพระองค์ก็ทรงรับโดยดุษณีภาพ (หมายความว่า แสดงอาการนิ่งเป็นการยอมรับ) นี่คือเหตุการณ์การพบกันครั้งแรกระหว่างพระพุทธองค์กับอนาถบิณฑิกเศรษฐี

    ตัวอย่างเรื่องราวนี้ชี้ให้เห็นว่า เทวดาประเภทยักษ์อย่าง สิวกยักษ์ได้ทำการดลจิตดลใจของเศรษฐีให้ท่านได้มาพบกับพระพุทธองค์จนได้แสดงธรรมแก่ท่านจนได้บรรลุธรรมในชั้นต้นของพระพุทธศาสนาเป็นการสร้างบุญอันยิ่งใหญ่ซึ่งผลบุญนี้ก็จะตกไปถึงสิวยักษ์ตนนั้นด้วย

    แปลความง่ายๆ ว่า การทำบุญของเทวดาท่านก็จะทำบุญด้วยวิธีนี้ใช้การดลจิตใจให้กับผู้ที่มีบุญวาสนาที่มีบุญเชื่อมโยงถึงกันจึงเป็นเหตุให้มาสร้างบุญใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนคนที่จิตใจไม่ดีคิดแต่เรื่องอกุศล ต่อให้เทวดามีฤทธิ์แค่ไหนก็ไม่อาจช่วยเหลือได้อย่างแน่นอน

    นอกจากเรื่องเทวดาประจำตัวแล้วยังมีเรื่อง “เทวดาเจ้าที่” อีกต่างหากด้วยครับ เทวดาเหล่านี้ท่านมีหน้าที่ดูแลสถานที่เหล่านั้นให้ร่มเย็นเป็นสุข ยกตัวอย่างเช่นคนที่เคยไปนอนตามวัดวาอารามต่างๆ เพื่อฝึกปฏิบัติธรรมอาจเคยเจอเหตุการณ์ประเภทที่ทำให้รู้สึกว่า ถูกกระตุกขาหรือได้ยินเสียงอะไรที่แปลกๆ ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนมาเตือนสติหรือดลจิตใจให้ไปทำอะไรสักอย่าง

    หรือแม้กระทั่งมาสะกิดเตือนก็มีให้เห็นมามากรายแล้ว รูปแบบของการสื่อสารระหว่างคนกับเทวดาจึงมีทั้งการดลจิตใจ การปกป้อง ไปจนถึงการสะกิดเตือนตรงๆ

    เรื่องของความเชื่อเกี่ยวกับเทวดาประจำตัวนี้ ไม่ว่าคุณผู้อ่านจะเคยมีความเชื่ออย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดที่ควรกระทำก็คือ หมั่นทำความดีสร้างบุญบารมีเท่าที่ทำได้ทั้งทาน ศีล ภาวนา อย่าไปสงสัยในเรื่องของบุญและกรรมจนทำให้จิตใจตกต่ำ และหมั่นฝึก “สติ” ของเราเองให้เกิดความเข้มแข็ง สร้างฤทธิ์ทางใจให้แข็งแกร่ง มีหิริโอตัปปะประทับอยู่ในจิตใจ เป็นการต้านทานบาปและหันมาต้อนรับการทำบุญทั้งปวงจะเป็นการดีที่สุด

    การผูกพันระหว่างมนุษย์และเทวดานั้นเป็นเรื่องที่มีอยู่จริง และทุกคนมีเทวดาประจำตัวที่เคยเป็นบรรพบุรุษ พ่อแม่พี่น้อง ยาติมิตร สหายที่คอยห่วงใยและพร้อมจะช่วยเหลือเมื่อยามมีภัย คอยดลใจให้สร้างกรรมดียิ่งขึ้นไป เพราะท่านเหล่านั้นทราบดีว่า บุญนั้นเป็นที่พึ่งได้จริง

    ยิ่งในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเคยอธิษฐานจิตให้ผูกพันกันกับอีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้ต้องมีการติดตามไปเฝ้าดูอยู่ตลอดเหมือนเชือกที่โยงติดกัน แต่เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหมดบุญในการอธิษฐานหรือทำการเปลี่ยนแปลงตนเองให้ตกต่ำลงสายใยที่เคยผูกโยงไว้ด้วยบุญก็จะขาดออกจากกัน

    ทางที่ดีที่สุดเพื่อความไม่ประมาท เพราะเราไม่รู้ว่าวิบากกรรมไม่ดีจะมาส่งผลเมื่อใด ขอโปรดหันมาทำความดีละเว้นความชั่ว เพื่อเป็นการสร้างเกราะป้องกันตัวจากสิ่งเลวร้ายต่างๆ และลด ละ เลิก หลีกหนีเว้นในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามทั้งหลายจะดีกว่า

    เพราะการเอาแต่นั่งรอให้เทวดาประจำตัวมาช่วยเพียงอย่างเดียว เป็นเรื่องที่ไม่สมควรและประมาทในเรื่องของกรรมมาก เทวดาประจำตัวท่านไม่อาจจะช่วยได้เลย หากตัวเราไม่มีบุญเป็นฐานหรือกำลังสนับสนุนที่เพียงพอ ยิ่งเราเป็นผู้มีบุญมาก เทวดาท่านก็ยิ่งจะสื่อสาร ดลใจช่วยเหลือเราได้มากขึ้น เพราะเข้าออกในจิตใจเราได้สะดวกไม่มีกรรมชั่วมาขวางกั้นเอาไว้

    เคล็ดวิธีการบูชาเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์

    ดังนั้นก่อนที่จะบูชาเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ก็ตามขอให้พึงระลึกเรื่องหนึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญก่อนครับ เรื่องสำคัญที่ว่านี้ก็คือเรื่อง “กรรม” พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้และมีบันทึกในพระไตรปิฎกที่ปรากฏอยู่ในจูฬกรรมวิภังคสูตรในมัชฌิมนิกาย พระสุตตันตปิฎกมีใจความว่า

    “สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนกำเนิด มีกรรมเป็นเครื่องติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์เลวและประณีตแตกต่างกัน”

    การที่บอกว่าเทวดาท่านช่วยให้รวย ช่วยให้สุข ช่วยให้พ้นภัยนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ท่านจะช่วยในเวลาที่คนนั้นมีบุญและกรรมดีกำลังจะส่งผลเท่านั้น เป็นการช่วยให้คนๆ นั้นเร่งสร้างกรรมดีอย่างถูกต้องที่จะส่งผลให้บุญใหม่นั้นรวมกับบุญเก่าทันเวลา ไม่ใช่ท่านเนรมิตหรือทำอะไรก็ตามให้เองโดยที่คนๆ นั้นไม่ต้องทำอะไร แบบนี้มีแต่ในนิยายเท่านั้น

    การที่พิธีสำคัญต่างๆ รวมถึงการที่ทุกครั้งก่อนสวดมนต์มีการอัญเชิญเทวดามาร่วมพิธีนั้น ที่มีบทคาคาชุมนุมเทวดานั้น เป็นเรื่องที่ดีเพราะเป็นการวมผู้มีบุญบารมีมาสร้างบุญกุศลร่วมกัน จะเกิดความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น เป็นการวมพลังงานฝ่ายดี เหมือนกับรวมน้ำจากที่ต่างๆ การเป็นมหาสมุทรจะพัดพาไปที่ใดก็ร่มเย็นแล้วก็เกิดผลดี

    ขั้นตอนการบูชาให้ได้ผลอย่างแท้จริง

    ทำตนเองให้เป็นคนดี ก่อนอื่นต้องรู้ว่า การเกิดเป็นเทวดาต้องมาจากบำเพ็ญบารมีอย่างมาก เทวดาจึงมีคุณงามความดีมากกว่ามนุษย์หลายเท่า การจะหวังให้เทวดามาดูแลมนุษย์คนใดคนหนึ่งจึงเป็นไปไม่ได้ แต่ที่มนุษย์เรายังรู้สึกว่ามีความเกี่ยวข้องหรือสัมผัสถึงเทวดาได้อยู่อาจเป็นเพราะมีความสัมพันธ์กันมาในอดีต

    การที่เทวดาจะมาช่วยเหลือหรือคอยติดตามนั้นเทวดาจะคอยตามโมทนาคุณงามความดีของคนที่ได้สร้างบุญกุศลให้และดลจิตดลใจให้กระทำความดี ที่จะน้อมนำไปสู่ความสำเร็จหรือภาษาชาวบ้านก็คือ เรียกว่า “มอบโชคลาภ” ให้นั่นเอง

    แปลว่าการที่เราจะได้รับแรงสนับสนุนหรือส่งเสริมใดๆ ให้ประสบความสำเร็จ คนที่จะไปขอความช่วยเหลือก็ต้องมีคุณงามความดีมากพอด้วยไม่อย่างนั้นเทวดาท่านก็ช่วยไม่ได้

    การที่จะขอให้ท่านช่วยเหลืออะไรนั้น มีเคล็ดสำคัญมากก็คือ เราผู้ซึ่งเป็นผู้ที่ขอต้องทำการ “เชื่อมบุญกุศลคุณงามความดีส่งไปให้ท่านเสียก่อน” เพื่อแสดงความเคารพยอมรับและให้กระแสบุญนั้นผูกพันกัน เมื่อจะมีเหตุการณ์ใดท่านจะได้ช่วยเหลือหรือดลใจได้

    การเชื่อมบุญคืออะไร ทำไมต้องเชื่อม ?

    การเชื่อมบุญหากจะแปลความให้พอเข้าใจง่ายๆ ก็คือ การที่เอาบุญนั้นเป็นตัวเชื่อมให้ของสองสิ่งหรือมากกว่านั้นเข้าหากัน เหมือนดังคนที่เคยมีบุญร่วมกันมาตั้งแต่ครั้งในอดีต ตอนแรกๆ คนเราเมื่อยังไม่รู้จักกันเดินสวนกัน เจอหน้ากันอย่างดีก็ได้แค่ยิ้มแล้วก็เดินผ่านเลยไป

    เชื่อว่าต้องมีเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่ทำให้รู้จักกันถึงจะมาพูดคุยกันได้ อย่างน้อยก็คำทักทายว่า สวัสดี หรือการช่วยเหลือกันเล็กๆ น้อยๆ สักอย่างทำให้ ต่างคนต่างจำกันได้ พอเวลาพบกันครั้งต่อไปก็กลายเป็นคนรู้จักหลังจากนั้น พอทำความสนิทสนมกันมากเข้าก็กลายเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ต่อกัน พัฒนาจนไปเป็นเพื่อนสนิท หรือไม่ก็กลายเป็นแฟนเป็นคู่ชีวิตกัน

    เรื่องของเทวดานี่ก็เหมือนกันครับ ตอนนี้เราอาจหาอ่านข้อมูลต่างๆ จากหนังสือหลายๆ เล่ม ว่าท่านมีลักษณะอย่างไรอยู่สวรรค์ชั้นไหนรายละเอียดเป็นอย่างไร แต่เราก็ยังไม่ได้ทำความรู้จักท่านจริงๆ ท่านก็มองเห็นเราเหมือนกัน แต่ท่านก็ยังไม่รู้จักเรา คนไม่รู้จักกันจะให้มาช่วยเหลือเกื้อกูลกันก็คงจะเป็นไปได้ยาก

    เทวดากับเรา อาจจะยังคงเป็นคนแปลกหน้าหรือญาติห่างๆ ที่ความรู้สึกผูกพันใกล้ชิดยังไม่ถึงขั้นที่พร้อมจะช่วยเหลือหรือเต็มใจช่วยในเรื่องสำคัญบางอย่างได้

    เพราะฉะนั้น “การเชื่อมบุญ” นี่แหละที่จะเป็นตัวที่สามารถทำให้ เราสามารถรู้จักกับเทวดาได้และท่านก็จะรู้จักเรา กระชับสายใยแห่งความผูกพันและสายในแห่งบุญทั้งบุญเก่าและบุญใหม่เข้าหากัน เพื่อให้บุญนั้นมีกำลังพอที่จะส่งผล ช่วยให้พบกรรมดีได้เร็วขึ้นและช่วยคลายวิบากกรรมไม่ดีได้

    ในเมื่อเรายังเป็นมนุษย์ยังอยู่ในโลกมนุษย์ ต่างภพภูมิกับท่าน ด้วยพลังบุญเท่านั้นที่จะทำให้มนุษย์ติดต่อสื่อสารและมีบุญที่ร่วมกันกับเทวดา ยิ่งเราเป็นผู้ชอบทำบุญกุศลแล้ว เทวดาจะพึงพอใจมากถ้าลองพิจารณาคำสอนของท่านกุมารกัสสปะเถระที่ท่านสั่งสอนพระเจ้าปายาสิธิราชว่า

    “เทวดานั้นไม่ชอบมาอยู่ใกล้มนุษย์ เพราะว่ากลิ่นสาบกิเลสที่มีในมนุษย์มีมากเกินไป ท่านจึงไม่อยากมาเข้าใกล้เหมือนคนที่ตกบ่อโคลนมาใหม่ๆ มาเจอกับคนที่เพิ่งอาบน้ำปะแป้ง หอมๆ มาใหม่ๆ แล้วต้องมาเจอกัน”

    อีกเรื่องนี้ที่สำคัญมากคือ หากเราอยากจะรู้จักและเข้าใกล้เทวดาได้ และทำให้ท่านเข้าใกล้เราได้ก็ต้องทำตัวให้เป็นผู้มีบุญมากเหมือนกับเทวดาที่ต้องมีบุญมากไปด้วย แม้ว่าจะยังเป็นไม่ได้ในทันทีแต่อย่างน้อยก็ต้องพยายามทำให้ใกล้เคียงความเป็นเทวดาให้มากที่สุด พอเราเป็นคนดีมีคุณธรรมที่ใกล้เคียงหรือเสมอพอกับท่าน ก็จะทำให้รู้จักกันได้ง่ายขึ้น

    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี แห่งวัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย ท่านได้กรุณามอบธรรมะข้อหนึ่งที่จะเป็นแนวทางที่ทำให้คนเราใกล้เคียงกับความเป็นเทวดา เรียกว่า “เทวตานุสสติ”

    คำว่า “เทวตานุสติ” หมายความว่า การระลึกถึงธรรมอันทำบุคคลให้เป็นเทวดา คนเราทุกคนย่อมอยากเป็นคนดี อยากเป็นเทวดา หรือแม้กระทั่งเป็นไปถึงชั้นอินทร์ชั้นพรหมมีความบริสุทธิ์ พ้นจากทุกข์ทั้งหลายไปเพื่อให้ได้เสวยแต่ความสุขเพียงอย่างเดียว

    แต่เมื่อเราได้เกิดมาได้เพียงเป็นเพียงมนุษย์ ก็ต้องทำความเข้าใจและพยายามที่จะเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ มนุษย์โดยสมบูรณ์คือ มีทั้งอวัยวะครบบริบูรณ์ทุกประการไม่เป็นบ้าใบ้ หูหนวก ตาบอด หรือเสียจริตผิดความเป็นมนุษย์ไป

    ขอให้ตั้งหลักฐานมนุษย์ที่ได้แล้วนี่ให้มั่งคงไว้ก่อนแล้วจึงค่อยนำธรรมะที่เป็นเครื่องตกแต่งให้กลายเป็นหรือใกล้เคียงกับความเป็นเทวดาต่อไป

    คำพระท่านในภาษาบาลีจึงเรียกว่า “มนุสโส” เมื่อเกิดขึ้นมาเป็น มนุสโส แล้วจึงค่อยพัฒนาเป็น “มนุสสะเทโว” ต่อไป ถ้าไม่เป็น “มนุสโส” เสียก่อนแล้ว ก็เป็น “มนุสฺสะเทโว” ไม่ได้

    เปรียบง่ายๆ เหมือนกับคนที่มีอาชีพต่างๆ ถ้าทำการค้าขายก็เรียกพ่อค้าแม่ค้า ถ้าทำไร่ทำนา ก็เรียกว่าชาวไร่ ชาวนา ถ้าทำราชการก็เรียกว่าข้าราชการ ฉะนั้น การที่เป็นเทวดาได้ ก็เพราะมีธรรมอันทำให้เป็นเทวดาธรรม นั้น คือ “หิริ” ความละอายแก่ใจในการทำชั่ว และ “โอตตัปปะ” ความเกรงกลัวต่อบาปนั่นเอง

    ธรรมะ 2 ข้อนี้ มีความสำคัญ ผู้ที่มีความละอายต่อบาปและกลัวมัน จะงดเว้นการทำชั่วทุกประการ เพราะระลึกได้อยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นการกระทำทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ ก็ตาม แม้แต่เพียงคิดเฉยๆ ว่าจะทำความชั่วอะไรสักอย่างเพียงเล็กน้อย สมมติว่าคิดจะขโมยของเขาก็ให้คิดละอายขึ้นมาในใจแล้ว ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำ ยังไม่มีใครรู้ใครเห็น แต่ว่าตัวเรารู้ตัวเองอยู่ จึงละอายต่อบาปจึงไม่กล้าทำมัน เท่านี้คุณก็มีคุณสมบัติเป็น “มนุสสะเทโว” หรือเป็นเทวดาในร่างมนุษย์แล้ว

    แต่ว่ามีหิริ โอตตัปปะ ที่เป็นธรรมที่ทำให้เหมือนเทวดาแล้วยังไม่พอครับ ขนาดเราเป็นมนุษย์เหมือนกันเห็นหน้ากันทุกวันบางทียังไม่เคยทักทายหรือมีโอกาสได้ทำความรู้จักกันเลย การที่เราจะทำความรู้จักสนิทสนมกันเพื่อให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลกันในทางต่างภพนี้ต้องมี “บุญ” เสริมเข้าไปด้วย

    หลักการสำคัญที่จะทำให้การเชื่อมบุญกับเทวดานั้นสำเร็จ ตามที่เราปรารถนานั้น คือ ตัวเราเองต้องมีบุญเสียก่อน ถึงจะเชื่อมบุญได้ การที่จะมีบุญได้มีอยู่วิธีทางเดียว คือการที่เราต้องสร้างบุญขึ้นมา

    การสร้างบุญใหญ่ๆ ในทางพระพุทธศาสนามีหลักสำคัญก็คือการบำเพ็ญบุญ 3 อย่างที่กล่าวไปแล้ว คือ ให้ทาน การรักษาศีล และการเจริญภาวนา

    จากวิธีการสร้างบุญดังกล่าวทั้ง 3 วิถีทางตามแนวทางหลักของพระพุทธศาสนาไม่ว่าจะทำอะไรก็ได้บุญที่ยิ่งใหญ่แตกต่างกันไป ลองทบทวนดูครับว่าตอนนี้เราได้ประกอบคุณงามความดีพร้อมที่จะเป็นผู้มีความดี มีบุญในตัวแล้วหรือยัง

    หลังจากที่ได้ทำบุญคือเป็นทั้งผู้ที่เกือบมีความดีเสมอท่านแล้ว รู้จักหน้าค่าตากันแล้วอย่างสุดท้ายที่ต้องทำก็คือเอาส่งไปให้ท่านเทวดาทั้งหลายครับ เหมือนกับเวลาที่เรารู้จักคนหนึ่งคนที่คิดว่าเขาจะให้ความช่วยเหลือเราได้ เขาต้องมีอะไรดีๆ มากกว่า, รู้จักหน้าค่าตารู้หัวนอนปลายเท้าแล้วว่าเราเป็นใคร สุดท้ายก็ต้อง หยิบยื่นน้ำใจไมตรีให้เขาก่อนเขาถึงจะช่วย ดังคำกล่าวที่ว่า “ผู้ที่ให้จึงจะเป็นผู้ที่ได้รับ”

    การเชื่อมบุญหัวใจสำคัญก็ตรงนี้แหละครับยื่นส่งบุญให้เทวดาอย่างไร ก็คือการ “อุทิศ”ส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ท่าน การอุทิศบุญกุศลนี้จะว่าไปก็เป็นหนึ่งบุญและคุณงามความดีอีกอย่างหนึ่งตามหลักบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการข้อที่ว่าด้วย “ปัตติทานมัย” เป็นการบอกให้ทราบและรับเอาบุญนั้นไปใช้ได้ทันที

    คุณผู้อ่านเคยได้ยินพระท่านบอกใช่หรือเปล่าครับว่าทำบุญเสร็จแล้วให้รีบอุทิศบุญให้คนอื่นไปด้วยทั้งคนทำทั้งคนรับได้เหมือนกันหมด เหมือนจุดเทียนไว้เล่มหนึ่งแล้วต่อเทียนกันไปคนให้บุญก็ไม่หมดและเป็นแสงสว่างให้คนอื่นใช้ประโยชน์ได้ด้วย

    ผู้ที่เราควรจะส่งบุญไปให้ได้ก็ได้แก่ พ่อแม่,ญาติพี่น้อง, ครูบาอาจารย์, เหล่าเทพเทวดาและเทวดาประจำตัว เหล่าเปรตและภูตผีปิศาจ เจ้ากรรมนายเวร และสุดท้ายคือสัตว์โลกทั้งหลายอีกมากมายที่ไม่อาจกล่าวถึงได้หมดให้ได้รับบุญไปด้วย

    “อิทัง สัพพะเทวานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เทวา” ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เทวดาทั้งหลายทั้งปวงจงมีความสุข

    ประโยคนี้แหละครับเป็นจุดสำคัญและจุดสิ้นสุดของการเชื่อมบุญให้เทวดาได้รับบุญนั้นไป ทีนี้ทั้งฐานะ ทั้งรูปร่างหน้าตาหัวนอนปลายเท้า และคุณงามความดีที่มอบส่งให้แก่กันเราก็ได้ทำไปหมดแล้ว ท่านเหล่าเทวดาได้รู้จักเราแล้ว เวลาที่เราเกิดเรื่องราวเดือดร้อนอะไรก็ตาม ท่านก็จะมาช่วยเราได้อย่างแน่นอน

    เสริมตรงนี้ทิ้งท้ายไว้อีกหน่อยครับ เรื่องการส่งบุญให้เทวดาท่านนั้นหากคุณไม่แน่ใจว่าจิตของตนเองจะมีกำลังไม่กล้าแข็งพอ ก็มีอุปกรณ์เสริมในการส่งบุญไปให้ ซึ่งไม่ใช่ของหายากอะไรเลยนั่นคือ “น้ำ” ครับ

    การหลั่งน้ำหรือกรวดน้ำมีความหมายว่า ผลบุญที่เราส่งไปให้ท่านเทวดานี้จะได้ไหลติดต่อกันแบบไม่ขาดสายผู้รับก็จะรับบุญได้อย่างไม่ขาดระยะเป็นไปได้ด้วยความราบรื่นเปรียบเหมือนกระแสน้ำที่ไหลลงสู่มหาสมุทรที่ไม่มีวันขาดสายครับ ทีนี้ผลบุญก็จะส่งไปถึงเหล่าเทวดาได้เต็มๆ ไม่มีการขาดห้วง

    การกรวดน้ำที่ต้องใช้น้ำกรวด เพราะถือกันตามประเพณีนิยมที่ได้ปฏิบัติสืบๆ กันมาเวลา ที่เราทำบุญสร้างบุญแล้ว พระภิกษุท่านก็จะโมทนาบุญว่า

    “ยะถา วาริวหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง ห้วงน้ำที่เต็ม, ย่อมยังมหาสมุทรสาครให้บริบูรณ์ได้ฉันใด
    เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ ทานที่ท่านได้อุทิศให้แล้วแก่โลกนี้ ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ละโลกนี้ไปแล้วฉันนั้น
    อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สมิชฌะตุ ขออิฐผลที่ท่านได้ปรารถนาแล้วตั้งใจแล้ว จงสำเร็จโดยพลัน
    สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา จันโท ปัณณะระโส ยะถา ขอให้ความดำริทั้งปวงจงเต็มที่ เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ
    มะณี โชติระโส ยะถา เหมือนแก้วมณีอันสว่างไสว ควรยินดี”

    พิจารณาจากคำที่พระท่านกล่าวทุกทีที่เราทำบุญใส่บาตรหรือถวานสังฆทานหรือทำบุญใดๆ แล้วความหมายตรงกันเลยใช่หรือไม่ครับ คาถานี้เรียกว่า อนุโมทนารัมภะคาถาหรือว่า “บทกรวดน้ำ” นั่นเอง

    ถ้าเราเองไม่แน่ใจว่าจิตเราจะมีพลังกล้าแข็งพอจะส่งบุญให้ท่านเทวดาทั้งหลายถึงหรือไม่ก็ใช้การอธิษฐานจิตพร้อมกับการกรวดน้ำไปให้ท่านครับรับรองว่า บุญกุศลนั้นได้ไปถึงแน่นอน

    หลักการขอพรจากเทวดาประจำตัวให้ได้ผล

    เมื่อทำการเชื่อมบุญ ทำให้กระแสบุญผูกพันกันแล้ว เชื่อมกันแล้ว ในเวลาเราจะไปขอพรหรือขอความช่วยเหลือนั้น เราต้องไม่ลืมว่าอย่างไรก็ตามท่านก็เป็นเทวดาท่านมีภพที่อยู่สูงกว่าเราที่เราต้องไปสักการบูชาทำความเคารพ ขอโมทนาคุณความดีของตัวท่านให้ช่วยคุ้มครองและดลใจให้เราไม่เดินทางผิดและทำดีต่อไป ไม่ใช่การไปขอร้องให้ช่วยด้วยการ “ติดสินบน” โดยการเอาของไปเซ่นไหว้หรือล่อใจท่าน

    อย่าลืมว่าเทวดา ท่านก็เป็นภพภูมิที่ยังมีกิเลส การไปสร้างกิเลสให้ท่านก็นับว่าเป็นบาปอย่างหนึ่งทำให้กลายเป็นว่า ท่านจะไปสร้างกรรมร่วมกับเราแทนซึ่งแน่นอนว่าเหล่าเทวดาผู้ต้องการความดีคงไม่ปรารถนาเช่นนั้น

    ที่สำคัญคือ หากเราเป็นคนหนึ่งที่ไปชักชวนให้ท่านเกิดกิเลสให้ท่านร่วมก่อกรรมไม่ดีเพราะเอาสิ่งของไปล่อไปติดสินบน เราก็จะต้องพลอยรับผลกรรมไม่ดีไปด้วย คิดใหม่ว่า ที่ท่านช่วยให้พรและให้ความเมตตานั้นท่านไม่ได้หวังเครื่องเซ่นไหว้ใดๆ ท่านได้ช่วยเราด้วยความบริสุทธิ์ใจเช่นเดียวกับการที่เราบริสุทธิ์ใจไปขอท่านจะทำให้ท่านได้สร้างบุญเพิ่ม

    การขอพรนั้นเป็นสิ่งที่ดีครับและขอได้ทุกโอกาสขอได้กับเทวดาทุกองค์ (เพราะอย่าลืมว่า ไม่มีเทวดาองค์ไหนมาคอยอยู่ประจำตัวดูแลเราตัวต่อตัว แน่นอน) เมื่อเรายังคงอยู่ในศีลมีบุญติดตัว มีความตั้งใจมั่นและศรัทธาในความดี รับรองว่าความสำเร็จบังเกิดขึ้นกับเราแน่ๆ

    สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ในขณะที่กำลังขอพรหรือขอความช่วยเหลือนั้นสิ่งที่ขอก็ต้องเป็นเรื่องที่ดีด้วยหากจุดประสงค์ในการขอไม่บริสุทธิ์ จิตก็จะไม่สะอาดไม่อาจก่อพลังงานที่ดีขออะไรไปก็ไม่ได้ผลไม่เกิดอะไรขึ้นและท่านเทวดาก็คงไม่อำนวยผลให้เกิด เพราะถ้าท่านทำอย่างนั้นก็เท่ากับว่าท่านได้ทำบาป แล้วของที่ไม่ดีอย่างกรรมชั่วและบาปนั้นไม่มีใครเขาอยากได้

    เมื่อจุดประสงค์ดี จิตใจสะอาดและสิ่งที่ขอกำลังจะเป็นผลให้ลองสังเกตดูว่า ช่วงเวลาที่จิตใจสะอาดจะมีมีความกล้าแข็งทางจิตขึ้นด้วยจะมีความรู้สึกโล่งโปร่งสบาย อาจมีอาการขนลุก น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัวหรือมีแสงสว่างวาบขึ้นมาในจิตแสดงว่า เทวดาท่านรับรู้แล้วในสิ่งที่เราต้องการและท่านจะช่วยอำนวยพรให้ส่วนเรื่องจะประสบผลสำเร็จดังที่ตั้งใจหวังหรือไม่ ก็อยู่ที่กรรมลิขิตตามหลักของ “กฎแห่งกรรม” อีกทีหนึ่งครับ

    การบูชาด้วยอามิสบูชาหรือด้วยสิ่งของต่างๆ นั้น คงม่จำเป็นอะไรสำหรับเทวดาประจำตัว เพราะโดยทั่วไปแล้วเทวดาทั้งหลายนั้น ท่านมีกายทิพย์ สิ่งที่ท่านใช้ในประจำวันล้วนเป็นของทิพย์ทั้งสิ้น ท่านปรารถนาบุญกุศล ที่เป็นสุดยอดของทิพย์ทั้งปวง

    ดังนั้นการบูชาด้วยสิ่งของนั้นท่านที่อยากจะทำก็ทำได้ ไม่ได้ผิดแต่ประการใด ถือว่าเป็นแสดงความเคารพ ขอให้บูชาด้วยน้ำสะอาด ดอกไม้หรือเครื่องหอมก็พอจะได้ไม่สิ้นเปลืองอะไรมาก เทวดาท่านดูที่เจตนานะครับ ไม่ได้ดูด้วยสิ่งของนั้นมีราคาค่างวดหรือต้องแพงอะไร ขอให้บูชาท่านด้วยการปฏิบัติบูชา การทำกรรมดี อุทิศบุญไปให้ท่านทุกครั้งที่เราสร้างบุญเท่านี้ท่านจะรักและเมตตาเรายิ่งขึ้นแน่นอน

    เชื่อมั่นว่า เมื่อท่านได้รับความรู้ในเรื่องการบูชาเทวดาแล้วอย่างครบถ้วน แล้วลองนำไปปฏิบัติดู ชีวิตของท่าจะพบกับเรื่องดีๆ ที่จะมาตัวท่านนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป

    มิถุนายน 2, 2011 โดย ธ. ธรรมรักษ์

    ที่มา http://torthammarak.wordpress.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • dsc02354.jpg
      dsc02354.jpg
      ขนาดไฟล์:
      100.1 KB
      เปิดดู:
      1,674
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2012
  13. Whitefaith

    Whitefaith Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +42
    ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆเกี่ยวกับเทวดานะค่ะ

    ขอให้สิ่งดีๆกลับไปหาคุณเช่นกันค่ะ
     
  14. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    อ่างทอง-หลวงพ่อโตวัดไชโยมีน้ำตาไหล

    [​IMG]

    นักท่องเที่ยวไปกราบไหว้องค์พระหลวงพ่อโต วัดไชโยวรวิหาร พบมีน้ำตาไหลจากลูกตาทั้ง 2 ข้าง หวั่นเป็นสิ่งบอกเหตุร้ายในบ้านเมืองหรือไม่

    บ่ายวันนี้ ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก นายเสกสม แจ้งจิต อายุ 36 ปี นักท่องเที่ยว ว่าพบเหตุการณ์น่าแปลกใจกับ องค์พระมหาพุทธพิมพ์ หรือ "หลวงพ่อโต" แห่งวัดไชโยวรวิหาร โดยพบว่ามีคราบคล้ายคราบน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาทั้ง 2 ข้าง ซึ่งนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ต่างจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เหตุที่เกิดขึ้น

    ผู้สื่อข่าวไปตรวจสอบที่วัดไชโยวรวิหาร พบว่ามีนักท่องเที่ยวเข้ามากราบไหว้ขอพรเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะภายในพระอุโบสถสถานที่ประดิษฐานองค์พระมหาพุทธพิมพ์" หรือ "หลวงพ่อโต" ประชาชนต่างยืนดูที่บริเวณพระพักตร์ของหลวงพ่อโต พร้อมถ่ายรูป บ้างก็นั่งกราบไหว้ขอพร

    นักท่องเที่ยวต่างจับกลุ่มวิพากษ์กันว่าหลวงพ่อโตร้องไห้ เพราะเห็นมีคราบคล้ายคราบน้ำไหลออกมาจากดวงตาทั้ง 2 ข้าง โดยไหลออกมาจากขอบตาดำเหมือนกันทั้ง 2 ข้าง และไหลลงมาหยุดอยู่ที่เหนือริมฝีปาก ทำให้นักท่องเที่ยวต่างเชื่อว่าหลวงพ่อโต ร้องไห้ออกมา และอาจจะเกิดอาเพศเหตุร้ายอะไรกับบ้านเมืองก็ได้

    นายเสกสม กล่าวว่าได้พาครอบครัวไปกราบไหว้ขอพรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ แต่พอเข้าไปกราบไหว้หลวงพ่อโตเห็นนักท่องเที่ยวจับกลุ่มพูดคุยว่าหลวงพ่อโตร้องให้ จึงสังเกตที่พระพักตร์พบว่าเป็นจริง จึงเดินดูรอบๆองค์หลวงพ่อโต แต่ก็ไม่พบคราบดังกล่าวที่บริเวณอื่น ส่วนจะเป็นคราบอะไรนั้นไม่แน่ใจแต่ที่เห็นๆไหลออกมาจากดวงตาและออกมาจากตาดำเหมือนกัน หากเป็นจริงหลวงพ่อโตอาจจะบอกอะไรให้กับประชาชนบางอย่าง หรืออาจจะเกิดรางร้ายกับประเทศไทย

    ด้านพระปลัดฟัก อภินันโท ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไชโยวรวิหาร กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวอาตมาก็แปลกใจเพราะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และคราบที่เห็นนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นคราบอะไร และที่นักท่องเที่ยวบอกว่าหลวงพ่อร้องไห้เพราะอาจจะเกิดอาเพศ อาตมาคงไม่เชื่ออาจจะเป็นมูลของนกก็เป็นไปได้ แต่ที่แปลกก็คือไหลออกจากดวงตาทั้งสองข้างเท่านั้น

    สำหรับประวัติ พระมหาพุทธพิมพ์ (หลวงพ่อโต) วัดไชโยวรวิหาร เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวอ่างทองและจังหวัดใกล้เคียง ให้ความเลื่อมใสศรัทธามาก มีพุทธลักษณะเป็นศิลปสมัยรัตนโกสินทร์ ปางสมาธิ ขัดสมาธิราบ ขนาดหน้าตัก 8 วา 7 นิ้ว ก่ออิฐถือปูนลงรักปิดทอง ด้วยเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ หรือ ที่เรียกกันติดปากว่าสมเด็จโตนั้น สร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่โตสมนามของท่านมาก่อนนี้แล้ว 2 องค์ คือ พระนอนที่วัดสะตือ จ.พระนครศรีอยุธยา และ พระยืนที่วัดอินทรวิหาร เขตบางขุนพรหม

    ข่าวทีวีช่อง 3 วันอาทิตย์ ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2555

    ที่มา http://www.krobkruakao.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 3.jpg
      3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.2 KB
      เปิดดู:
      134
    • 1326021856.jpg
      1326021856.jpg
      ขนาดไฟล์:
      30.3 KB
      เปิดดู:
      2,901
    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      25.7 KB
      เปิดดู:
      170
    • 9.jpg
      9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      22.3 KB
      เปิดดู:
      151
    • 7.jpg
      7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      41.4 KB
      เปิดดู:
      137
    • 12.jpg
      12.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.5 KB
      เปิดดู:
      136
  15. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ภูเขาไฟเอ็ดนาของอิตาลีระเบิด

    [​IMG]

    ภูเขาไฟเอ็ดนา ของอิตาลี ได้ปะทุพ่นลาวาออกมาเป็นครั้งแรกของปีเมื่อวานนี้ เคราะห์ดีไม่สร้างความเสียหาย และส่งผลกระทบต่อการจราจรทางอากาศ

    ภูเขาไฟเอ็ดนา บนเกาะซิซิลี ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่สูงที่สุดและยังคุกกรุ่นที่สุดของยุโรป เริ่มปะทุตั้งแต่เวลา 04.34 น.ตามเวลาท้องถิ่นวานนี้ 09.34 น.โดยได้พ่นลาวาและเถ้าถ่าน ขึ้นสู่ท้องฟ้า

    อย่างไรก็ตามการปะทุของภูเขาไฟ ไม่เป็นอันตรายต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในละแวกดังกล่าว รวมไปถึงการจราจรทางอากาศไม่ได้รับผลกระทบจากเถ้าถ่านและควันไฟ แต่บางสายการบินของอิตาลี ได้มีการปรับเปลี่ยนเส้นทางการบิน เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง

    นับเป็นการปะทุของภูเขาไฟเอ็ดนา เป็นครั้งแรกของปี 2012 หลังจากที่เคยปะทุขึ้นมาแล้วเมื่อปี 1992 หรือ 20 ปีที่แล้ว

    ข่าวทีวีช่อง 3 วันศุกร์ ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

    ที่มา http://www.krobkruakao.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1325809904.jpg
      1325809904.jpg
      ขนาดไฟล์:
      21.5 KB
      เปิดดู:
      2,858
    • 5.jpg
      5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      17.4 KB
      เปิดดู:
      115
    • 3 (1).jpg
      3 (1).jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.7 KB
      เปิดดู:
      120
  16. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ทช.พบ 11 จว. น้ำกัดเซาะรุนแรง</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD height=40><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>8 มกราคม 2555 </TD><TD vAlign=center align=left>

    <?XML:NAMESPACE PREFIX = G /><G:pLUSONE size="medium"></G:pLUSONE>
    <TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง หรือ ทช.เปิดเผยว่า ขณะนี้ชายฝั่งอ่าวไทยเสียหายกว่า 500 กิโลเมตร และอันดามัน 110 กิโลเมตรใน 11 จังหวัด

    ได้แก่ จ.จันทบุรี ระยอง สมุทรปราการ เพชรบุรี ชุมพร กรุงเทพมหานคร ปัตตานี นราธิวาส และนครศรีธรรมราช

    ผลจากคลื่นสูงในแต่ละปี ทำให้ชายฝั่งถูกน้ำกัดเซาะมากกว่า 5 เมตร จึงต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน

    โดยช่วงคลื่นสูงที่ผ่านมา มีชาวบ้านร้องเรียนว่า บริเวณแหลมตะลุมพุกและแหลมสมิหลาถูกน้ำกัดเซาะอย่างหนัก หากปล่อยไว้อาจจะเสียหายเพิ่มขึ้น ในขณะที่อ่าวไทยตอนบนรูปตัว ก. ได้มีการเริ่มทำไส้กรอกทรายแก้ปัญหาได้บ้างแล้ว

    ด้าน ทช.เตรียมลงพื้นที่ศึกษาข้อมูลในเชิงลึก เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาในเบื้องต้น ในระหว่างการศึกษาหาแนวทาง 10 ทางเลือก อาทิ เขื่อนกันคลื่น คันดักทรายตัวที กำแพงคอนกรีต ไส้กรอกทรายเป็นต้น

    ซึ่งต้องศึกษาอย่างละเอียด ให้กระทบกับสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ทางที่ดีอาศัยป่าชายเลนเป็นแนวกันคลื่นจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยคาดว่า ต้องใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท โดยที่ระบบงบประมาณ ต้องอนุมัติจากกรมเจ้าท่าก่อน


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. FALCON1

    FALCON1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    3,521
    ค่าพลัง:
    +4,863
    [​IMG]

    C5 - War Room Falkman<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  18. FALCON1

    FALCON1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    3,521
    ค่าพลัง:
    +4,863
    แผ่นดินไหว Near East Coast of Honshu, Japan (39.47,142.14) ขนาด 5.2 วันที่ 9 มกราคม 2555 เวลา 05.13 น. ตามเวลาประเทศไทย
    9 มกราคม 2555, 5:13:03
    2012-01-08 22:13:03 UTC
    Lat. 39.47 , Long. 142.14
    ขนาด 5.2
    ลึก 10 กม.
    แผ่นดินไหว Vanuatu Islands (-17.49,167.89) ขนาด 5.1 วันที่ 9 มกราคม 2555 เวลา 04.51 น. ตามเวลาประเทศไทย
    9 มกราคม 2555, 4:51:50
    2012-01-08 21:51:50 UTC
    Lat. -17.49 , Long. 167.89
    ขนาด 5.1
    ลึก 39 กม.
    แผ่นดินไหว Bonin Islands, Japan Region (27.09,143.85) ขนาด 4.7 วันที่ 9 มกราคม 2555 เวลา 03.25 น. ตามเวลาประเทศไทย
    9 มกราคม 2555, 3:25:35
    2012-01-08 20:25:35 UTC
    Lat. 27.09 , Long. 143.85
    ขนาด 4.7
    ลึก 10 กม.
    แผ่นดินไหว West Chile Rise (-36.31,-97.43) ขนาด 5.0 วันที่ 9 มกราคม 2555 เวลา 00.27 น. ตามเวลาประเทศไทย
    9 มกราคม 2555, 0:27:28
    2012-01-08 17:27:28 UTC
    Lat. -36.31 , Long. -97.43
    ขนาด 5.0
    ลึก 10 กม.
    แผ่นดินไหว Southern Sumatra, Indonesia (-2.69,99.76) ขนาด 4.7 วันที่ 9 มกราคม 2555 เวลา 00.05 น. ตามเวลาประเทศไทย
    9 มกราคม 2555, 0:05:47
    2012-01-08 17:05:47 UTC
    Lat. -2.69 , Long. 99.76
    ขนาด 4.7
    ลึก 20 กม.
    แผ่นดินไหว Near S. Coast of Western Honshu (34.01,135.54) ขนาด 4.8 วันที่ 8 มกราคม 2555 เวลา 22.37 น. ตามเวลาประเทศไทย
    8 มกราคม 2555, 22:37:28
    2012-01-08 15:37:28 UTC
    Lat. 34.01 , Long. 135.54
    ขนาด 4.8
    ลึก 55 กม.
    แผ่นดินไหว Northern Xinjiang, China (42.28,87.57) ขนาด 5.1 วันที่ 8 มกราคม 2555 เวลา 13.20 น. ตามเวลาประเทศไทย
    8 มกราคม 2555, 13:20:05
    2012-01-08 06:20:05 UTC
    Lat. 42.28 , Long. 87.57
    ขนาด 5.1
    ลึก 10 กม.
    แผ่นดินไหว Near East Coast of Honshu, Japan (38.73,141.97) ขนาด 4.6 วันที่ 8 มกราคม 2555 เวลา 11.41 น. ตามเวลาประเทศไทย
    8 มกราคม 2555, 11:41:21
    2012-01-08 04:41:21 UTC
    Lat. 38.73 , Long. 141.97
    ขนาด 4.6
    ลึก 57 กม.
    แผ่นดินไหว Near East Coast of Honshu, Japan (37.31,141.38) ขนาด 4.8 วันที่ 7 มกราคม 2555 เวลา 17.43 น. ตามเวลาประเทศไทย
    7 มกราคม 2555, 17:43:08
    2012-01-07 10:43:08 UTC
    Lat. 37.31 , Long. 141.38
    ขนาด 4.8
    ลึก 51 กม.
    แผ่นดินไหว Near East Coast of Honshu, Japan (37.50,141.85) ขนาด 4.8 วันที่ 6 มกราคม 2555 เวลา 06.28 น. ตามเวลาประเทศไทย
    6 มกราคม 2555, 6:28:44
    2012-01-05 23:28:44 UTC
    Lat. 37.50 , Long. 141.85
    ขนาด 4.8
    ลึก 25 กม.

    C5 - War Room Falkman<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  19. FALCON1

    FALCON1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    3,521
    ค่าพลัง:
    +4,863
    แผ่นดินไหว ยูนาน,ประเทศจีน (25.67,99.89) ขนาด 4.2 วันที่ 8 มกราคม 2555 เวลา 09:52:33 น.
    8 มกราคม 3098, 9:52:33
    2555-01-08 09:52:33 น.
    Lat. 25.67 , Long. 99.89
    ขนาด 4.2
    ลึก 13 กม.
    แผ่นดินไหว หมู่เกาะอันดามัน (12.84,95.61) ขนาด 4.5 วันที่ 5 มกราคม 2555 เวลา 12:27:20 น.
    5 มกราคม 3098, 12:27:20
    2555-01-05 12:27:20 น.
    Lat. 12.84 , Long. 95.61
    ขนาด 4.5
    ลึก 13 กม.
    แผ่นดินไหว หมู่เกาะอันดามัน (12.87,95.53) ขนาด 3.9 วันที่ 5 มกราคม 2555 เวลา 01:50:10 น.
    5 มกราคม 3098, 1:50:10
    2555-01-05 01:50:10 น.
    Lat. 12.87 , Long. 95.53
    ขนาด 3.9
    ลึก 10 กม.
    แผ่นดินไหว ประเทศพม่า (18.10,94.44) ขนาด 3.0 วันที่ 4 มกราคม 2555 เวลา 23:56:55 น.
    4 มกราคม 3098, 23:56:55
    2555-01-04 23:56:55 น.
    Lat. 18.10 , Long. 94.44
    ขนาด 3.0
    ลึก 8 กม.
    แผ่นดินไหว ประเทศพม่า (20.32,98.13) ขนาด 2.5 วันที่ 4 มกราคม 2555 เวลา 23:53:51 น.
    4 มกราคม 3098, 23:53:51
    2555-01-04 23:53:51 น.
    Lat. 20.32 , Long. 98.13
    ขนาด 2.5
    ลึก 17 กม.
    แผ่นดินไหว หมู่เกาะนิโคบาร์ (7.61,91.94) ขนาด 4.3 วันที่ 4 มกราคม 2555 เวลา 00:32:25 น.
    4 มกราคม 3098, 0:32:25
    2555-01-04 00:32:25 น.
    Lat. 7.61 , Long. 91.94
    ขนาด 4.3
    ลึก 14 กม.
    แผ่นดินไหว หมู่เกาะอันดามัน ประเทศอินเดีย (14.90,94.44) ขนาด 4.9 วันที่ 3 มกราคม 2555 เวลา 16:09:49 น.
    3 มกราคม 3098, 16:09:49
    2555-01-03 16:09:49 น.
    Lat. 14.90 , Long. 94.44
    ขนาด 4.9
    ลึก 15 กม.
    แผ่นดินไหว ประเทศพม่า (20.24,99.17) ขนาด 3.0 วันที่ 3 มกราคม 2555 เวลา 00:46:51 น.
    3 มกราคม 3098, 0:46:51
    2555-01-03 00:46:51 น.
    Lat. 20.24 , Long. 99.17
    ขนาด 3.0
    ลึก 8 กม.
    แผ่นดินไหว พรมแดนพม่า-จีน (21.96,99.39) ขนาด 3.4 วันที่ 1 มกราคม 2555 เวลา 01:45:17 น.
    1 มกราคม 3098, 1:45:17
    2555-01-01 01:45:17 น.
    Lat. 21.96 , Long. 99.39
    ขนาด 3.4
    ลึก 10 กม.
    แผ่นดินไหว ประเทศพม่า (20.18,99.12) ขนาด 3.2 วันที่ 31 ธันวาคม 2554 เวลา 23:41:24 น.
    31 ธันวาคม 3097, 23:41:24
    2554-12-31 23:41:24 น.
    Lat. 20.18 , Long. 99.12
    ขนาด 3.2

    5 - War Room Falkman<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  20. Ajintai

    Ajintai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    549
    ค่าพลัง:
    +1,638
    วันนี้ ยกระดับมาอยู่ที่ ๔.๖+แล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...