ธรรมะ สวดมนต์ สมาธิ และผลที่ได้จากการปฏิบัติ ของจริงหรืออุปาทานครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ปลาแมว, 5 ธันวาคม 2010.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ของจริงมีอยู่ ในขณะที่ของปลอมก็เยอะ แต่การที่เราจะรู้ได้ว่าใครจริง เราก็ต้องเป็นของจริงเสียก่อน

    ศาสนาพุทธ เป็นของจริง ส่วนเรื่องกรรม ไม่ใช้เรื่องของใครคนใดคนหนึ่งจะมาตัดสินกรรมของบุคคลนั้น ๆ

    <table align="center" border="3" width="85%"><tbody><tr><td style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: 14pt;" width="471">ชราธัมโมมหิ ชะรัง อะนะติโต
    </td> <td style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: 14pt;" width="508"> เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้
    </td> </tr> <tr> <td style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: 14pt;" width="471"> พะยาธิธัมโมมหิ พะยาธิง อะนะตีโต
    </td> <td style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: 14pt;" width="508"> เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้
    </td> </tr> <tr> <td style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: 14pt;" width="471"> มะระณะธัมโมมหิ มะระณัง อะนะตีโต
    </td> <td style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: 14pt;" width="508"> เรามีความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้
    </td> </tr> <tr> <td style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: 14pt;" width="471"> สัพเพหิ เม ปิเยหิ มะนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว
    </td> <td style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: 14pt;" width="508"> เราจักพลัดพรากจากของที่รัก ของชอบใจทั้งหลาย
    </td> </tr> <tr> <td style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: 14pt;" width="471"> กัมมัสสะโกมหิ กัมมะทายาโท
    </td> <td style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: 14pt;" width="508"> เรามีกรรมเป็นของๆตน เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
    </td> </tr> <tr> <td style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: 14pt;" width="471" height="27"> กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ
    </td> <td style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: 14pt;" width="508" height="27"> เรามีกรรมเป็นแดนเกิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธ์
    </td> </tr> <tr> <td style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: 14pt;" width="471"> กัมมะปะฏิสะระโน ยัง กัมมัง กะริสสามิ
    </td> <td style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: 14pt;" width="508"> เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้
    </td> </tr> <tr> <td style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: 14pt;" width="471"> กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา
    </td> <td style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: 14pt;" width="508"> เป็นกรรมดีก็ตาม เป็นกรรมชั่วก็ตาม
    </td> </tr> <tr> <td style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: 14pt;" width="471"> ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ
    </td> <td style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: 14pt;" width="508"> เราจักต้องเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น
    </td> </tr> <tr> <td style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: 14pt;" width="471"> เอวัง อัมเหหิ อะภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง
    </td> <td style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: 14pt;" width="508"> เราทั้งหลายพึงพิจารณาเนืองๆอย่างนี้แล.
    </td></tr></tbody></table>
    http://www.nkgen.com/357.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ธันวาคม 2010
  2. โลกุตตระ

    โลกุตตระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    448
    ค่าพลัง:
    +2,624
    เราใช้ความคิดทั่วๆไปของมนุษย์ และตรรกะทางโลก
    ในการคิด เพื่อพิจารณาธรรมะที่ลึกซึ้งไม่ได้หรอกครับ
    จขกท.ลองปฏิบัติให้ธรรมะเข้าถึงจิตถึงใจดูเถอะ
    แล้วจะเห็นได้เอง ในทุกๆเรื่อง และจะหายลังเลสงสัยในที่สุด

    อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ (ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน)
     
  3. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ธรรมทั้งหลายล้วนเกิดได้เพราะมีเหตุเป็นที่ตั้ง เหตุจากความคิดก็ใช่ จากกิเลสก็ใช่ จากธรรมหรือสัจธรรมก็ใช่ ล้วนแล้วแต่เป็นที่มาของเหตุทั้งนั้น ความเชื่อใดโดยขาดซึ่งปัญญาพิจารณาไตร่ตรองย่อมเป็นความคิดที่บกพร่องไม่สมบูรณ์ ดังนั้นธรรมหรือพระสัทธรรมของสมเด็จพระศาสดาจึงเป็นจริงอยู่ทุกกาล ดังนั้นจะว่าไปแล้วการที่เราเชื่อหรือไม่เชื่อนั้นมันก็มาจากเหตุคือกรรมที่ตั้งไว้ องค์ประกอบทั้งหลายอันว่าด้วย ศรัทธาเป็นเบื้องต้น วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาเป็นเบื้องปลาย นั้นส่วนใดขาดส่วนใดเกิน หากความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งเหล่านี้ไม่มี ขาดๆเกินๆอยู่ ก็จะทำให้ความลังเลและสงสัยนั้นบังเกิดขึ้น ความสับสนฟุ้งซ่านก็บังเกิดขึ้น ในความเป็นจริงเราไม่สามารถทราบและเห็นสัตว์โลกได้หมดในขณะเดียวกัน แม้แต่คนที่เราใกล้ชิดที่สุดก็ไม่อาจจะรู้ได้หมดทุกสิ่งทุกอย่างในจิตใจเขาเหล่านั้น ดังนั้นการจะไปคาดเดาอะไรในความคิดของเรานั้น จึงเป็นเหตุให้ฟุ้งซ่านได้ เพราะชาวพุทธที่บำเพ็ญเพียรที่สละความสบาย เพื่อแสวงหาความหลุดพ้นจริงๆก็ยังมีอยู่ ส่วนผู้ที่เข้ามาศึกษาเพื่อหวังลาภยศสักการะก็มีอยู่และมีมานานแล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาลนั่นแหละ และทั้งหมดที่กล่าวมานี้มันเป็นเพราะ กิเลสเครื่องหมักดองในสันดานที่มีอยู่ในสัตว์โลกที่พระศาสดาทรงชี้ไว้ว่า มันมีของมันมานานแสนนานแล้ว แต่ไม่ใช่เรื่องของสตินะบางคนเอาไปโยงกับสติกับสมาธิ กับพระนิพพาน มันจึงมั่วไปหมด ที่ว่ามีมานานแล้วคือ กิเลส ตัณหาทั้งหลาย ที่คนเราต้องทุกข์ทนทุรนทุรายนี้มันไม่ใช่เพราะสิ่งเหล่านี้หรอกหรือ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่พระศาสดาทรงตรัสชี้บอกไว้ อย่างนี้เป็นจริงไหมละ ตรงไหมละ จะอีกร้อยปีพันปี หมื่นปี แสนปี ล้านปีหรืออีกสัก กัปล์ สักกัลป์ สักอีกกี่อสงไขย ก็เป็นแบบนี้ใช่ไหมละ เพียงเท่านี้ก็คงเห็นแล้วว่า พระศาสดาทรงชี้ทางที่เป็นไปเพื่อละเพื่อคลายออกจากการเวียนว่ายตายเกิดอีก ในกาลเวลาที่ไม่อาจกำหนดได้จริงไหม ทีนี้มาที่เรื่องว่าคนที่ทำกรรมอย่างนี้ทำไมไม่ได้รับกรรมสักทีนั้น มันอยู่ที่ว่าเราเห็นเขาทำกรรมสร้างเวรสร้างกรรมไปแล้ว จิตใจเราชื่นชมยินดี หรือ สลดสังเวช หากชื่นชมยินดีพิจารณาว่า ก็คนทำชั่วแล้วได้ทรัพย์สินเงินทองมากมายไม่เห็นต้องสร้างความดีเลย เลยคิดว่าพระศาสดาตรัสไว้ไม่จริง แต่ที่จริงนั้นกรรมอันจะเกิดขึ้นแก่ตัวเขานั้นผลแห่งกรรมที่เกิดขึ้นแก่ตัวนั้น มันต้องใช้เวลาสะสมเช่นกันเช่นเดียวกับความดีนั่นแหละ คนที่สะสมความชั่วหรือกรรมชั่วเอาไว้มากทั้งด้วยเจตนาก็ดีหรือด้วยความหลงก็ดีล้วนจะต้องรับผลของกรรมนั้นตามฐานะที่สมควรไม่มีใครพ้นกรรมไปได้ ครั้นจะมานั่งรอดูผลกรรมของคนอื่นนั้นมันก็เป็นเรื่องไม่ควรพิจารณาเพราะว่า นั่นเป็นเรื่องภายนอกไม่ใช่เรื่องภายใน ไม่ใช่เรื่องของตนเองที่จะต้องพิจารณา หากมีความศรัทธาและความเชื่อมั่นว่า ธรรมพระศาสดาตรัสไว้ชอบแล้ว ก็พิจารณาให้เห็นความเป็นจริงของตนเอง ละความคิดที่ก่อให้เกิดอกุศล สร้างหนทางให้เกิดกุศล เป็นเครื่องอยู่ให้จิตปราศจากความเศร้าหมองทั้งปวง นั่นแหละคือสิ่งที่พระศาสดาสอน วิธีการก็มีมากมายเหลือเกินก็ลองๆพิจารณาดูเอาตามความเหมาะสม
    สาธุคั๊บ
     
  4. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    สมมติว่า ท่านเจ้าของกระทู้ ยังสนใจการดู ภพภูมิ อยู่ ผมก็มีวิธีการเห็น
    ภพภูมิแบบพุทธ(เต็มขั้น)มานำเสนอ

    สิ่งที่เป็นเครื่องมือประกอบการดู ประกอบด้วย

    1. การมีตนเป็นเกาะ การมีตนเป็นที่พึ่ง [ อันนี้เป็นสมมติที่เข้ากับ โอฆะ หรือมหาสมุทร
    การที่คนๆหนึ่ง จะว่ายข้ามมหาสมุทรได้ ข้ามลำน้ำเชี่ยวกรากของโอฆะทั้ง4 ได้ เริ่มแรก
    เลยคือ ต้องหยุดนิ่ง อย่าไหลตามกระแส (ทำตัวให้เป็น เกาะท่ามกลางมหาสมุทธเสีย
    ถ้าใช้แบบพระมหาชนก ก็ตั้งจิตเสมือนว่าเหยียบปูทะเลอยู่ก็ได้ ) เมื่อไม่ไหลตามกระแส
    ได้แล้ว มันก็พอเห็นทางรอด แต่ให้ดี ต้องทวนกระแสให้ได้ ]
    ---> ตรงนี้ สามารถพูดได้หลายสำนวน มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่งแห่งตน รู้ที่ตน
    เองไม่ใช่รู้ที่คนอื่น หมั่นติตัวเองไม่ใช่ติคนอื่น หมั่นรู้ลงที่กายใจตนเองเป็นกลาง(เกาะ)
    ตั้งมั่น หากจะพูดคำว่า เป็นสภาพ สัมมาสมาธิ ก็ยังได้ แต่บางคนเห็นแบบนี้แล้วแทบ
    อยากเอาหัวชนฝา ผมขอเลี่ยงใช้คำว่า อธิจิต แทน ซึ่งก็คือ ตั้งจิตลงในกายตนให้
    เป็นเกาะเป็นที่พึ่งนั้นแหละ

    2. ศีล5 ศีลจะเป็นส่วนเสริมอย่างที่กล่าวไปแล้ว ยิ่งการทำตัวให้เป็นเกาะ ให้เป็นที่พึ่ง
    ของตัว เพื่อความที่เราจะมั่นใจในตัวเราเองว่า เราบริสุทธิพอที่จะไว้ใจตัวเอง การที่เรา
    มีศีลจะช่วยได้มาก เป็นเครื่องประกันได้ แม้จะลูบๆคลำๆ ลดๆ ละๆ เบื่อๆ อยากๆ
    อย่างไรเสียก็มีดีกว่าไม่มี มีมากยิ่งดี แต่ยึดมั่นในความมีมากมีน้อยไม่ดี เพราะมันจะพา
    ออกไปตำหนิผู้อื่นว่ามีน้อยกว่า หรือท้อแท้เพียงเพราะคนอื่นมีมากกว่า ตรงนี้ผมจึง
    พยายามเน้นคำว่า "พอเพียง" คือ ให้มีศีล ปัจจุบันขณะนั้น เป็นใช้ได้ หากปัจจุบัน
    ขณะนั้นมีความต่อเนื่อง ศีลมันก็ต่อเนื่อง

    3. รู้สึก นึก คิด + วาทะ อันนี้ก็กล่าวไปให้เห็นแล้วว่ามันมีสภาพธรรมต่างกันอย่างไร
    เมื่อไหร่มีคุณภาพ เมื่อไหร่ไม่มีคุณภาพ ก็เรียกว่า อาศัย ศีล ตามข้อ 2 และก็ต้องอาศัย
    การ รู้สึก นึก คิด วาทะ ที่ออกมาจากตัวเองเป็นหลัก(มีตนเป็นเกาะ) ศีลยิ่งมี
    มาก ก็ทำให้เราใช้เครื่องมือที่ละเอียด ผิดพลาดต่อการรู้ตามความเป็นจริงได้น้อยที่สุด
    คือ "การใช้ความรู้สึก" เข้าระลึกรู้สภาพธรรม(ในตนที่เป็นเกาะเป็นหลักเป็นเกณฑ์)

    4. ดูเฉพาะเหตุ ดูการเกิดของเหตุ และดับไปของเหตุ อย่ายึดการดูส่วนผล

    ข้อ 4 นี้สำคัญ เป็นหลักสำคัญของการศึกษาแบบพระพุทธศาสนา เป็นปัญญาที่มี
    เพียงในเขตพุทธศาสนา ศาสนาพุทธนั้นเราเน้นที่การรู้เหตุ การเกิดของเหต และดับ
    ไปของเหตุ เราไม่จำเป็นต้อง เสียความโง่ หรือ ประมาท ไปนั่งรอ หรือพยากรณ์
    เอาตรงส่วนผล การที่เราเน้นการเห็นผล เป็นเรื่องของความไม่จัดเจนในการศึกษา
    แบบพุทธ ซึ่งเป็นปรกติ เพราะคนที่ไม่ได้ศึกษาแนวพุทธนั้น ล้วนแต่จมอยู่กับการ
    พิจารณาที่ผลเป็นส่วนใหญ่ แบบ 100ละ100 คนที่จะดูส่วนเหตุ พิจารณาที่เห็น
    เห็นการเกิดของเหตุ การดับไปของเหตุ เพื่อแทงตลอดส่วนผลนั้นมีน้อย เมื่อเทีบย
    กับจำนวนคนบนโลกแล้ว แทบจะนับไม่ได้

    เอาหละ เมื่อได้เครื่องมือ 4 ตัวนี้ ผมก็ขอเสนอ ภพภูมอสุรา เป็นตัวอย่าง

    อสุรา หรือ ยักษ์ แท้จริงเป็น ภูมิเทวดา ก็คล้ายๆเป็นคนดี(แต่ยังดีไม่พอ
    ที่จะได้เป็นหัวหน้าในสวรรค์) เหตุทีทำให้คนไปเกิดในภูมินี้(อย่าลืมนะ เรา
    จะเน้นการศึกษาเหตุ ไม่ต้องไปรอชะเง้อถามหาเอาส่วนผล) ก็คือ การทำ
    ตัวเป็นคนดี คอยสอดส่องคนที่ตกอยู่ในความลุ่มหลง มัวเมา พอพบจะวิ่ง
    เข้าชาร์จ ตักเตือน แนะนำ สั่งสอน เจตนานั้นเป็นไปเพื่อให้คนที่ตกอยู่
    ในฝากลุ่มหลงนั้นให้หยุดกระทำกรรมเหล่านั้น ก็จะเห็นว่า สอดคล้องกับ
    ชื่อภูมิคือ อะ-สุรา คือ ไม่ชอบความมัวเมา เห็นคนมัวเมาละก้อ จี๊ดๆ
    เล่นงานกันให้สบักสบอมกันเลย เช่น เห็นคนดำเนินการเลี้ยงชีพด้วยการ
    รับดูดวงอย่างมัวเมา ก็วิ่งเข้าชาร์จสาปส่งกันเลย เจตนานั้นดี คืออยาก
    ให้เขาหยุด อยากให้คนที่ยังไม่เมาได้ห่างจากความเมา แต่......ทำไม
    ถึงไม่ได้ครองสววรค์ ก็เพราะ ตอนเข้าชาร์จนั้น ไม่ประกอบด้วยความ
    เคารพ คือ ไม่มีคาระวะธรรม ดังนั้น ในสวรรค์ชั้นเดียวกัน ผู้เป็นใหญ่
    เพียงเพราะมีเหตุว่าตนเป็นผู้มีคารวะธรรมอันยิ่ง ก็คือ ท้าวสักกะ(มี สักการะ
    นั้นแหละ )

    ข้างต้นผมแจงส่วนเหตุ ของการเกิด กรรมในการจำแนกสัตว์ออกไปแล้ว

    คราวนี้ก็มาถึงวิธีดู ก็ง่ายๆ ตามเครื่องมือ

    1. รู้เข้ามาที่ตน ว่า กำลังทำดีแต่ขาดคารวะธรรมต่อสหายธรรมทั้งหลายอยู่ไหม
    2. หากศีลมี ณ ปัจจุบัน คุณจะเห็น การ ละ การเว้น การชะงัก การลุกออก
    จาก การปราศจากคารวะธรรมนั้น คุณก็จะรู้ว่ามีศีลกำกับใจ เชื่อถือตนได้
    3. เมื่อเชื่อถือตนได้ ศีลที่ตนมี ความรู้สึก ระลึกรู้ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นโดยไม่
    ต้องอิง ความนึก(เสียงพากษ์) ความคิด(การวางมาด ลีลา ยึดภพ ยึดกู) ก็
    จะปรากฏเป็นเพียง ความรู้สึก เพื่ออาศัยระลึก เท่านั้น ยิ่งระลึกได้ไวเท่าไหร่
    มั่นสั่นไหว กระเทือนใจแม้เพียงนิดเดียว เราก็ระลึกได้ในความรู้สึกนั้น นี่เรา
    จะค่อยๆเห็นว่า ศีลมันเข้าไปกุมที่จิต ที่ใจ ที่ตั้งมั่นไว้ ตามข้อ 1 และ 2
    และ 3 สุดท้ายคือประจักษ์ในเหตุ ข้อ4 ว่ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป โดยที่
    เราคว้ามาเป็นตัวเรา(แสดงกริยาโดยปราศจากคารวะธรรม) หรือไม่คว้ามาเป็นเรา
    (ไม่แสดงกริยาใดๆ) ไม่คว้ามาแต่ยังแสดงกริยา(คือ ผลิกออกมาแสดงกริยา
    ประกอบด้วยคารวะธรรมให้ถูกต้องเสียได้)

    ก็ลองดูนะ เราไม่ห้าม แต่ให้มาอาศัยการระลึก ค่อยๆรู้ ค่อยๆ วิจัย ดูที่เหตุ
    เมื่อเหตุดับ คุณไม่จำเป็นต้องถามว่า ผลมันจะมีหรือไม่มี รู้ลงที่เหตุอันเกิดแต่
    ในกายในใจเราแม้เพียงวินาทีเดียว ก็รู้ถ้วนได้ทั้งโลก(หลวงปู่หล้า)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2010
  5. Senseless guy

    Senseless guy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    287
    ค่าพลัง:
    +991
    ดีใจค่ะ ได้เจอผู้รู้ ดูเหมือนท่าน พอที่จะไขข้อข้องใจ ในการปฏิบัติได้ เพราะเป็นปัญหาคาใจ ขอถามเลย นะคะ แต่ขอคำตอบเป็นภาษาพูด เพื่อการปฏิบัติ ที่เข้าใจง่าย เพราะตำรา มีค่ะ แต่อ่านไม่เข้าใจ

    วิจิกิจฉา และ กามฉันทะ ในนิวรณ์ ๕ และ ในสังโยชน์ ซึ่งเหมือนกัน มีแตกต่างกันอย่างไร คะ ในการปฏิบัติ ?

    เราจะรู้ได้อย่างไร คะ ว่าตอนนี้ เราอยู่ใน อุปจารสมาธิ ฌาณ ๑ ฌาณ ๒ ฌาณ ๓ หรือ ฌาณ ๔ คืออยากทราบอาการเพื่อเป็นแนวทาง ( วิตก วิจารย์ ปิติ สุข เอกคัตตา อุเบกขา อันนี้ทราบแล้ว แต่ไม่เข้าใจ ) คืออยากทราบอาการ โดยละเอียด ?

    จังหวะที่จิตยกอารมณ์ ขึ้นสู่ระดับฌาณ ที่สูงขึ้น อารมณ์จิตจะยกตอนใหน คะ โดยเฉพาะ ฌาณ ๑ และ ฌาณ ๒ ?

    จริง ๆ แล้วยังมีอีกหลายคำถาม แต่ขอแค่นี้ก่อน คิดว่า คำถามนี้ คงเป็นประโยชน์ โดยส่วนตัว และส่วนรวมด้วย ... กราบขอบพระคุณล่วงหน้า นะคะ
     
  6. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ก็จริงๆ จะต้อง ถือว่า ผมไม่ถนัดที่จะสอนคนที่ เน้นฌาณมาก่อนนะครับ

    ที่ว่าไม่ถนัด เพราะว่า ในกระทู้นี้ คนที่ถนัดกว่า เขามีอยู่ และหากผมพูด
    อะไรไป เขาอาจจะไม่เห็นด้วย เพราะเขาเกรงว่า ผมจะพูดส่วนผลให้คุณ
    เอาไปจับยึด แทนที่จะปฏิบัติไปเรื่อยๆ เดี๋ยวรู้เอง

    แต่ถ้า ตายเป็นตาย มั่นใจพอว่า คำพูดผมจะไม่พาให้เสียใบเรือ ก็ขออนุ
    ญาติชี้ว่า

    คุณ รู้เรื่องฌาณดีแล้ว แต่ ไม่เข้าใจความแตกต่างของ นิวรณ์ กามฉันทะ
    (สังโยชน์ขอละไว้ก่อน)

    ก็เอาตรงนี้แหละครับ มาผลิกเสีย

    แทนที่จะศึกษามีความรู้เรื่อง ฌาณ นั้นเป็นอย่างไร ก็เปลี่ยนใหม่เสีย ละทิ้ง
    ความเข้าใจเรื่องฌาณเก็บไว้ลึกๆ ใส่หีบแล้วปิดไว้ (ไม่ต้องกลัวใครจะเอาไป
    จากคุณเนาะ) หลังจากซุกความรู้เรื่องฌาณไว้ ก็เพียงแค่ผลิกการศึกษาใหม่
    เป็น

    เหตุของการสิ้นไปของกามสวะ กามฉันทะ ทำให้เกิดสมาธิระดับหนึ่ง

    เหตุของการสิ้นไปของนิวรณ์ พยาปาทะ ทำให้เกิดสมาธิอีกระดับหนึ่ง

    ทีนี้ คุณก็เพียงแต่ใส่ใจดูว่า กามฉันทะ ดับไปจากจิตอย่างไร ละไป
    จากจิตอย่างไร สมาธิเป็นผลของการละ การสิ้นไปของ กามฉันทะ
    เหล่านั้น เรื่องนี้จริงไหม

    และ

    คุณก็เพียงแต่ใส่ใจดูว่า นิวรณ์ ดับไปจากจิตอย่างไร ละไป
    จากจิตอย่างไร สมาธิเป็นผลของการละ การสิ้นไปของ นิวรณ์
    เหล่านั้น เรื่องนี้จริงไหม

    กิเลสก็ดี นิวรณ์ก็ดี สมาธิก็ดี ล้วนเกิดขึ้น ตามแต่เหตุปัจจัย
    ทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นเพียงวัตถุธาตุอย่างหนึ่ง ที่ถูกสังเกตุ ที่มัน
    สังเกตุได้เพราะมันออกมาจากจิต ไม่ใช่จิต

    ผลิกมาดูการดับไปของเหตุ การเกิดของเหตุ รู้บ่อยๆ รู้เนืองๆ

    ดูห่างๆ อย่าดูแล้วปฏิเสธการเห็น กามฉันทะ หรือ นิวรณ์ ให้
    เห็นแล้วรู้ไปตรงๆ หากคุณเผลอปฏิเสธ ให้สังเกตจิตที่เกิดน้ำหนัก
    ขึ้นมาแล้วน้อมไปสู่การหลีกการเห็น ก็ให้แลเห็นว่านั้นคือ รูปราคะ
    หรือ อรูปราคะ มีอยู่ ไม่ต้องทำอะไร ถือเสียว่าเป็นเรื่องของ โยคาวจร
    (ภพของคนมีโยคะเป็นที่พึ่ง เป็นที่อาศัย) เราเพียงแต่รอให้มันดับ ก็
    จะออกมาแล้วค่อยดูใหม่ ก็จะพบว่า ไม่ว่าสิ่งไรๆก็แสดงสภาวะ
    ไตรลักษณ์ให้เห็นทั้งหมดทั้งสิ้น จิตจะคลายจากการยึดธาตุ แล้ว
    สวนกระแสมาเห็น มาพิจารณาธรรมไปเรื่อยๆ

    ทำบ่อยๆ ก็จะเป็น ผู้ฉลาด จำแนกแยกแยะ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่
    ดับไป ของ กิเลส นิวรณ์ ได้โดยไม่ต้องถามใคร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2010
  7. Senseless guy

    Senseless guy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    287
    ค่าพลัง:
    +991

    ขอบพระคุณมากค่ะ ที่ท่านตอบมา ได้ศึกษามาหมดแล้ว ค่ะ
    พอมีท่านใด ที่จะพอตอบ ปัญหานี้ ได้ไหม คะ
     
  8. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    แล้วตอนนี้ท่านคิดว่าท่านอยู่ตรงไหนของลำดับครับ หมายถึง ท่านคิดว่าสมาธิจิตของท่านเป็นเช่นไรครับ เอาเฉพาะสิ่งที่ท่านรู้สิ่งที่ท่านเห็นขณะทำสมาธิหรือทำฌาณก็ได้ครับ คิดว่าน่าจะมีหลายๆท่านในที่นี้ตอบท่านได้ เพียงแต่ท่านต้องรู้ว่าตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหนครับ ถ้าเล่าได้ก็เล่าเลยครับ เริ่มจากลักษณะการดำเนินไปของจิตตั้งแต่ยังไม่มีสมาธิไปจนทำไมมันมีอะไรหายไป แล้วจึงกลายเป็นสมาธิขึ้นมา ลองพิจารณาดีๆแล้วเล่ามาครับ ผมว่าน่าจะมีคนไขข้อสงสัยได้ครับ แต่ถ้าให้บอกลักษณะไปเลยล่วงหน้ามันเหมือนการทำนายที่ไม่อาจเป็นไปตามลักษณะของสมาธิที่ท่านกำลังเพียรปฏิบัติครับ ลองเล่ามาดูครับ นั่นเพราะที่ถามมันเป็นคำถามที่มีที่เห็นเป็นปกติครับ
     
  9. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ขอลองตอบดู
    สงสัย กาม พยาบาท ขี้เกียจ ฟุ้งซ่าน ที่เป็นนิวรณ์ กับสังโยชน์สองนั้นต่างกันอยู่ ตรงที่นิวรณ์ทั้งหลายเป็นธรรมหยาบ เป็นธรรมที่กั้นขวางความดี กั้นขวางกำลังสมาธิ และด้วยความที่เป็นธรรมหยาบนี้ จึงสามารถขจัด หรือละ ให้หลุดจากสภาวะนั้น ๆ โดยง่าย จะเอาสมาธิพุทโธกดไปตรง ๆ เลยก็ได้ หรือจะเอากำลังจากความเห็นค่อย ๆ ทำความรู้จัก รู้ตัว แล้วละมันก็ได้ ซึ่งตรงนี้ละได้แล้วสมาธิก็มีกำลังตั้งมั่นต่อไป ตัวอย่างสงสัยในนิวรณ์คือ สงสัยไปหมด เรื่องชาวบ้านก็สงสัย เรื่องซุบซิบก็สงสัย เรื่องดาราก็สงสัย เอ่อ ไอ้นี่ ไอ้นั้น นินทาเรารึเปล่า เป็นต้น เก็บเอามาเป็นอารมณ์หมด อารมณ์มันก็ขุ่นหมด สมาธิก็ไม่ไปไหน ต้องรู้จักปล่อยวางมัน

    ส่วนสงสัยที่เป็นสังโยชน์นั้น จะทำให้สิ้นไปได้ ก็ต้องทำลายมิจฉาทิฐิลงให้ได้ก่อน ปรมัตถ์ครบ อริยสัจจ์ครบ เพราะสังโยชน์ตัวนี้หลุดไปพร้อม สักกายทิฐิ และทางปฎิบัติที่ไม่ถึงมรรคผล ต้องเอาผลของพระอริยะเบื้องต่ำไปทำลาย ตัวอย่างสงสัยที่เป็นสังโยชน์ก็ พระพุทธหลอกรึเปล่า นิพพานนี้มันมีจริงไหม อะไรพวกนี้ ซึ่งมันจะไม่หายสงสัยไปได้จนกว่าจะได้รับการพิสูตร

    ย้อนกลับมาที่ินิวรณ์นั้น มันเกิดได้เรื่อย ๆ ขาดสมาธิเมื่อไร มันก็เกิด แต่ถ้ามีมันอยู่ทั้งสมาธิและปัญญา มันก็ไม่ก้าวหน้า

    นิวรณ์นั้น เอาศรัทธา เอาความเพียร จัดการได้โดยไม่ยากนัก


    ก่อนอื่นต้องทำให้มากก่อน จนแยกได้ว่า นี่ปัจจุบันที่ทำสมาธิอยู่ นี่เป็นฌานนะ นี่เป็นสมาธินะ แรก ๆ เอาปิติ สงบสบาย เป็นเกณฑ์ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรู้ตลอดว่า อันนี้วิตก อันนี้วิจารณ์ เอาพุทโธ เอาพองยุบ เอาลม นั้นแหล่ะ วิตก วิจารณ์อยู่แล้ว ผ่านฌาน 1 ฌาน 2 ไปแล้ว ที่นี้ทำมาก ๆ สมาธิเจริญมาก ก็ให้เอาสุข กับอุเบกขาเป็นเกณฑ์ ในการพักใจ สร้างกำลัง

    อุปจารสมาธิ คือ สมาธิที่มีกำลังพอเหมาะในการเจริญรูปนามในการเจริญวิปัสสนาต่อไป มีอาการคือ สงบ ตั้งมั่น เป็นหนึ่ง รู้สึกตัวอยู่เสมอ นิวรณ์ไม่กวน มีอำนาจในความเห็นการเกิดดับ หรือที่ย่อกันว่า เห็นไตรลักษณ์


    หวังว่าธรรมของครูอาจารย์จะช่วยให้ผู้ถามกระจ่างมากขึ้น อนุโมทนาครับ

    สรุป ฌาน-สมาธิ โดย พระนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาจารย์ (เทสก์ เทสรังสี)
    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%9B-%E0%B8%8C%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B5-%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B9%8C-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B5.250028/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2010
  10. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    อนุโมทนา ครับผม .. ตอบได้ดี ครับ

    ภรภิตา

    ดีใจค่ะ ได้เจอผู้รู้ ดูเหมือนท่าน พอที่จะไขข้อข้องใจ ในการปฏิบัติได้ เพราะเป็นปัญหาคาใจ ขอถามเลย นะคะ แต่ขอคำตอบเป็นภาษาพูด เพื่อการปฏิบัติ ที่เข้าใจง่าย เพราะตำรา มีค่ะ แต่อ่านไม่เข้าใจ

    วิจิกิจฉา และ กามฉันทะ ในนิวรณ์ ๕ และ ในสังโยชน์ ซึ่งเหมือนกัน มีแตกต่างกันอย่างไร คะ ในการปฏิบัติ ?

    นิวรณ์ คือละชั่วคราว และ ส่วนสังโยชน์ คือละถาวร ถ้าทำได้นะ การละชั่วคราว เป็นเรื่องของฌาณโลกีย์ หากละถาวรได้ เป็นของพระอริยเจ้า

    เราจะรู้ได้อย่างไร คะ ว่าตอนนี้ เราอยู่ใน

    อุปจารสมาธิ จะมีปิติอย่างใดอย่างหนี่ง เป็นเครื่องหมาย หรือเป็นอารมณ์ที่นิวรณ์ ไม่มากวนใจ
    ฌาณ ๑ จิตตั้งมั่น เสียงภายนอกชัดเจน ไม่รำคาญในเสียง (ตัดวิตก)
    ฌาณ ๒ จิตมีกำลัง คำภาวนาหายไป เสียงภายนอกเริ่มเบา (ตัดวิจารย์)
    ฌาณ ๓ ร่างกายจะรู้สึกเกร็ง เสียงภายนอกท่านว่า เบามาก (ตัดปิติ)
    ฌาณ ๔ ท่านแยกไว้ เป็น 2 ระดับ คือหยาบ และละเอียด ตัดความรู้สึกภายนอก คงรู้แต่อารมณ์ภายใน ลมหายใจท่านว่าหาย แต่จริง ๆ มี แต่เบามาก และจิตไม่รับสัมผัส ท่านว่าไว้ นะ

    คืออยากทราบอาการเพื่อเป็นแนวทาง ( วิตก วิจารย์ ปิติ สุข เอกคัตตา อุเบกขา อันนี้ทราบแล้ว แต่ไม่เข้าใจ ) คืออยากทราบอาการ โดยละเอียด ?

    แค่นี้ก็ละเอียด แล้วนะ

    จังหวะที่จิตยกอารมณ์ ขึ้นสู่ระดับฌาณ ที่สูงขึ้น อารมณ์จิตจะยกตอนใหน คะ โดยเฉพาะ ฌาณ ๑ และ ฌาณ ๒ ?

    เวลาท่านฝัน ท่านฝันตอนใหน ของการหลับ ... ไม่มีใคร สามารถ รู้ได้นะ เพราะเป็นอารมณ์ลื่นไหล นี่พูดถึงว่า หากจิตมีกำลังนะ

    จริง ๆ แล้วยังมีอีกหลายคำถาม แต่ขอแค่นี้ก่อน คิดว่า คำถามนี้ คงเป็นประโยชน์ โดยส่วนตัว และส่วนรวมด้วย ... กราบขอบพระคุณล่วงหน้า นะคะ

    อนุโมทนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 ธันวาคม 2010
  11. Senseless guy

    Senseless guy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    287
    ค่าพลัง:
    +991
    กราบอนุโมทนา สาธุค่ะ

    กราบขอบพระคุณทุก ๆคำตอบนะคะ
     
  12. Tanunchapat

    Tanunchapat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +3,191

    โมทนา...สาธุค่ะ ใช้ภาษาง่ายๆ อ่านแล้วเข้าใจดีค่ะ
     
  13. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    [​IMG]
    .....................................
    ถามมาเลยครับถามเป็นข้อๆ เวลาตอบจะได้ไม่สับสนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 ธันวาคม 2010
  14. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผมขอตอบว่าศาสนานั้นเป็นของจริงครับส่วนเรื่องบาปบุญนั้นก็ส่งผลทางด้านความคิดครับกรรมที่สร้างใหม่หรือกรรมเก่าไม่มีความแน่นอนครับเพราะว่ามาจากจิตสำนึกครับทำด้วความเคยชินตัวอย่างเรื่องเวรกรรมก็มีให้เห็นอยู่แล้วบนโลกใบนี้ส่วนเรื่องของพระที่ทำผิดวินัยสงฆ์นั้นเป็นด้วยสภาพแวดล้อมของโลกใบนี้เองครับและต่อไปจะเป็นไปยิ่งกว่านี้ศาสนาพุทธจะไปเจริญทางฝั่งตะวันตกในอีกไม่นานครับ สิ่งที่คุณคิดถูกต้องครับแต่มันเป็นส่วนรวมครับ การปฎิบัตินั้นเป็นของจริงครับไม่ใช่อุปทานครับ สามารถเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น ได้ยินไกลออกไปมากๆ รู้ถึงสิ่งที่เป็นตัวสร้างภพสร้างชาติเลยทีเดียวครับ คุณลองปฎิบัติกรรมฐานดูสิครับแล้วจะเห็นว่าจิตของคุณเป็นยังไง
     
  15. ปลาแมว

    ปลาแมว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +797
    ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ การที่พระทำผิด แม้กระทั่งพระผู้ใหญ่หรือพระชื่อดังที่เอาเงินบริจาคไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว มันก็เหมือนกับ ตำรวจ ทหาร ผู้พิพากษา อัยการ ที่รู้กฎหมายแต่ทำผิดกฎหมายซะเอง ถ้าคนเหล่านั้นทำผิดกฎหมายเพราะหาทางเลี่ยงได้ พระที่ทำผิดก็คงหาทางเลี่ยงได้เช่นกัน

    ก่อนหน้านี้ผมสงสัยว่า ถ้าแม้กระทั่งพระชั้นผู้ใหญ่ทำผิดอย่างไม่เกรงกลัวบาปขนาดนี้ ทั้งที่น่าจะเป็นผู้ที่รู้บาปจากสิ่งที่ตนกระทำมากสุด เป็นไปได้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้ว พระเหล่านี้ค้นพบจากการบวชเป็นพระ จากการปฏิบัติว่าบาปดังกล่าวไม่มี หรือมีวิธีเลี่ยง จึงกล้าทำผิดอย่างไม่เกรงกลัวขนาดนั้น

    แต่ในตอนนี้หลังจากอ่านหลายความเห็น ทำให้ผมเชื่อว่า ผลที่ได้จากการปฏิบัติมีอยู่จริง แต่ขณะเดียวกัน การหลอกลวงโดยอาศัยความงมงาย ความศรัทธา ก็มีอยู่จริงเช่นกัน ภายใต้ภาพของพระผู้ปฏฺิบัติชอบ พระที่เทศน์ดี เทศน์สอนคนไปหมดแต่ตัวเองกลับทำตามที่สอนคนอื่นไม่ได้ บวกจากการที่ผมสำรวจด้วยตัวเอง ทำให้พบว่า พระสายพระป่า เป็นพระที่ดีที่สุด แม้จะไม่ทุกองค์ก็ตาม แต่พระเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีการปฏิบัติที่เคร่ง และปฏิเสธกิเลสด้วยความแน่วแน่ มากกว่าพระในวัดดัง ที่บวชเพื่อลาภ ยศ ศักการะ สรรเสริญ มีความโลภไม่ต่างกับปุถุชนทั่วไปครับ
     
  16. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676

    เมื่อเข้าใจดังนี้แล้ว ก็ไม่ควรที่จะเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในใครๆ เพราะสรรพสิ่งเหล่านั้นล้วนแล้วแต่อนิจจังเสมอ ความไม่แน่มีอยู่เป็นธรรมดาของมนุษย์และสัตว์ ความไม่แน่นอนในสรรพสิ่งนี้ ไม่ได้หมายเอาแต่สภาพของธาตุที่เปลี่ยนไปแปลงไปตลอดเวลาหากรวมไปถึงสภาพของจิตใจในตนด้วย เมื่อเข้าใจในตนก็ย่อมจะเข้าใจในตัวคนอื่นด้วยเช่นกัน คนพูด 1 ล้านพูดมีทั้งถูกมีทั้งผิด มีทั้งดีมีทั้งไม่ดี หากกล่าวถูก 1คำหรือมากกว่าก็ไม่ได้หมายถึงที่เหลือนั้นถูกไปหมด ตรงกันข้ามหากกล่าวผิดไป 1 คำหรือมากกว่านั้นก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคำที่เหลือผิดหมด ชีวิตมนุษย์จึงจำเป็นต้องดำเนินต่อไปสุดแล้วแต่ใครจะมุ่งหมายมั่นปลายทางของแต่ละคน แต่ในการดำเนินชีวิตในบริบทต่างๆกันนี้จำเป็นที่จะต้องมีหลักการกฏเกณฑ์กำกับดูแลว่าลดละเลี่ยงการเบียดเบียนผู้และนั่นก็คือเจตนาของศีล ซึ่งมีผลเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการกระทำและยังส่งผลสะท้อนในด้านจิตใจ หมายความว่า ใครอะไรไว้ ใครคนนั้นก็จะได้รับผลจากกระทำนั้นๆ เพราะฉนั้นแล้วใครอะไรไว้ก็เป็นเรื่องของเวรกรรมของเขา ขอเพียงแต่เราอย่ามัวไปเฝ้าสังเกตุแต่คนอื่นๆเลย มันเรื่องภายนอกหรือถ้ามันมากนักก็ขอให้เรียนรู้ไว้เป็นประสบการณ์สิ่งที่ดีก็เก็บน้อมนำเอาใส่ใจ สิ่งที่ไม่ดีก็รู้ไว้ว่ามันไม่ดีเราก็ระวังอย่าเผลอใจคล้อยไปตามกระแส

    สิ่งดีๆที่เคยทำล่วงมาแล้วอย่าไปสนใจ จงมองหาแต่สิ่งไม่ดีในตัวเราแล้วทำลายมันเสีย จากนั้นชีวิตเราก็จะมีแต่ส่ิงดีๆ (คำสอนของหลวงพ่่อฤาษีลิงดำ)

    อ่านจบแล้วก็ไม่ต้องไปเบนเข็มจับผิดหลวงพ่อท่านอีกล่ะ แต่จงนำแค่คำสอนหลวงพ่อมาก็พอ คราวนี้ก็ควรจะวกกลับเข้ามามองดูจิตดูใจตนเอง ระวังอย่าให้เคราะห์นั้นย้อนคืนเป็นพอ...(ฮา) :cool:
     
  17. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ขอบตอบบ้าง

    กิเลสของนิวรณ์แตกต่างจากสังโยชน์ตรงที่ในนิวรณ์แค่วางไว้พอออกจาสมาธิก็มีขึ้นมาใหม่แต่ในสังโยชน์จะไม่มีขึ้นมาอีกเลย ในรูปของฌาณนั้นหากคำภาวนาของคุณเด่นชัดมาก มากว่าความรู้สึกโดยทั่ว นั้นก็หมายว่าคุณนั้นได้วิตก วิจารณ์ จนขณะหนึ่งจิตได้เข้าสู่ความรู้สึกซาบซึ้ง ตื่นเต้น ดีใจ จนมีความสุข นิ่งในอารมณ์นั้น ไม่อยากแม้แต่จะขยับ ไม่อยากรับรู้อะไรที่เข้ามากระทบนั้นล่ะครับฌาณ ส่วนฌาณที่สูงขึ้นไปอีก แม้แต่ไม่ภาวนาก็รู้สึกถึงอารมณ์ที่ได้กล่าวมา อายตนะก็จะเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆจนคุณต้องแปลกใจ และอย่าลืมพิจารณาด้วยนะครับ ไม่งั้นคุณจะหลงอยู่ในอารมณืของความสุขจนลืมสิ่งที่ปฎิบัติอยู่ ขออภัยหากที่กล่าวมานั้นผิดครับ
     
  18. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    สาธุครับ อันจิตนั้นแต่เดิมมิได้มีสิ่งที่ขุ่นมัว แต่เพราะการเกิดจึงทำให้จิตนั้นมีสิ่งร้อยรัด การปฎิบัติทำไปเพื่อทำลายสิ่งที่ร้อยรัดให้หมดจด ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  19. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    คำถามของปลาแมว

    1. ผลจากการปฏิบัติตามหลักศาสนาเป็นของจริงหรือไม่? ผลที่ได้จากการปฏิบัติโดยพระอาจารย์ รวมถึงฆราวาสที่เคร่งหลายท่าน เป็นของจริงหรืออุปาทานครับ ส่วนตัวผมเชื่อว่าของจริงมีแต่น้อยมาก ที่เหลือถ้าไม่อุปาทาน ก็พวกหลอกหากินกับคนที่กำลังทุกข์

    ตอบ ความจริงย่อมดีกว่าความเท็จ เมื่อท่านทำตนให้ถึงของจริง แม้ข้อเท็จจริงก็ย่อมปรากฏ

    2. ศาสนาเป็นของจริง หรือเป็นแค่เครื่องมือของมิจฉาชีพสำหรับใช้กล่อมคนให้อยู่ใต้ศาสนาเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ โดยที่เรื่องทั้งหมดอุปโลกน์ขึ้น - เหมือนกับการใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือให้คนงมงาย เพื่อที่จะได้ทำชั่วยังไงก็ได้ เมื่อทำแล้วและกฎหมายไม่สามารถทำอะไรได้ ก็กล่อมให้คนเชื่อว่า เดี๋ยวกรรมก็สนอง ทำให้คนไม่ยึดติดกับกฎหมายจริงในสังคม แต่อิงกฎแห่งกรรมเป็นหลัก

    ตอบ ตัวทบกฏหมาย มีไว้เพื่อควบคุมให้มนุษย์อยู่ร่วมกัน
    อย่างปกติสุข กฏหมายก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ตอบสนองต่อ
    ความปลอดภัยและทรัพย์สินสิทธิเสรีภาพได้อย่างแท้จริง
    แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีตัวบทกฏลงโทษ

    3. ถ้าศาสนาเป็นของจริง มีกฎแห่งกรรมสนองจริง และจุดมุ่งหมายคือให้ทุกคนทำดีจริง ทำไมถึงไม่มีการสนองต่อกรรมนั้นแบบที่เห็นได้ พิสูจนได้ โดยคนปกติทั่วไปครับ ทำไมการพิสูจน์กรรมมันยากถึงขนาดที่ต้องปฏิบัติ ทำสมาธิ เพื่อจะได้เห็นกรรมเหล่านั้นครับ

    ตอบ ความดีเป็นสิ่งที่คนชั่วไม่ทำ มันยากตรงนี้ตาหาก
    ส่วนความดีเป็นสิ่งที่คนชั่วทำได้ยาก กรรมบางอย่างเห็นผลทันตา คุณไปฆ่าคนตาย คุณหนีมือกฎหมายไม่ได้ คุณก็ติดคุก
    หากคุณไม่สำนึก ถึงสิ่งที่คุณทำผิดฆ่าคนโดยเจตนาวางแผนไว้ก่อนล่วงหน้า คุณก็โทษว่าคนโง่ย่อมตกเป็นเหยื่อของคนฉลาด
    แต่ผมกลับว่ามันโง่ด้วยกันทั้งคู่ คนโง่ก็ย่อมตกเป็นเหยื่อของคนโง่ด้วยกันเอง คนฉลาดแล้วรู้แล้วเค้าย่อมไม่ทำตนและคนอื่นให้เดือดร้อน แม้จะยังมองไม่เห็นกรรม แต่เค้าก็มีจิตที่คิดดี
    ต่อสังคมประเทศชาติ


    4. พระในไทยมีหลายองค์ที่ผมเห็น ทั้งในพันทิบ ในคลองถม ในวรจักรหรือแม้แต่ในวัด ที่มีพฤติกรรมเสื่อมทราม เน้นเอาปัจจัย ใครให้ซองก็วิ่งเข้าหา ถึงขนาดแย่งกันบิณฑบาต เอาป้จจัยที่ได้ ไปซื้อเครื่องเล่นเกมส์ ทีวีจอยักษ์ โน๊ตบุ้ค เที่ยงคืนกินมาม่า เหมือนกับคนเหล่านี้แค่มาอยู่ในผ้าเหลืองเป็นอาชีพ เกาะศาสนาอาศัยศรัทธาและความงมงายคนในการหากิน ผมถามว่า เสื่อมขนาดนี้ทำไมเราไม่เห็นกรรมสนอง ทั้งตัวผู้บวชเอง ทั้งคนที่ปล่อยให้ศาสนาเสื่อม เรามีการพูดกันว่ากรรมหนักมาก จะต้องตกนรกโน้นนี้ โดนทำโทษแบบนี้ แบบนั้น ทำไมเราจะต้องรอการสนองกรรมที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ โดยที่ไม่มีการจัดการใด ๆ กับพระเหล่านี้เลย เรางมงายกันเกินไปหรือเปล่า

    ตอบ ยุคขี้แร่ยุคสุดท้าย สัตว์นรกมาเกิดกันเยอะ
    ยังติดนิสัยเก่า เพราะมาเกิดใหม่ก็ยังไม่สำนึก
     
  20. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ dangcarry [​IMG]
    เอ๊ะ รู้สึกว่าเคยถามท่านเก่ง ไปครั้งหนึ่ง ที่ห้องพุทธภูมิ ว่าท่านปราถนาพุทธภูมิหรือ
    วันนี้จะขออนุญาติถามว่าท่านปราถนาพุทธภูมิ หรือเปล่าค่ะ
    ถ้าไม่สะดวกตอบก็ไม่เป็นไรน่ะค่ะ แค่อยากถามอ่ะค่ะ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    รู้แล้วช่วยให้อะไรๆมันดีขึ้นก็ดีอยู่นะ แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยเพราะเรื่องแบบนี้ใครคิดเองได้ก็เท่ากับว่าเสียรู้กิเลส เหมือนกับไอ้พวกที่ปฏิบัติพออ่านออกเขียนได้สักหน่อยมันก็จะคิดว่าตนเองเป็นอริยะบุคคล ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีเท่าไรสำหรับผลการปฏิบัติ เหมือนกับคนที่บอกว่าผมนั้นปราถนานรกภูมินั่นแหละ พ่อแม่เขาไม่ได้สั่งไม่ได้สอน ครูบาอาจารย์เขาก็ไม่ได้สั่งไม่ได้สอน ว่าควรทำตัวอย่างไร แถมยังเอารูปหลวงตาบัวมาใช้แล้วยังปฏิบัติตัวอย่างคนขาดการอบรมสั่งสอนเที่ยวไปสอนคนนั้นคนนี้ด้วยโวหารต่างๆนานา แต่ที่จริงปัญญาและภูมิธรรมนั้นมีเท่าหางมด คงรู้นะหางมดคืออะไร(มันไม่มีไง) คุณแดงผมจะปราถนาอะไรก็ตามถ้าต้องการรู้ว่าอะไรอย่างไรก็ใช้การพิจารณาด้วยตนเองดีกว่า เพราะถึงผมบอกว่าผมปราถนาแต่การกระทำต่างๆมันไม่ใช่ก็ไม่น่าจะเกิดประโยชน์อะไรกับคุณ เช่นเดียวกับไอ้พวกมารศาสนาทั้งหลายที่ปากก็บอกว่าตนนั้นดุจดังอริยะบุคคลมากล้นด้วยปัญญา แต่ทั้งการกระทำ คำพูดจิตใจล้วนอยู่ในอเวจีทั้งนั้น จึงไม่มีความดีที่เป็นของตนจริงๆเลย คงไม่ต้องบอกนะว่าใคร คนที่ดีแต่พูด และใช้คำพูดเพื่อให้คนอื่นเสียหายนั้นมันก็เป็นเพียงภูมิหนึ่งที่ต้องรอส่วนบุญส่วนกุศลเท่านั้นเอง เพราะหลงคิดว่าทำสมาธิด้วยมิจฉาทิฐิจะได้กุศล อกุศลกรรมทั้งหลายไม่อาจตามได้ นั่นเพราะมันเป็นพวกมิจฉาทิฐิมันจึงได้ไม่รู้ตัวว่า มันเป็นอยู่และเป็นไปด้วยความหลงในสิ่งต่างๆ ด้วยตัวของมันเองเท่านั้น คุณแดงก็อย่าประมาทแล้วกันนะฟังได้แต่อย่าเชื่อให้พิจารณาเอาครับ ไอ้คนนั้นหนะที่ใช้รูปหลวงตามาบังหน้าหนะถ้าอยากจองเวรให้ถึงชาติสุดท้ายก็อธิฐานเอานะ ถ้าไม่อยากทำอย่างนั้นก็ไปกราบหลวงตาบ้างนะความชั่วในใจที่เป็นเหมือนหอกคอยทิ่มแทงคนอื่นมันจะได้หายไปบ้าง (วิญญาณไม่ดีๆ มันจะได้ออกไปจากจิตใจบ้าง)<!-- google_ad_section_end --> <!-- / message -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...