บ้านป้าแน๊ต - ธรรมะ..ธรรมชาติ..ธรรมดา

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย pinkdemon, 16 เมษายน 2009.

  1. ninja2133

    ninja2133 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2009
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +24
    ปาล์ม วันนี้ไม่ไปโรงเรียนเหรอ
     
  2. ปฏิสัมภิทัปปัตโต

    ปฏิสัมภิทัปปัตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    375
    ค่าพลัง:
    +1,326
     
  3. ปฏิสัมภิทัปปัตโต

    ปฏิสัมภิทัปปัตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    375
    ค่าพลัง:
    +1,326
     
  4. ปฏิสัมภิทัปปัตโต

    ปฏิสัมภิทัปปัตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    375
    ค่าพลัง:
    +1,326
    ขอบคุณมากค่ะป๋าเม้ง
    กำลังจะไปโอนเงินในเวลาอันใกล้นี้อยู่พอดีเลยค่ะ
    ขอโมทนากับความปรารถนาดีนี้ด้วยค่ะ
     
  5. ปฏิสัมภิทัปปัตโต

    ปฏิสัมภิทัปปัตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    375
    ค่าพลัง:
    +1,326
     
  6. palm96

    palm96 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +176
     
  7. chaivat chinkidjakar

    chaivat chinkidjakar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    1,601
    ค่าพลัง:
    +21,780
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2009
  8. chanadda1978

    chanadda1978 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +19
    แจมด้วยจ้า...

     
  9. ปฏิสัมภิทัปปัตโต

    ปฏิสัมภิทัปปัตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    375
    ค่าพลัง:
    +1,326
     
  10. ปฏิสัมภิทัปปัตโต

    ปฏิสัมภิทัปปัตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    375
    ค่าพลัง:
    +1,326
    คิดถึงป้านะคะ
    ป้าหายปายไหน ไปกับพี่ศิหรือเปล่าค่ะเนี่ย
     
  11. ขุนพลลุ่มน้ำป่าสัก

    ขุนพลลุ่มน้ำป่าสัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +634
    สวัสดีครับ ยังอยู่ดีมีสุข
    คิดถึงทุกๆ ท่านครับ
    ช่วงนี้ติดงานบูรณะพระเจดีย์และปรับปรุงเครื่องส่งวิทยุธรรมะ
    ของวัดพระธาตุเจริญธรรม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. Yingpai

    Yingpai Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +48
    :cool:ขออนุโมทนาบุญกะท่านขุนพลด้วยค่ะ
    นานๆเจอทีแต่ก็มีสิ่งดีๆมาให้เสมอ และขอบคุณ
    พี่ชีวาสด้วยนะคะที่มีคำแนะนำดีๆเกี่ยวกับคำสอน
    ของหลวงพ่อมาให้ปฏิบัติกัน แล้วจะปฏิบัติตามบวกกับที่ป้าสอนด้วยค่ะ ;welcome3
     
  13. Ricardo DeCalgary

    Ricardo DeCalgary เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +11,341
    สวัสดีครับ ป้าแน็ต พี่ศิ คุณน้องอภิญญา และ กัลยาณมิตร ท่านผู้เจริญ ทุกท่าน

    เมื่อวานนี้ผมไปถวาย สังฆทาน ข้าวสาร(ข้าวเหนียว)หนึ่งถุง เทียนสองกล่อง น้ำหนึ่งแพ็ค กระดาษทิชชูหนึ่งกล่อง และของอื่นๆ รวมทั้งถวายปัจจัย กับหลวงพ่อวิริยังค์ ครับ เพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา

    ผลบุญกุศลอันใดที่เกิดขึ้น ผมขอน้อมนำบุญนั้นให้ พี่ศิ ป้าแน็ต คุณน้องอภิญญา และ กัลยาณมิตร ท่านผู้เจริญ ทุกท่าน ได้รับผลบุญนี้ด้วยครับ


    บุญรักษา สวัสดีครับ


     
  14. chattrg

    chattrg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    4,337
    ค่าพลัง:
    +13,241
    มาแวะ ครับ
    แต่ ไม่เจอใครเลย
     
  15. chaivat chinkidjakar

    chaivat chinkidjakar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    1,601
    ค่าพลัง:
    +21,780
    หวัดดีครับ ป้าแน๊ต กัลยาณมิตรในเรือนพญาหมอนทองทุกๆท่าน
    วันนี้ผมนำเรื่องน่าสนใจมาให้อ่านกันครับ
    อ่านแก้เหงาไปก่อนครับ(ป้าจ๋าพวกเล็กๆรออยู่ก๊าบ)

    ทำบุญง่ายๆ ตามประสาคนไม่มีเวลา (ไม่ว่าง)
    การทำบุญคนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงการไปทำบุญที่วัดตักบาตรเป็นส่วนมาก
    แต่ถ้าเราไม่มีเวลาไม่ค่อยได้ใส่บาตร หรือไปทำบุญที่วัด
    ก็ทำให้ขาดโอกาสในการสะสมบุญของเรา
    สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาในการทำบุญ ทำกุศลก็จะขอบอกวิธีต่อไปนี้
    เพื่อจะได้เข้าใจในการสะสมบุญโดยไม่ต้องไปทำที่วัด
    คือ “การสวดมนต์” ซึ่งเป็นการทำบุญง่าย ๆสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา
    เชื่อว่าทุกบ้านต้องมีหิ้งบูชาพระ หรือโต๊ะหมู่บูชาพระ
    ถ้าไม่มีให้หารูปพระมาติดไว้ที่ข้างฝาบ้านก็ได้
    ถ้าไม่มีเลยก็ใช้จิตระลึกถึง เพียงหันหน้าไปทางทิศเหนือ หรือทิศตะวันออก
    หรือบริเวณที่เห็นว่าเหมาะสมก็ได้ จากนั้นเตรียมกระปุกใส่เงินเอาไว้ 1 ใบ
    ทุกๆ วันให้หาเวลาเพียงวันละ 20-30 นาที เพื่อจะสวดมนต์ไหว้พระ
    จะเป็นเวลาไหน ก็ได้ที่เรารู้สึกสบายใจ.
    ปุจฉา วิสัชนา
    ถามว่า ขณะที่เราสวดมนต์นั้นเราสวดบูชาใคร?
    ตอบว่า เราสวดมนต์บูชาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขณะที่สวดจิตเราก็น้อมอยู่กับคุณพระรัตนตรัย
    ถามว่า ขณะที่สวดมนต์อยู่นั้นเราสวดด้วยจิตที่มีอาการสำรวม มีความตั้งใจในการสวด
    อาการที่จิตสำรวม มีความตั้งใจเป็นอาการของอะไร?
    ตอบว่า เป็นอาการของสมาธิ คือได้แล้วสมาธิเบื้องต้น
    ถามว่า ขณะที่สวดมนต์จิตของเราคอยนึกถึง ระวังไม่ให้หลงลืมในบทสวดนั้น เป็นอาการของอะไร?
    ตอบว่า เป็นอาการของสติ ได้ฝึกสติในเวลาสวดมนต์ไปในตัว
    ถามว่า การที่เราได้สวดมนต์เพียงไม่กี่นาทีในแต่ละครั้ง เราจะได้บารมีอะไรบ้าง?
    ตอบว่า
    1. เมื่อสวดมนต์เสร็จตั้งจิตเป็นสมาธิ อธิษฐานจิตเอาเงินที่จบใส่กระปุกที่เตรียมไว้เป็น “ทานบารมี”
    2. ขณะที่เราสวดมนต์อยู่เราไม่ได้ทำบาปกรรมกับใคร มีศีลอยู่ในขณะที่สวดเป็น “ศีลบารมี”
    3. ขณะที่เราสวดมนต์อยู่จิตเราปราศจากนิวรณ์มารบกวนใจ ถือว่าเป็นการบวชใจเป็น “เนกขัมมะบารมี”
    4. การที่เราสวดมนต์ไหว้พระไม่ใช่เป็นการงมงาย แต่เราทำด้วยใจศรัทธา ทำด้วยปัญญาที่เห็นว่ามันมีประโยชน์
    ช่วยฝึกจิตให้เกิดสติมีสมาธิเป็น “ปัญญาบารมี”
    5. ถ้าเราขี้เกียจไม่มีความเพียร เราก็จะทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องมีความเพียรเป็น “วิริยะบารมี”
    6. มีความเพียรแล้ว ต้องมีความอดทนเป็น “ขันติบารมี”
    7. มีความเพียร มีความอดทนแล้ว ต้องมีสัจจะในการกระทำ หมายถึงความจริงใจเป็น “สัจจะบารมี”
    8. เมื่อสวดมนต์เสร็จทำสมาธิ ตั้งจิตอธิษฐานเป็น “อธิษฐานบารมี”
    9. ใส่บาตรเสร็จต้องแผ่เมตตา อุทิศบุญ การแผ่เมตตาเป็น “เมตตาบารมี”
    10. ขณะที่แผ่เมตตาเราต้องทำใจให้เมตตาไม่มีประมาณในสัตว์ทั้งหลาย อโหสิกรรมกับบุคคลที่เราได้เคยล่วงเกินกันมา
    ไม่โกรธ ไม่เกลียดใคร ทำใจให้นิ่ง ทำจิตให้สงบเย็นเป็น “อุเบกขาบารมี”

    เห็นไหมว่าเพียงแค่เราสวดมนต์ไม่กี่นาทีต่อวัน เราก็ได้บารมีครบถ้วน
    และสิ่งเหล่านี้เองก็จะสะสมอยู่ในใจของเราทีละเล็กทีละน้อย
    แล้วเงินที่เราหยอดกระปุกทุกครั้งที่สวดมนต์นั้นก็เหมือนกับ
    เราได้ใส่บาตรทุกวัน โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
    เมื่อใดมีโอกาสเข้าวัดไปทำบุญก็เอาเงินในกระปุกนั้นแหละไปทำบุญ
    ไปหยอดตู้บริจาค ซื้ออาหารถวายพระสงฆ์ จะทอดกฐิน
    ทอดผ้าป่า สร้างพระ สร้างหนังสือธรรมะ อะไรก็ตามที่เป็นสาธารณประโยชน์
    ก็เอาเงินนี้แหละไปร่วมทำบุญได้สบายๆ ได้อานิสงค์มาก
    แล้วจิตของเราก็จะติดอยู่กับกุศลทุกวัน เมื่อถึงเวลา
    มันก็จะรวมเข้าในจิตของเราเป็นหนึ่งเดียว
    แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย เราก็ไม่ได้อะไรเลย


    ดังนั้นคนที่ไม่ค่อยมีเวลาใส่บาตร เข้าวัดทำบุญ
    ถ้าเห็นว่าวิธีนี้มีประโยชน์ก็พยายามจัดเวลาสำหรับสวดมนต์
    ปฏิบัติให้ได้ทุกวัน แล้วท่านจะเห็นผลสมปรารถนาในสิ่งที่ต้องการ
    ในไม่ช้าอย่างแน่นอน โดยไม่มีข้อสงสัย
    เป็นปัจจัตตัง คือจะรู้ด้วยตัวเอง..

    ผมหยอดกระปุกบนหิ้งพระ นิดๆหน่อยๆทุกวันครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2009
  16. pinkdemon

    pinkdemon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +157
    คิดถึงทุกคน

    ทวดชีวาสคะ ฝากหนังสือไว้กับน้องอิเจ๋งแล้วนะคะ ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ส่งบทสวดภายในวันอาทิตย์ที่ผ่านมาตามที่สัญญาไว้ เด๋วแมวหลังไมค์นะคะ
     
  17. Yingpai

    Yingpai Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +48
    ;aa29สวัสดีค่ะคุณทวดชีวาส วันนี้มะไปทำบุญที่ไหนเหรอค๊า แล้วอย่าลืมนำสาระดีๆมาฝากกันอีกนะคะ วันนี้บอกรักแม่หรือยังคะ
     
  18. chaivat chinkidjakar

    chaivat chinkidjakar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    1,601
    ค่าพลัง:
    +21,780
    หวัดดีก๊าบ ป้าแน๊ต และกัลยาณมิตรในเรือนหมอนทองทุกๆท่านครับ

    ป้าแน๊ต ยังไม่มาก็ต้องนั่งรอนอนรอร้องเพลงรอๆๆไปก่อน
    เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทางวัดที่นี่มีงานทำบุญวันแม่ ตั้งใจว่าจะไปทำบุญหน่อย ยุ่งจนไม่ได้ไปจนได้ อาทิตย์หน้าก็ไปไม่ได้อีกพี่ชายกับครอบครัวมาเที่ยวมาจากเมืองไทย
    วันนี้เลยทำวันแม่ทางใจครับ

    ว่างเลยหาเรื่องมาให้อ่านเป็นความรู้ครับ ขออนุญาติด้วยครับ

    อ ย่า ท้ อ ถ อ ย
    ญาติโยมผู้หนึ่งเกิดความลังเลสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมที่ควรจะได้ผลมาก เพราะเธอมีความขยันหมั่นเพียร จึงมานมัสการกราบเรียนหลวงปู่ว่า
    "หลวงปู่คะ การที่ลูกนั่งไม่ดีนี่แสดงว่าชาติก่อนทำมาไม่ได้ใช่ไหมคะ"
    หลวงปู่ตอบว่า "แกรู้เหรอเรื่องแต่ก่อน ไม่ต้องไปสนใจ เพราะเรารู้ไม่ได้ เอาชาตินี้ให้มันดี ไม่ต้องคิดถึงชาติก่อน อย่าท้อถอย ทำไปเดี๋ยวก็ดีเอง"
    หลวงปู่ตอบตรงตามพุทธพจน์ที่ว่า อย่าสนใจอดีตเพราะเป็นสิ่งที่ล่วงมาแล้ว ให้สนใจในปัจจุบัน
    หลวงปู่แหวนเคยตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
    "อดีตเป็นธรรมเมา อนาคตเป็นธรรมเมา เฮาบ่มีอดีต เฮาบ่มีอนาคต เฮามีแต่ปัจจุบันเท่านั้น"
    คำพูดของท่านสมกับเป็นพระอริยสงฆ์ที่เราเคารพกราบไหว้ เพราะเป็นสัจจธรรมที่เป็นความจริงเสมอมา

    อ ยา ก จะ ไ ป นิ พ พา น
    ผู้ที่มากราบนมัสการหลวงปู่หลายๆ คน มาถึงก็แจ้งความประสงค์กับหลวงปู่ ปรารถนาไม่เกิด อยากไปนิพพานในชาตินี้ จะได้พ้นทุกข์ บางคนก็ตั้งเจตนาจริง บางคนก็พูดไปอย่างนั้น หลวงปู่เคยให้ข้อคิดสำหรับคนที่ไม่ตั้งใจจริงเหมือนคำพูดที่ปรารถนา ว่า
    "อยากจะไปนิพพาน แต่ศีล ๕ ยังรักษาไม่ได้ จะไปได้อย่างไร"
    "วันนี้มีผู้หญิงอยู่คนมากราบข้า บอกว่าจะไปนิพพาน ข้าไม่พูดแต่มองดู ปากยังทาแดงแจ๋ เล็บตีนเล็บมือยังแดงแจ๋ หัวตะพานจะไปถึงหรือเปล่า"
    ดังนั้น หลวงปู่จึงสอนพวกเราทั้งหลาย เมื่อตั้งใจสิ่งใดแล้ว ต้องทำหรือปฏิบัติจึงจะสมปรารถนา หลวงปู่ทวดกล่าวว่า "การปฏิบัติจะตัดภพชาติให้สั้นลงทีละครึ่ง เช่น ถ้าเราจะเกิดอีก ๑๐๐ ชาติ ก็เหลือ ๕๐ ถ้าจะเกิด ๒๐ ชาติ ก็เหลือ ๑๐"
    ผู้เขียนเคยอ่านหนังสือหลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน ท่านเคยเปรียบเทียบดังนี้ "ทำทานเหมือนการไปด้วยถ่อ รักษาศีลไปด้วยรถยนต์ ภาวนาก็ขี่เรือบินไป อาจถึงนิพพานได้ในชาตินี้"
    คนโบราณจึงกล่าวไว้ว่า "ใกล้ก็ไม่ใกล้ ไกลก็ไม่ไกล มองเห็นไวไว เป็นทิวลิบลิบ" ซึ่งเทียบได้กับพระนิพพานคือปลายจมูกนี่เอง หลวงปู่กล่าวว่า "จะว่ายากก็ไม่ใช่ จะว่าง่ายก็ไม่เชิง ผู้ปฏิบัติพึงรู้เองเห็นเอง เพราะเป็นปัจจัตตัง"

    ผู้ ห ญิ ง ไ ป ไ ด้ ห รื อ ไ ม่
    มีนักปฏิบัติท่านหนึ่งนำข้อข้องใจมากราบเรียนหลวงปู่ดังนี้
    นักปฏิบัติ "ลูกปฏิบัติไปถึงวิมานแก้วไปเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ ชาตินี้ลูกไปนิพพานได้ไหมเจ้าคะ"
    หลวงปู่ยิ้ม "หลับตาไปได้ แล้วลืมตาไปได้หรือเปล่า"
    นักปฏิบัติ "ยังเจ้าค่ะ"
    หลวงปู่ "ต้องทำให้ได้ทั้งหลับตาและลืมตา หลับก็เห็นพระ ลืมก็เห็นพระ อย่างนี้ไปได้แน่นอน"
    หลวงปู่ท่านบอกผู้เขียนว่า "ทุกอิริยาบท ถ้าเราเห็นพระได้ จิตของเราจะไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เคลื่อนจากความดี พระมีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่งไหว้ตรงไหนก็เจอ" ทำให้ผู้เขียนนึกถึงคำพูดของ หลวงปู่อินทร์ จันทูปโม ที่ว่า "ที่กล่าวว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต เป็นสิ่งจริงแท้ เพราะพออาตมาได้ธรรม มองไปทางไหนก็เจอแต่พระ บนอากาศก็มี บนบกก็มีไหว้ได้ทั้งนั้น เกิดความซาบซึ้งในธรรมจนน้ำตาไหล ถ้าใครไม่รู้มาเห็นเข้าคงนึกว่า อาตมาบ้าแน่นอน"

    อีกเรื่อง
    มีท่านใดเคยอาบกายทิพย์บ้างครับ ผมทำเดือนละครั้งครับ เราอาบแต่กายนอกแต่ไม่ได้อาบกายทิพย์ วิธีทำ
    เท้าเปล่าติดพื้นดินหรือหินก็ได้(ยืนหรือนั่งก็ได้ นอกบ้าน) ใจสงบสวดนะโม๓จบ สวดบทบูชาพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ แล้วจับรูปพระพุทธเจ้าหรือพระบูชาที่เราชอบ ตั้งไว้บนกระหม่อม แล้วอฐิษฐานให้ท่านช่วยชำระกายทิพย์ให้เรา โดยให้ท่านเทนํ้ามนต์จากบนหัวค่อยๆใหลลงมาช้าๆจนผ่านเท้าลงสู่พื้นดิน สัก ๑๐ นาที พอเสร็จก็ขออภัยและฝากพระแม่ธรนีช่วยดูแลรักษานํ้าที่ชำระกายทิพย์ให้เราด้วยครับ
    สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2009
  19. chattrg

    chattrg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    4,337
    ค่าพลัง:
    +13,241
    โหล โหล โหล
    ใครอยู่บ้าง ครับ
     
  20. chaivat chinkidjakar

    chaivat chinkidjakar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    1,601
    ค่าพลัง:
    +21,780
    Hello Hello anybody home????
    นำเรื่องมาให้อ่านกันครับ

    ธรรมะ เยียวยา มะเร็ง

    โดย : เพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ



    <SCRIPT type=text/javascript>$(function() {$('#media-content').tabs();});</SCRIPT>[​IMG]
    ศุภภร ธรรมชูวงศ์

    ศุภภร ธรรมชูวงศ์ เธอเป็นมะเร็งแทบเอาชีวิตไม่รอด สมาธิช่วยเธอได้ แต่ย้ำว่าต้องมีศรัทธาและปฏิบัติ ปัจจุบัน เธอช่วยเหลือคนอื่นมากมาย

    เธอคนนี้ป่วยเป็นมะเร็งแทบเอาชีวิตไม่รอด สมาธิช่วยเธอได้ แต่ต้องมีศรัทธา ปฏิบัติและแนบแน่นกับสิ่งนั้น ปัจจุบันเธอใช้สมาธิบำบัดช่วยเหลือคนอีกมากมาย
    เป็นเรื่องราวของคนที่เคยป่วยเป็นมะเร็งอีกคน ดูเหมือนจะเป็นเรื่องซ้ำๆ ซากๆ ทำนองว่า เป็นคนปฏิบัติธรรมแล้วเข้าใจชีวิต ก็เลยสู้กับโรคร้ายได้

    แต่เรื่องราวของเธอคนนี้ ศุภภร ธรรมชูวงศ์ พยาบาลเทคนิคชำนาญงาน หน่วยจ่ายกลาง และสมาธิบำบัด โรงพยาบาลท่าวุ้ง จ.ลพบุรี เป็นอีกเรื่องที่ชวนให้คิดในมิติที่ลึกกว่านั้น สิ่งที่เธอทำในปัจจุบัน กลายเป็นต้นแบบงานสมาธิบำบัดให้กรมการแพทย์ทางเลือกและแพทย์แผนไทย เธอใช้สมาธิบำบัดเพื่อเยียวยาในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ป่วยระยะสุดท้าย เด็ก ฯลฯ รวมถึงทำงานให้คำปรึกษาหลายเครือข่าย
    ข้อสำคัญสมาธิ...มีกระบวนการหลายอย่างที่นำสู่ความเข้าใจชีวิตตามความเป็นจริง
    “ขอมีชีวิตอยู่ เพื่อทำความดี” นั่นเป็นความคิดของเธอ ซึ่งไม่ได้เกิดจากการป่วยเป็นมะเร็งอย่างเดียว แต่เป็นผลจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างต่อเนื่องหลายปี และในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ นิกส์-ศุภภรจะลาออกจากอาชีพพยาบาล แต่ยังคงทำงานต่อไปในลักษณะจิตอาสา

    เป็นมะเร็งซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ศุภภร เป็นพยาบาล และมีครอบครัวที่น่ารัก มีลูกสองคน แต่แล้ววันหนึ่งเธอป่วยเป็นมะเร็งมดลูก ทั้งๆ ที่ป่วยก่อนแม่และน้องสาวที่เป็นมะเร็งเต้านม แต่ทั้งสองจากโลกนี้ไปก่อน หลังจากเธอผ่าตัดเนื้อร้ายออกไป 2-3 ปีต่อมามะเร็งกลับมาก่อตัวอีกที่ผนังช่องคลอด ต้องทำทั้งการฉายแสง ฝังแร่และเคมีบำบัด เมื่อโรคร้ายจากไป แต่ได้ผลข้างเคียงทั้ง ไต กระเพาะปัสสาวะและตับอักเสบ
    เธอเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาล เธอจึงคิดว่า กายปล่อยให้หมอดูแล แต่ใจ...เราต้องดูแลตัวเอง และกลายเป็นว่า เธอต้องคอยปลอบใจคนในครอบครัวไม่ให้โศกเศร้าเสียใจ
    ศุภภร ย้อนถึงตอนป่วยเป็นมะเร็งว่า ก็ตกใจ ไม่คิดว่าตัวเองเป็น ช่วงนั้นมีการปวดท้องรุนแรง แต่ความที่เราฝึกจิตมา ไม่ทานยาแล้วดูอาการปวดก็คิดว่า ไม่เป็นไร

    “ตอนที่ผ่าตัด เราไม่ได้หลับ เราได้ใช้การปฏิบัติในการดูแลความเจ็บปวด เราฝึกปฏิบัติให้อยู่กับปัจจุบัน ถ้าจิตเราไม่สงบ เราก็หยุดเนื้อร้ายไม่ได้ เราเอาธรรมะมาใช้ตั้งแต่แรก คนรอบข้างก็ตกใจ เราต้องดูแลใจทั้งสามี ลูกและคนอื่นๆ เขาก็กลัวและกังวล แต่เราเรียนรู้ว่า เราต้องอยู่กับปัจจุบัน”

    แม้เธอจะป่วยเป็นมะเร็ง เธอกลับบอกคนรอบข้างว่า ไม่ต้องกลัว เธอเชื่อว่าจะได้อยู่ทำความดีต่อไป และไม่เคยทำกิริยาให้เห็นว่าทุกข์ มีแต่ให้กำลังใจผู้อื่น

    “มะเร็งกลับมาอีกที่ผนังช่องคลอด คราวนี้นึกว่าไม่รอด สงสัยถึงเวลาแล้ว ส่วนใหญ่เป็นแล้วเป็นอีกจะไม่รอด
    ปัจจุบันมะเร็งหายไปแล้ว แต่จะกลับมาเมื่อไหร่ไม่รู้ ตอนนั้นทรมานมาก ใช้ห้องพิเศษเป็นห้องเดินจงกรมทำสมาธิ บางครั้งไม่มีแรงเดินจงกรม สวดมนต์ก็ไม่ไหว ทำใจให้สงบอยู่กับตัวเองให้มาก อยู่กับปัจจุบันจริงๆ ทำจิตให้เข้มแข็ง ไม่อย่างนั้นแพ้เคมีบำบัดแน่ ตอนนั้นหยุดทำงานสามเดือน ลูกและสามีไปดูแลตลอด เวลาเขาไป เราก็ยิ้ม แต่ร่างกายก็อ่อนเพลีย”

    เธอเล่าอาการป่วยทางกายต่อว่า ฉายแสงกว่าสามสิบแสง ถือว่าเยอะ ร่างกายอ่อนแอมาก แล้วฝังแรงครั้งละ 8-11 ชั่วโมง หนักมากสำหรับเรา พออาการมะเร็งหายไป แต่ผลการรักษาทำให้เกิดการอักเสบหลายจุด นอนโรงพยาบาลบ่อยมาก บางครั้งฉี่เป็นเลือด อั้นปัสสาวะไม่ได้ แต่ยังไปทำงานตลอด เพราะผู้บริหารโรงพยาบาลและผู้ร่วมงานน่ารักมาก

    มิติที่ลึกคือ การดูแลจิต

    การรักษาจิตของตัวเองเป็นสิ่งที่เธอดูแลมาตลอด จนบางครั้งดูแลกายน้อยไป ทั้งเรื่องอาหารและการใช้ชีวิต ปัจจุบันเธอหันมาดูแลทั้งกายและใจให้สมดุล ตอนนี้มะเร็งไม่มาแล้ว แต่เธอบอกว่า ต้องดูแลตัวเองให้ดี ถ้าเผลอไม่ได้ ต้องปฏิบัติเรื่องการกินอาหารธรรมชาติมากขึ้น ทำโยคะสมาธิตอนเช้า
    ศุภภร บอกว่า ตอนให้เคมีบำบัด ร่างกายอ่อนแอมาก แต่ไม่คิดว่าจะตาย ถ้าตาย...ขอตายอย่างมีคุณค่า ตายไปกับจิตที่สงบ

    “ฝึกที่จะทำใจให้เป็นกุศลอยู่เรื่อยๆ ใส่สิ่งที่ดีเข้าไป ป่วยก็ยังเข้าคอร์สปฏิบัติ และเราก็จัดคอร์สวิปัสสนาให้คนในโรงพยาบาล เราทำกิจกรรมพวกนี้เยอะ”

    จากพื้นฐานที่ชอบพัฒนาตนเอง ตั้งแต่ปี 2538 เธอเรียนรู้จิตวิทยาการวิเคราะห์ตนเองเชิงลึก ทำให้เรียนรู้ความเป็นมนุษย์ และสนใจฝึกสมาธิ
    ”พอป่วยเป็นมะเร็ง ได้รู้ว่าธรรมะดีมาก ปีหนึ่งเข้าคอร์สสามครั้ง เพราะเราเห็นประโยชน์ของการปฏิบัติ พอกลับมาทำงานทำให้จิตเราไม่วุ่นวายเห็นภาวะอารมณ์ของตัวเองมากขึ้น เราทุกข์ไม่นานและดับได้เร็ว เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราปวดมากก็ดูด้วยใจเบาสบาย ไม่เพ่งจ้องหรือเมินลอย พอวางใจได้ เราก็เข้าใจว่ามันเป็นอย่างนี้”
    ช่วงแรกๆ ที่เธอให้คำปรึกษาเชิงลึกผู้ติดเชื้อเอดส์ ติดยา กลุ่มที่มีปัญหาทางจิตใจ เธอคิดว่า ถ้าจิตเปลี่ยน พฤติกรรมก็เปลี่ยน ตอนนั้นมองว่า จิตวิทยาทำให้เรามองเห็นตัวเอง โชคดีที่เราได้แบบอย่างที่ดี อาจารย์ที่สอนจะนำสวดมนต์ทุกครั้ง เสียงสวดมนต์ของอาจารย์ไพเราะมาก เราก็เลยสงสัยว่า ต้องมีสิ่งที่ดีซ่อนอยู่ ก็เลยขอไปวิปัสสนากรรมฐาน
    ในแง่การวิเคราะห์ตัวเองตามแนวจิตวิทยา ศุภภร บอกว่า พฤติกรรมบางอย่างของมนุษย์ได้รับอิทธิพลจากพ่อและแม่ บางอย่างเราไม่ชอบที่เราเหมือนพ่อแม่ บางครั้งพ่อแม่ก็ไม่อยากมีพฤติกรรมแบบนี้ เรื่องนี้ทำให้เราเข้าใจมนุษย์และยอมรับคนอื่นมากขึ้น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นคือ เปลือกนอก ต้องมองให้ลึกถึงแก่น

    “การเพ่งจ้องจดจ่อกับสิ่งที่เราทำมากไป ทำให้กายและใจเครียดโดยไม่รู้ตัว กว่าจะเข้าใจเรื่องการปฏิบัติก็หลายปี เรื่องเหล่านี้อยู่ที่ฐานจิตแต่ละคน บางคนปฏิบัติครั้งเดียว เข้าใจแก่นของการปฏิบัติก็ไปได้ไกล แต่เราใช้เวลาฟังครูบาอาจารย์หลายครั้ง เรื่องพวกนี้มันอยู่ที่กายที่ใจ สามารถนำมาประยุกต์ได้ พอเราเข้าใจแก่นก็เลยเข้าใจได้เร็ว"

    ช่วงน้องของเธอกำลังจะเสียชีวิตจากมะเร็ง และแม่ป่วยเป็นมะเร็ง เธอบอกว่า ทุกข์ใจมาก รู้สึกว่า ชีวิตนี้เศร้าหมอง ก็เลยเห็นจิตเราทุกข์มาก กายก็เลยร้องไห้ ไม่มีเรี่ยวแรง จิตสำคัญส่งไปถึงกาย ทำให้เราทำอะไรไม่ได้เลย

    “ช่วงเป็นมะเร็งเรารู้ว่า เวลาร่างกายอ่อนแอ เราก็อยากได้ยินเสียงดีๆ ก็เลยเข้าใจผู้ป่วยระยะสุดท้าย หลังจากทำเรื่องสมาธิบำบัดให้กลุ่มผู้ติดเชื้อ คนไข้พฤติกรรมเปลี่ยน จากกลัวสังคมไม่ยอมรับ ก็ไม่กลัว เราทำงานกับอาจารย์รุจ ดุลยากร เจ้าของโรงเรียนบรรจงรัตน์ในเรื่องผู้ติดเชื้อ ก็ใช้ทั้งเรื่องโยคะ และการฝึกจิต ฝึกคิดดีมีพลัง มีช่วงปฏิบัติค้นหาสิ่งที่อยู่ในลมหายใจ แต่พอฝึกปฏิบัติ คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีวินัย เราจึงมีสมุดบันทึกเรื่องลมหายใจให้เขาปฏิบัติและลงบันทึก”

    บำบัดให้จิตเบิกบาน

    “คนไข้เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน จากหน้าหมองคล้ำก็ใสขึ้น จากที่กลัวว่าคนอื่นจะรู้ว่าติดเชื้อ ก็ไม่กลัว และมาเข้ากลุ่มเดือนละครั้ง” ศุภภร เล่าถึงการเปลี่ยนแปลง และครูรุจ บอกว่า
    “ผมว่าเธอเป็นตัวอย่างที่ดีของการดูแลจิต เราทำงานด้วยกันเรื่องชุมชนสร้างโลกสวยกับสโมสรใจใสด้วย ผมเห็นเลยว่า คนที่พัฒนาจิตแล้วจะมีพลัง แม้จะมีงานเยอะ แต่เธอพร้อมจะช่วยคนตลอดเวลา เพราะจิตถูกฝึกมาจนนิ่งสงบ เธอมีพลังความสุขในตัวเอง ใครบอกให้ช่วยเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ เธอจะทำได้ทันที คนเป็นมะเร็งขั้นหนักก็มาปรึกษาเธอ”
    สาเหตุนี้เอง ครูรุจจึงมีหน้าที่เป็นผู้จัดการความสุข ส่วนศุภภรเป็นผู้บริหารอารมณ์ผ่านสมาธิในรูปแบบต่างๆ ทั้งเมตตาภาวนา โยคะ หรือการคิดบวก ฯลฯ โดยนำมาใช้กับเด็กๆ ในกลุ่มโรงเรียน กลุ่มคนไข้ข้างนอก และผู้ป่วยมะเร็ง

    “ครูรุจก็จะมีเทคนิคมากมาย เราก็มองว่า วิเศษมากเลย เพราะเป็นเรื่องการรู้กายรู้ใจ เพียงแต่เราไม่ต้องไปอยู่วัด เป็นวิธีง่ายๆ ให้เลือกใช้ เราหล่อหลอมมาจากการปฏิบัติของครูบาอาจารย์หลายท่าน เราเชื่อมั่นในพระพุทธองค์ ขอใช้คำว่าเราแนบแน่น สมาธิเยียวยากายเรา เรารู้สึกเลยว่า มีอะไรเกิดขึ้นในกาย สมาธิตัวจริงที่รักษาเรา ไม่ได้ทำด้วยความฉาบฉวยหรือผิวเผิน"

    เธอมั่นใจว่า การทำสมาธิต้องค่อยๆ สะสม เพื่อให้เกิดพลังเข้มแข็ง คนแนะนำต้องรู้ซึ้งจริงๆ จึงจะส่งพลังไปถึงคนอื่นได้ อย่างการฝึกบางท่า ใจต้องแนบแน่นกับการเคลื่อนไหว ต้องมีวินัย เชื่อมั่นและศรัทธา มีความเพียรปฏิบัติ

    "ฝึกสติมากๆ สมาธิก็มา ปัญญาก็เกิด สามารถรู้เห็นตามความเป็นจริง ซึ่งไม่ใช่ปัญญาทางโลก
     

แชร์หน้านี้

Loading...