เรื่องเด่น พระโพธิสัตว์ คือ ผู้ที่เคารพพระพุทธเจ้าอย่างสูงสุด

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ธรรมวิวัฒน์, 23 กันยายน 2018.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    วิธีของผม
    ดีก็ให้รู้จริง ๆ ว่าดี ชั่วก็ให้รู้จริง ๆ ว่าชั่ว
    เบื้องต้น
    ยึดพระวินัยและคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นหลักครับ
    ทำความเข้าใจพระวินัย ยอมรับคำสอนของพระพุทธเจ้าและหาเหตุผลในการที่จะทำตามพระวินัยโดยเข้าข้างพระพุทธเจ้า อันไหนที่รู้ว่าตัวเองทำไม่ได้ก็ให้รู้ว่าตัวเองทำไม่ได้เพราะมีเหตุผลอะไร ๆ ก็ว่าไป อย่างผมก็ทำตามวินัยไม่ได้ทุกข้อหรอก เพราะ ต้องการศึกษาทางโลก (ก็ทำ ๆ เท่าที่ทำได้ไป) แต่ที่บอกได้คือ ถูกวินัย ถูกคำสอนของพระพุทธเจ้า นั่นคือดีจริง ๆ แล้วครึ่งหนึ่ง ที่เหลือ คือการถูกอย่างไรให้เราสามารถวางใจเป็นกุศลได้ คือการวางใจให้ถูกนั่นเอง

    บางคนอาจใช้หลักสัมมาทิฐิ
    ของผมนี่ คือการวางใจให้เป็นกลาง เพื่อที่จะ ไม่มองคนอื่นในแง่ร้าย ใจจะได้ไม่เป็นอกุศล แต่ผมก็ทำได้ไม่ดีหรอกครับ ที่ทำได้ก็ทำได้มาก แต่ก็ยังมีที่ทำไม่ได้มากกว่าอยู่ดีน่ะแหละ 555

    ขั้นต่อไป ซึ่งผมก็อยู่ในขั้นนี้แหละ
    ทำความเข้าใจธรรมชาติ และ/หรือธรรมดาของสิ่งต่าง ๆ ให้ได้ เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาธรรมของพระพุทธเจ้า ว่ามันจริงตามที่ท่านสอนอย่างไร

    ฝึกตัวเองให้สามารถวางใจให้เป็นกลางกับเหตุการณ์ต่าง ๆ รอบตัวให้ได้ (ประมาณว่า ดูตัวเองเหมือนดูสารคดีสัตว์โลก เราไม่มีความเกี่ยวข้องกับตัวเอง ดูเรื่องของคนที่เรารักเหใือนดูสารคดีสัตว์โลก เราไม่มีความเกี่ยวข้องกับคนที่เรารัก คือตัดความลำเอียง ตัดการเข้าข้างทิ้งไป ดูเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไร เป็นไปอย่างไร จบลงอย่างไร) เพื่อที่จะ
    ทำความเข้าใจ พิจารณา เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเราหรือรอบ ๆ ตัวเรา อย่างเป็นธรรม (ผมทำได้บ้าง)

    มากกว่านี้ผมไม่กล้ายกมาพูดครับ เกินภูมิผมไปแล้ว

    ที่ผมยังค้างเติ่งอยู่ที่การทำใจให้เป็นกลางเพราะว่า ผมต้องการเรียนรู้ทางโลกให้เข้าใจมากกว่านี้ครับ การทำใจให้เป็นกลาง เหมือนว่าเรากำลังดูเรื่องของเรา หรือเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเราเหมือนดู สารคดี ดูเพื่อเอาข้อมูลความรู้ ช่วยผมเข้าใจอะไรเยอะแยะเลยทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องของตัวเอง

    ต้องขออภัยด้วยที่ไม่สามารถตอบข้อสงสัยท่านได้ดีเท่าไร ผมยังรู้น้อย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ตุลาคม 2018
  2. ไม่ใช่ตัวตน

    ไม่ใช่ตัวตน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2018
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +175
    แสดงว่าก็คุณทางปัญญาเหมือนกัน ใช่ปะ

    ตัวผมใจทั้งดี ใจทั้งชั่ว เสียใจเหมือนกันกับอดีตเวลาจะสอนใครความชั่วมันจะปรากฏแทรกมาทางความคิด ผมอ่านข้อความข้อคุณ โดนผมเลย ขอบคุณคราบ
     
  3. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ผมอยากเป็นสายปัญญาครับ

    สงสัยเหมือนกันว่าที่จริงผมสายอะไร
    แต่ก็มีคุณ สมิง สมิง สมิง ดูให้ว่าเป็น สายปัญญาครับ
     
  4. ไม่ใช่ตัวตน

    ไม่ใช่ตัวตน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2018
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +175
    คุณสมิงคือใครหรออ
     
  5. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ไม่ทราบเหมือนกันครับ
    เห็นว่าเขาเปิดโอกาสให้คนถามเพื่อบำเพ็ญบารมี
    ผมก็ถามเขา และเขาก็ตอบมาแค่นั้น
     
  6. ไม่ใช่ตัวตน

    ไม่ใช่ตัวตน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2018
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +175
    สมิงคือผมหรอ หรือป่าว
     
  7. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +308
    อนุโมทนา สาธุกับอนาคตผู้นำทางปัญญาด้วยครับ ทุกทางเราเลือกเอง ทางไหนก็ได้ที่เราชอบ ทำบุญบ่อยๆนะครับ อย่าขี้งกเงินทองล่ะ:D
     
  8. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ผมเป็นเหมือนกันครับ

    555 นึกว่าตัวเองจะเป็นคนเดียว
     
  9. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    รู้ว่าผมขี้งกด้วย 555
    จะพยายามครับ ที่ผ่านมางกเพราะหาเองไม่ได้ด้วยส่วนหนึ่ง เลยมักจะคิดว่าต้องใช้เพื่อคนที่หาให้เราก่อน
    ละงกเพราะยังคิดว่าเงินเราเป็นของเราด้วยส่วนหนึ่ง เพราะยังไม่เข้าใจที่พระท่านสอนว่าเงินที่เราหามาได้ไม่ใช่ของเรายังไงน่ะครับ
    ตามประสาปุถุชนน่ะนะครับ อัตตา ตัวตน ทิฐิครบ

    แต่ช่วงนี้ก็มีความอยากที่จะให้ทานมาก ๆ
    แต่เนื่องจากเราโง่ครับ ไม่รู้อานิสงส์ของทานจริง ๆ ก็เลย เห็นแก่ตัวไว้ก่อน

    มีเงินใช้วันละ 80-100 ถ้าให้ทานไปคงกินข้าวไม่อิ่ม 555
    เลยเก็บเงินไว้กินใช้ส่วนตัวมากกว่า

    ช่วงไหนที่สามารถประหยัดตังค์ได้มาก เวลาเพื่อนของน้องชายมาสังสรรที่บ้านก็จะทำกับข้าวตัวเองแบ่งไปให้เขากินเป็นกับแกล้มกันบ้าง ส่วนตัวเอง ปลีกวิเวกมากินในที่ของตน 555
     
  10. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    เรื่อง ผิดธรรมวินัย มีความละเอียดอยู่ครับ
    ถึงจะมองโดยสายตาของคนทั่วไป อาจเห็นว่ากระทำผิด แต่การผิดธรรมวินัย ก็เหมือน กรรมอย่างอื่น คือ ต้องลงไปที่เจตนาภายในใจ เป็นหลัก

    ยกตัวอย่าง พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระมหากษัตริย์ ทำสงครามกับอีกฝ่าย (อาจเป็นพระโพธิสัตว์) แต่กรรมที่เป็นผู้นำ ในการสงคราม นั้น เป็นสงครามที่ชอบธรรม (ป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือหน้าที่ปกป้องผู้คน) กับสงครามในฐานะผู้รุกราน หรือย่ำยีบีฑาคนอื่น เผ่าอื่น ชนชาติอื่น การสงคราม ก็คือ การฆ่าสัตว์ ข้อปาณาฯ แต่ว่า เจตนาหรือความบริสุทธิ์ใจตามเหตุปัจจัย มันบริสุทธิ์ภายใต้กฎวิบากกรรม(กรรมเก่าบังคับ ฝืนไม่ได้) เรานับที่เป็น ความดีตามที่จิตเจตนาได้เต็มที่ ภายใต้ภาวะของวิบากกรรมของตน เป็นส่วนฝ่ายดีครับ

    ดังนั้น ท่านอาจจะได้ยินว่า มีบุคคลเป็นทหาร ตายไปเป็น มด ก็มี แต่กษัตริย์กลับมาเกิดเป็นพระภิกษุได้ ดุจที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านเคยเป็นกษัตริย์ ทำสงครามปกป้องปวงชนเผ่าพันธืของท่าน (ก็ยุคสมัย วิบากกรรมทำให้ชนเผ่า มันรบกันเป็นธรรมดา ไม่มีใครไปห้ามได้) แต่ท่านอดีตท่านหลวงพ่อฤาษี ท่านไปนั่งถือศีลแปดจนไม่ต้องตกนรก ไม่ใช่การสอนว่า ฆ่าคนไม่บาป แต่เจตนาที่บริสุทธฺ์ (โปรดสัตว์ในข่าย เท่าที่สามารถโปรดได้) มันประคองจิตท่านให้สามารถถือศีลและนั่งสมาธิได้ฌานได้ วิบากกรรมจะหนักเบาอยู่ที่เจตนาและความบริสุทธิ์ของกุศลจิตฝ่ายดี จะเข้มข้นแค่ไหนด้วยครับ อันนี้ เป็นเรื่อง ศีลธรรม ของโลก

    ในส่วนเรื่อง ธรรมวินัย (ต้องนับว่า ไม่ใช่เรื่อง ธรรม ล้วนอย่างเดียว วินัย มันขึ้นอยู่กับวิบากกรรมของสรรพสัตว์ด้วย เพราะวินัยมันคือ กติกา ที่เหมาะสม ซึ่งกติกา มันมีเหตุปัจจัยกับสภาพแวดล้อมของสังคม จัดเป็นสิ่งที่กำหนดตาม สภาพวิบากกรรมของกลุ่มสังคม (ในหลายที่ จึงมีว่า ให้ปรับเปลี่ยนวินัยเล้กน้อย ให้แก้ไขได้ ตามสภาพสังคม

    ปัญหาที่ท่านถาม จึงไม่สามารถวินิจฉัย เพียงการกระทำ แต่ให้เข้าใจว่า พุทธภูมิ (สำหรับที่ได้รับพยากรณ์แล้ว) นั้น มีสภาวะแห่งวิบากกรรมของเค้า และระดับความบริสุทธฺ์ของจิตและเจตนาภายในใจเค้าเป็นอย่างไร อันนี้ ต้องผู้มีปัญญาเข้าใจจิตของพุทธภูมิ นั้น จึงจะทำนายได้

    พุทธภูมิ ถ้าหมายถึง ที่ได้รับพยากรณ์แล้วจะได้รับการันตี กุศลเจตนาฝ่ายดีหรือบารมีภายในใจอันบริสุทธิ์แล้วครับ เพราะพุทธภูมิประเภทนี้ จะเข้าถึง สมาคม ดุสิต บ่อย เพราะจิตจะเกิดโพธิญาณบ่อยครั้ง วิบากกรรมจะน้อยลงทำให้เกิดโพธิจิต ได้บ่อยจึงเข้าถึง ดุสิต และก่อนจุติ ย่อมทราบสภาวะของสังคมที่ตนจะลงและวินิจฉัยสภาวะจิตที่เมื่อลงไปแล้ว จะเป็น (พอเกิดเป็นมนุษย์ มันต้องลืมหมด จะเป็นหน้าที่ของคุณภาพจิต ที่จะสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ในสภาวะที่จะลง ถ้าคุณภาพจิตบริสุทธิ์มาก การฝืนหรือทวนกระแสวิบากกรรมจะมากขึ้น แต่ถ้าน้อย ก็ถูกสภาพวิบากกรรมกระทำมากกว่า) แต่เค้าจะมีคนคอยช่วยมากครับ ถ้าพุทธภูมิจะไปผิดทาง ด้วยแรงอธิษฐานในบารมีสิบ จะมาป้องกันจิตเท่าที่จะทำได้นั้นแหละ

    สรุป
    ประการแรก บาปหรือวิบากกรรม จะเกิดขึ้น แต่พุทธภูมิ (รับพยากรณ์แล้ว) หรือโพธิสัตว์ที่จิตมุ่งมั่นบริสุทธิ์ในโพธิญาณ (ความรักในพระโพธิญาณมาก) ยังไง ต่อให้เจอกระแสวิบากกรรมมา แม้จะต้องกระทำกรรมอันถูกสภาพวิบากกรรมชักไป (ไม่อาจทวนกระแสได้มาก) จิตเจตนาอันบริสุทธิ์ จะคุ้มครองทำให้ไม่รับเต็มภูมิแห่งบาปอันกระทำกรรม และบารมีจะพาไปสู่การฝึกจิตให้ยิ่งเพื่อบรรเทา หรือทำให้วิบากกรรมนั้น ตามไม่ทัน

    ประการที่สอง การนับเวลาบำเพ็ญบารมี ยังไงก็ต้องนับทุกเวลาครับ แม้ในส่วนที่ยังฝืนทวนวิบากกรรมมากไม่ได้ จะไม่ไปเต็มเติมบารมีให้เพิ่มพูน แต่เวลาที่พุทธภูมิ(เฉพาะรับพุทธทำนายแล้ว) ต้องอยู่ในวัฏฏะสงสาร นับแต่สามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วไม่ไป เลือกทางสายพุทธภูม พุทธภูมินั้นทราบอยู่แล้วว่า วิบากกรรมยังมีอยู่เพียบ แต่พร้อมจะรับ อย่างที่พูดว่า ลงนรกก็ยอม ยังไงละครับ ดังนั้น ส่วนนี้ จัดเป็น ความรักในพระโพธิญาณ ซึ่งจะคอยหล่อเลี้ยงการบำเพ็ญบารมีครับ เรียกว่า น้ำใจโพธิสัตว์ นั้นเอง แม้ไม่เต็มบารมีสิบ (ที่ต้องถูกต้องชอบธรรมด้วย จึงถือเป็นบารมี เพราะบารมีสามสิบทัศน์ จัดเป็น เงื่อนไขสร้างพุทธเกษตร ของท่าน จึงต้องทำกุศลบารมีเท่านั้น จึงเกิด แต่เวลานับแต่ตัดใจในสายพุทธภูมิ คือบารมีนั้นแหละ อย่างพุทธภูมิจะลงมาเกิด ท่านเหมือนเลือกได้ ที่จะไม่เกิด ตามปกติ ไม่ควรเกิดมาเสี่ยงภัยกับวิบากกรรม ที่โอกาสผิดพลาดสูง (อย่างยุคที่คนมีแต่ทำสงคราม) แต่พุทธภูมิพร้อมใจลงเพราะมีสรรพสัตว์ในข่ายที่ต้องช่วย ถ้าไม่ช่วย แล้วจะชักนำดวงจิตดวงใด้ได้ละครับ เพราะลงไปร่วมทุกข์และช่วยแบ่งเบา ช่วยเหลือวิบากกรรมของสรรสัตวื สรรพสัตว์จึงรักและศรัทธา เมื่อผ่านความทุกข์ยากมามากมาย ในเวลาที่เหมาะสม เพียงแค่พบหน้าพุทธภูมิ ความศรัทธามันเกิดโดยทันที ก็ง่ายที่จะชักนำดวงจิตนั้นไปที่สูง จนถึงนิพพานได้

    งานพุทธภูมิ จึงไม่ใช่งานง่ายๆ เป็นงานมหาอภิมหาความระทมทุกข์ในสายตาคนทั่วไปนะครับ เพราะพุทธภูมิไม่ได้รับแค่วิบากกรรมของตนอย่างเดียว รับของสรรพสัตว์ด้วย

    มาสายนี้ พระพุทธองค์ถึงการันตีเฉพาะผู้ที่ มีจิตรักโพธิญาณจนสามารถตายเพื่อโพธิญาณได้ เป็นผู้ได้รับพุทธทำนาย เพราะความรักในโพธิญาณนั้นแหละจะคุ้มครองและบรรเทาผลของวิบากกรรมที่มีมาก่อนของพุทธภูมิเองและของสรรพสัตว์นับหลายแสนอสงไขยที่รอให้ผล มาขัดขวาง มาเป็นอุปสรรค นั้นแหละครับ

    สำหรับตัวพุทธภูมิ จะลงรับวิบากกรรมใดก็ได้ดูกำลังใจตามสภาพของตนก่อนครับ ถ้าเห็นว่าจะยังรักษาจิตที่รักโพธิญาณได้ แม้จะต้องฝ่าทุกอุปสรรค จนอาจต้องเผชิญกับการกระทำสิ่งที่คนอาจวิจารณ์ว่า ทำอย่างนี้ไม่ผิดหรือ ? แต่เพื่อประโยชน์สูงสุด คือ ชักนำโพธิญาณให้เกิดในจิตของท่านและของสรรพสัตว์ อันนั้น คือ ทางที่ต้องลุยครับ ถ้าไม่ลุย ไม่ลงนรก(ในบางชั้น) พุทธเกษตร มันสร้างไม่ได้นะครับ ก็พระท่านบอกแล้วว่า สงสารวัฏ ดุจ โคลนตม (สีดำ) แต่ดอกบัวต้องผุดจากโคลนตมนั้นแหละ แต่ต้องเป็นโคลนตมบนผิวที่โดนแสงได้ ไม่ใช้ใต้โคลนตมจนลึกเกินไป จนเมล้ดมันผุดงอกมารับแสงไม่ได้เนอะ

    ปล. เรื่อง พุทธภูมิ ผิดธรรมวินัย บางข้อ ไม่อาจตอบได้ครับ ว่าจะมีผลอย่างไร ต้องแล้วแต่เหตุปัจจัยของพุทธภูมินั้นที่จะสร้างพุทธเกษตรของตัว ซึ่งในแต่ละช่วงการบำเพ็ญ เราก็ไม่รู้ว่า ท่านนั้น รับวิบากกรรมของสรรพสัตว์ในข่ายของท่านอย่างไรครับ ซึ่งต่องพิจารณาเองครับ
     
  11. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ช่วงนี้เริ่มเห็นภาพลาง ๆ ของการอยู่กับปัจจุบันแล้วแฮะ

    การอยู่กับปัจจุบันคือรู้ตัวว่าตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ คิดรู้ว่าคิด ร่างกายเคลื่อนไหวก็รู้ว่าร่างกายเคลื่อนไหว

    ร่างกายรู้สึกร้อนอบอ้าวก็รู้ว่าร่างกายรู้สึกร้อนอบอ้าว


    การอยุ่กับปัจจุบัน คือการตามดู จิต หรือ/และ กาย หรือ กรรมฐานใด ๆ ที่เราทำอยู่ ทุกขณะจิต (ตามดูอาการที่เกิดขึ้นกับเราเมื่อเราโดนกระทบ ตามดูสิ่งที่เราทำอยู่ในขณะนั้น ๆ ทุกขณะจิต) ใช่หรือเปล่าครับ


    ยังมีอะไรที่นอกเหนือจากนี้อีกหรอเปล่าครับ
    ถ้ามีสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากนี้ หรือทุกท่านมีความเห็นว่าผมเข้าใจถูกผิดประการใดโปรดชี้แนะด้วยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2018
  12. ไม่ใช่ตัวตน

    ไม่ใช่ตัวตน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2018
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +175
    รู้มากจริง อิอิ จริงๆตามลำดับของการเจริญนั้นแหละ ถึงเรียกว่า ปัจจัตตัง รู้ได้ด้วยตัวเอง
    นอกจาก จริตจะคล้ายๆกัน ถึงจะเข้าใจ
     
  13. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    เปล่าคับ ผมไม่รู้เลย ก็เลยต้องถาม
    เพราะผมไม่แน่ใจจริง ๆ เกี่ยวกับการอยู่กับปัจจุบันเลย

    ไม่ทราบว่าการอยุ่กับปัจจุบันสโคปมันกว้างแค่ไหนด้วยน่ะครับ
     
  14. ไม่ใช่ตัวตน

    ไม่ใช่ตัวตน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2018
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +175
    ตั้งแต่ตื่นนอน อาบน้ำสภาวะนึง ขับรถสภาวะนึง ตามแต่ละคน ของผมเป็นพวกช่างคิดฟุ้งซ่าน
    บางครั้งความคิด คิดเพลินไป พอรู้สึกตัวสดชื่นเหมือนตื่นนอน
     
  15. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ของผมไม่ค่อยสดชื่นกับอะไรเลยครับ
    ถึงจะรู้ตัวก็เถอะ เพราะใจมันไม่ค่อยคุ้นที่จะจับอารมณ์ที่เป็นกุศลเลยมั้งครับ

    คงเพราะผมคิดแค่จะฝึกสติ แต่ไม่ได้ยินดีกับภาวะที่รู้ตัวมั้งครับ ก็เลยไม่ได้มีใจเบิกบานเหมือนคนอื่น คงตั้งใจเกินไปมั้งครับ

    ถ้าความรู้สึกสดชื่นก็ มีบ้างก็น้อย ๆ ครับ นาน ๆ ที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2018
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...