เรื่องเด่น ความสำคัญของการมีกัลยาณมิตร,คุณสมบัติของกัลยาณมิตร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย มาจากดิน, 31 พฤษภาคม 2017.

  1. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ทอดกี่
    ทอดกี่วัด.....ปล่อยปลากี่ตัว....นกกี่ตัว....เต่ากี่ตัว
    ถึงจะหลุดพ้นตอบมาเลย
     
  2. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    ลุงแมว อยากจะหลุดพ้นจากอะไร ? บอกมาก่อน อยากจะหลุดพ้นจากอารัย :p
     
  3. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    พ้นจากความโฮ่
     
  4. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    อิอิ ถ้ายังงั้น ก็ไปปิดทองฝังลูกนิมิต ถวายสังฆทาน เป็นต้นตามที่บอกนั่นนะ
     
  5. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ปิดกี่ลูก....สังฆทานกี่ถัง
    ถึงจะหลุด
     
  6. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    สำหรับลุงแมว ปิดไปเถอะ ทำไปเถอะ ตลอดชีวิตนี้เลย ชาติหน้าอีก (ถ้ามี) :)
     
  7. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ต่อจาก คคห. # 108 หน้า 6 :p


    เรื่องนี้ สรุปได้ด้วยพระคุณสมบัติของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นกัลยาณมิตรสูงสุด ซึ่งทรงประกอบด้วยคุณสมบัติของกัลยาณมิตรอย่างเลิศ ครบทั้ง ๒ ข้อ คือ ทรงทำได้จริง บรรลุผลสำเร็จในสิ่งที่นำมาสอนแล้วด้วย และทรงมีความเป็นอิสระ หลุดพ้นทั้งจากระบบของสังคมที่แวดล้อมอยู่ และทั้งจากกิเลสที่ผูกมัดสุมรุมอยู่ในจิตใจ

    "ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนดอกอุบล ดอกปทุม ดอกบุณฑริก เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ แต่ตั้งอยู่ลอยพ้นเหนือน้ำ ไม่ถูกน้ำฉาบติด ฉันใด ตถาคตฉันนั้นเหมือนกัน เกิดในโลกเติบโตในโลก แต่เป็นอยู่ลอยเหนือโลก ไม่ติดกลั้วด้วยโลก"*(ม.ม.13/330/322 องฺ.ติก.20/565/356)

    "ดูกรวาหนะ ตถาคตสลัดออกได้แล้ว ไม่เกาะเกี่ยว หลุดพ้นแล้ว จากธรรม ๑๐ ประการ จึงเป็นอยู่ด้วยใจไร้เขตแดน ธรรม ๑๐ ประการ อะไรบ้าง ? คือ
    ตถาคตสลัดออกได้แล้ว ไม่เกาะเกี่ยว หลุดพ้นแล้ว จากรูป...จากเวทนา...จากสัญญา...จากสังขาร...จากวิญญาณ...จากความเกิด...จาก ความแก่...จากความตาย...จากทุกข์ทั้งหลาย...จากกิเลสทั้งหลาย จึงเป็นอยู่ด้วยจิตใจที่ไร้เขตแดน เปรียบเหมือนดอกอุบล ดอกปทุม ดอกบุณฑริก เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ แต่ตั้งอยู่ลอยพ้นเหนือน้ำ ไม่ถูกน้ำฉาบติด ฉะนั้น" (องฺ.ทสก.24/81/162)

    "พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงตื่นเองแล้ว จึงทรงแสดงธรรมเพื่อปลุกให้ตื่น ทรงฝึกพระองค์เองแล้ว จึงทรงแสดงธรรมเพื่อความฝึก ทรงสงบเองแล้ว จึงทรงแสดงธรรมเพื่อความสงบ ทรงข้ามพ้นเองแล้ว จึงทรงแสดงธรรมเพื่อการข้ามพ้น ทรงหายร้อนสนิทเองแล้ว จึงทรงแสดงธรรมเพื่อความดับร้อน" (ที.ปา.11/30/57...)


    ท้ายสุด ลักษณะการสอนของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่า อาการที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ๓ อย่าง น่าจะใช้เป็นหลักตรวจสอบตนเองอย่างกว้างๆ สำหรับกัลยาณมิตรผู้จะทำหน้าที่ในการสอนให้ได้ผลจริง คือ * (ม.ม.13/330/322...)

    ๑. ทรงแสดงธรรมด้วยความรู้ยิ่ง คือ ทรงรู้ยิ่งเห็นจริงเองแล้ว จึงทรงสั่งสอนผู้อื่น เพื่อให้รู้ยิ่งเห็นจริงตาม ในธรรมที่ควรรู้ยิ่งเห็นจริง

    ข้อนี้มองในแง่ตัวผู้สอน ว่ามีมีความรู้จริงในเรื่องที่สอน หรือได้บรรลุผลประจักษ์ในเรื่องที่สอนนั้นมาด้วยตนเองก่อนแล้ว

    ๒. ทรงแสดงธรรมมีเหตุผล คือ ทรงสั่งสอนชี้แจงให้เห็นเหตุผล ซึ่งผู้ฟังสามารถพิจารณาให้เข้าใจ โดยใช้ปัญญาของเขาเอง

    ข้อนี้มองในแง่ของผู้สอน หรือผู้ฟัง ซึ่งผู้สอนแสดงคำสอนชนิดที่ให้อิสรภาพ หรือเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ผู้ฟังคิดพิจารณา ใช้ปัญญาของเขา พัฒนาปัญญาของตนเอง และเข้าใจหรือเข้าถึงความจริงด้วยตัวของเขาเอง ผู้สอนเพียงนำข้อมูลข้อเท็จจริงเหตุผล หรือข้อเสนอ มาตีแผ่แจกแจงให้ดู และกระตุ้นให้คิดให้พิจารณา

    ๓. ทรงแสดงธรรมมีเหตุผลสมจริงเป็นอัศจรรย์ คือ ทรงสอนสิ่งทีเป็นจริง ซึ่งคนมีปัญญารักความจริง พิจารณาแล้วจะต้องยอมรับ และเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ ให้เกิดผลจริง ซึ่งผู้ปฏิบัติย่อมจะได้รับผล สอดคล้องสมควรแก่การปฏิบัติ

    ข้อนี้มองในแง่สิ่งที่สอน ซึ่งสมความจริง หรือเป็นอย่างนั้นจริง ยืนยันได้ มีแก่นสาร ไม่เหลวไหล นำไปปฏิบัติได้ผล ไม่เป็นหมัน ไม่เป็นโมฆะ ให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติได้จริง ทำแค่ไหนอย่างไร ก็ได้ผลสมกันกับการกระทำ และองค์ประกอบที่เป็นเหตุปัจจัยนั้นๆ



    อย่างไรก็ดี ถ้าไม่อาจหากัลยาณมิตรผู้ได้รู้เห็นผลประจักษ์เองแล้ว ผู้ทำได้จริง และเป็นอิสระจริง บุคคลพหูสูต ที่สอนเขาทั้งที่ตัวเองไม่ได้เข้าถึงจริงนั่นแหละ ก็เป็นประโยชน์ได้ โดยที่บุคคลพหูสูตนั้น เป็นเหมือนนายโคบาลเลี้ยงโคให้คนอื่น หรือเหมือนคนตาบอดถือตะเกียง * (ดู. ขุ.เถร. 26/397/406) คนอื่นที่ตาดี ลืมตาขึ้นแล้ว ก็มองเห็นสิ่งทั้งหลายได้ คนตาดีทีว่านั้น ก็คือ คนมีโยนิโสมนสิการ

    ในกรณีเช่นนั้น ไม่ต้องพูดถึงบุคคลพหูสูตที่รู้กว้างขวางและชำนาญการสอน แม้แต่คนโง่เขลา หรือคนบ้า จำถ้อยคำมีสาระจากคนอื่นมาท่องหรือบ่นว่าอะไร มีแง่ให้คิด คนมีโยนิโสมนสิการได้ฟัง ก็เกิดความแจ่มแจ้งหยั่งรู้สัจธรรมได้เหมือนกัน* (เช่นในเรื่อง สํ.อ.1/320 สุตฺต. อ.2/252)

    แต่เมื่อถึงขั้นนี้ ความสำคัญอยู่ที่ฝ่ายผู้ฟัง คือ องค์ประกอบฝ่ายภายใน ที่เป็นปัจจัยอย่างที่ ๒ ที่จะกล่าวเป็นข้อถัดไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2017
  8. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    การทำหน้าที่ของกัลยาณมิตร

    เมื่อมองในแง่การศึกษา หรือความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม การที่มิตรทำกิจต่างๆ ร่วมกัน และช่วยเหลือเกื้อกูลกัน นับว่าเป็นเพียงส่วนประกอบภายนอก สิ่งที่นับว่าสำคัญก็คือ ความมีอิทธิพลชักจูงกันในด้านความคิดเห็น ทัศนคติ ค่านิยม ความรู้ความเข้าใจต่างๆ ที่ท่านเรียกรวมว่า ทิฏฐิ

    ถ้าเป็นความคิดเห็น ทัศนคติ ค่านิยม ความรู้ความเข้าใจ ที่ไม่ถูกต้อง มีโทษ ก็เรียก มิจฉาทิฏฐิ
    ถ้าเป็นฝ่ายที่ดีงาม ถูกต้อง เป็นประโยชน์ ก็เรียก สัมมาทิฏฐิ

    มิตรใด มีอิทธิพลชักจูงให้เกิดมิจฉาทิฏฐิ ก็เป็นมิตรไม่ดี เรียกว่า ปาปมิตร

    มิตรใด มีอิทธิพลชักจูงให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ก็เป็นมิตรดี มิตรแท้ เรียกว่า กัลยาณมิตร

    มีบ่อยๆที่มิตรในเรือน คือมารดาบิดา หรือแม้แต่ครูอาจารย์ มีอิทธิพลชักนำทิฏฐินี้ น้อยกว่ามิตรชนิดเพื่อนที่คบหาเที่ยวเล่นชุมนุมด้วยกัน

    แต่บางครั้งปรากฏว่า แม้แต่มิตรชนิดใกล้ชิดนั้น กลับมีอิทธิพลน้อยไปกว่ามิตรชนิดตัวอยู่ไกล ไม่ว่าโดยเทศะหรือกาละ แต่มีพลังแรงเข้าถึงใจ ได้แก่ มิตรที่มาทางสื่อมวลชน มาทางสิ่งบันเทิงเริงรมย์ ตลอดจนหนังสือ รวมทั้งชีวประวัติวีรชน บุคคลสำคัญ อันเข้าหลักทิฏฐานุคติ ท่านเน้น

    ตัวเชื่อมที่ทำให้มิตรนั้น เข้ามามีมีอิทธิพลชักจูงได้ หรือปัจจัยเครื่องเชื่อมต่อระหว่างมิตร กับอิทธิพลที่เกิดขึ้นในใจ ก็ได้แก่ ความเชื่อ ความเลื่อมใส ความนิยมชมชอบ ความซาบซึ้ง ที่เรียกว่า ศรัทธา

    เมื่อมีศรัทธา หรือทำให้เกิดศรัทธาได้แล้ว ถึงตัวมิตรจะอยู่ไกล ไม่ได้คลุกคลี ก็มีอิทธิพลได้

    ถึงตัวมิตรจะอยู่ใกล้ แต่ถ้าไม่มีศรัทธา ก็หามีอิทธิพลชักจูงไม่ ดังนั้น ท่านจึงถือเป็นหลักการว่า ผู้ซึ่งจะทำหน้าที่ชักนำสั่งสอนผู้อื่นให้มีความรู้ความเข้าใจ ความคิดเห็น เป็นต้น อันถูกต้อง ควรจะยังศรัทธาให้เกิดแก่ผู้รับฟังคำสอนนั้นได้ พูดง่ายๆว่า หลักการเบื้องต้นข้อหนึ่งในทางการศึกษา คือ กัลยาณมิตร เป็นปัจจัยให้เกิดศรัทธา หรือจะพูดขยายออกไปอีกก็ได้ว่า การคบหาบัณฑิต หรือเสวนาสัตบุรุษ เป็นปัจจัยแห่งศรัทธา

    ผู้ใด แม้จะเป็นคนดีมีปัญญา แต่เมื่อยังไม่อาจให้เขาเกิดศรัทธาได้ ก็ยังไม่ได้ฐานะเป็นกัลยาณมิตร และการเสวนาหรือการคบค้าก็ยังไม่เกิด เมื่อศรัทธาแล้ว ใจรับ ก็นำความคิดได้ นำพฤติกรรมได้ อาจให้เกิดการเลียนแบบ หรือชักจูงให้รู้จักคิดอย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งต่อไป ข้อตัดสินว่า ทำหน้าที่กัลยาณมิตรได้สำเร็จ คือ ทำให้ผู้เสวนาเกิดมีสัมมาทิฏฐิ
     
  9. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    จริงอ่ะ
    หื๊อออ...แนะแบบโฮ่โฮ่
    ไร้หลักการ
     
  10. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    คิดว่าจะลงให้ติดต่อกัน แต่ก็ไม่ทันลุงแมวอย่างที่คิดไว้จริงๆ

    ต่อ คคห. # 189 นั่น

    เรื่องสัมมาทิฏฐิในแง่หลักวิชาตามแบบ หรือตามตำราเดิมแท้ ยังจะได้กล่าวต่อไปอีก

    แต่ในที่นี้ มีข้อควรทำความเข้าใจเบื้องตนไว้ก่อนว่า ความคิดเห็น ทัศนคติ ค่านิยม ความรู้ความเข้าใจถูกต้อง ดีงาม ที่ เรียกว่า “สัมมาทิฏฐิ” นั้น อาจมีเนื้อหารายละเอียดมากมาย อาจบรรยายกันไปได้ต่างๆ หลายอย่างหลายแนว แต่เมื่อมองตามหลักธรรมแล้ว ก็สรุปได้เป็นเพียง ๒ ประเภท คือ

    ๑. ความเชื่อถือ ความเห็น ทัศนคติ ความรู้ ความเข้าใจ ที่ถูกต้อง ดีงาม มีเหตุผล เป็นประโยชน์ เกี่ยวกับเรื่องความดีความชั่ว การทำดีทำชั่ว และการได้รับผลดีร้ายสอดคล้องกับการกระทำของตน คือทำดีดี ทำชั่วชั่ว ความเชื่อมั่นในคุณธรรม เช่น คุณของมารดาบิดา ความเชื่อความเห็นสอดคล้องกับคำสอนทางศาสนา เช่นว่า โลกหน้ามี เป็นต้น รวมเรียกกันสั้นๆว่า เห็นชอบตามคลองธรรม หรือความเชื่อกรรม ซึ่งทำให้มีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตน เรียกตามหลักวิชาคำเดียวว่า กัมมัสสกตาญาณ

    อย่างที่ว่านี้แล คือสัมมาทิฏฐิที่ได้เคยกล่าวถึงมาแล้วว่า เป็นโลกิยสัมมาทิฏฐิ หรือสัมมาทิฏฐิขั้นโลกีย์ เกิดจากความรู้ความเข้าใจเหตุผล โดยอาศัยการอบรมสั่งสอนปลูกฝังสืบๆกันมาในสังคม ช่วยให้เกิดความประพฤติดีประพฤติชอบ และการดำเนินชีวิตที่ดีงาม ทำให้สังคมสงบเรียบร้อย คนอยู่ร่วมกันร่มเย็นเป็นสุข


    ๒. ความรู้ความเห็น ความเข้าใจ เกี่ยวกับโลกและชีวิต หรือสังขารธรรมทั้งหลาย ถูกต้องตามความเป็นจริง คือ ตามสภาวะของมัน และตามความเป็นไปโดยธรรมดาแห่งเหตุปัจจัย ทำให้มองเห็นความสัมพันธ์ที่ถูกต้อง ซึ่งควรจะมีจะเป็น ระหว่างตนเอง กับสิ่งทั้งหลายที่แวดล้อมอยู่ หรือกับโลกและชีวิต


    ดังเช่น รู้ว่าสิ่งทั้งหลาย เป็นสังขารธรรม เกิดจากองค์ประกอบต่างๆมาประชุมกันเข้า เป็นไปตามความสัมพันธ์สืบทอดกันแห่งเหตุปัจจัย จึงมีสภาพไม่คงที่ ไม่เที่ยงแท้ถาวร ไม่ยั่งยืนอยู่ตลอดไป และมีเหตุปัจจัยต่างๆขัดแย้งบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา ไม่เป็นตัวของมันเองอย่างแท้จริง ไม่อาจเป็นของใครๆ และไม่ขึ้นต่อความปรารถนาของใครได้จริงจัง เมื่อสิ่งทั้งหลายมีสภาวะแท้จริงเป็นอย่างนี้ เราควรมีท่าทีและปฏิบัติต่อมันอย่างไร การมีท่าทีและการยึดมั่นถือครองอย่างไม่ลืมหูลืมตา หรือยกมอบชีวิตนี้ให้แก่การแสวงหาไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้ เป็นการถูกต้องแล้วหรือไม่ มนุษย์สัตว์ทั้งหลาย รวมทั้งตัวเรา ต่างก็เป็นสังขารธรรม ตกอยู่ใต้คติธรรมดาเดียวกัน เป็นเพื่อนแก่เจ็บตาย เราควรมีท่าทีและปฏิบัติกันอย่างไร ดังนี้เป็นต้น

    ความรู้ความเห็น ความเข้าใจ อย่างนี้ เกิดจากการรู้จักมอง รู้จักคิด รู้จักพิจารณาสิ่งทั้งหลายตรงตามสภาวะตามเหตุปัจจัยของมัน เป็นความรู้ความเห็น ความเข้าใจ ที่ได้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิแนวโลกุตระ คือ ในขั้นต้นนี้ ยังเป็นโลกียะ แต่ก็อยู่ในแนวทางของโลกุตรสัมมาทิฏฐิ จะเจริญขึ้นเป็นโลกุตรสัมมาทิฏฐิ ได้ต่อไป

    สัมมาทิฏฐิ อย่างแรก เรียกว่า กัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐิ ได้แก่ กัมมัสสกตาญาณ (ความรู้ภาวะที่บุคคลมีกรรมเป็นของตน หมายถึง ความรู้ที่พอรู้จักแยกว่าอันใดเป็นกรรมของตนหรือมิใช่ นับเป็นความรู้ระดับที่ทำให้รู้จักรับผิดชอบการกระทำของตน) ที่ชาวพุทธไทยมักเรียกว่า “กัมมัสสกตาศรัทธา” เป็นสัมมาทิฏฐิระดับธรรมจริยา หรือกุศลกรรมบถ เป็นประโยชน์ หรือจุดหมายชีวิตระดับทิฏฐธัมมิกัตถะ และสัมปรายิกัตถะ แต่เป็นพื้นฐานของปรมัตถ์ต่อไป

    ส่วนสัมมาทิฏฐิอย่างที่สอง จัดเข้าในระดับวิปัสสนาสัมมาทิฏฐิ แต่บาลีเรียกว่า สัจจานุโลมิกญาณ แปลว่า ญาณคล้อยแก่สัจจะ หรือความรู้ที่เข้าแนวสัจจะ นำไปสู่การตรัสรู้ คือมุ่งตรงต่อปรมัตถ์ต่อไป

    จะเห็นว่า สัมมาทิฏฐิตัวแท้ที่จะให้เข้าถึงจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา ก็คือสัมมาทิฏฐิอย่างที่ ๒ ซึ่งเป็นความรู้ที่เข้าแนวสัจจะ

    ชาวพุทธทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่คิดจะเข้าถึงจุดหมายสูงสุด หรือยังไม่คิดก็ตาม ย่อมไม่ควรหยุดอยู่เพียงสัมมาทิฏฐิข้อแรก ควรจะก้าวต่อไปสู่สัมมาทิฏฐิข้อที่ ๒ ด้วย * โดยพยายามปลูกอบรมพัฒนาปัญญาระดับนี้ ให้มีขึ้นบ้าง ไม่มากก็น้อย เพราะสัมมาทิฏฐิดับนี้ จะช่วยบรรเทาความโลภ โกรธ หลง ให้เบาบางลง ทำให้จิตใจปลอดโปร่งผ่องใส รู้จักวางใจวางท่าทีต่อโลกและชีวิตดีขึ้น จะมีความสุขมากขึ้น เป็นวิธีลดการเบียดเบียนแย่งชิงและความทุกข์ความเดือดร้อนของโลก ที่ได้ผลแท้ ยิ่งกว่าวิธียับยั้งบังคับหรือเหนี่ยวรั้งใจในระดับที่เรียกกันว่าศีลธรรม เป็นผลดีทั้งแก่ตนและแก่สังคม

    ...........

    ดูหัวข้อ โลกียสัมมาทิฏฐิ และโลกุตรสัมมาทิฏฐิด้วย

    http://palungjit.org/threads/โลกียสัมมาทิฏฐิ-โลกุตรสัมมาทิฏฐิ.612193/

    ...........

    อ้างอิงที่ *
    อรรถกถา เช่น องฺ.อ.1/519 ; 2/79 ; 3/54 จำแนกสัมมาทิฏฐิละเอียดออกไปเป็น ๕ อย่าง คือ กัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐิ ฌานสัมมาทิฏฐิ วิปัสสนาสัมมาทิฏฐิ มัคคสัมมาทิฏฐิ และ ผลสัมมาทิฏฐิ สองอย่างหลังเป็นโลกุตรสัมมาทิฏฐิ

    สัมมาทิฏฐิข้อที่ ๑ ข้างบน ก็คือ กัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐิ ส่วนข้อที่ ๒ จัดเข้าในวิปัสสนาสัมมาทิฏฐิ ดังนั้น ทั้งสองข้อ จึงจัดเป็นสัมมาทิฏฐิระดับโลกีย์เหมือนกัน แต่มีข้อแตกต่างว่า วิปัสสนาสัมมาทิฏฐิ เป็นสัมมาทิฏฐิ ที่นำไปสู่มัคคสัมมาทิฏฐิ และ ผลสัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็นโลกุตระ จึงได้เรียกว่าเป็นสัมมาทิฏฐิแนวโลกุตระ

    กัมมัสสกตาญาณ ซึ่งเป็นกัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐินั้น มีตัวอย่างที่คุ้นกันดี คือ สัมมาทิฏฐิในหลักธรรมจริยา หรือกุศลกรรมบถ ๑๐ (เช่น องฺ.ทสก.24/165/289...) เป็นสัมมาทิฏฐิที่มีทั้งภายใน และภายนอก พระพุทธศาสนา และมีมาแม้ในสมัยก่อนพุทธกาล คือ มีในลัทธิศาสนาที่เป็นกรรมวาทีทั้งหลาย (สิ่งใดเขาสอนกัน ไม่ว่าลัทธิศาสนาไหน ถ้าถูกต้องเป็นจริง พระพุทธศาสนาก็ยอมรับทั้งนั้น) ดู วินย.อ.1/290 ม.อ.1/270 ก็ย้ำไว้ว่า กัมมัสสกตาญาณ และสัจจานุโลมิกญาณ (ญาณคล้อยแก่สัจจะ คือความรู้ที่เข้าแนวสัจจะ อภิ.วิ.35/822/443 คือวิปัสสนาญาณนั่นเอง ที.อ.3/223 วิภงฺค. อ.539...) เป็นโลกียสัมมาทิฏฐิ

    อนึ่ง ม.อ.3/544 จำแนกสัมมาทิฏฐิ ๕ แปลกออกไปเล็กน้อย เป็น วิปัสสนาสัมมาทิฏฐิ กัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐิ มัคคสัมมาทิฏฐิ ผลสัมมาทิฏฐิ ปัจจเวกขณสัมมาทิฏฐิ คือ ตัด ฌานสัมมาทิฏฐิออก เติมปัจจเวกขณสัมมาทิฏฐิแทน ฌานสัมมาทิฏฐิเป็นโลกีย์เหมือนกัน แต่เป็นเรื่องของผู้ได้ฌาน ไม่เกี่ยวกับที่นี้ ส่วนปัจจเวกขณสัมมาทิฏฐิ ได้แก่ สัมมาญาณ เป็นเรืองของผู้บรรลุมรรค ผล ต่อไปแล้ว ถึงแม้จะเป็นโลกีย์ แต่ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่กำลังพิจารณา
     
  11. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ต่อ


    เมื่อแยกแยะดูขั้นตอน ตามลำดับของกระบวน จะเห็นว่า การเสวนาสัตบุรุษ หรือความมีกัลยาณมิตร นำไปสู่การได้สดับธรรม คือคำสอนคำแนะนำชี้แจงต่างๆโดยตรงบ้าง โดยอ้อมบ้าง เมื่อธรรม คือ หลักความจริง หรือหลักแห่งความดีงามที่แสดงนั้น เป็นจริง หรือดีงามจริง หรือแสดงได้ดีมีเหตุผล ผู้รับงฟังก็เกิดศรัทธา อาจเขียนให้ดูง่าย ดังนี้ * (องฺ.ทสก.24/61/122)

    เสวนาสัตบุรุษ (มีกัลยาณมิตร) => สดับธรรม => ศรัทธา

    ถึงตอนนี้ มาถึงจุดสำคัญอีกจุดหนึ่ง ในกระบวนธรรมแห่งการศึกษา หรือความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม คือ จุดเชื่อมต่อ จากองค์ประกอบภายนอก หรือปัจจัยทางสังคม เข้าสู่องค์ประกอบภายใน หรือปัจจัยภายในตัวบุคคล ตามหลักการนั้น ท่านว่า องค์ประกอบภายนอก หรือปรโตโฆสะ (ในที่นี้ ได้แก่ ความมีกัลยาณมิตร) ล้วนๆ ส่งผลได้ถึงศรัทธา จบลงเพียงแค่โลกียสัมมาทิฏฐิ เท่านั้น* (อุ.อ.135)

    ถ้าได้เพียงเท่านี้ ก็เป็นอันไปไม่ตลอดกระบวนการศึกษา ไม่ถึงจุดหมายของพระพุทธศาสนา เมื่ออยู่แค่ขั้นศรัทธา ผู้มีศรัทธานั้น ก็ยังต้องคอยอิง ยังขึ้นต่อกัลยาณมิตร คอยพึ่งอาศัยครูอาจารย์ พฤติกรรก็ยังอยู่ในลักษณะของการทำตาม หรือเลียนแบบ ยังไม่รู้ยิ่งเห็นจริงประจักษ์แก่ตน ยังไม่เป็นอิสระหลุดพ้นสิ้นเชิง


    ทางแก้ก็คือ ต้องหาทางเชื่อมโยงให้ก้าวเข้าสู่องค์ประกอบภายใน หรือปัจจัยภายในตัวบุคคล คือ โยนิโสมนสิการ โดยปลุกโยนิโสมนสิการให้มีขึ้น และมารับช่วงทำงานต่อไป ดังหลักการแสดงไว้ว่า โยนิโสมนสิการ จึงจะสามารถนำไปสู่โลกุตรสัมมาทิฏฐิ บรรลุจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา หรือการศึกษาที่แท้ได้

    การเชื่อมโยงเข้าสู่ปัจจัยภายในนี้ ก็อาศัยกัลยาณมิตร ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกนี้เอง ช่วยทำให้ได้ และเมื่อว่าตามหลักการแล้ว ก็ถือให้ถือเป็นหน้าที่ของกัลยาณมิตร ที่จะช่วยผู้เรียนให้ปลุกโยนิโสมนสิการของตนขึ้นมาใช้

    กัลยาณมิตร จึงไม่พึงมีเป้าหมายอยู่เพียงแค่ศรัทธา แต่พึงใช้ศรัทธาเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ตนจุดชนวนโยนิโสมนสิการในตัวผู้เรียนขึ้นได้โดยสะดวก


    โดยนัยนี้ กัลยาณมิตรอาศัยศรัทธาเป็นเครื่องเชื่อมโยง แล้วใช้การแสดงธรรม ธรรมที่แสดง หรือวิธีแสดงธรรมนั่นเอง ช่วยให้ผู้ฟังหรือผู้เรียนปลุกโยนิโสมนสิการขึ้น คือให้รู้จักคิดรู้จักพิจารณาด้วยตนเอง โดยมองสิ่งทั้งหลายตามสภาวะ และเหตุปัจจัย


    เมื่อโยนิโสมนสิการเกิดขึ้นแล้ว กระบวนธรรมก็ดำเนินก้าวหน้าต่อไปได้จนถึงที่สุด ระหว่างนี้ กัลยาณมิตร ก็อาจคอยช่วยประคับประคอง ชี้ช่อง หนุนเสริมโยนิโสมนสิการนั้น ด้วยการแสดงธรรมไปเรื่อยๆ


    เมื่อพร้อมทั้งปัจจัยภายนอก มาโยงกับปัจจัยภายใน คือ ปรโตโฆสะที่ดี ช่วยหนุนเสริมโยนิโสมนสิการ มนุษย์ปุถุชนที่เป็นเวไนย คือไม่ถึงกับเป็นอัจฉริยะที่จะเริ่มโยนิโสมนสิการขึ้นลำพังตนเอง และไม่ใช่ปทปรมะที่ไม่อาจคิดเองได้ ก็จะสามารถก้าวไปในกระบวนการศึกษา และการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง


    อาจพูดกำชับเกี่ยวกับหน้าที่ของกัลยาณมิตรตามหลักพุทธธรรมว่า การที่กัลยาณมิตรมาช่วยเหลือคนผู้หนึ่งผู้ใดนั้น มิใช่เพื่อให้คนผู้นั้นหันมาติดพันขลุกหรือวุ่นอยู่กับกัลยาณมิตรเอง ซึ่งกลายเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตัวผู้นั้น กับ กัลยาณมิตรไป และอาจมีผลเพียงว่า ให้เชื่ออย่างที่กัลยาณมิตรเชื่อ หรือทำอย่างที่กัลยาณมิตรทำเท่านั้น


    กัลยาณมิตรเข้ามา มิใช่เพื่อให้คนผู้นั้นหันมาสัมพันธ์กับตน แต่เข้ามาเพียงเพื่อเป็นสื่อช่วยให้คนผู้นั้นสัมพันธ์กับสิ่งที่สาม คือ โลกและชีวิต หรือสิ่งทั้งหลายที่แวดล้อมตัวเขาอยู่ อย่างถูกต้อง โดยเข้ามาชี้บอกให้เขาหันไปมองสิ่งเหล่านั้น และพิจารณาให้รู้จักมันตามความเป็นจริง จนเขารู้ได้ด้วยตนเอง เขาควรสัมพันธ์กับสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้องอย่างไร โดยนัยนี้ กระบวนธรรมจึงต้องต่อไปอีก ดังนี้

    เสวนาสัตบุรุษ (มีกัลยาณมิตร) => สดับธรรม => ศรัทธา => โยนิโสมนสิการ

    แต่ในหลักการพัฒนาปัญญา หรือองค์ประกอบที่จะทำให้เป็นโสดาบัน ท่านไม่กล่าวถึงศรัทธาเลย ทั้งนี้ ท่านอาจถือว่า ในกรณีนั้น ศรัทธาเป็นเพียงองค์ธรรมผ่าน หรือช่วยเชื่อมโยง ไม่ใช่ตัวเน้น จึงข้ามไป *


    กระบวนดังที่แสดงตามลำดับมา เมื่อประสานกับหลักการพัฒนาปัญญา หรือองค์ประกอบที่ทำให้เป็นโสดาบันนั้น อาจเขียนได้ ดังนี้

    เสวนาสัตบุรุษ (มีกัลยาณมิตร) => สดับธรรม => ศรัทธา => โยนิโสมนสิการ => ปฏิบัติถูกหลัก
    ......

    ที่อ้างอิง *
    * หลักการพัฒนาปัญญา = ปัญญาวุฒิธรรม เรียกย่อๆว่า วุฒิ ๔ (ธรรมที่เป็นไปเพื่อความเจริญปัญญา หรือธรรมเครื่าองเจริญปัญญา) ตรงกับองค์ประกอบที่ทำให้เป็นโสดาบัน = โสตาปัตติยังคะ ๔ คือ สัปปุริสสังเสวะ สัทธัมมัสสวนะ โยนิโสมนสิการ ธัมมานุธัมมปฏิบัติ... หลักการนี้ ที่ท่านกล่าวสอนในรูปง่ายๆ มีกระจายอยู่ ณ ที่ต่างๆ เหมือนดังว่า ท่านไม่ลืมที่จะกล่าวถึงเมื่อมีโอกาส ข้อที่กล่าวไว้แข็งขันอีกแห่งหนึ่ง ดู ขุ.ขุ.25/9/12
     
  12. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    พุทธพจน์ต่อไปนี้ แม้จะมิได้ระบุองค์ประกอบข้อโยนิโสมนสิการ แต่ก็แสดงให้เห็นการทำหน้าที่ของกัลยาณมิตร ซึ่งให้ความเป็นอิสระแก่ผู้ศึกษา นำไปสู่การรู้เข้าใจประจักษ์ด้วยตนเอง ดังคำสนทนาต่อไปนี้ * (ม.ม.13/291/285)


    มาคัณฑิยะ: ข้าพเจ้าก็เลื่อมใสต่อท่านพระสมณโคดมอย่างนี้แล้ว ท่านพระสมณโคดมผู้เจริญ พอจะช่วยแสดงธรรม ให้ข้าพเจ้าลุกขึ้นจากอาสนะนี้โดยหายมืดบอดได้ไหม ?

    พระพุทธเจ้า: ถ้าอย่างนั้น มาคัณฑิยะ ท่านพึงคบหาสัตบุรุษทั้งหลาย เพราะเมื่อท่านคบหาสัตบุรุษ ท่านจักได้สดับสัทธรรม เมื่อท่านได้สดับสัทธรรม ท่านจักปฏิบัติธรรมถูกหลัก เมื่อท่านปฏิบัติธรรมถูกหลัก ท่านก็จักรู้ได้เองเห็นได้เองทีเดียวว่า โรค (ทางจิต) ฝีร้าย (ในใจ) ศรที่คอยทิ่มแทงใจ คือเหล่านี้ ๆ โรค ฝีร้าย ศรแทงใจ จะดับไปได้ ณ ที่นี้ คือ เพราะอุปาทานของเรานั้นดับไป ภพก็ดับ ฯลฯ ความโศก ความคร่ำครวญ ความทุกข์ โทมนัส ความคับแค้นใจ ก็จะดับไป ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวล ก็จะมีได้ ด้วยประการฉะนี้

    และอีกแห่งว่า ดังนี้ (ขุ.สุ.25/429/536-7/ ขุ.จู.30/213-222/112-7)

    โธตกมาณพ: ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงปัญญาจักษุเห็นรอบด้าน ข้าฯ ขอน้อมนมัสการพระองค์ ข้าแต่พระศากยะ ขอได้โปรดปลดปล่อยข้าพระองค์จากข้อสงสัยทั้งหลายด้วยเถิด

    พระพุทธเจ้า: ดูกรโธตกะ เราไม่สามารถปลดปล่อยใครๆในโลก ผู้ยังมีความสงสัยอยู่ให้พ้นไปได้ แต่เมื่อท่านรู้ชัด ซึ่งธรรมอันประเสริฐ ท่านก็จะข้ามห้วงกิเลสไปได้เอง


    ในเมื่ออิสรภาพของผู้ศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ และในเมื่อกัลยาณมิตร ก็ได้ทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุดแล้ว ก็จะต้อง้ำถึงการทำหน้าที่ของตัวผู้ศึกษาเองบ้าง เพื่อจะได้ใช้อิสรภาพของตนให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด


    ดังนั้น พระพุทธเจ้า จึงได้ทรงทำหน้าที่อีกด้านหนึ่งของกัลยาณมิตร คือการแนะนำกระตุ้นเตือนให้ผู้ศึกษาทำหน้าที่ของตนให้ดี ดังมีพุทธพจน์ตรัสสอนเกี่ยวกับการฟังธรรม การสนทนา การปรึกษาสอบถามเป็นอันมาก ตัวอย่าง เช่น

    “ภิกษุทั้งหลาย บุคคลประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ เมื่อฟังธรรม ย่อมเป็นไปได้ที่จะหยังลงสู่นิยาม คือความถูกชอบในกุศลธรรมทั้งหลาย ๕ ประการอะไรบ้าง ? ได้แก่

    ๑. ไม่นึกหมิ่นเรื่องที่เขาพูด

    ๒. ไม่นึกหมิ่นผู้พูด

    ๓. ไม่นึกหมิ่นตนเอง

    ๔.ใจไม่ฟุ้งซ่าน ฟังธรรม โดยมีจิตหนึ่งเดียว

    ๕.มนสิการโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ)” (องฺ.ปญฺจก. 22/151/195 ธรรมชุดเดียวกันนี้ ยังตรัสต่อไป ณ ที่มานี้อีก ๒ หมวด มีข้อแตกต่างคือ มีปัญญา ไม่โง่เง่า ไม่ฟังโดยมีความรู้สึกลบหลู่ ไม่ฟังโดยมีจิตแข่งดี ไม่ฟังโดยคอยจ้องจับผิด มีจิตกระทบกระด้างต่อผู้แสดง ไม่คิดหมายว่าเข้าใจแล้วในสิ่งที่ยังไม่เข้าใจ และทุกหมวด ตรัสธรรมฝ่ายตรงข้ามเป็นคู่ไว้ด้วย ส่วนที่ตรัสไว้ ณ ที่อื่น ก็ยังมีกระจายอยู่เป็นอันมาก)


    ธรรมที่ต้องเน้น ณ ที่นี้ คือ โยนิโสมนสิการ ซึ่งเป็นตัวการทำหน้าที่ทางปัญญาให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ แต่โยนิโสมนสิการนั้น มิใช่ใช้เฉพาะในการฟังธรรม หรือฟังคำอธิบายเท่านั้น หากเป็นธรรมที่พึงใช้ในการดำเนินชีวิตทุกส่วนทุกเวลา ทั้งในการรับรู้ การเผชิญสถานการณ์ และการสัมพันธ์เกี่ยวข้องปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายทุกกรณี


    เมื่อกล่าวมาถึงขั้นที่โยนิโสมนสิการเข้ามารับช่วงไปแล้ว ก็เป็นอันก้าวขึ้นสู่ตอนใหม่ ซึ่งโยนิโสมนสิการเป็นเจ้าของบทบาท อันจะต้องแยกไปบรรยายเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหากต่อไป


    แต่ก่อนจะยุติเรื่อง ปรโตโฆสะ เห็นควรกล่าวถึง “ศรัทธา” ซึ่งเป็นองค์ธรรมสำคัญของตอนนี้ไว้เป็นพิเศษส่วนหนึ่งก่อน พอให้เห็นว่า ศรัทธาที่ถูกต้องใช้ประโยชน์ได้ในกระบวนธรรมแห่งความดับทุกข์นั้น เป็นอย่างไร และควรจะปฏิบัติต่อศรัทธานั้นอย่างไร

    (พุทธธรรมแต่หน้า 663 ไป)

    ........

    เชื่อมกับหลักศรัทธา
    http://palungjit.org/threads/หลักศรัทธา.613100/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2017
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456

    บทความเนี่ยะ มันเป็น อาการคิดเอาเอง ของพวก นักธรรมหน้าเฮ

    กัลยานมิตร ฟังสัทธรรม แล้วไป ศรัธทา

    พอไป ศรัทธา พวก นักธรรมหน้าเฮ หนาสันติ มันจะดำริไปเรื่อง ตัวบุคคล

    พอดำริไปตัวบุคคล มันก็เกิดอาการ กรวยขัดลำกล้อง กรวยขัดคอตัวเอง
    ขึ้นมา ก็เลย โยน สัททา ทิ้ง ไปโน้น ข้ามไป นั่งคิดเอาเอง โยนิโสสันติ อะไรของมัน

    แต่ถ้าเป็น นักปฏิบัติ

    กัลยณธรรม ส่งได้แค่ ปิติ ( ความร่าเริง บันเทิง ในการภาวนารู้เฉพาะตน)

    กัลยาณธรรม ประกาศ มุขนัยว่า " อยากเป็นมรรค " คนไร้สติ ฟังก็โอ้ว
    นี่ kuเงี่ย... อยากได้ฌาณ บริกรรมอึ๊กๆ อะไรของku นี่ถูกแล้ว "อยากเป็นมรรค"

    แต่ถ้าเป็น นักปฏิบัติจริง กัลยณธรรม ส่งได้แค่ ปิติ ความร่าเริงในการลงมือ
    ปฏิบัติ ดังนั้น " อยากเป็นมรรค " เอา สันติไปกินได้เลย เพราะ สื่อที่เหนือ
    ภาษาคือ " มะอึง ภาวนาผิด เดี๋ยวผู้เฒ่าแก้ให้ ภาวนาไปเถอะ " คนละเรื่อง
    กับ ภาษาที่พูด " อยากเป็นมรรค " [ พยัญชนะอย่างนึง อรรถรสในการรับรู้จะอีกเรื่องนึง ]

    คนมีธรรม จึงพูดอะไรก็ได้ เพราะ พูดไปส่งได้แค ปิติ เป็น องคธรรม พ้นความเป็นสัตว์
    เป็น ปรมัตถธรรมอย่างหนึ่ง ที่ ควรกำหนดรู้ ความเกิดดับของ ปิติ ถ้าทัน ก็อาจจะ
    สำเร็จธรรม แบบศรัทธาวิมุตติ ได้ทันที

    นะ

    กัลยาณธรรม แสดงธรรม ส่งได้แค่ ปิติ ความบันเทิงธรรม

    นักภาวนาทีมี ปฏิภาณ จะกำหนดรู้ ปิติ (องค์ฌาณ) เกิดดับ แล้ว อาจจะ ได้ ศรัทธาวิมุตติ

    แต่ถ้า ปฏิภาณไม่พอ ก็อาจจะพิจารณา ปิติเป็น ธรรม เรียกว่า เอา ธรรมเป็นศาสดา
    กำหนดรู้ ปิติเกิดดับ แต่ผลิกเป็น เห็นด้วยปัญญา ก็อาจจะกลายเป็น ปัญญาวิมุตติ ได้อีก

    แต่ถ้า ปัญญาอินทรีย์น้อยกว่านั้น ก็จะ ทกุขาปฏิปทา ต่างๆ นานา ไปตามกำลัง
    ปัญญาที่อ่อนลงไป

    ศรัทธา ในการได้ กัลยาณธรรม ที่ถูกต้อง จะไม่เกี่ยวกับ ผู้แสดง

    ศรัทธา ที่ได้จาก กัลยาณธรรม(มรรค8) ที่ถูกต้อง จะเป็น ตถาคต เท่านั้น และ
    ไม่ใช่สภาพของ บุคคลาธิษฐาน เพราะ ตถาคต เป็นคำที่เป็นเรื่องของ การเห็นทาง
    หรือ เห็นรอยเท้านกในอากาศ อย่างนึง จึงจะเกิด โยนิโสมนสิการ ในความเลื่อมใส"สว่างจ้า"
    ที่ปรากฏต่อหน้า ขณะจิตนั้นๆ


    ฟังธรรมแทบตาย ศรัทธาผลิกกลายเป็นเรื่อง ตัวบุคคล(ประจบ ประแจง
    มารยา สาไถย เดี๋ยวด่า เดี๋ยวสรรเสริญ) เอา สันติ ไปแหลก !!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2017
  14. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ขยะบอร์ด
    วางถุงกาวลงก่อน คิกๆๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...